ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

นักธรรมชาติบำบัดบางท่านแนะนำให้ทำการล้างลำไส้เป็นครั้งคราว เพื่อขจัดสารพิษในระบบย่อยอาหารของคุณ

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 4:

ล้างพิษด้วยอาหาร

ดาวน์โหลดบทความ
  1. วิธีที่ดีที่สุดในการเริ่มล้างพิษในลำไส้คืองดรับประทานอาหารที่เป็นต้นเหตุของปัญหา เลี่ยงอาหารที่เป็นภาระต่อตับและลำไส้ อย่างเช่น กาแฟ น้ำตาลทรายขาว แป้งสาลี ผลิตภัณฑ์นม และแอลกอฮอล์
  2. อาหารบางชนิดจะช่วยให้คุณขจัดสารพิษจากร่างกายได้ อย่างผักในตระกูลกะหล่ำ เช่น บร็อคโคลี กะหล่ำดอก กะหล่ำดาว และกะหล่ำปลี ผักเหล่านี้มีสารอาหารมากมาย และสารประกอบเชิงซ้อนที่เรียกว่าซัลโฟราเฟน ซึ่งมีความสำคัญมากในการช่วยร่างกายกำจัดสารพิษ [3] [4]
  3. ถ้าคุณไม่เคยไปตรวจภูมิแพ้อาหารแฝง คุณอาจจะต้องไปพบแพทย์หรือนักธรรมชาติบำบัดเพื่อทำการตรวจ การกินอาหารที่ร่างกายคุณแพ้จะทำให้ลำไส้ทำงานได้ช้าลงและเพิ่มโอกาสการเกิดสารพิษในลำไส้ได้
  4. กินอาหารที่อุดมด้วยคลอโรฟิลล์เพื่อลดสารพิษ. อาหารบางชนิดช่วยลดระดับสารพิษในเลือดได้ ผลวิจัยพบว่าคลอโรฟิลล์จะลดการดูดซึมสารพิษและช่วยในการขับสารพิษด้วย ผักใบสีเขียวเข้มจะมีคลอโรฟิลล์สูง ควรกินผักโขม ผักเคล ผักคะน้า พาร์สลีย์ ต้นอ่อนข้าวสาลี และสาหร่ายเยอะๆ [8] [9] [10]
    • ลองกินแบบนี้ในทุกมื้อ ใส่ไข่ลงในผักเคลหรือคะน้านึ่ง หรือนำผักโขมกับต้นอ่อนข้าวสาลีไปทำเป็นสมูทตี้ คุณจะหาซื้อสาหร่ายอบกรอบมากินเล่นด้วยก็ได้
  5. จุลินทรีย์โปรไบโอติกส์ดีต่อสุขภาพลำไส้และยังช่วยในการขับสารพิษอีกด้วย โปรไบโอติกส์ช่วยลดเอนไซม์ในร่างกายที่ทำให้ลำไส้ดูดจับสารพิษไว้แทนที่จะชะล้างไป เพื่อสุขภาพโดยรวมควรรับประทานแคปซูลโปรไบโอติกส์วันละหนึ่งเม็ดทุกวัน แต่ถ้าอยู่ในช่วงล้างพิษลำไส้อาจจะต้องเพิ่มอีก 1-2 เม็ด [11] [12]
    • การกินโยเกิร์ตและอาหารประเภทอื่นๆ ก็ช่วยให้คุณได้รับโปรไบโอติกส์เช่นกัน
  6. ดื่มน้ำให้มากขึ้น ร่างกายคุณต้องการน้ำเพื่อช่วยชะล้างสารพิษ. คนส่วนใหญ่ควรดื่มน้ำให้ได้ปริมาณครึ่งหนึ่งของน้ำหนักตัว (ในหน่วยออนซ์) เพื่อสุขภาพลำไส้ที่ดี ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณหนัก 140 ปอนด์ คุณต้องดื่มน้ำให้ได้ 70 ออนซ์ต่อวัน โดยเฉพาะถ้าต้องการให้สุขภาพลำไส้ดีขึ้น [13]
    • ปริมาณเท่านี้อาจจะดูเหมือนเยอะ แต่ถ้าคุณดื่มน้ำ 1-2 แก้ว ทุกๆ สองสามชั่วโมง ก็จะไม่เยอะเกินไป อย่าดื่มในครั้งเดียวเพราะจะทำให้แน่นท้องได้
    • ถ้าคุณกินไฟเบอร์มากขึ้นหรือกินอาหารเสริมไฟเบอร์ คุณก็จำเป็นต้องดื่มน้ำมากขึ้นด้วย เพราะไฟเบอร์ที่เพิ่มขึ้นนั้นต้องใช้น้ำมากขึ้นเพื่อให้ย่อยได้ดี
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 4:

กำจัดสารพิษด้วยอาหารเสริมล้างลำไส้

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ปัจจุบันมีอาหารเสริมล้างลำไส้จำหน่ายมากมาย บางชนิดช่วยชะล้างสิ่งสกปรกออกจากลำไส้ บางชนิดช่วยเสริมการทำงานของอวัยวะในการขับสารพิษ แต่ก่อนจะบริโภคอาหารเสริมเหล่านี้ คุณควรปรึกษาแพทย์ก่อนว่ามันจะปลอดภัยสำหรับคุณหรือไม่
  2. ยาระบายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยกระตุ้นให้ลำไส้ทำงานเร็วขึ้นและระบายของเสียออกให้หมด ควรระวังในการใช้ให้ดี เพราะยาระบายอาจทำให้เกิดอาการปวดท้องและท้องร่วงได้หากกินในปริมาณมาก และยังทำให้เกิดผลข้างเคียงอื่นๆ อย่างเช่น เรอ ท้องอืด มีแก๊สในท้อง หรือเป็นตะคริวที่ท้องได้ ลองใช้ยี่ห้อ มิลค์ ออฟ แมกนีเซีย (Milk of Magnesia) มิราแล็คซ์ (Miralax) หรือดัลโคแลกซ์ (Dulcolax)
    • ถ้าคุณกินยาระบายติดต่อกันเป็นประจำ ลำไส้คุณจะต้องพึ่งยาตลอด ดังนั้นควรใช้เพียงสองสามวันต่อครั้งเท่านั้น [14]
    • ถ้าคุณอยากได้ยาระบายแบบธรรมชาติ ชาระบายอ่อนๆ ก็เพียงพอสำหรับการล้างพิษลำไส้แล้ว ใส่ชาระบายมินต์ 1-2 ถุงลงในน้ำร้อน 5-10 นาที ดื่มตอนกลางคืน คุณจะขับถ่ายประมาณ 6-8 ชั่วโมงถัดมา [15]
  3. นอกจากอาหารที่อุดมด้วยไฟเบอร์แล้ว อาหารเสริมที่มีไฟเบอร์ก็ช่วยดักจับสารพิษและช่วยลำไส้ในการชะล้างมันด้วย กินไฟเบอร์จากรำข้าว ไซเลี่ยม หรือรำข้าวโอ๊ต 2 ช้อนโต๊ะต่อวัน กินง่ายๆ โดยใส่ในสมูทตี้หรือโอ๊ตมีลก็ได้
    • อย่าลืมดื่มน้ำมากๆ ช่วงที่กินไฟเบอร์เสริม ไม่อย่างนั้นไฟเบอร์อาจทำให้ท้องผูกหรือลำไส้อุดตันได้
    • คุณอาจจะลองกินไฟเบอร์เสริมชนิดละลายน้ำได้ อย่างยี่ห้อเบเนไฟเบอร์ (Benefiber) และเมตามูซิล (Metamucil) [16]
  4. แมกนีเซียมจะค่อยๆ ดูดซึมน้ำเข้าสู่ลำไส้และมีฤทธิ์เป็นยาระบายตามธรรมชาติ ซึ่งต่างจากยาสมุนไพรหรือยาระบายทั่วไปตรงที่ไม่ทำให้ติดและไม่ทำให้ต้องพึ่งยาเมื่อใช้เป็นเวลานาน
    • กินแมกนีเซียมซิเตรท 300-600 มิลลิกรัมต่อวัน แต่ห้ามเกิน 900 มิลลิกรัมต่อวัน เพราะถ้าได้รับมากเกินไปจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้
    • คุณสามารถหาซื้อแมกนีเซียมซิเตรทแบบดื่มแทนอาหารเสริมแบบเม็ดได้ แค่ดูให้แน่ใจว่ามีปริมาณแมกนีเซียมไม่เกิน 900 มิลลิกรัม [17]
  5. เอ็น-อะเซทิลซิสเทอินหรือเอ็นเอซี คือสารตั้งต้นของกลูต้าไธโอน ซึ่งเป็นหนึ่งในสารล้างพิษหลักๆ ในร่างกาย พบในอาหารธรรมชาติอย่างโยเกิร์ตบางชนิดและเนื้อสัตว์ปีกโปรตีนสูง แต่ก็สามารถกินแบบอาหารเสริมได้หากอยู่ในช่วงล้างพิษลำไส้ เมื่อคุณกินเอ็นเอซีเข้าไป ร่างกายจะเปลี่ยนมันเป็นกลูต้าไธโอนซึ่งจะช่วยขจัดพิษได้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
    • กินอาหารเสริมแคปซูลเอ็นเอซี 500-1500 มิลลิกรัมต่อวันในระหว่างช่วงล้างลำไส้ คุณสามารถหาซื้อได้ที่ร้านขายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพหรือร้านขายยา [18]
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 4:

ใช้วิธีแบบธรรมชาติด้วยตัวเอง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การประคบด้วยน้ำมันละหุ่งจะช่วยชะล้างและขจัดสารพิษออกจากลำไส้ เตรียมผ้าสักหลาด จะเป็นผ้าฝ้ายหรือผ้าขนสัตว์ก็ได้ พลาสติกห่ออาหาร ผ้าขนหนู ถุงน้ำร้อนหรือแผ่นให้ความร้อน และน้ำมันละหุ่ง เทน้ำมันลงบนผ้าสักหลาดให้ชุ่มพอดี นอนลงและวางผ้าลงบนท้องโดยตรง แล้วใช้พลาสติกห่อรอบผ้าไว้ไม่ให้เลอะเสื้อผ้าหรือที่นอน เสร็จแล้วใช้ผ้าขนหนูพันรอบลำตัวให้ทับพลาสติกอีกที จากนั้นนำถุงน้ำร้อนหรือแผ่นให้ความร้อน (ตั้งค่าระดับปานกลาง) มาวางบนผ้าขนหนู ทิ้งไว้ 10-30 นาที ก่อนเอาออกและทำความสะอาดบริเวณท้อง คุณสามารใช้ผ้าสักหลาดซ้ำได้อีกประมาณ 3 สัปดาห์โดยไม่ต้องซัก [19]
  2. การสวนทวารจะช่วยล้างลำไส้ระหว่างทำการขจัดสารพิษ มันคือการฉีดน้ำเข้าสู่ลำไส้เพื่อกระตุ้นการขับถ่ายและช่วยชะล้างของเสียในลำไส้
    • การสวนทวารอาจทำให้เกิดการพึ่งยาได้หากทำบ่อยเกินไป เช่นเดียวกับยาระบาย แต่มันจะปลอดภัยและได้ผลถ้าทำอย่างเหมาะสมในระยะเวลาสั้นๆ [20] [21]
  3. แพทย์ธรรมชาติบำบัดหรือนักธรรมชาติบำบัด ได้รับการฝึกให้ขจัดพิษคนไข้ได้อย่างปลอดภัยและเหมาะสม แพทย์ธรรมชาติบำบัดจะดูประวัติทางการแพทย์และยาที่คุณใช้ และเลือกวิธีล้างพิษที่ดีที่สุดสำหรับคุณได้ แพทย์จะแนะนำได้ว่าคุณควรสวนล้างลำไส้บ่อยแค่ไหน และยังสั่งจ่ายสมุนไพร อาหารเสริม และบอกแนวทางดูแลรักษาที่บ้านเพื่อจะช่วยให้คุณล้างพิษได้อย่างปลอดภัยและเป็นธรรมชาติด้วย
    โฆษณา
วิธีการ 4
วิธีการ 4 ของ 4:

รับการสวนล้างลำไส้

ดาวน์โหลดบทความ
  1. นักบำบัดลำไส้จะได้ทำการสวนล้างลำไส้ให้คนไข้ทุกวัน การสวนล้างลำไส้อาจทำให้รู้สึกไม่ค่อยดีนัก แต่มันสามารถขจัดพิษในลำไส้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง ควรเลือกนักบำบัดลำไส้ผู้เชี่ยวชาญที่ทำอย่างสะอาดและปลอดภัย
  2. ถ้าคุณมีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้ ลองปรึกษาแพทย์เรื่องการสวนล้างลำไส้และสิ่งที่จะได้รับ ในขั้นตอนการทำ นักบำบัดลำไส้จะค่อยๆ สอดท่อเข้าไปในทวารหนัก ท่อนั้นจะเชื่อมกับปั๊มน้ำซึ่งจะฉีดน้ำหรือของเหลวเข้าไปในลำไส้ใหญ่ หลังจากลำไส้ชุ่มน้ำแล้ว นักบำบัดจะเอาท่ออันแรกออกและสอดท่อใหม่เข้าไป และจะทำการนวดท้องเพื่อไล่น้ำและของเสียออกจากลำไส้
    • นักบำบัดอาจมีการทำซ้ำเพื่อชะล้างลำไส้อย่างหมดจด อาจใช้น้ำมากถึง 60 ลิตรในระหว่างขั้นตอนนี้
    • ขั้นตอนต่อมาอาจจะใช้น้ำกับโปรไบโอติกส์ สมุนไพร หรือกาแฟ ซึ่งจะช่วยดูดของเสียออกจากลำไส้ [22]
  3. ยิ่งปล่อยให้อุจจาระค้างอยู่ในลำไส้นานเท่าไหร่ ร่างกายคุณก็จะยิ่งดูดซึมสารพิษไว้เท่านั้น วิธีการต่างๆ ที่กล่าวไว้ด้านบนจะช่วยให้คุณสามารถขับถ่ายได้ทุกๆ วัน
    • ถ้าคุณเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและลองใช้วิธีอื่นๆ แล้วแต่ก็ยังขับถ่ายทุกวันไม่ได้ ควรลองไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจและคำแนะนำ
    • ถ้าคุณขับถ่ายมากกว่าวันละสองครั้งหรือมีอาการถ่ายเหลว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเป็นอันดับแรก
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับอาหารเสริมและขั้นตอนต่างๆ ก่อนจะเริ่มทำการล้างพิษลำไส้
  • หลีกเลี่ยงการล้างลำไส้หากคุณเพิ่งผ่าตัดบริเวณท้องมา หรือมีเนื้องอกที่ใดอวัยวะก็ตามในระบบย่อยอาหาร หรือเป็นโรคหัวใจ โรคเกี่ยวกับไต โรคลำไส้อักเสบหรือโรคโครห์น ริดสีดวงภายในหรือริดสีดวงขั้นรุนแรง โรคถุงผนังลำไส้ใหญ่อักเสบ โรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง และโรคลำไส้ตรงโผล่ยื่น
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 8,939 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา