ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

ความมั่นใจในตนเอง เป็นผลลัพธ์ของการผสมกันระหว่างความสามารถของตนเองและความภาคภูมิใจในตนเอง และเป็นส่วนประกอบหนึ่งที่สำคัญยิ่งของความเป็นมนุษย์ [1] ความสามารถของตนเองเป็นความรู้สึกจากภายใน หรือเป็นความเชื่อที่ว่าตลอดชีวิตของเรา เราสามารถทำภารกิจหรือบรรลุเป้าหมายต่างๆ ได้สำเร็จมากมาย ความภาคภูมิใจในตนเองก็คล้ายๆ กัน แต่จะเป็นเรื่องของการที่เราเชื่อว่าเรามีความสามารถที่จะทำอะไรก็ตามและเราสมควรได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข โดยทั่วไปแล้ว คนที่มีความมั่นใจในตนเองนั้นพอใจกับการเป็นตัวเอง พร้อมที่จะเสี่ยงเพื่อบรรลุเป้าหมายส่วนตัวและเป้าหมายด้านการงาน และมองอนาคตในแง่บวก [2] อย่างไรก็ตาม คนที่ขาดความมั่นใจในตนเองนั้นมักคิดว่าเขาไม่สามารถบรรลุเป้าหมายของตนเองได้ และมักจะมองตัวเองและความใฝ่ฝันของตนในแง่ลบ [3] แต่ว่าเรามีข่าวดีมาบอก ความมั่นใจในตนเองนั้นเป็นสิ่งที่คุณสามารถสร้างขึ้นมาเองได้!

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 4:

ปลูกฝังทัศนคติที่ดี

ดาวน์โหลดบทความ
  1. [4] ความคิดเชิงลบของคุณอาจเป็นความคิดประมาณว่า "ฉันทำไม่ได้" "ฉันจะต้องล้มเหลวแน่นอน" หรือ "ไม่มีใครอยากฟังความคิดฉันหรอก" ถ้าเสียงในหัวของคุณพูดอะไรเช่นนี้ รู้ไว้ว่าการมองโลกในแง่ร้ายจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น และจะห้ามไม่ให้คุณมีความภาคภูมิในใจและความมั่นใจในตนเองอีกด้วย
  2. ในขณะที่คุณกำลังมีความคิดเชิงลบ พยายามเปลี่ยนมันเป็นความคิดเชิงบวกเสีย โดยอาจทำได้ด้วยการพูดความคิดเชิงบวกกับตัวเอง [5] เช่น "ฉันจะลองทำดู" "ฉันจะประสบความสำเร็จถ้าฉันมุ่งมั่น" หรือ "คนอื่นจะฟังฉัน" เริ่มต้นด้วยการคิดบวกสักสามถึงสี่ครั้งในแต่ละวัน
  3. ไม่ยอมให้ความคิดเชิงลบเกิดขึ้นในหัวมากกว่าความคิดเชิงบวก. ท้ายที่สุดแล้ว ความคิดเชิงบวกควรจะครอบครอง "เนื้อที่สมอง" ของคุณมากกว่าความคิดเชิงลบ ยิ่งคุณพยายามตอบโต้ความคิดเชิงลบด้วยความคิดเชิงบวกมากเท่าใด คุณก็จะมีนิสัยคิดเชิงบวกมากขึ้นเท่านั้น
  4. [6] ติดต่อกับคนที่คุณใกล้ชิดสนิทสนมด้วย ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหรือเพื่อน เพื่อที่คุณจะได้คงทัศนคติที่ดีเอาไว้ นอกเหนือจากนี้ อยู่ห่างๆ จากคนหรือสิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกแย่ [7]
    • คนที่คุณเรียกว่าเพื่อนอาจทำให้คุณรู้สึกแย่ก็ได้ ถ้าพวกเขาพูดแต่เรื่องเชิงลบหรือวิจารณ์คุณในแง่ลบอยู่ตลอดเวลา
    • แม้คนในครอบครัวที่หวังดี คอยให้ความเห็นว่าคุณ "ควร" จะทำอะไร ก็อาจเป็นภัยต่อความมั่นใจในตนเองของคุณได้
    • ในขณะที่คุณกำลังปลูกฝังทัศนคติที่ดีให้กับตนเองและเริ่มก้าวเดินเพื่อมุ่งหน้าสู่การบรรจุเป้าหมายของคุณนั้น คนที่มีอิทธิพลในแง่ลบเหล่านี้ก็จะปรากฏตัวให้คุณเห็นมากขึ้น ในขณะที่คุณกำลังสร้างความมั่นใจให้ตนเองอยู่ คุณควรพยายามเข้าไปเกี่ยวข้องคนเหล่านี้ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
    • คิดทบทวนสักนิดว่าในชีวิตของคุณมีใครบ้างที่ทำให้คุณรู้สึกดีจริงๆ แล้วสร้างเป้าหมายว่าคุณจะใช้เวลาอยู่กับคนที่สนับสนุนคุณและช่วยยกระดับจิตใจคุณบ่อยมากขึ้น
  5. กำจัดสิ่งนอกกายที่ทำให้คุณนึกถึงความคิดเชิงลบเก่าๆ ของคุณ. หลีกเลี่ยงการใช้เวลาอยู่กับสิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกแย่กับตัวเองแบบเดิมๆ สิ่งเหล่านี้อาจเป็นเครื่องเตือนใจจากอดีต เสื้อผ้าที่ใส่ไม่ได้แล้ว หรือสถานที่ที่ขัดกับเป้าหมายของคุณที่จะสร้างความมั่นใจให้ตนเอง แม้ว่าคุณจะไม่สามารถกำจัดแหล่งที่มาของความคิดเชิงลบในชีวิตของคุณได้หมด แต่คุณสามารถหาวิธีหยุดรับความคิดเชิงลบไว้เพียงเท่านี้ได้ การทำเช่นนี้จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในการสร้างความมั่นใจให้ตนเอง [8]
    • นั่งคิดทบทวนสักนิดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่ทำให้คุณรู้สึกแย่ ตั้งแต่เพื่อนนิสัยไม่ดี ไปจนถึงอาชีพการงานที่คุณไม่ชอบเท่าไรนัก หรือสภาพความเป็นอยู่ที่เรียกว่าไม่อาจทนได้
  6. ทุกคนมีความเก่ง แต่อาจเก่งในเรื่องที่ต่างกัน ฉะนั้นลองหาดูว่า คุณ เก่งในด้านใด แล้วมุ่งความสนใจไปที่ความสามารถพิเศษนั้นๆ ของคุณ ยอมให้ตัวเองภูมิใจกับความสามารถเหล่านั้น แสดงความเป็นตัวเองออกมา ไม่ว่าจะผ่านศิลปะ ดนตรี งานเขียน หรือการเต้น หาสิ่งที่คุณทำแล้วมีความสุข และฝึกฝนจนเกิดความสามารถพิเศษ [9]
    • การมีสิ่งที่สนใจหรืองานอดิเรกที่หลากหลายในชีวิตของคุณจะไม่เพียงแต่ทำให้คุณเป็นคนมีความมั่นใจมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังเพิ่มโอกาสที่คุณจะได้เจอเพื่อนที่เข้ากับคุณมากขึ้นด้วย
    • เมื่อคุณทำตามหัวใจ นั่นไม่เพียงส่งผลดีต่อสภาพจิตใจของคุณ แต่คุณก็จะรู้สึกว่าคุณพิเศษและมีความสามารถ ซึ่งทั้งหมดนี่สามารถช่วยสร้างความมั่นใจให้กับคุณได้
  7. คุณไม่ควรแต่ภูมิใจในพรรสวรรค์หรือความสามารถของคุณ แต่คุณควรคิดถึงสิ่งต่างๆ ที่ทำให้ลักษณะเฉพาะตัวของคุณโดดเด่นด้วย อาจเป็นอารมณ์ขัน ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น การเป็นผู้ฟังที่ดี หรือความสามารถที่จะรับมือกับความเครียด คุณอาจคิดว่าลักษณะเฉพาะตัวของคุณนั้นไม่มีอะไรน่าชื่นชมเลย แต่ถ้าคุณมองให้ลึกลงไป คุณจะพบว่าคุณมีลักษณะเฉพาะตัวที่น่ายกย่องอยู่มาก เขียนใส่กระดาษไว้เพื่อที่คุณจะได้ให้ความสนใจกับมันในภายหลัง
  8. คนจำนวนมากที่ขาดความภูมิใจในตนเองมักประสบปัญหาเวลารับคำชม พวกเขาทึกทักเอาว่าคนที่ชมนั้นไม่คิดผิดก็โกหก ถ้าคุณเป็นคนที่ตอบรับคำชมโดยการเหลือกตาแล้วพูดว่า "ก็แย่ละ" หรือยักไหล่เพื่อแสดงความไม่สนใจ คุณควรหาวิธีตอบรับคำชมของคุณเสียใหม่
    • เชื่อว่าผู้อื่นชมอย่างจริงใจและตอบรับคำชมในแง่ดี. (วิธีที่ดีคือกล่าว "ขอบคุณ" และยิ้ม) ทำให้คนที่ชมคุณรู้ว่าคุณซาบซึ้งใจจริงๆ และพยายามฝึกตัวเองให้ถึงจุดที่คุณสามารถน้อมรับคำชมได้ด้วยใจจริง
    • คุณอาจนับคำชมนั้นว่าเป็นหนึ่งในคุณลักษณะที่ดีของคุณ และใช้คำชมนั้นเสริมสร้างความมั่นใจให้ตนเองได้
  9. งานวิจัยมากมายเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า "facial feedback theory" เสนอว่าการแสดงออกทางสีหน้าของเราสามารถกระตุ้นให้สมองรับรู้อารมณ์ของเราหรือทำให้อารมณ์นั้นรุนแรงมากขึ้นได้ [10] ดังนั้นถ้าคุณมองกระจกแล้วยิ้มทุกวัน คุณอาจมีความสุขมากขึ้นและมีความมั่นใจมากขึ้นในระยะยาว นี่จะทำให้คุณรู้สึกพอใจกับรูปร่างหน้าตาของคุณมากขึ้นด้วย และช่วยให้คุณยอมรับภาพลักษณ์ภายนอกของคุณ [11]
    • เวลาคุณยิ้มให้คนอื่น คนอื่นก็มักจะยิ้มตอบ ดังนั้นคุณไม่เพียงจะมีความสุขมากขึ้นเพราะยิ้มให้คนอื่น แต่คุณอาจได้รับความมั่นใจมากขึ้นอีกด้วยจากการที่คนอื่นยิ้มตอบคุณ
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 4:

รับมือกับอารมณ์ความรู้สึก

ดาวน์โหลดบทความ
  1. คุณอาจคิดว่าคนที่มีความมั่นใจในตนเองนั้นไม่เคยรู้สึกกลัว แต่นั่นไม่ใช่ความจริงเลย ความจริงก็คือคนที่มีความมั่นใจในตนเองไม่ยอมปล่อยให้ความกลัวมาขัดขวางพวกเขาต่างหาก [12] บางทีความกลัวของคุณคือการพูดหน้าชั้น แนะนำตัวเองกับคนที่ไม่รู้จัก หรือขอเจ้านายขึ้นเงินเดือน
    • เมื่อคุณรู้สึกกลัว จงยอมรับกับตัวเองว่ากลัว และถามตัวเองว่าจะยอมให้ความกลัวนั้นมายืนขวางทางไปสู่เป้าหมายของคุณหรือไม่ เมื่อคุณมีความมั่นใจมากขึ้น คุณก็จะถูกความกลัวครอบงำน้อยลง
    • ลองนึกถึงเด็กน้อยหัดเดิน มีความเป็นไปได้มากมายรอคอยเธออยู่ แต่เธอกลัวที่จะล้มเมื่อย่างเท้าก้าวแรก เมื่อเธอเอาชนะความกลัวนั้นได้และเริ่มต้นเดินเตาะแตะแล้ว ใบหน้านั้นยิ้มร่าเลยใช่ไหม! คุณเองก็เหมือนกันถ้าได้เอาชนะความกลัวนี้
  2. บางครั้งคุณต้องเดินถอยหลังเพื่อจะเดินหน้าต่อไป ความมั่นใจในตนเองนั้นไม่ได้สร้างกันง่ายๆ ชั่วข้ามคืน [13] คุณอาจลองสิ่งใหม่ๆ แต่ไม่บรรลุจุดมุ่งหมายก็ได้ แต่ก็ลองคิดดูว่าคุณได้เรียนรู้อะไรจากมันบ้าง การที่คุณไม่บรรลุจุดมุ่งหมายทันทีครั้งแรกที่พยายามนั้นเปิดโอกาสให้คุณได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองมากขึ้น ความมั่นใจในตนเองเป็นสิ่งที่ต้องได้รับการทะนุบำรุงเอาใจใส่ให้ค่อยๆ เติบโต [14]
    • ยกตัวอย่างเช่นเมื่อคุณขอเจ้านายขึ้นเงินเดือนและโดนปฏิเสธ คุณได้เรียนรู้อะไรจากมันบ้าง? ลองคิดว่าถ้าคุณใช้วิธีเข้าหาแบบอื่น มันจะได้ผลต่างกันออกไปหรือเปล่า
  3. เช่นเดียวกับทุกอย่างในชีวิตของเรา การสร้างความมั่นใจในตนเองนั้นอาศัยการรักษาความสมดุล ความมั่นใจที่น้อยเกินไปสามารถขัดขวางไม่ให้คุณบรรลุจุดมุ่งหมายของคุณได้และยังทำให้คุณรู้สึกแย่กับตัวเองอีกด้วย [15] คนที่มีความมั่นใจมากเกินไปก็ประสบปัญหาเดียวกัน เพราะพวกเขาประเมินเวลาและความพยายามที่ต้องใช้ในการบรรลุจุดมุ่งหมายต่ำเกินไป [16]
  4. ถ้าคุณต้องการสร้างความมั่นใจให้ตนเอง คุณจะต้องตั้งใจพัฒนาชีวิตของคุณให้ดีขึ้น ไม่ใช่ทำให้ชีวิตคุณเหมือนกับชีวิตเพื่อนสนิทคุณ เหมือนชีวิตพี่ชายคุณ หรือเหมือนชีวิตเหล่าดาราที่คุณเห็นในโทรทัศน์ ถ้าคุณต้องการสร้างความมั่นใจให้ตนเอง คุณจำเป็นต้องระลึกว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า โลกนี้มีคนที่หน้าตาดีกว่า ฉลาดกว่า ร่ำรวยกว่าคุณเสมอ ก็เหมือนกับการที่โลกนี้มีคนที่หน้าตาแย่กว่า ฉลาดน้อยกว่า และร่ำรวยน้อยกว่าคุณเสมอ ทั้งหมดนี่ไม่สำคัญเลย สิ่งที่คุณต้องใส่ใจคือการเดินหน้าไปสู่เป้าหมายและความฝันของคุณ
    • คุณอาจขาดความมั่นใจเพราะคุณเชื่อว่าคนอื่นเหนือกว่าคุณ แต่ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าคุณมีความสุขในแบบของคุณหรือเปล่า ถ้าคุณไม่รู้ว่ามาตรฐานความสุขของคุณคืออะไร ก็ถึงเวลาแล้วล่ะที่คุณจะสำรวจจิตวิญญาณของคุณก่อนที่คุณจะก้าวเดินต่อไปข้างหน้า
    • นอกเหนือจากนี้ งานวิจัยยังพบด้วยว่าการเล่นโซเชียลมีเดียนั้นยุยงให้คนเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น คนมักโพสต์เฉพาะสิ่งหวือหวา แต่ไม่โพสต์ความเป็นจริงของชีวิต ชีวิตของคนอื่นจึงอาจดูเหมือนจะวิเศษกว่าชีวิตคุณ [17] แต่นั่นไม่จริงหรอก! ชีวิตทุกคนก็มีทั้งขาขึ้นและขาลงกันทั้งนั้น
  5. เสียงในหัวของคุณพูดอะไรกับคุณ? อะไรทำให้คุณไม่สบายใจหรืออับอาย? นี่อาจเป็นได้ทุกอย่าง ตั้งแต่สิว ไปจนถึงความเสียใจต่อสิ่งในอดีต เพื่อนที่โรงเรียน หรือประสบการณ์ในอดีตที่เลวร้ายหรือทำให้บอบช้ำทางจิตใจ อะไรก็ตามแต่ที่ทำให้คุณรู้สึกไม่มีค่า อับอาย ด้อยกว่าคนอื่น จงระบุชี้มัน แล้วเขียนมันใส่กระดาษ จากนั้นคุณอาจฉีกหรือเผากระดาษนี้ทิ้ง คุณจะได้รู้สึกดีขึ้น
    • การระบุชี้สิ่งที่ทำให้คุณไม่มั่นใจไม่ได้มีจุดประสงค์ทำให้คุณรู้สึกแย่ลง แต่ทำให้คุณตระหนักรู้ถึงปัญหาที่คุณกำลังรับมืออยู่ และให้พละกำลังและอำนาจแก่คุณเพื่อก้าวข้ามปัญหาเหล่านั้น
  6. จำไว้ว่าไม่มีใครสมบูรณ์แบบในทุกๆ เรื่อง แม้แต่คนที่มีความมั่นใจสูงยังมีเรื่องที่ตนไม่มั่นใจ ในบางช่วงของชีวิตเรา เราอาจรู้สึกว่าขาดอะไรบางอย่าง นี่คือความจริงของชีวิต คุณควรเรียนรู้ว่าชีวิตนั้นเต็มไปด้วยอุปสรรค และสิ่งเหล่านี้ที่ทำให้คุณไม่มั่นใจก็จะมาๆ ไปๆ ขึ้นอยู่กับว่าเราอยู่ที่จุดไหนของชีวิต อยู่กับใคร อารมณ์ของเราในตอนนั้นเป็นอย่างไร และเรารู้สึกอย่างไร พูดง่ายๆ ก็คือมันไม่คงอยู่เสมอไป ถ้าคุณทำผิดพลาด สิ่งที่ดีที่สุดที่คุณจะทำได้ก็คือยอมรับว่าคุณทำพลาด กล่าวคำขอโทษ และพยายามไม่ทำพลาดซ้ำอีกในอนาคต
    • อย่าปล่อยให้ความผิดพลาดเพียงหนเดียวทำให้คุณคิดว่าคุณไม่ดีพอที่จะทำให้ความฝันของคุณเป็นจริง คุณอาจจะไม่ใช่แฟนที่ดีและความสัมพันธ์ครั้งล่าสุดของคุณอาจจบลงแบบไม่ดีนัก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณไม่สามารถปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้นได้และมีความรักได้อีกในอนาคต
  7. การแสวงหาความสมบูรณ์แบบเป็นอุปสรรคต่อการบรรลุเป้าหมายของคุณ ถ้าคุณรู้สึกว่าทุกอย่างที่คุณทำต้องสมบูรณ์แบบ คุณจะไม่มีวันพอใจกับตนเองและสภาวะแวดล้อมของคุณ [18] แทนที่จะแสวงหาความสมบูรณ์แบบในทุกสิ่งที่คุณทำ คุณควรเรียนรู้ที่จะภูมิใจในสิ่งที่คุณทำได้ ถ้าคุณมีความคิดยึดความสมบูรณ์แบบ สิ่งที่จะขัดขวางคุณไม่ให้พัฒนาเป็นคนที่มีความมั่นใจมากขึ้นก็คือตัวคุณเอง
  8. บ่อยครั้งที่ต้นตอของความไม่มั่นใจคือความรู้สึกว่าคุณมีบางอย่าง ไม่พอ ไม่ว่าจะเป็นคนที่เข้าใจคุณ สิ่งของนอกกาย โชคลาภ หรือเงินทอง แต่คุณสามารถต่อสู้กับความรู้สึกนี้ได้ด้วยการรับรู้ว่าคุณ มี อะไรบ้างและเห็นคุณค่าสิ่งที่คุณมี การค้นพบความสงบภายในใจที่มาพร้อมกับความรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างแท้จริงในสิ่งที่ตนมี [19] นั้นจะส่งผลดีอย่างมากต่อความมั่นใจของคุณ ลองนั่งคิดทบทวนสิ่งดีๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในชีวิตคุณดูสิ ตั้งแต่เพื่อนที่ดี ไปจนถึงสุขภาพที่ดี
    • เขียนลิสท์สิ่งที่คุณรู้สึกซาบซึ้งใจที่มีในชีวิต อ่านทวนสักรอบแล้วเขียนเพิ่มอย่างน้อยสัปดาห์ละหน การทำเช่นนี้จะทำให้คุณมีจิตใจที่มีพลังคิดบวกมากขึ้น
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 4:

ดูแลตัวเอง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การดูแลตัวเองนั้นทำได้หลายทาง หนทางแรกคือดูแลสุขลักษณะส่วนบุคคล โดยการอาบน้ำเป็นประจำ แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟัน ทานอาหารที่อร่อยและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ อีกหนทางหนึ่งคือการให้เวลากับตัวเอง แม้คุณจะยุ่งมากหรือต้องให้เวลาเกือบทั้งหมดของคุณแก่คนอื่นก็ตาม [20]
    • คุณอาจไม่เห็นแบบนี้ แต่ว่าเวลาที่คุณดูแลตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานของคุณ คุณกำลังบอกตัวเองว่าคุณมีค่าพอที่จะได้รับเวลาและการเอาใจใส่ที่จำเป็นต่อการดูแลตัวเอง
    • เมื่อคุณเริ่มที่จะเชื่อมั่นในตนเอง คุณก็จะเริ่มมีความมั่นใจในตนเองเพิ่มมากขึ้น [21]
  2. คุณไม่จำเป็นต้องถึงกับดูดีเหมือนดารา คุณก็สามารถเพิ่มความมั่นใจให้ตนเองได้ ถ้าคุณอยากรู้สึกดีขึ้นกับตัวตนของคุณและรูปลักษณ์ภายนอกของคุณ คุณก็ควรดูแลตัวเองด้วยการอาบน้ำแปรงฟันทุกวัน สวมใส่เสื้อผ้าที่เข้ากับคุณและรูปร่างของคุณ และให้เวลาและเอาใจใส่รูปโฉมของคุณ นี่ไม่ได้หมายความว่ารูปลักษณ์ภายนอกหรือแฟชั่นการแต่งตัวจะทำให้คุณมีความมั่นใจมากขึ้น แต่การพยายามดูแลภาพลักษณ์ของคุณให้ดูดีเป็นการบอกกับตัวเองว่าคุณมีค่าพอที่จะให้ความสนใจ
  3. [22] การออกกำลังกายเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลตัวเอง สำหรับคุณ นี่อาจหมายถึงการเดินเร็วๆ สำหรับคนอื่น อาจหมายถึงการขี่จักรยาน 80 กิโลเมตร ค่อยๆ เริ่มจากจุดที่คุณทำไหว การออกกำลังกายไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องยุ่งยาก
    • งานวิจัยหลายชิ้นได้แสดงให้เห็นว่าการออกกำลังกายนั้นมีความสำคัญยิ่งต่อการมีทัศนคติที่ดีต่อการใช้ชีวิต [23] และการมีทัศนคติที่ดีก็มีส่วนสร้างความมั่นใจในตนเอง [24]
  4. การได้นอนสัก 7-9 ชั่วโมงทุกคืนช่วยให้คุณดูดีขึ้นและรู้สึกดีขึ้นได้จริงๆ และช่วยให้คุณมีทัศนคติที่ดีขึ้นและมีพลังงานมากขึ้น การนอนเยอะๆ ยังช่วยควบคุมให้อารมณ์ของคุณอยู่ในระดับที่พอเหมาะ และช่วยให้คุณรับมือกับความเครียดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น [25]
    โฆษณา
ส่วน 4
ส่วน 4 ของ 4:

ตั้งเป้าหมายและกล้าที่จะเสี่ยง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. [26] บ่อยครั้งที่คนเราตั้งเป้าหมายที่ไม่คำนึงถึงความเป็นจริงหรือไม่อาจทำสำเร็จได้เลย แล้วเราก็จะรู้สึกว่ามันท้าทายเกินไป หรือไม่เราก็ไม่เริ่มทำอะไรเลย [27] สถานการณ์แบบนี้ทำให้ความมั่นใจเราถดถอยได้
    • ค่อยๆ ปรับเป้าหมายเล็กๆ ให้กลายเป็นเป้าหมายใหญ่ที่คุณสามารถทำสำเร็จได้
    • ลองจินตนาการว่าคุณอยากไปวิ่งมาราธอน แต่คุณกลัวว่าคุณจะทำไม่สำเร็จ อย่าออกไปวิ่ง 40 กิโลเมตรตั้งแต่วันแรก ค่อยๆ เริ่มจากจุดที่คุณทำไหว ถ้าคุณไม่ใช่นักวิ่งเลยสักนิด ก็ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 2 กิโลเมตรก็พอ ถ้าคุณวิ่ง 8 กิโลเมตรได้อย่างถนัดแล้ว ก็เริ่มที่ 10
    • ตัวอย่างเช่น ถ้าโต๊ะคุณรก แค่คิดว่าต้องทำความสะอาดทั้งโต๊ะก็เหนื่อยแล้ว ฉะนั้นก็เริ่มด้วยการนำหนังสือที่กองบนโต๊ะกลับไปเก็บบนชั้นหนังสือ นำกระดาษทั้งหมดมาเรียงเป็นกองให้เรียบร้อย เพื่อไว้แยกเป็นกองเล็กกองน้อยทีหลัง เท่านี้ก็เท่ากับว่ามีความคืบหน้าในการบรรลุเป้าหมายแล้ว
  2. คนที่ขาดความมั่นใจมักกังวลว่าจะไม่ประสบความสำเร็จในสถานการณ์ที่คาดการณ์ล่วงหน้าไม่ได้ ถึงเวลาแล้วที่คุณหยุดคิดว่าคุณทำไม่ได้ แล้วลองทำสิ่งที่แปลกใหม่และแตกต่างที่คุณไม่เคยทำมาก่อน ไม่ว่าคุณจะไปเที่ยวต่างประเทศกับเพื่อน หรือให้ญาติคุณนัดเดทให้ การเผชิญหน้ากับสิ่งที่คุณไม่อาจรู้มาก่อนได้จนเป็นสิ่งเคยชินนั้นสามารถช่วยให้คุณไม่รู้สึกอึดอัดกับตัวเองและไม่รู้สึกอึดอัดที่คุณไม่สามารถควบคุมชะตาชีวิตตัวเองได้ ถ้าคุณค้นพบว่าคุณสามารถประสบความสำเร็จใจสถานการณ์ที่คุณไม่อาจแม้แต่คาดการณ์ได้ รับรองว่าความมั่นใจของคุณจะพุ่งขึ้นสูงเสียดฟ้าแน่ๆ
    • ใช้เวลามากขึ้นอยู่กับคนที่ชอบผจญภัยและชอบตัดสินใจอะไรรวดเร็ว พวกเขาจะพาให้คุณได้ทำสิ่งที่คุณไม่คาดฝันมาก่อน และคุณจะรู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้นที่คุณได้ทำสิ่งเหล่านั้น
  3. ร่างกายคุณอาจมีบางอย่างที่คุณไม่ชอบแต่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เช่นความสูง หรือลักษณะเส้นผม แต่ก็มีหลายๆ อย่างที่คุณเห็นว่าเป็นจุดด้อยที่คุณสามารถจัดการแก้ได้ ถ้าคุณพร้อมที่จะทุ่มเทและพยายามสักหน่อย
    • ไม่ว่าคุณจะต้องการเข้าสังคมมากขึ้น หรือเรียนเก่งขึ้น คุณสามารถวางแผนที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จในด้านนั้นๆ ได้ และเริ่มทำตามแผนนั้น ถึงแม้ว่าคุณจะไม่กลายเป็นคนที่เข้าสังคมเก่งที่สุดในโรงเรียนหรือไม่ได้เป็นผู้แทนนักเรียนในชั้นปีที่ได้กล่าวสุนทรพจน์ในวันสำเร็จการศึกษา แต่การเริ่มวางแผนเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีขึ้นนั้นจะช่วยสร้างความมั่นใจในตนเองให้คุณในระยะยาว
    • อย่ากดดันตัวเองมากเกินไป อย่าพยายามเปลี่ยนไปหมดเสียทุกอย่าง เริ่มด้วยการเปลี่ยนแปลงสักหนึ่งหรือสองอย่าง แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นจากจุดนั้น
    • การมีสมุดไว้บันทึกความคืบหน้าการบรรลุเป้าหมายสร้างความเปลี่ยนแปลงได้มาก มันจะช่วยให้คุณเห็นว่าแผนของคุณเดินหน้าไปได้ดีเพียงใด และจะช่วยให้คุณรู้สึกภูมิใจในสิ่งที่คุณได้ทำไปเพื่อบรรลุเป้าหมายนั้นๆ
  4. เมื่อคุณรู้ว่าคุณมีมิตรไมตรีกับคนรอบกายคุณ ว่าคุณกำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีในชีวิตของคนอื่น (แม้ว่าคุณแค่สุภาพกับพนักงานเสิร์ฟกาแฟตอนเช้ามากขึ้นก็เถอะ) คุณก็จะรู้ได้ว่าคุณเป็นพลังทางบวกของโลก ซึ่งรู้อย่างนี้ก็จะทำให้ความมั่นใจในตนเองสูงขึ้น หาวิธีทำให้การช่วยเหลือคนอื่นเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำสัปดาห์ของคุณ ไม่ว่าจะเป็นอาสาสมัครที่ห้องสมุดแถวบ้าน หรือช่วยน้องสาวหัดอ่านหนังสือ การที่ได้ช่วยคนอื่นไม่เพียงแต่ส่งผลดีต่อคนที่คุณช่วย แต่จะส่งผลให้ความมั่นใจในตนเองของคุณเพิ่มมากขึ้นด้วย เพราะคุณจะเห็นว่าตัวคุณเองก็มีดีเยอะอยู่เหมือนกัน
    • คุณไม่จำเป็นต้องช่วยเหลือคนในชุมชนก็สามารถรับรู้ได้ว่าการช่วยเหลือคนอื่นส่งผลดีอย่างไร บางครั้งคนใกล้ตัวคุณ เช่นแม่หรือเพื่อนสนิท ก็ต้องการความช่วยเหลือของคุณมากเช่นกัน
    โฆษณา


เคล็ดลับ

  • อย่ากลัวที่จะผลักตัวเองเหนือข้อจำกัดทางร่างกายหรือทางใจ ความกดดันเช่นนี้จะช่วยให้คุณเห็นว่าสิ่งต่างๆ นั้นบรรลุได้ง่ายเพียงใดและช่วยพัฒนาทักษะของคุณ ออกมาจาก comfort zone ของคุณ
  • คุณอาจเพิ่มความมั่นใจให้ตนเองด้วยการสะกดจิตตัวเองโดยใช้เทคนิค "Best Me" ซึ่งจะช่วยให้คุณได้จินตนาการลิ้มรสความสำเร็จของเป้าหมายระยะยาว คุณจะได้รู้สึกเครียดน้อยลง
  • อย่าจมอยู่กับความผิดพลาดและข้อเสียของตัวเอง สิ่งไม่ดีเหล่านี้ยิ่งทำให้ข้อดีของคุณดูดีขึ้นไปอีก และบอกให้คุณรู้ว่าคุณมีจุดใดที่ต้องพัฒนาบ้าง ไม่มีอะไรที่รู้สึกดีไปกว่าการเก่งในเรื่องที่คุณเคยห่วยแตกมาก่อน
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 99,345 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา