ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

พร้อมสำหรับการออกวิ่งก้าวแรกแล้วหรือยัง? มาเตรียมร่างกายของคุณให้พร้อมกับการออกเดินทางในเส้นทางสู่การมีสุขภาพที่ดีกันดีกว่า ในบทความนี้เราจะมาเผยเคล็ดลับในการสร้างแรงบันดาลใจให้คุณลุกขึ้นมาออกวิ่ง พร้อมบอกแนวปฏิบัติที่เหมาะสมสำหรับนักวิ่งมือใหม่และวิธีการฝึกคาร์ดิโอที่มีประสิทธิภาพเพื่อช่วยพัฒนาความแข็งแรงของหัวใจและปอดของคุณ เตรียมตัวให้พร้อมแล้วออกไปพิชิตเส้นทางสู่การเป็นนักวิ่งไปพร้อมๆ กันเลย

1

สร้างแรงจูงใจด้วยการให้รางวัลตัวเอง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. มองหาไอเทมหรือกิจกรรมสำหรับสายสุขภาพให้ตัวเองเพื่อปลุกพลังให้คุณออกวิ่ง. หากคุณนึกอยากให้รางวัลตัวเองเป็นสิ่งที่จับต้องได้ ลองมองหาของสักชิ้นที่ช่วยจุดประกายให้คุณหันมาออกวิ่ง อาจจะเป็นรองเท้าวิ่งสีสันสดใสสักคู่หรือขวดน้ำเก๋ๆ สำหรับพกติดตัว หรือหากคุณต้องการสร้างแรงจูงใจภายใน ให้คุณเขียนเหตุผลที่คุณต้องออกวิ่งและประโยชน์ที่คุณจะได้จากการฝึกคาร์ดิโอแยกออกเป็นข้อๆ [1]
    • สิ่งจูงใจภายนอก : "ฉันจะซื้อสมาร์ทวอทช์สักเรือน จะวิ่งทั้งทีก็ต้องเตรียมพร้อมกันสักหน่อย"
    • สิ่งจูงใจภายใน : "ฝึกคาร์ดิโอเสร็จแล้วรู้สึกมีพลังและกระฉับกระเฉงดีจริงๆ"
    • สิ่งจูงใจภายนอกในระยะยาว : "ถ้าวิ่งได้สักเดือน ฉันตั้งใจว่าจะเข้าสปาสักหน่อย"
    • สิ่งจูงใจภายในในระยะยาว : "ฉันจะต้องแข็งแรงมากขึ้นจนลงวิ่งมาราธอนได้ไม่อายใคร"
    โฆษณา
2

เลือกอุปกรณ์ที่เหมาะสมเพื่อให้คุณวิ่งได้อย่างสบาย

ดาวน์โหลดบทความ
  1. มองหารองเท้าวิ่งที่สวมใส่สบายและชุดออกกำลังกายกันเหงื่อเพื่อการวิ่งอย่างมีประสิทธิภาพ. เริ่มต้นด้วยการเตรียมอุปกรณ์สำคัญสำหรับการวิ่งให้พร้อม เข้าไปเลือกชมรองเท้าวิ่งที่หน้าร้านและลองสวมรองเท้าหลายๆ รุ่นเพื่อหาคู่ที่มีขนาดพอดีกับเท้าของคุณมากที่สุด และที่สำคัญคือรู้สึกสบายเท้าขณะสวมใส่ และอย่าลืมหาซื้อชุดออกกำลังกายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นถุงเท้า กางเกงวิ่ง และเสื้อออกกำลังกาย ที่ดูดซับเหงื่อและความชื้นได้ดีเพื่อให้คุณรู้สึกแห้งสบายแม้จะมีเหงื่อออกมาก [2]
    • รองเท้าวิ่งส่วนใหญ่ถูกออกแบบมาให้ช่วยปกป้องข้อต่อและกล้ามเนื้อ
    • รองเท้าวิ่งมีคุณสมบัติในการดูดซับแรงกระแทกจากการออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกสูงได้ดี
    • เนื่องจากถูกออกแบบให้มีน้ำหนักเบา รองเท้าวิ่งจึงช่วยลดการสะสมความร้อนที่เท้า
    • เลือกเสื้อผ้าให้เหมาะสมกับสภาพอากาศ ยกตัวอย่างเช่น สวมเสื้อแขนยาวที่กักเก็บความร้อนได้ดีเมื่อวิ่งในช่วงหน้าหนาว
3

ค้นหาเส้นทางวิ่งโดยคำนึงถึงความสะดวกและปลอดภัย

ดาวน์โหลดบทความ
  1. วิ่งในสถานที่ที่มีไฟส่องสว่างเพียงพอและมีเพื่อนร่วมวิ่งไปกับคุณ. มองหาสถานที่ที่มีคนค่อนข้างพลุกพล่าน เช่น สวนสาธารณะ และวิ่งตามลำพังในบริเวณที่ห่างไกลผู้คนเฉพาะเมื่อคุณคุ้นเคยกับสถานที่เท่านั้น นอกจากนี้พยายามวิ่งในจุดที่มีร่มเงาในวันที่มีแดดจัดและสลับไปวิ่งในอาคารแทนหากมีฝนตก เริ่มต้นวิ่งบนพื้นเรียบอย่างทางเท้าแล้วค่อยๆ เปลี่ยนไปวิ่งบนทางที่ขรุขระมากขึ้น หากคุณวางแผนที่จะวิ่งในพื้นที่เปลี่ยว เช่น ตามเนินเขา คุณควรชวนเพื่อนไปร่วมวิ่งด้วยกันอย่างน้อยหนึ่งคน [3]
    • สวมชุดออกกำลังกายสะท้อนแสงเมื่อวิ่งในเวลากลางคืน
    • พกมือถือติดตัวไปด้วยเสมอเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น
    • หลีกเลี่ยงการสวมหูฟังเพื่อคุณระแวดระวังสิ่งรอบข้างมากขึ้น
    • ทาครีมกันแดดก่อนออกวิ่งในวันที่อากาศร้อนและสวมชุดออกกำลังกายกันน้ำในวันที่ฝนตก
    โฆษณา
4

ขยับร่างกายเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการวิ่ง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ลองออกกำลังกายเบาๆ เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจและความฟิตของร่างกาย. [4] พัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อด้วยการฝึกร่างกายโดยใช้น้ำหนักควบคู่กับการออกกำลังกายแบบหนักสลับเบาเพื่อให้หัวใจและปอดแข็งแรงขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ฝึกท่าลันจ์ (Lunge) และท่าสควอท (Squat) โดยใช้ดัมบ์เบลน้ำหนัก 2 กิโลกรัม ต่อด้วยฝึกท่าเบอร์พี (Burpee) และท่าพุชอัพ (Pushup) สลับไปเรื่อยๆ จนครบ 5 นาที
    • เริ่มต้นด้วยท่าออกกำลังกายพื้นฐานใช้เวลาสั้นๆ ที่คุณสามารถทำตามได้ง่ายๆ
    • วางแผนการออกกำลังกายที่คุณสามารถทำได้ตลอดทั้งสัปดาห์โดยไม่รู้สึกเบื่อ
    • ออกไปเดินเล่นบ้างในยามว่างเพื่อเป็นการฝึกคาร์ดิโอแบบเบาๆ เพียงการเดินในระหว่างวันอย่างการออกไปทานข้าวกลางวันก็มีส่วนช่วยในการฝึกการประสานสัมพันธ์ของประสาทและกล้ามเนื้อ การทรงตัว และความแข็งแรงของกระดูก [5]
5

อบอุ่นร่างกายก่อนวิ่งด้วยการยืดเหยียด

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ยืดเหยียดแบบมีการเคลื่อนไหวเพื่อให้กล้ามเนื้อมีความยืดหยุ่นพร้อมสำหรับการออกวิ่ง. ก่อนเริ่มวิ่งทุกครั้ง อย่าลืมยืดเหยียดกล้ามเนื้อแบบ Dynamic stretching เสียก่อน การยืดเหยียดแบบมีการเคลื่อนไหว เช่น การเตะขาหรือการก้าวขาย่อเข่า จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อเพื่อให้คุณวิ่งได้โดยรู้สึกคล่องตัวมากขึ้น และยังช่วยป้องกันการเกิดกล้ามเนื้อฉีกหรือการบาดเจ็บของร่างกายอีกด้วย [6]
    • ท่ายืดเหยียดกล้ามเนื้อแบบมีการเคลื่อนไหวอื่นๆ ได้แก่ การยกเข่าสูงอยู่กับที่ การกระโดดเชือก และการวิ่งเตะก้น
    • เนื่องจากคุณต้องแกว่งแขนขณะวิ่ง ดังนั้นอย่าลืมยืดเหยียดด้วยการหมุนแขนเป็นวงกลมหรือแกว่งแขนด้วย
    • การยืดเหยียดแบบ Dynamic stretching มีการเคลื่อนไหวที่คล้ายคลึงกับการวิ่ง นั่นหมายความว่าคุณได้กระตุ้นกลุ่มกล้ามเนื้อที่ใช้ในการวิ่ง กล้ามเนื้อของคุณจึงเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วขึ้นในขณะวิ่ง
    โฆษณา
6

จัดท่าทางการเคลื่อนไหวของร่างกายให้เหมาะสมขณะวิ่ง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การเคลื่อนไหวร่างกายที่ต่อเนื่องสัมพันธ์กันจะช่วยให้คุณวิ่งได้ดีขึ้น เร็วขึ้น และนานขึ้น. เพื่อการวิ่งที่มีประสิทธิภาพสูงสุด สิ่งสำคัญคือการควบคุมข้อต่อในร่างกายให้เคลื่อนไหวสอดประสานกันเพื่อลดการเปลืองแรงโดยเปล่าประโยชน์ในขณะวิ่ง ก้าวขาเป็นช่วงสั้นๆ ให้ไวให้ได้เฉลี่ย 180 ก้าวต่อนาที พร้อมเคลื่อนไหวข้อศอกเป็นจังหวะเดียวกับหัวเข่า ไม่วิ่งไขว้ขาเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้หัวเข่าบิดตัวและให้สายตามองขึ้นไปด้านบนในขณะวิ่งเพื่อให้ศีรษะเงยขึ้นเล็กน้อย [7]
    • หากคุณเดินเร็วได้แบบสบายๆ ตอนนี้คุณก็พร้อมแล้วที่จะเริ่มต้นวิ่งเหยาะๆ หรือออกวิ่งอย่างเต็มที่ ก้าวแรกสู่การออกวิ่งของคุณเป็นโอกาสที่คุณจะได้ฝึกการเคลื่อนไหวร่างกายให้ดีขึ้นไปอีกขั้น
    • การเคลื่อนไหวร่างกายที่ต่อเนื่องสัมพันธ์กันเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับการวิ่งหรือวิ่งเหยาะที่จะช่วยสร้างนิสัยการวิ่งที่ดี ปรับท่าวิ่งให้เหมาะสม และป้องกันการบาดเจ็บ
    • การเคลื่อนไหวร่างกายที่ต่อเนื่องสัมพันธ์กันยังสำคัญอย่างมากเมื่อคุณวิ่งระยะไกลและไม่ต้องการให้ร่างกายเหนื่อยจนหมดแรงจากการเคลื่อนไหวที่ไม่ถูกหลัก
7

หาเพซในการวิ่งที่เหมาะสมกับตัวเอง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. วิ่งด้วยเพซที่เหมาะสมเพื่อไม่ให้รู้สึกเหนื่อยล้าและสามารถวิ่งจนจบตามเป้าหมายได้. เมื่อคุณรักษาอัตราความเร็วในการวิ่งให้คงที่แม้จะวิ่งในระยะทางที่ไกลขึ้น คุณก็สามารถจัดการพลังงานระหว่างวิ่งได้อย่างเหมาะสมซึ่งจะช่วยให้คุณวิ่งได้ต่อเนื่องจนครบระยะทางที่กำหนดไว้โดยที่ร่างกายไม่หมดแรงไปก่อน และเนื่องจากอัตราความเร็วดังกล่าวเป็นความเร็วที่คุณสามารถวิ่งเป็นระยะเวลานานได้ คุณจึงมีความมั่นใจมากขึ้นในการวิ่งและตั้งตารอคอยที่จะได้ออกวิ่งครั้งต่อไป [8]
    • แม้แต่นักวิ่งระยะไกลมากประสบการณ์โดยส่วนใหญ่ก็ยังรักษาเพซในการวิ่งของตัวเองให้คงที่
    • การรักษาเพซในการวิ่งให้คงที่เป็นสิ่งที่จะช่วย "ประหยัดพลังงาน" ในการวิ่งได้ดีที่สุด ซึ่งหมายความว่าร่างกายของคุณจะใช้พลังงานให้น้อยที่สุดไม่ว่าคุณจะวิ่งในระยะไกลแค่ไหนก็ตาม
    โฆษณา
8

แบ่งการออกกำลังกายเป็นช่วงสั้นๆ หลายๆ ช่วง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ถนอมร่างกายตัวเองด้วยการปรับโปรแกรมการออกกำลังกายให้เหมาะกับคุณ. แม้ว่าแพทย์จะแนะนำให้ออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที แต่คุณไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายให้ครบระยะเวลาภายในครั้งเดียว ในวันพักฟื้นร่างกายจากการออกกำลังกายหรือในวันที่คุณรู้สึกเหนื่อยหรือปวดกล้ามเนื้อ คุณสามารถแบ่งการออกกำลังกายของคุณออกเป็นช่วงสั้นๆ แทนได้ ยกตัวอย่างเช่น คุณอาจวิ่งเหยาะๆ เป็นเวลา 10 นาทีทั้งหมด 3 ครั้ง จากนั้นแสดงความยินดีกับตัวเองได้เลย คุณได้บรรลุเป้าหมายการออกกำลังกายในวันนั้นเรียบร้อยแล้ว [9]
    • หยุดพักจากการออกกำลังกายสัก 1-2 วันต่อสัปดาห์เพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บจากการออกกำลังกายเกินขีดจำกัดของร่างกาย
    • ลองฝึกครอสเทรนนิ่ง (Cross-training) หรือการออกกำลังกายแบบผสมผสานเพื่อเพิ่มความแปลกใหม่ให้การออกกำลังกายของคุณ คุณอาจวิ่งตามปกติสลับกับการปั่นจักรยานหรือว่ายน้ำเพื่อเสริมความแข็งแรงของหัวใจและปอดและทำให้คุณวิ่งได้ดีขึ้น
9

วิ่งระยะทางไกลขึ้นเมื่อร่างกายมีความทนทานมากขึ้น

ดาวน์โหลดบทความ
  1. หากคุณวิ่งได้นาน 30 นาทีโดยไม่รู้สึกเหนื่อย ถึงเวลาแล้วที่คุณต้องลองความท้าทายใหม่. เมื่อคุณวิ่งได้ต่อเนื่องนานกว่า 30 นาทีโดยที่คุณยังไม่รู้สึกเหนื่อยหรือหอบ นั่นเป็นสัญญาณว่าสมรรถภาพปอดและหัวใจของคุณดีขึ้น หลังจากนี้ให้คุณลองวิ่งให้ได้ระยะทางที่ไกลกว่าเดิม อย่างเช่น หากคุณสามารถวิ่งในระยะ 1 ไมล์ (ราว 1.6 กม.) ได้อย่างสบายๆ ครั้งต่อไปให้คุณวิ่งต่อเนื่องให้ได้ระยะเพิ่มขึ้นเป็น 2 ไมล์ (ราว 3.2 กม.) เช่นนี้คุณก็จะเข้าใกล้เป้าหมายที่จะพิชิตระยะ 5K (หรือ 3 ไมล์) ที่ตั้งไว้ไปอีกขั้น [10]
    • เมื่อคุณออกวิ่งไปได้สักระยะหนึ่ง คุณอาจตกอยู่ใน ภาวะนี้เรียกว่า "Runner's high" ซึ่งเกิดจากการที่ร่างกายของคุณหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกดีและผ่อนคลายจากการวิ่งในระยะทางไกล [11]
    • การวิ่งในระยะทางที่ไกลขึ้นยังสร้างเป้าหมายใหม่ๆ ให้คุณพิชิตต่อไปได้เรื่อยๆ อย่างเช่น มีการจัดแข่งวิ่งมากมายให้คุณได้ลงแข่งไม่จบสิ้น
    โฆษณา
10

จัดตารางซ้อมเดิน-วิ่ง 7 สัปดาห์เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการวิ่ง 5K

ดาวน์โหลดบทความ
  1. จัดตารางซ้อมที่เหมาะสมเพื่อเตรียมตัวเองให้พร้อมก่อนลงแข่งจริง. จัดตารางโดยเริ่มต้นจากการวิ่งสลับเดินติดต่อกันให้ได้ 30 นาที ในการฝึกซ้อมแต่ละวัน ให้คุณแบ่งระยะเวลาเป็นช่วงๆ เพื่อวิ่งและเดินสลับกันไป อย่างเช่น วิ่ง 20 วินาทีและเดิน 30 วินาที วิ่งสลับเดินเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนครบ 30 นาที [12]
    • ตารางซ้อมเดิน-วิ่ง 7 สัปดาห์จะช่วยปรับสภาพร่างกายของคุณให้คุ้นชินกับความหนักในการฝึกซ้อมและทำให้คุณสามารถวิ่งได้นานขึ้น
    • การตัดสินใจลงแข่งขันวิ่ง 5K เป็นการปลุกพลังให้คุณมุ่งพิชิตเป้าหมายที่ตั้งใจไว้
    • งานแข่งขันวิ่ง 5K บางโครงการเป็นงานการกุศล นี่จึงเป็นโอกาสที่คุณจะได้สร้างสิ่งดีๆ ตอบแทนสู่สังคมควบคู่ไปกับการเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรงยิ่งขึ้น
11

ดื่มน้ำให้เพียงพอและทานอาหารที่มีประโยชน์

ดาวน์โหลดบทความ
  1. น้ำและอาหารที่มีประโยชน์ช่วยเติมพลังให้ร่างกายระหว่างการวิ่ง. หมั่นจิบน้ำทีละนิดตลอดวันเพื่อชดเชยน้ำที่ร่างกายสูญเสียไปในระหว่างวัน [13] ซึ่งคุณสามารถประเมินการขาดน้ำของร่างกายได้โดยชั่งน้ำหนักตัวก่อนและหลังวิ่ง โดยคุณควรดื่มน้ำประมาณ 600-700 มล. ต่อเหงื่อที่เสียไป 0.5 กก. [14] นอกจากนี้คุณควรเลือกทานอาหารที่ให้คาร์บ ไขมันดี และโปรตีนสูงเพื่อให้ร่างกายของคุณมีพลังงานเพียงพอสำหรับการวิ่งระยะไกล [15]
    • ดื่มน้ำทั้งก่อน ระหว่าง และหลังวิ่ง ไม่ควรดื่มน้ำรวดเดียวในปริมาณมากเพราะจะทำให้มีน้ำเต็มกระเพาะปัสสาวะและเกิดอาการท้องอืดจนกลายเป็นอุปสรรคในการวิ่งของคุณได้ [16]
    • แม้คุณอาจเคยได้ยินเกี่ยวกับการโหลดคาร์บหรือ Carb loading ก่อนการวิ่งมาบ้าง แต่แพทย์แนะนำว่าที่จริงแล้วควรเลือกทานอาหารอย่างสมดุลและไม่เน้นทานเฉพาะคาร์บเพียงอย่างเดียว [17]
    • หลีกเลี่ยงการทานอาหารมื้อหนักก่อนการวิ่ง โดยคุณควรเลือกทานอาหารว่าง เช่น ผลไม้ สัก 30-60 นาทีก่อนออกกำลังกายแทน [18]
    โฆษณา
12

ติดตามอัตราการเต้นของหัวใจขณะพัก

ดาวน์โหลดบทความ
  1. หากอัตราการเต้นของหัวใจขณะพักลดลง แสดงว่าร่างกายของคุณฟิตขึ้นกว่าเดิม. หาซื้ออุปกรณ์ติดตามการออกกำลังกายที่สามารถวัดอัตราการเต้นของหัวใจได้และสวมไว้ก่อนเข้านอนเพื่อวัดอัตราการเต้นของหัวใจขณะพัก หากหัวใจของคุณเต้นอยู่ในอัตราระหว่าง 40-100 ครั้งต่อนาที แสดงว่าอัตราการเต้นของหัวใจของคุณอยู่เกณฑ์ปกติ ซึ่งผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงอาจมีอัตราการเต้นของหัวใจต่ำลงเพียง 40 ครั้งต่อนาที ดังนั้นยิ่งหัวใจของคุณเต้นช้าลงเท่าไหร่ก็ยิ่งดี [19]
    • สวมอุปกรณ์ติดตามการออกกำลังกายระหว่างวิ่งเพื่อติดตามอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุดและประเมินความหนักในการออกกำลังกายของคุณ คุณสามารถคำนวณหาอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุดได้โดยนำ 220 ลบด้วยอายุ
13

บันทึกสถิติการวิ่งเพื่อติดตามความก้าวหน้า

ดาวน์โหลดบทความ
  1. บันทึกระยะทางการวิ่งในแต่ละวันเพื่อประเมินผลความก้าวหน้าของคุณ. สวมอุปกรณ์ติดตามการออกกำลังกายติดตัวไว้หรือใช้แอปฯ ติดตามระยะทางการเดินหรือวิ่ง เมื่อหมดวัน ให้คุณจดบันทึกระยะทางที่วิ่งที่คุณวิ่งได้ในวันนั้นลงในสมุดบันทึกการวิ่งของคุณ หลังผ่านไปเพียงหนึ่งสัปดาห์ คุณจะเห็นพัฒนาการในการวิ่งของตัวเองที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ตลอดทั้งสัปดาห์ [20]
    • ลองดูบันทึกสถิติการวิ่งว่ากิจวัตรประจำวันของคุณมีผลมากน้อยเพียงใดต่อระยะทางที่วิ่งได้ในแต่ละวัน โดยคุณอาจสังเกตได้ว่าตัวเองสามารถวิ่งได้ในระยะทางไกลขึ้นเมื่อนอนหลับเพียงพอหรือทานธัญพืชอัดแท่งลงไป
    • หากคุณต้องการลงแข่งวิ่ง 5K หรือในงานแข่งขันวิ่งอื่นๆ บันทึกสถิติการวิ่งของคุณจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่าคุณพร้อมแล้วหรือไม่ในการลงแข่งวิ่งครั้งต่อไป
    โฆษณา
14

มั่นใจได้ว่าสุขภาพของคุณจะดีขึ้นอย่างแน่นอน

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ไม่ว่าคุณจะวิ่งได้ระยะที่ไกลขึ้นมากน้อยเพียงใด สิ่งที่คุณได้กลับมาแน่นอนคือสุขภาพที่ดีขึ้น. เพียงคุณออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอวันละ 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์ ปอด หัวใจ และกระดูกของคุณก็จะแข็งแรงมากขึ้น นอกจากนี้ความมุ่งมั่นตั้งใจในการฝึกซ้อมวิ่งของคุณยังช่วยให้คุณอารมณ์ดีและนอนหลับขึ้นอีกด้วย เห็นหรือไม่ว่าการวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่ให้ประโยชน์กับตัวคุณมากมาย ฟังแล้วอยากลุกขึ้นมาออกวิ่งเดี๋ยวนี้เลยล่ะสิ! [21]

คำเตือน

  • ปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มต้นวิ่งตามตารางฝึกซ้อมที่จัดไว้หากคุณป่วยด้วยโรคต่างๆ เหล่านี้: [22]
    • โรคหัวใจ โรคปอด หรือโรคไต
    • โรคเบาหวานชนิดที่ 1 และโรคเบาหวานชนิดที่ 2
    • โรคข้ออักเสบ
    • โรคมะเร็ง
    • โรคความดันโลหิตสูง
  • หลังจากที่คุณเริ่มวิ่ง ให้คุณไปพบแพทย์หากสังเกตเห็นอาการเหล่านี้: [23]
    • เจ็บหน้าอก คอ กราม หรือแขน
    • เวียนศีรษะขณะวิ่ง
    • หายใจถี่
    • ข้อเท้าบวม
    • หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
    • ได้ยินเสียงฟู่ของหัวใจ
    • ปวดขาส่วนล่างขณะเดิน
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 809 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา