ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

คนเราส่วนใหญ่คิดถึงเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกบ้างเป็นบางครั้ง น่าเสียดายที่สังคมให้ความสำคัญเกี่ยวกับความคิดเรื่อง “ความงาม” เป็นอย่างมาก ทั้งในโทรทัศน์ ภาพยนตร์ นิตยสาร หนังสือ ผลิตภัณฑ์จำนวนมากและโฆษณาต่างๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ยืนยันว่านี่คือ “อุดมคติ” อย่างหนึ่งที่คุณจะต้อง “สวย” มาตรฐานหลอกลวงและแบ่งชั้นที่ฝังรากลึกอยู่ในจิตใจคนเรามาตั้งแต่เก่าก่อน ผลวิจัยพบว่า 50% ของเด็กผู้หญิงอายุระหว่าง 3 และ 6 ปีกังวลว่าพวกเขาจะ “อ้วน” และเกือบ 1 ใน 3 จะปรับเปลี่ยนรูปร่างของพวกเขาถ้าทำได้ อย่างไรก็ตามงานวิจัยหลายชิ้นยังแสดงให้เห็นอีกด้วยว่า “ความงาม” นั้นเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคลซึ่งแล้วแต่สายตาคนมอง [1] เนื่องจากความสวยไม่ได้มีแค่รูปแบบเดียว การเรียนรู้ที่จะยอมรับและมั่นใจในความเป็นตัวเองทั้งภายในและภายนอกจะช่วยให้คุณรู้สึกสวยได้ในทุกๆ วันและผลงานวิจัยยังแสดงให้เห็นว่าเมื่อคุณรู้สึกว่าตัวเองสวย คนอื่นๆ ก็มีแนวโน้มที่จะรู้สึกเช่นเดียวกับคุณ! [2]

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

การเรียนรู้ที่จะยอมรับตัวเอง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. รูปลักษณ์ภายนอกอาจเป็นสาเหตุของความอับอายขายหน้าและความเจ็บปวดใจอย่างมากได้ บางครั้งความอับอายนี้ทำให้คุณไม่สามารถมองเห็นความงามที่แท้จริงของตัวเองเพราะคุณจะติดอยู่ในวังวนของความรู้สึกไร้ค่า น่ารังเกียจ ไม่คู่ควรหรือรู้สึกต่ำต้อย [3] หากคนอื่นตัดสินคุณจากมาตรฐานจอมปลอมของสังคม คุณอาจจะรู้สึกอับอายขายหน้า [4] ดังนั้นการแสดงความเห็นอกเห็นใจตัวเองคือยาแก้พิษจากความอับอายที่มาจากการถูกตัดสินจากคนอื่น (หรือการตัดสินตัวเอง) [5] และนี่คือแบบฝึกหัดเล็กๆ น้อยๆ ที่คุณสามารถทำเพื่อเริ่มสร้างความเห็นอกเห็นใจตัวเองได้: [6]
    • คิดถึงประสบการณ์น่าอับอายหรือแผลเก่าในอดีตของคุณ ลองนึกภาพสิ่งที่คุณอยากให้ใครสักคนพูดกับคุณในช่วงเวลานั้น คำไหนที่คุณอยากได้ยิน? เขียนคำเหล่านั้นลงไป
    • ต่อมาให้นึกภาพว่าคำที่เขียนลงในกระดาษนั้นกำลังถูกพูดโดยใครบางคนที่คุณรัก ชื่นชมหรือหวงแหนซึ่งอาจเป็นเพื่อนรักหรือแม้กระทั่งบุคคลที่เป็นที่พึ่งทางใจ เมื่อคุณได้ยินเสียงคนเหล่านี้พูดและปล่อยให้มันแทรกซึมเข้ามาจิตใจของคุณ ให้ลองสังเกตอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อได้ยินคำเหล่านี้ คุณรู้สึกอย่างไร?
    • ฝึกพูดคำหรือวลีนี้ออกมาดังๆ กับตัวเอง จดจ่ออยู่กับการหายใจและปล่อยให้คำเหล่านี้แทรกซึมเข้าไปขณะที่คุณหายใจลึกๆ สังเกตอารมณ์ของคุณขณะที่ได้ยินเสียงตัวเองพูดคำเหล่านี้
  2. บางครั้งเราอาจทำรุนแรงกับตัวเองมากกว่าคนอื่น ลองคิดวิธีที่คุณจะพูดกับเพื่อนผู้ที่กำลังดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองสวยหรือดูดีว่าคุณจะพูดกับเขาหรือเธออย่างไร? ลองเผื่อแผ่ความใจดีแบบเดียวกันนี้กับตัวเองดู [7]
    • ลองนึกภาพว่าเพื่อนของคุณมาหาคุณและแสดงความรู้สึกที่เธอ/เขากำลังรู้สึกแย่เกี่ยวกับรูปลักษณ์ของตัวเอง สิ่งที่คุณจะพูดคืออะไร? และคุณจะโต้ตอบกับเพื่อนอย่างไร? เขียนสิ่งเหล่านี้ลงไป
    • คิดเกี่ยวกับการวิพากษ์วิจารณ์หรือความรู้สึกที่คุณมีเกี่ยวกับความงามของตัวเอง คุณจะโต้ตอบตัวเองยังไงในสถานการณ์เหล่านี้? เขียนสิ่งเหล่านี้ลงไป
    • เปรียบเทียบทั้งสองสถานการณ์นี้ว่ามีความแตกต่างกันหรือไม่? ถ้ามี ทำไมคุณถึงคิดอย่างนั้น? อะไรที่เป็นแรงจูงใจในการโต้ตอบของคุณกับคนอื่น? และอะไรที่เป็นแรงจูงใจในการโต้ตอบกับตัวเอง?
    • ลองเขียนสัก 2-3 วิธีที่คุณสามารถเปลี่ยนการโต้ตอบเพื่อพยายามที่จะเป็นคนจิตใจดีและมีความเข้าใจมากขึ้น
    • งานวิจัยแสดงให้เราเห็นว่าผู้คนมีแนวโน้มจะเลือกคบเพื่อนที่ดูมีเสน่ห์ในด้านใดด้านหนึ่ง [8] ลองคิดว่าคุณพบสิ่งที่สวยงามอะไรในคนที่คุณรัก แล้วคุณอาจพบว่ามาตรฐานความงามของคุณที่มีต่อเพื่อนนั้นครอบคลุมได้กว้างกว่ามาตรฐานที่คุณยึดถือ
  3. งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าการวิจารณ์ตัวเองเป็นสาเหตุของความกังวลและภาวะซึมเศร้าได้ [9] คุณอาจรู้สึกไม่มีความสุขกับตัวเองเพราะคุณเปรียบเทียบตัวเองกับมาตรฐานจอมปลอมของสังคมหรือเพราะคุณถูกตัดสินโดยคนอื่นและรู้สึกอับอาย ยิ่งคุณฝึกการท้าทายความคิดที่เปล่าประโยชน์หรือคอยติเตียนตัวเองมากเท่าไร คุณจะยิ่งรู้สึกสบายใจในการยอมรับสิ่งที่ตัวคุณเป็นมากขึ้นเท่านั้น [10]
    • สมองของมนุษย์เรามีความเสี่ยงที่จะจดจ่ออยู่กับประสบการณ์และข้อมูลด้านลบจึงปล่อยให้สิ่งดีๆ ด้านบวกผ่านเราไปโดยไม่ทันสังเกตเห็น [11] และในครั้งต่อไปเสียงภายในตัวตนจะบอกว่าคุณไม่ “.......เพียงพอ” ให้จำไว้ว่าสมองของคุณจะไม่พูดความจริงและอาจจะมองข้ามสิ่งดีๆ มากมายเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อยึดมั่นในด้านลบที่อาจจะไม่เป็นความจริง [12]
    • ตัวอย่างเช่น คุณอาจประสบกับการคิดแบบวิพากษ์ เช่น “ฉันยอมแพ้แล้ว ฉันคงจะไม่มีวันผอมไปกว่านี้และไม่มีประโยชน์ที่จะพยายามต่อไปอีก”
    • มีหลายวิธีที่จะรับมือกับความคิดแบบนี้ เช่น คุณสามารถประเมินได้ว่าทำไมคุณถึงรู้สึกว่ามันจำเป็นที่จะต้องผอม นี่เป็นเหตุผลด้านสุขภาพที่คุณและแพทย์ของคุณตกลงกันหรือไม่? หรือเพราะคุณกำลังเปรียบเทียบตัวเองกับมาตรฐานความงามของคนอื่นอยู่หรือเปล่า? จำไว้ว่าไม่มีใครสามารถบอกคุณได้ว่าคุณ “ควรจะ” มองอย่างไร
    • นอกจากนี้คุณสามารถมองหาด้านบวกเกี่ยวกับตัวเองและท้าทายความคิดด้านลบเหล่านี้ได้ เช่น “ฉันจะไม่มีวันยอมแพ้ต่อตัวเอง ฉันอาจจะไม่ผอมเลยแต่ฉันจะออกกำลังกายเพื่อจะมีสุขภาพที่แข็งแรงและสามารถเล่นกีฬาที่ชอบได้”
    • นอกจากนั้นคุณสามารถตั้งเป้าหมายใหม่ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความใจดีมีเมตตาและการยอมรับตัวเองได้ เช่น “ฉันไม่ชอบที่จะไปโรงยิมแต่ฉันสนุกไปกับการเดินเล่นแถวบ้านจริงๆ ฉันไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายตามที่สังคมบอกว่าควรทำแต่ฉันจะทำในสิ่งที่ทำแล้วมีความสุข”
  4. วิธีที่สามารถช่วยรับมือกับความคิดในการตัดสินตัวเองคือ ให้จำไว้ว่ามันเป็นเพียงความคิดและไม่จำเป็นที่จะต้องเป็น “ความจริง” พยายามต่อสู้กับความคิดด้านลบที่ไม่ได้เรื่องพวกนั้น แต่ในความเป็นจริงคุณอาจพบว่าตัวเองกำลังหมกมุ่นอยู่กับความคิดด้านลบในการพยายามที่จะ “กำจัดมันออกไป” และคุณอาจยังพบว่าตัวคุณกำลังตัดสินตัวเองในเรื่องที่ไม่สามารถหยุดคิดถึงความคิดเหล่านี้ได้ ในทางกลับกันให้ยอมรับว่าความคิดนี้ได้เกิดขึ้นแล้วและต่อมาคือยอมรับว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริง [13] [14]
    • ตัวอย่างเช่น “ตอนนี้ฉันกำลังเจอกับความคิดที่ว่าฉันไม่สวยและมันเป็นเพียงความคิดไม่ใช่ข้อเท็จจริง แม้ว่าฉันไม่สามารถควบคุมความคิดเหล่านี้ได้แต่ฉันจะต้องไม่เชื่อมันไปจริงๆ”
    • นอกจากนั้นการฝึกสมาธิสามารถช่วยให้คุณคิดอย่างมีสติมากขึ้นด้วย คุณสามารถเรียนรู้ที่จะยอมรับมันในขณะนั้นได้โดยไม่มีการตัดสิน การทำสมาธิและฝึกสมาธิแบบเมตตาภาวนาเป็นประเภทการฝึกที่ดีในการเริ่มต้น จากการศึกษาพบว่าการฝึกสมาธิสามารถช่วยจัดการประมวลผลของสมองในการตอบสนองต่อความเครียดได้อย่างแท้จริง [15]
  5. การถูกรายล้อมด้วยความงามแบบเหมารวมสามารถทำให้คุณเสี่ยงต่อการบิดเบือนความรู้ความเข้าใจใน “การกรองข้อมูล” ซึ่งจบลงด้วยการมุ่งความสนใจไปแค่สิ่งที่ “ไม่ชอบ” เกี่ยวกับตัวเองเพียงอย่างเดียว [16] ลองท้าทายการบิดเบือนความคิดนี้ของคุณโดยการเล่นเกมส์ไปกับมัน ทุกครั้งที่คุณคิดถึงด้านลบเกี่ยวกับตัวเอง คุณจะพบด้านบวกที่สามารถตอบโต้มันได้ทันทีและเป็นเรื่องที่ดีหากคุณพูดสิ่งที่เป็นด้านบวกเหล่านี้กับกระจกซึ่งสามารถช่วยให้คุณยอมรับว่าสิ่งที่คุณกำลังพูดนั้นเป็นความจริง [17]
    • ตัวอย่างเช่น หากคุณเจอกับความคิดที่ว่า “โอ๊ย ฟันฉันเกไม่สวยเลย” หยุดคิดและหาสิ่งด้านบวกแทน เช่น “ฉันมีรอยยิ้มที่สวยและจะยิ้มเมื่อฉันมีความสุขและให้กำลังใจคนอื่น”
    • บางครั้งความรู้สึกผิดและคำตัดสินที่เราต้องเผชิญจากโลกใบนี้อาจเป็นเรื่องยากที่จะหาสิ่งสวยงามเกี่ยวกับตัวเองได้ หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับคุณแล้ว ลองเริ่มต้นโดยการให้ความสนใจไปกับสิ่งเหลือเชื่อที่ร่างกายของคุณสามารถทำได้ คุณเล่นกีฬา ยกน้ำหนัก เต้น วิ่ง หัวเราะ หายใจใช่ไหม? คุณสามารถกอดใครบางคน ร้องเพลง ทำอาหารได้ใช่ไหม? การชื่นชมร่างกายของคุณในสิ่งที่สามารถทำได้อาจช่วยให้คุณหาสิ่งที่คุณชอบได้ง่ายขึ้น [18]
  6. เนื่องจากสมองของเราทำการจดจ่ออยู่กับด้านลบได้เป็นอย่างดี ดังนั้นเราจึงสามารถตอบโต้ได้อย่างคล่องแคล่วโดยจดสิ่งที่เป็นด้านบวกของตัวเองไว้ การใช้เวลายอมรับและบันทึกสิ่งที่คุณชอบเกี่ยวกับตัวเองจะช่วย “เก็บสะสม” พวกมันเอาไว้ในสมองของคุณเพื่อให้สามารถจำมันได้ในภายหลัง เมื่อคุณกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ให้นำรายการชื่นชมตัวเองที่คุณจดไว้ออกมาและคิดย้อนกลับไปถึงหลายๆ สิ่งที่ทำให้คุณสวยด้วยตัวเอง และนี่คือตัวอย่างคำถามที่คุณควรใช้เริ่มต้นในการจดรายการคำชม: [19]
    • อะไรที่คุณรู้สึกสนุกเกี่ยวกับตัวเองและชีวิตของคุณ?
    • ทักษะหรือความสามารถอะไรที่คุณให้ความสำคัญ?
    • คนอื่นชมคุณว่าอะไร?
    • วันนี้คุณรู้สึกรักอะไรในรูปลักษณ์ของตัวเอง?
    • ความสำเร็จอย่างหนึ่งที่คุณมีในวันนี้คืออะไร?
    • สิ่งสวยงามที่คุณพบในวันนี้คืออะไร?
    • ลักษณะอย่างหนึ่งของตัวเองที่คุณภูมิใจคืออะไร?
    • สิ่งสวยงามที่คุณพบว่ามันมีผลกระทบต่อคนอื่นคืออะไร?
  7. การเรียนรู้ที่จะยกโทษให้ตัวเองเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยเยียวบาดแผลจากอดีตที่อาจทำให้คุณมองไม่เห็นคุณค่าที่แท้จริงของตัวเอง บางทีคุณเคยทำผิดพลาดในอดีตและคุณยังคงโทษตัวเองอยู่หรือบางทีคุณอาจรู้สึกผิดมากเกินไปกับประสบการณ์ที่คุณเคยมีในอดีต อย่างไรก็ตามการยกโทษให้ตัวเองสำหรับเรื่องที่ผ่านมาสามารถช่วยให้คุณก้าวต่อไปข้างหน้าได้ [20] [21]
    • ระบุประสบการณ์ที่ทำให้คุณรู้สึกผิดหรือเสียใจ และเขียนจดหมายถึงตัวคุณในอดีตเกี่ยวกับประสบการณ์นี้
    • ใช้ถ้อยคำอ่อนโยนและแสดงความรักในจดหมายของคุณ พูดกับตัวเองเหมือนพูดกับเพื่อนหรือคนรักที่กำลังต่อสู้กับความรู้สึกผิด
    • เตือนตัวคุณในอดีตว่าความผิดคือโอกาสในการเรียนรู้และไม่ใช่สิ่งที่ทำลายชีวิตคุณเสมอไป
    • วางแผนว่าคุณจะใช้ประสบการณ์ในอดีตที่ผ่านมาเติบโตต่อไปอย่างไรในอนาคต
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

การพัฒนาความมั่นใจในตัวเอง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เนื่องจากเราถูกโจมตีด้วยภาพลักษณ์ของความงามที่ “ควรจะ” เป็นทุกวัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะยอมรับคำจำกัดความอย่างเหมารวมพวกนั้นว่าเป็นความจริง จงจำไว้ว่าคำจำกัดความเหล่านี้ทั้งแคบ จอมปลอมและแบ่งชั้น ซึ่งคำจัดกัดความที่ถูกอ้างถึงบ่อยๆ คือ “คนที่สวย” จะต้อง สูง ขาว ผอมและอ่อนเยาว์ [22] คุณไม่จำเป็นต้องยอมรับมาตรฐานของคนอื่น การเรียนรู้ที่จะตระหนักได้ว่ามาตรฐานภายนอกเหล่านี้จอมปลอมและหลอกลวงอย่างไรจะสามารถช่วยให้คุณคิดได้ว่าคุณสวยไม่ว่าคนอื่นจะพูดอย่างไรก็ตาม
    • มาตรฐานความสวยซึ่งถูกสนับสนุนโดยสื่อที่เราเสพมีผลกระทบต่อเรามาก จากการศึกษาพบว่าการเปิดเผยภาพรูปร่างสัดส่วนชวนเชื่อจะนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของอาการซึมเศร้าและความไม่พอใจในรูปลักษณ์ของตัวเอง [23] [24]
    • ใช้อินเทอร์เน็ตค้นหาคำว่า “ความล้มเหลวของการโฟโต้ชอปนิตยสาร” หรือ “การใช้แอร์บรัชแต่งภาพนางแบบ” เพื่อเห็น “วิธีต่างๆ มากมาย” ของอุดมคติความงามเหล่านี้ว่ามันถูกสร้างขึ้นมาทั้งหมด แม้แต่นางแบบเองยังไม่สามารถที่จะมีหุ่นดีตามมาตรฐานความงามเหล่านี้โดยไม่ผ่านการปรับแต่งก่อนได้ [25]
  2. การทำรายการบันทึกสามารถช่วยให้คุณระบุรูปแบบการคิดที่ไม่มีประโยชน์ได้ จำไว้ว่าความเครียดและความกังวลสามารถส่งผลต่อวิธีที่คุณเห็นและสัมผัสตัวคุณเองได้ ดังนั้นคุณอาจพบกับความคิดในด้านลบมากขึ้นเมื่อคุณทำการเขียนมันลงไปในตอนที่คุณต้องต่อสู้กับความคิดด้านลบหรือความรู้สึกเกี่ยวกับรูปลักษณ์ของคุณ พยายามระบุให้ชัดเจนเท่าที่จะเป็นไปได้และตัวอย่างคำถามที่สามารถช่วยคุณมีได้ดังนี้: [26]
    • คุณมีความคิดหรือความรู้สึกอย่างไร?
    • คุณกำลังทำหรือจดจ่ออยู่กับสิ่งใดเมื่อคุณมีความคิดหรือความรู้สึกนี้?
    • เกิดอะไรขึ้นก่อนและหลังความคิดหรือความรู้สึกนี้?
    • ทำไมคุณคิดว่าคุณมีความคิดหรือความรู้สึกนี้?
    • ในอนาคตคุณคิดว่าคุณสามารถตอบโต้กับความคิดหรือความรู้สึกนี้แตกต่างกันอย่างไร?
  3. การแสดงความขอบคุณเป็นมากกว่าความรู้สึกเพราะมันคือนิสัย งานวิจัยพบว่าคนที่ฝึกแสดงความขอบคุณเป็นนิสัยในแต่ละวันของชีวิตพวกเขาจะมีความสุขและมองโลกในแง่บวกมากกว่าคนที่ไม่ได้ฝึก มุ่งความสนใจไปที่สิ่งดีๆ ในชีวิตซึ่งช่วยสร้างความมั่นใจของคุณได้
    • ยอมรับและคิดกลับไปถึงช่วงเวลาในด้านดีๆ เป็นเรื่องง่ายสำหรับสมองของคุณที่จะไม่สนใจข้อมูลด้านบวกเพราะมันคอยแต่จะตามล่าหาสิ่งที่เป็นลบเสมอ ในครั้งหน้าหากเพื่อนชมคุณหรือคุณรู้สึกดีเกี่ยวกับตัวเอง ให้ใช้เวลาสักครู่หยุดและลิ้มรสไปกับประสบการณ์นั้น [27]
    • ให้ความสนใจว่าคุณรู้สึกอย่างไรเมื่อคุณสังเกตช่วงเวลาด้านดีๆ เหล่านี้ คุณกำลังใช้ประสาทสัมผัสอะไรอยู่? ร่างกายคุณรู้สึกอย่างไร? และคุณกำลังคิดอะไรอยู่? การคิดย้อนกลับไปถึงมุมมองเหล่านี้สามารถช่วยให้คุณจดจำช่วงเวลาด้านดีๆ ได้มากขึ้นภายหลัง [28]
  4. เป็นเรื่องธรรมดามากๆ ที่คนเราจะรู้สึกไม่มั่นใจหรืออายในรูปร่างของพวกเขาเอง คุณอาจพบว่าการแต่งตัวแบบที่เป็นอยู่จะช่วยซ่อนส่วนที่ทำให้เขินอายได้หรือเพราะคุณรู้สึกว่าตัวเองไม่ “คู่ควร” ที่จะแต่งตัวแบบมั่นใจ คุณอาจถูกหลอกมาว่าให้รอจนกว่าคุณจะมีรูปร่างแบบใน “อุดมคติ” ก่อนจึงจะสามารถซื้อเสื้อผ้าที่ดูดีได้ การกระทำเหล่านี้จะทำลายความมั่นใจในตัวเองของคุณไป ซื้อเสื้อผ้าที่เหมาะกับร่างกายของคุณที่เป็นอยู่และใส่เสื้อผ้าที่ทำให้คุณรู้สึกสวยได้โดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่มาตรฐานภายนอกใดๆ ได้กล่าวไว้ [29]
    • งานวิจัยชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่คุณใส่สามารถมีผลต่อความมั่นใจของคุณได้ ตัวอย่างเช่น การศึกษาชิ้นหนึ่งพบว่าคนที่สวมเสื้อแล็บขณะปฏิบัติงานทางวิทยาศาสตร์ง่ายๆ จะมั่นใจมากขึ้นและได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นกว่าผู้ที่ไม่ได้สวมเสื้อแล็บแม้ว่าจะเป็นงานเดียวกันก็ตาม! [30] หากคุณรู้สึกดูดีและมั่นใจในเสื้อผ้าของคุณคนอื่นก็จะรู้สึกเช่นนั้นด้วย
    • วิธีที่คุณแต่งตัวมีผลกระทบต่อความรู้สึกที่มีต่อตัวเองเช่นกัน ตัวอย่างเช่น นักแสดงพูดบ่อยๆ ว่าเสื้อผ้าช่วยให้พวกเขาค้นพบลักษณะเฉพาะของตัวเอง ดังนั้นแต่งตัวให้เข้ากับ “ลักษณะเฉพาะตัว” ที่คุณอยากเป็น [31]
    • หาเสื้อผ้าที่พอดีกับรูปร่างของคุณ จากการศึกษาได้แสดงให้เห็นว่าเมื่อคนสวมเสื้อผ้าที่เหมาะกับตัวเองพอดี คนอื่นๆ มีแนวโน้มที่จะเห็นพวกเขาเป็นที่น่าสนใจ [32]
    • ใส่สิ่งที่ทำให้คุณมีความสุข เช่น หากคุณรักที่จะแต่งหน้าแล้วก็แต่งไปเลย! หากคุณรู้สึกมีความสุขมากที่สุดตอนสวมกางเกงขายาวที่นุ่มสบายก็ใส่มันซะ!
  5. ร่างกายของคุณไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานของคนอื่น ดังนั้นให้พิจารณาแรงจูงใจสำหรับวิธีการกินและการดูแลตัวเอง พยายามหลีกเลี่ยงการทำสิ่งที่คุณรู้สึกว่า "ควรจะ" ทำไปตามมาตรฐานของสังคม การกินสิ่งดีๆ การออกกำลังกายและการพัฒนาอุปนิสัยที่ดีสามารถช่วยให้คุณรู้สึกสวยได้โดยการเตือนตัวเองว่าคุณกำลังเคารพตัวเองเพราะตัวคุณมีค่าพอที่จะดูแล [33]
    • การออกกำลังกายสามารถปล่อยสารเคมีที่สร้างอารมณ์ทางธรรมชาติหรือที่เรียกว่า เอ็นโดฟินส์ [34] การออกกำลังกายพอสมควรตามปกติ ไม่ว่าจะเป็นวิ่ง ว่ายน้ำหรือแม้กระทั่งการทำสวนสามารถทำให้คุณรู้สึกมีแรงและนึกถึงด้านบวกมากขึ้นด้วย [35] แค่ไม่เข้าไปหาความคิดของ “การแก้ไข” ตัวเองหรือจริงๆ แล้วคุณสามารถทำให้ตัวเองรู้สึกเจ็บปวดใจมากกว่ารู้สึกดี [36] เตือนตัวเองว่าคุณกำลังดูแลสุขภาพของคุณอยู่เพราะคุณรักตัวเอง
    • เลือกกินให้ดีเพราะวิธีที่คุณกินสามารถส่งผลต่ออารมณ์ของคุณได้ [37] ดูให้แน่ใจว่าอาหารของคุณรวมพวกผักสด ผลไม้ ธัญพืชต่างๆ และเนื้อสัตว์ไม่ติดมันไว้ทั้งหมดแล้ว หากคุณสังเกตว่าคุณรู้สึกไม่ดีเกี่ยวกับตัวเองหลังจากกินบางอย่าง ลองคิดให้ดีว่าทำไมคุณอาจต้องหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านั้นหรือไม่คุณอาจต้องหาวิธีใหม่ๆ ในการทานมัน [38] และจำไว้เลยว่าทุกสิ่งที่คุณกินควรอยู่ในปริมาณพอเหมาะ หากคุณอยากกินพายลูกพีชสักชิ้นก็เห็นจะไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร
    • ลองตามใจตัวเอง เช่น ใช้เวลาอาบน้ำร้อน ไปร้านทำเล็บหรือไปนวดบ้าง ควรเห็นคุณค่าของตัวเองว่าคุณควรได้รับการปฏิบัติดูแลอย่างดี [39]
    • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เมื่อคุณไม่ได้นอนหลับพักผ่อนอย่างดี สุดท้ายแล้วคุณอาจมีอาการที่เต็มไปด้วยความกังวล ซึมเศร้า โรคอ้วนและหงุดหงิด [40] ต้องแน่ใจว่าคุณได้ใช้เวลานอนหลับเพียงพอตามความจำเป็นของร่างกาย
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

การฝึกฝนกับผู้อื่น

ดาวน์โหลดบทความ
  1. มนุษย์เรามีความรู้สึกไวต่อ “การติดต่อทางอารมณ์” อย่างมากซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อเรารับรู้ถึงอารมณ์ของคนรอบข้างและเริ่มรู้สึกแบบเดียวกัน [41] [42] กล่าวอีกนัยหนึ่งคือการที่เราจะรู้สึกแบบเดียวกับคนรอบข้างได้นั้น นักวิจัยพบว่าการสนับสนุน ความเห็นอกเห็นใจและความใจดีจากคนอื่นจะส่งผลต่อสมองและความรู้สึกสบายใจของเรา [43] ดังนั้นให้อยู่รายล้อมเพื่อนหรือคนรักที่สนับสนุนกันและกันและไม่ตัดสินคนอื่นจากความคิดเพียงผิวเผินและที่คิดไปเอง
  2. บางคนอาจออกความเห็นที่ฟังดูเจ็บปวดเรื่องรูปลักษณ์ของคุณโดยไม่คิดถึงจิตใจคุณเลย คนอื่นอาจพูดสิ่งที่ทำร้ายจิตใจเนื่องจากความไม่มั่นใจของพวกเขาเอง จงลุกขึ้นยืนหยัดเพื่อตัวเองเมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น บอกกับคนอื่นๆ อย่างใจเย็นว่าเขา/เธอทำร้ายความรู้สึกของคุณอย่างไรและขอให้เขา/เธอหยุดทำอย่างนั้น หากเขา/เธอยังไม่หยุด ให้คุณหลีกเลี่ยงคนๆ นั้นซะ คุณจะได้ไม่ต้องทนกับคำตัดสินหรือความไม่เห็นอกเห็นใจจากผู้อื่น [46]
    • การกลั่นแกล้งในเรื่องรูปลักษณ์เป็นเรื่องธรรมดาที่ฟังดูโชคร้าย หากคุณเป็นเหยื่อของการกลั่นแกล้ง การข่มขู่ การใช้ความรุนแรงหรือพฤติกรรมล่วงละเมิดอื่นๆ ให้แจ้งบุคคลที่มีอำนาจในการจัดการเรื่องนี้ เช่น ครูที่ปรึกษาในโรงเรียนหรือฝ่ายทรัพยากรบุคคลในที่ทำงานของคุณ
  3. ในขณะเดียวกันคุณไม่จำเป็นต้องสวยโดยผ่านการยอมรับของคนอื่น การได้ยินความรักและการสนับสนุนจากคนที่คุณรักและเชื่อใจสามารถช่วยเหลือคุณได้ [47] ลองคุยกับเพื่อนที่คุณเชื่อใจหรือคนรักว่าคุณรู้สึกอย่างไร เผื่อว่าเธอ/เขาอาจมีประสบการณ์เดียวกันและคุณอาจสนับสนุนหรือให้กำลังใจกันและกันได้ [48]
  4. การฝึกแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่นสามารถช่วยคุณให้รู้สึกมีความสุขและสุขภาพดีมากขึ้น [49] หากในครั้งหน้าคุณกำลังรู้สึกแย่เรื่องรูปลักษณ์ของตัวเอง ลองพยายามพูดบางอย่างที่ฟังดูใจดีต่อคนอื่น บอกพวกเขาว่าสิ่งใดที่คุณหวังว่าจะได้ยินด้วยตัวเอง การฝึกแสดงความใจดีต่อคนอื่นสามารถช่วยให้คุณเผื่อแผ่มันต่อตัวเองด้วย [50]
    • มีผลออกมาว่าความสวยที่แท้จริงนั้นคือความสวยที่มาจากข้างในหรือมาจากการกระทำนั่นเอง จากการศึกษาพบว่าคนที่มีจิตใจดีมีแนวโน้มที่จะถูกจัดว่ารูปร่างหน้าตาดีมีเสน่ห์มากกว่าคนจิตใจไม่ดี [51] นอกจากนั้นยังมีการศึกษาอื่นๆ พบว่าคนที่แสดงความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมีแนวโน้มที่จะถูกจัดว่าเป็นคนมีเสน่ห์ดึงดูดทางเพศด้วย [52]
  5. หากคุณต้องรอที่จะใช้ชีวิตจนกว่าจะ “รู้สึก” ว่าตัวเองสวยล่ะก็ คุณอาจต้องรอทั้งชีวิต สมองของคุณอาจได้รับการโน้มน้าวใจเป็นอย่างดีซึ่งทำให้การวิจารณ์และคำตัดสินเหล่านั้นเป็นจริง การฝึกปฏิบัติราวกับว่าคุณ “พร้อม” ที่จะสวยมันแสดงออกว่าจริงๆ แล้ว “คุณสามารถแกล้งทำได้จนกว่าคุณจะลงมือทำจริงๆ” [53] [54]
    • ตัวอย่างเช่น หากคุณกังวลเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของคุณ ให้ซื้อสิ่งที่คุณอยากใส่แต่รู้สึกไม่มั่นใจและสวมใส่มันออกไปที่ไหนสักแห่ง พูดคำพูดด้านบวกกับตัวเองซ้ำๆ เช่น “ฉันเป็นคนเข้มแข็งและสวย ชุดนี้ช่วยเพิ่มความสวยอย่างเป็นธรรมชาติให้กับฉันและฉันก็รู้สึกดีที่ได้ใส่มัน”
    • ทดสอบดูว่าคุณรู้สึกอย่างไร อะไรที่บอกว่าตัวคุณมีดีพอ? คุณมีความรู้สึกร่วมไปกับประสบการณ์นั้นหรือไม่?
    • ดูปฏิกิริยาของคนอื่นๆ คุณอาจคาดคิดถึงการวิจารณ์หรือแม้แต่ความพังพินาศ แน่นอนว่าบางคนจะตัดสินคุณ อย่างไรก็ตามคุณอาจพบกับความประหลาดใจเมื่อคุณบอก “ตัวเอง” ว่าคุณมีค่าพอสำหรับความรักและการยอมรับ คนอื่นๆ ก็จะยอมรับคุณด้วยเช่นกัน
  6. บางครั้งแรงกดดันที่ต้องทำตัวให้เข้ากับมาตรฐานความงามของสังคมอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดบาดแผลลึกภายในใจได้ นอกจากนั้นมันอาจก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วยตามมา เช่น อาการกินผิดปกติ หากคุณกำลังต่อสู้กับการคิดด้านลบเกี่ยวกับตัวเอง ผู้ให้คำปรึกษาหรือนักบำบัดอาจช่วยคุณได้โดยการสอนคุณให้รู้จักวิธีการต่อสู้กับการคิดที่ไร้ประโยชน์เหล่านั้นและหาหนทางจะใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพดีและมีความสุข [55]
    • พบว่าประชากรของอเมริกามีอาการกินผิดปกติเพิ่มขึ้นถึง 30 ล้านคน [56] หากคุณรู้สึกว่าตัวเองไม่สวยหรือไม่พอใจในรูปลักษณ์ของตนเอง คุณอาจตกอยู่ในภาวะเสี่ยงมากขึ้นต่อการเป็นโรคกินผิดปกติและโรคนี้เป็นอาการป่วยที่รุนแรงซึ่งต้องได้รับการรักษา [57]
    • หากคุณประสบกับปัญหาภาวะซึมเศร้าบ่อยครั้ง รู้สึกผิดเกี่ยวกับการกินหรือรูปร่างของคุณ รู้สึก “อ้วน” รู้สึกว่าไม่สามารถควบคุมสิ่งที่กินได้ รู้สึกหมกมุ่นกับประเภทหรือปริมาณของอาหารที่จะกินหรือรู้สักกังวลว่าน้ำหนักจะขึ้น ให้ขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตทันที [58]
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • จำไว้ว่ามาตรฐานความสวยของสังคมเป็นสิ่งหลอกลวงและไม่มีใครสามารถเป็นอย่างนั้นได้ทุกคนแม้กระทั่งนักแสดงหรือนางแบบก็ตาม อย่าตัดสินตัวเองจากมาตรฐานของคนอื่น
  • ทิ้ง “โน้ตแห่งความรัก” เล็กๆ ถึงตัวเองไว้รอบๆ บ้าน เขียนถ้อยคำในด้านบวกลงในกระดาษโน้ตและแปะมันไว้บนกระจก บนตู้ หัวเตียงหรือที่ไหนก็ตามที่คุณสามารถมองเห็นมันได้ตลอดทั้งวัน
โฆษณา

คำเตือน

  • หากคุณคิดที่จะทำร้ายตัวเอง ให้ขอความช่วยเหลือโดยด่วน! โทร. 1667 เพื่อติดต่อหน่วยบริการให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินการป้องกันการฆ่าตัวตายของกรมสุขภาพจิต.
โฆษณา
  1. https://www.psychologytoday.com/blog/making-change/201107/how-stop-the-self-criticism-and-feel-better-about-you
  2. http://greatergood.berkeley.edu/article/item/taking_in_the_good
  3. http://psychcentral.com/lib/therapists-spill-12-ways-to-accept-yourself/00013976
  4. http://blogs.psychcentral.com/mindfulness/2011/08/3-steps-to-break-the-self-judgment-habit/
  5. http://www.mindful.org/mindful-magazine/tara-brach-rain-mindfulness-practice
  6. http://news.harvard.edu/gazette/story/2012/11/meditations-positive-residual-effects/
  7. http://www.apsu.edu/sites/apsu.edu/files/counseling/COGNITIVE_0.pdf
  8. http://www.beyondthemirror.org/Pages/Affirmations.aspx
  9. https://www.nationaleatingdisorders.org/10-steps-positive-body-image
  10. http://ripplerevolution.com/write-a-self-appreciation-journal-30-day-experiment
  11. https://www.psychologytoday.com/blog/write-yourself-well/201403/transactional-writing-letters-heal
  12. http://psychcentral.com/lib/therapists-spill-12-ways-to-accept-yourself/
  13. http://www.hofstra.edu/pdf/orsp_shahani-denning_spring03.pdf
  14. http://guilfordjournals.com/doi/abs/10.1521/jscp.23.1.23.26991
  15. https://www.psychologytoday.com/blog/fulfillment-any-age/201012/time-body-image-makeover-10-step-guide
  16. http://greatergood.berkeley.edu/raising_happiness/post/aging_mom_bod
  17. http://self-compassion.org/exercise-6-self-compassion-journal/
  18. http://greatergood.berkeley.edu/article/item/10_steps_to_savoring_the_good_things_in_life
  19. http://greatergood.berkeley.edu/article/item/taking_in_the_good
  20. http://www.webmd.com/beauty/style/build-a-better-body-image-no-dieting-required
  21. http://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S0022103112000200
  22. http://www.forbes.com/sites/learnvest/2012/04/03/what-your-clothes-say-about-you/
  23. http://99u.com/articles/14510/the-smart-creatives-guide-to-dressing-for-work
  24. http://tinybuddha.com/blog/how-to-feel-comfortable-in-your-own-skin/
  25. http://www.mayoclinic.org/healthy-living/stress-management/in-depth/exercise-and-stress/art-20044469
  26. http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/20479481
  27. http://www.cam.ac.uk/research/news/feeling-powerless-increases-the-weight-of-the-world-literally#sthash.eHCn2arf.dpuf
  28. http://www.webmd.com/food-recipes/how-food-affects-your-moods
  29. http://www.mayoclinic.org/healthy-lifestyle/nutrition-and-healthy-eating/expert-blog/food-and-mood/bgp-20056183
  30. https://uhs.berkeley.edu/whatseatingyou/pdf/TenStepsBodyImage.pdf
  31. http://healthysleep.med.harvard.edu/healthy/matters/consequences
  32. https://www.psychologytoday.com/blog/the-science-work/201410/faster-speeding-text-emotional-contagion-work
  33. http://asq.sagepub.com/content/47/4/644.short
  34. https://www.psychologytoday.com/blog/sapient-nature/201303/dealing-negative-people
  35. http://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S0018506X12000098
  36. http://greatergood.berkeley.edu/article/item/five_ways_oxytocin_might_shape_your_social_life
  37. https://www.nationaleatingdisorders.org/10-steps-positive-body-image
  38. http://marthabeck.com/2013/04/self-acceptance/
  39. http://psychcentral.com/lib/therapists-spill-12-ways-to-accept-yourself/
  40. http://greatergood.berkeley.edu/topic/compassion/definition#why_practice
  41. http://psychcentral.com/lib/accepting-your-body/
  42. http://greatergood.berkeley.edu/article/item/is_kindness_physically_attractive
  43. https://www.psychologytoday.com/blog/romance-redux/201212/is-empathy-sexy
  44. http://www.forbes.com/sites/groupthink/2013/12/03/5-powerful-exercises-to-increase-your-mental-strength/
  45. http://marthabeck.com/2013/04/self-acceptance/
  46. http://www.webmd.com/anxiety-panic/guide/how-to-find-therapist
  47. http://www.anad.org/get-information/about-eating-disorders/eating-disorders-statistics/
  48. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/eating-disorders/basics/definition/con-20033575
  49. http://www.anad.org/get-information/eating-disorder-signs-and-symptoms/

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 26,468 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา