ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

การเดิน เป็นหนึ่งในการออกกำลังกายแบบแรงกระแทกต่ำที่ดีที่สุด และยังเป็นหนึ่งในวิธีดูแลสุขภาพให้แข็งแรงขึ้นที่มีค่าใช้จ่ายต่ำ และสะดวกที่สุด กระนั้นก็ตาม ชาวอเมริกันจำนวนมากเดินน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนก้าวที่แนะนำต่อวัน การเดินช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจและโรคมะเร็ง ทั้งยังช่วยลดอาการเจ็บปวดเรื้อรังและลดความเครียดไปในตัวอีกด้วย

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 3:

ปรับปรุงท่าเดินของคุณ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การอบอุ่นร่างกายด้วยการเริ่มเดินอย่างช้าๆ จะช่วยลดการหักโหมของกล้ามเนื้อ ซึ่งสามารถช่วยให้คุณเดินได้นานและเร็วขึ้นได้ พยายามอบอุ่นร่างกายด้วยการเดินช้าๆ ให้ได้ 5 ถึง 10 นาทีในช่วงเริ่มต้นของการเดิน
    • วิธีนี้จะช่วยให้กล้ามเนื้อต่างๆ ของร่างกายคลายตัวและพร้อมสำหรับการออกกำลังกาย สำหรับการอบอุ่นร่างกาย ให้ทำท่าต่อไปนี้อย่างละ 30 วินาที: หมุนข้อเท้าแต่ละข้างเป็นวงกลม แกว่งขาทีละข้าง หมุนสะโพกหรือขาเป็นวงกลมอย่างช้าๆ เหวี่ยงแขนเป็นวงกลม ซอยเท้าอยู่กับที่และเหวี่ยงขาไปมา
    • ในทำนองเดียวกัน หลังการเดินให้คลายอุ่นร่างกายด้วยการเดินอย่างช้าๆ สัก 5-10 นาที หลังจากที่คุณคลายอุ่นร่างกายแล้ว ก็ให้ยืดกล้ามเนื้อเบาๆ
    • การอบอุ่นร่างกายอย่างถูกต้องสามารถช่วยหลีกเลี่ยงอาการบาดเจ็บต่างๆ จากการเดิน เช่น อาการกล้ามเนื้อฉีกขาด
  2. ในขณะที่เดิน ให้พยายามก้าวเดินอย่างตั้งใจและใส่ใจท่าทางของคุณให้ดี ให้ลำตัวตั้งตรง พยายามมองไปข้างหน้าในระยะประมาณ 12-20 ฟุตขณะที่คุณเดิน
    • ให้ศีรษะตั้งตรงขณะเดิน มองตรงไปข้างหน้า อย่าก้มหน้ามองพื้นตลอดเวลาที่เดิน เพราะอาจทำให้เมื่อยคอได้ [1]
    • ผ่อนคลายบริเวณคอ ไหล่ และหลัง ถึงแม้ว่าท่าเดินของคุณควรจะแข็งแรง แต่ร่างกายของคุณก็ไม่ควรเกร็งจนเกินไปเวลาที่คุณเดิน
    • แกว่งแขนโดยงอข้อศอกเล็กน้อยถ้าคุณต้องการ แขม่วกล้ามเนื้อหน้าท้อง และอย่าแอ่นหลังไปด้านหน้าหรือโค้งไปด้านหลัง
  3. ในขณะที่เดิน คุณควรก้าวเท้าไปข้างหน้า ให้ส้นเท้าวางลงบนพื้นด้านหน้า จากนั้น ถ่ายน้ำหนักไปยังเนินปลายเท้าของคุณ สำหรับเท้าอีกข้างหนึ่ง ให้ยกส้นเท้าขึ้น ดันเท้าให้ยกขึ้นจากพื้นด้วยหัวนิ้วโป้งเท้า และทำตามขั้นตอนแรกซ้ำไปเรื่อยๆ [2]
    • การเดินแตกต่างจากการวิ่ง เท้าทั้งสองข้างของคุณไม่ควรยกลอยจากพื้นในเวลาเดียวกัน
    • หาการก้าวเดินที่คุณรู้สึกสบาย ถ้าคุณเสียจังหวะการเดินจากส้นเท้าไปหานิ้วเท้า และไม่ได้ถ่ายน้ำหนักไปข้างหน้าอย่างสม่ำเสมอ คุณอาจจะต้องเดินให้ช้าลง
    เคล็ดลับจากผู้เชี่ยวชาญ

    Monica Morris

    เทรนเนอร์ที่มีใบรับรอง ACE
    โมนิกา มอร์ริสเป็นเทรนเนอร์ที่มีใบรับรอง ACE (American Council on Exercise) ในซานฟรานซิสโก เธอมีประสบการณ์สอนฟิตเนสกว่า 15 ปี โมนิกาเริ่มฝึกและได้รับใบรับรอง ACE ในปี 2017 การออกกำลังกายของเธอจะเน้นเรื่องการอบอุ่นร่างกายและการยืดเหยียดที่ถูกต้อง
    Monica Morris
    เทรนเนอร์ที่มีใบรับรอง ACE

    Our Expert Agrees: ในขณะที่คุณเดิน คุณควรให้ส้นเท้าลงพื้นก่อน ตามด้วยฝ่าเท้า จากนั้นก็ปลายเท้า มันจะทำให้เท้าของคุณทำงานเหมือนสปริงที่ช่วยพยุงให้ร่างกายของคุณเคลื่อนที่ไปข้างหน้า

  4. 4
    ยืดขาทั้งสองข้างออกถ้าคุณมีอาการเกร็งที่สะโพกหรือเอ็นร้อยหวาย. ถ้าคุณนั่งนานเกินไป คุณอาจมีแนวโน้มที่จะงอเข่าอยู่ตลอดเวลาเดิน โดยปกติ มันหมายความว่า กล้ามเนื้อข้อต่อสะโพกและเอ็นร้อยหวายของคุณเกร็งมากเกินไป ในขณะที่คุณเดิน ให้พยายามตั้งใจเหยียดขาให้สุด
  5. การแอ่นเข่า หมายถึงการที่หัวเข่าแอ่นไปด้านหลังในขณะที่ยืนหรือเดิน คนบางคนอาจมีภาวะเข่าแอ่นโดยธรรมชาติ แต่การแอ่นหัวเข่าไปด้านหลังจะสร้างแรงกดไปที่ข้อต่อต่างๆ ของคุณ เวลาเดิน ให้รู้สึกถึงหัวเข่าของคุณเข้าไว้เพื่อหลีกเลี่ยงการแอ่นเข่า
    • งอหัวเข่าเล็กน้อยในขณะที่เดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณเป็นคนที่มักแอ่นหัวเข่าไปด้านหลังเวลายืน คุณจะรู้สึกแปลกๆ ในตอนแรกๆ แต่หัวเข่าของคุณจะปรับได้ในที่สุด
    • เดินขึ้นบันไดช้าๆ เคลื่อนไหวอย่างช้าๆ และตั้งใจ
    • หลีกเลี่ยงการใส่รองเท้าส้นสูงบ่อยเกินไป เพราะมันส่งผลให้เกิดภาวะเข่าแอ่นได้
  6. เพื่อให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากที่สุดจากการเดิน พยายามเดินด้วยความเร็วกว่าการเดินทอดน่องสักหน่อย พยายามเดินให้เร็วด้วยก้าวที่ไม่ยาว
    • การเดินควรเป็นกิจกรรมแอโรบิคแบบหนักปานกลาง ซึ่งหมายถึงการที่คุณมีเหงื่อออกและอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น
    • คุณจะทราบได้อย่างไรว่าคุณเดินเร็วพอ? คุณควรเดินให้เหนื่อยในระดับที่สามารถพูดได้ แต่ไม่สามารถร้องเพลงได้
    • การเดินด้วยความเร็วสามไมล์ต่อชั่วโมงนับว่าดีถ้าหากคุณเดินเพื่อให้สุขภาพดีขึ้น ถ้าคุณเดินเพื่อลดน้ำหนัก ให้เดินด้วยความเร็วสี่ไมล์ต่อชั่วโมง ซึ่งก็คือสิบห้านาทีต่อหนึ่งไมล์
  7. พยายามเดินให้มากขึ้นในชีวิตประจำวันของคุณ ถ้าคุณทำเป็นกิจวัตร คุณจะพบว่าคุณสามารถเดินได้มากขึ้นและมีสุขภาพที่ดีขึ้น
    • เดินไปทำงาน หรือบางช่วงของการเดินทางไปทำงานถ้าเป็นไปได้ เดินขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์ ลุกขึ้นเดินหลังจากนั่งมาแล้วนาน 30 นาที คุณสามารถลดอาการปวดเรื้อรังจากท่าทางที่ผิดหลักในที่ทำงานได้ด้วยการเดินไปมาเป็นเวลา 5 นาที ในทุกๆ 30 นาที คุณอาจประหลาดใจในจำนวนก้าวต่อวันของคุณที่เพิ่มขึ้นมากจากการลุกขึ้นเดินเป็นเวลาห้านาทีในทุกๆ สามสิบนาที
    • จอดรถให้ห่างจากจุดหมายของคุณเพื่อเป็นการบังคับให้คุณต้องเดิน เดินกับเพื่อนหรือครอบครัวของคุณหลังอาหารเย็นให้เป็นกิจวัตรประจำวัน
    • บางคนใช้วิธีเดินในห้างสรรพสินค้า หรือเดินขึ้นลงบันไดในที่ทำงานในช่วงพักเที่ยง เพราะว่าพวกเขาไม่มีเวลาหรือเงินมากพอที่จะไปออกกำลังกายในโรงยิม
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 3:

จัดการเดินให้เป็นกิจวัตร

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เช่นเดียวกับการออกกำลังกายประเภทอื่นๆ ถ้าคุณรีบพยายามทำให้มากจนเกินไป คุณก็มีแนวโน้มที่จะล้มเลิกกิจวัตรการเดินได้ และกล้ามเนื้อของคุณก็อาจบาดเจ็บได้ ใจเย็นเข้าไว้ แล้วค่อยๆ ฝึกเดินให้นานขึ้น
    • แม้ว่าการเดินจะเป็นการออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกต่ำ แต่กล้ามเนื้อ ข้อต่อ และเท้าของคุณก็ต้องปรับตามระดับของกิจกรรมใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงอาการปวดและการบาดเจ็บ สร้างแรงจูงใจให้ตัวเองด้วยการนึกถึงว่าคุณสามารถเผาผลาญพลังงานได้ถึงประมาณ 400 แคลอรี่จากการเดินเร็ว แม้ว่าจะต้องเป็นระยะทางถึง 5 ไมล์ก็ตาม
    • ถ้าคุณต้องการ ลดน้ำหนัก ก็เป็นการดีที่คุณจะลดปริมาณแคลอรี่ที่รับประทานต่อวัน และทานอาหารที่ไม่ผ่านการแปรรูปซึ่งดีต่อสุขภาพมากกว่า พยายามเพิ่มการเดินเข้าไปในกิจวัตรประจำวันของคุณให้ได้ 2,000 ก้าวต่อวันในช่วงเริ่มต้น บางครั้ง คุณสามารถเพิ่มจำนวนก้าวของการเดิน ด้วยการเลือกไลฟ์สไตล์ในทุกๆ วัน เช่น เลือกที่จะเดินขึ้นบันไดเมื่ออยู่ที่ทำงานแม้ว่าคุณจะสามารถใช้ลิฟต์ได้
    • ถ้าน้ำหนักของคุณยังไม่ลดในทันที มันก็อาจเป็นเพราะว่าคุณกำลังสร้างกล้ามเนื้อเพิ่ม ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี อดทนเข้าไว้ แล้วคุณจะค่อยๆ เห็นผลเอง ค่อยๆ เพิ่มจำนวนก้าวทุกๆ สัปดาห์
  2. ถ้าคุณอยากมีวันหยุดพักบ้างในสัปดาห์หนึ่งๆ ก็ไม่เป็นปัญหาเลย ขอเพียงแค่คุณตั้งเป้าเดินให้ได้ 2.5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
    • ข้อดีประการหนึ่งของการเดินก็คือ คุณไม่ต้องมีอุปกรณ์พิเศษอะไรมากมาย คุณสามารถเดินได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน แม้จะอยู่ระหว่างการลาพักร้อนก็ตาม คุณไม่จำเป็นต้องมีร่างกายที่ฟิตมากถึงจะเริ่มเดินได้
    • คุณสามารถเดินให้นานกว่า 2.5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ตามที่แนะนำได้ เมื่อคุณได้ค่อยๆ พัฒนาความทนทานสำหรับการเดินในระยะไกลมากขึ้น มาตรฐานด้านสุขภาพที่เป็นทางการแนะนำให้เคลื่อนไหวร่างกาย 150 นาทีต่อสัปดาห์ [3]
    • แม้ว่าข้อแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจะแตกต่างกันเล็กน้อยในเรื่องของนาที แต่ก็แนะนำสิ่งหนึ่งที่ตรงกันทั้งหมดว่า การเดินเป็นเวลาหลายชั่วโมงต่อสัปดาห์ ไม่ว่าคุณจะแบ่งชั่วโมงเหล่านั้นอย่างไร มีผลดีต่อสุขภาพอย่างมาก ท้ายที่สุดแล้ว ให้พยายามเดินอย่างน้อย 30 ถึง 45 นาทีต่อครั้ง
  3. กุญแจสำคัญอันดับหนึ่งของการออกกำลังกายหลายๆ รูปแบบคือความสม่ำเสมอ ถ้าคุณเดินไม่สม่ำเสมอ เช่น เดินเดือนละครั้ง คุณก็จะไม่ได้ประโยชน์มากนัก ทำให้การเดินเป็นกิจวัตรประจำของคุณ
    • ถ้าคุณทำให้การเดินเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวันของคุณ (หรืออย่างน้อยหลายครั้งต่อสัปดาห์) คุณก็จะได้รับประโยชน์ทางสุขภาพมากมาย การเดินช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมองอุดตัน [4]
    • จริงๆ แล้ว การเดินสามารถลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจ ได้ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ และยังช่วยควบคุมความเสี่ยงของการเป็นโรคเบาหวานและโรคมะเร็งอีกด้วย ปรึกษาแพทย์ทุกครั้งก่อนเริ่มออกกำลังกายแบบใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณมีโรคประจำตัว
    • ความดันโลหิตที่ต่ำลง ปริมาณคอเลสเตอรอลที่ลดลง ตลอดจนความเฉียบแหลมที่เพิ่มขึ้นทางจิตใจ ล้วนเป็นประโยชน์ที่ได้จากการเดินอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งนับเป็นวิธีที่มีราคาต่ำมากสำหรับการเสริมสร้างสุขภาพของคุณให้ดีขึ้น [5]
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 3:

จัดหาอุปกรณ์ที่เหมาะสำหรับการเดิน

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ซื้อเครื่องนับจำนวนก้าวเพื่อคอยติดตามจำนวนก้าวต่อวันของคุณ สมาร์ทโฟนหลายรุ่นสามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นกี่ยวกับสุขภาพได้ฟรี ซึ่งมีการนับจำนวนก้าวที่คุณเดินในแต่ละวันด้วย
    • ตั้งเป้าไปที่ 10,000 ก้าวต่อวัน คนทั่วไปจะเดินประมาณวันละ 3,000 ถึง 4,000 ก้าวอยู่แล้ว จากการทำกิจกรรมต่างๆ ตามปกติ ดังนั้น มันไม่ยากเลยที่จะทำให้ได้ตามเป้าหมายถ้าคุณตั้งใจทำ ศูนย์ควบคุมโรคได้แนะนำว่า การเดินให้ได้อย่างน้อย 7,000 ถึง 8,000 ก้าวต่อวันเป็นการเริ่มต้นที่ดีสำหรับผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพแข็งแรง
    • การเดินประมาณ 1,000 ก้าวภายใน 10 นาทีนั้นเป็นไปได้ 10,000 ก้าวเท่ากับระยะทางประมาณ 5 ไมล์ต่อวัน [6]
    • บันทึกจำนวนก้าวของคุณทุกวัน และคำนวนหาค่าเฉลี่ยต่อวันและต่อสัปดาห์ เป้าหมายคือการเพิ่มค่าเฉลี่ยขึ้นทีละน้อยเมื่อร่างกายของคุณมีความทนทานมากขึ้น และคุณเดินได้มากขึ้น
  2. การเดินเป็นการออกกำลังกายที่มีค่าใช้จ่ายน้อยมาก แต่คุณจำเป็นต้องลงทุนซื้อรองเท้าดีๆ สักคู่ รองเท้าที่ออกแบบมาสำหรับการเดินโดยเฉพาะก็มีวางขายอยู่ แต่รองเท้าวิ่ง หรือรองเท้าสำหรับการออกกำลังกายแบบหลายประเภทสลับกันก็ใช้ได้เช่นกัน
    • รองเท้าที่สวมใส่สบายและรองรับเท้าได้ดีพอในระหว่างการเดินมีความสำคัญมาก อย่าใส่รองเท้าที่ทำให้เกิดแผลพุพอง [7] รองเท้าควรรองรับส่วนโค้งของเท้าได้ดี มีส้นที่หนาและยืดหยุ่นเพื่อรับแรงกระแทก
    • รองเท้าที่เหมาะกับการเดินควรโค้งตามเนินเท้าเท้าได้อย่างง่ายดาย และมีความทนทานอยู่พอสมควรด้วย เลือกรองเท้าที่มีส้นต่ำ
    • รองเท้าหุ้มข้อไม่ใช่ทางเลือกที่ดีสำหรับการเดิน นอกเสียจากว่ามันถูกออกแบบมาเพื่อการเดิน หรือการเดินป่าโดยเฉพาะ ซึ่งก็มีไม่มากนัก [8]
  3. เสื้อผ้าทรงหลวมที่มีเนื้อผ้าบางๆ จะทำให้คุณรู้สึกเบาสบาย ลดโอกาสการระคายเคืองที่ผิวหนัง และช่วยให้คุณเคลื่อนไหวได้อย่างสบาย
    • บางคนเลือกใส่เสื้อยืดทรงหลวมหรือเสื้อกล้ามและกางเกงขาสั้นสำหรับวิ่ง เสื่อผ้าที่มีสีสว่างหรือมีแถบสะท้อนแสงจะช่วยให้คุณเป็นที่มองเห็นได้ดีขึ้น
    • ระวังแสงแดดตามฤดูกาลหรือสภาพอากาศ การทาครีมกันแดดทุกวันจะช่วยปกป้องผิวของคุณจากการถูกแดดเผา คุณอาจจะใส่หมวกกันแดดหรือหมวกเบสบอลด้วยก็ได้
    • อย่าลืมใส่เสื้อแจ็คเก็ตถ้าอากาศเย็นหรืออาจมีฝนตก คุณควรดูพยากรณ์อากาศก่อนเริ่มออกเดินเพื่อที่จะได้สวมใส่เสื้อผ้าให้เหมาะสมกับอุณหภูมิ
  4. การออกไปเดินข้างนอกจะมีอันตรายบ้าง ดังนั้น จึงเป็นสิ่งสำคัญที่คุณจะทำอย่างปลอดภัย อันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้มีทั้งการถูกรถชน หรือเดินสะดุดสิ่งกีดขวาง
    • ระวังการจราจรและคอยสังเกตอยู่ตลอดเวลาเดิน อย่าลอยไปกับความคิด เดินบนทางเท้าหรือบนถนนฝั่งเดียวกับที่รถวิ่งสวนมา หากไม่มีทางเท้า
    • พกบัตรประจำตัว โทรศัพท์มือถือ และเศษเหรียญเพื่อที่คุณจะสามารถใช้โทรศัพท์แบบหยอดเหรียญได้ถ้าจำเป็น ใส่เสื้อสะท้อนแสงถ้าคุณเดินตอนโพล้เพล้หรือตอนกลางคืน (ซึ่งอาจเสี่ยงอันตรายได้มาก)
    • ระวังให้ดีถ้าคุณใส่หูฟัง เพราะมันจะทำให้คุณไม่ค่อยได้ยินเสียงที่สามารถช่วยเตือนคุณจากภัยอันตรายได้ ลองใส่หูฟังเพียงข้างเดียวเพื่อที่คุณจะยังคงสามารถได้ยินเสียงการจราจร
  5. แม้ว่าการเดินสามารถเป็นกิจกรรมที่ชวนผ่อนคลายและเพลิดเพลินได้มาก แต่มันก็อาจทำให้คุณเบื่อได้ ถ้าคุณเดินคนเดียวและเดินบนเส้นทางเดิมๆ ทุกวัน
    • เลือกเดินบนเส้นทางที่หลากหลายแทนที่จะเดินอยู่แต่บนเส้นทางเดิมๆ เดินรอบสวนสาธารณะ ริมแม่น้ำ ลัดเลาะไปในป่า และเดินบนถนนสายรองต่างๆ
    • อย่าเลือกเส้นทางที่เต็มไปด้วยทางเท้าร้าวๆ เป็นหลุมเป็นบ่อ หรือเต็มไปด้วยกิ่งไม้ที่ห้อยลงมาต่ำจนอาจทำให้คุณบาดเจ็บได้ ฟังดนตรีบนเครื่องเล่นเอ็มพี 3 ในขณะที่เดินเพื่อช่วยลดความเบื่อ นอกจากนี้ การวิจัยยังพบว่า การเดินเร็วไปพร้อมๆ กับการฟังดนตรีที่มีจังหวะเร็วช่วยเพิ่มอัตราการสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงสมองและกระตุ้นการปล่อยปัจจัยบำรุงสมอง (BDNF) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยสร้างเซลล์สมองใหม่ๆ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากเมื่อคุณอายุมากขึ้น [9]
    • เดินกับคนอื่น เช่น สมาชิกในครอบครัว เพื่อนบ้าน หรือเพื่อน เพื่อช่วยเพิ่มแรงจูงใจ การเดินกับคนอื่นยังน่าเบื่อน้อยกว่าอีกด้วย เพราะคุณสามารถพูดคุยกันไปได้ระหว่างทาง
  6. ถ้าคุณอาศัยอยู่ที่ซึ่งมีภูมิอากาศหนาวเย็น หรือคุณไม่มีสภาพแวดล้อมที่ดีสำหรับการเดินหน้าบ้าน ก็เดินบนลู่วิ่งไฟฟ้าแทน
    • ข้อดีของลู่วิ่งไฟฟ้าคือ คุณสามารถกำหนดความเร็วและปรับความลาดเอียงได้ราวกับว่าคุณกำลังเดินอยู่ข้างนอก
    • ถ้าคุณไม่สามารถซื้อลู่วิ่งไฟฟ้ามาไว้ที่บ้านได้ สถานที่ออกกำลังกายหลายแห่งจัดลู่วิ่งไฟฟ้าไว้ให้คุณใช้บริการได้
    • ทุกอย่างที่ต้องทำสำหรับการเดินกลางแจ้งก็ควรนำมาใช้กับการเดินบนลู่วิ่งไฟฟ้าเช่นกัน เว้นก็แต่เพียงว่า คุณไม่ต้องคอยระวังจราจร หรือการสะดุดสิ่งกีดขวางตามทางเท้า หรือบนท้องถนน
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • สำหรับคนที่ชอบเดินป่า อาจจะหาซื้อรองเท้าสำหรับการเดินป่าที่มีพื้นคุณภาพดีและทนทาน
  • การเดินยังสามารถช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นได้อีกด้วย ผลการศึกษาพบว่า การเดินและเคลื่อนไหวร่างกายโดยทั่วไปสามารถช่วยบรรเทาอาการของโรคซึมเศร้าได้
  • เปลี่ยนรองเท้าที่ใช้เดินทุกๆ 500 ไมล์ เพราะส้นรองเท้าจะเริ่มเสื่อมสภาพและไม่สามารถรองรับการกระแทกได้อีกต่อไป
  • สมัครเข้าร่วมการแข่งขันเดิน ถ้าคุณต้องการเหตุผลที่จะออกไปเดินละก็ การร่วมทีมออกกำลังกาย หรือการแข่งขันเดินการกุศลนับเป็นวิธีที่ดีที่จะได้ช่วยเหลือสังคมและทำให้คุณบรรลุเป้าหมายด้านสุขภาพของตัวเองไปพร้อมๆ กัน
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 6,028 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา