ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

ไม่มีใครชอบคำโกหก แต่โชคร้ายที่การไม่ซื่อสัตย์ต่อคนอื่นและตัวเราเองนั้น บางครั้งง่ายกว่าการพูดความจริง อย่างไรก็ตาม มันไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้นเสมอไป เรียนรู้ที่จะซื่อสัตย์ และกำจัดความจำเป็นอื่นๆ ในการโกหกออกไป จะช่วยให้คุณมีจิตสำนึกที่ดีและมีความสัมพันธ์ที่ดีด้วย การปรับทัศนคติเล็กน้อย และการตั้งเป้ากับตัวเองว่าจะซื่อสัตย์ จะช่วยคุณกำจัดความจำเป็นในการโกหกออกไป และทำให้การพูดความจริงเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจมากกว่า ดูขั้นตอนที่1 สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

ซื่อสัตย์ต่อผู้อื่น

ดาวน์โหลดบทความ
  1. หาคำตอบให้ได้ว่าทำไมคุณจึงโกหกและคุณโกหกใคร. เราทุกคนโกหกไม่ตอนใดก็ตอนหนึ่ง กับคนต่างๆ กับตัวเราเอง โดยมีเหตุผลที่ต่างกันไป แต่การมีแผนที่เป็นระบบสำหรับการเป็นคนซื่อสัตย์มากขึ้นจะเป็นเรื่องยาก หากคุณไม่พยายามหาคำตอบถึงเหตุผลเหล่านั้นและผู้คนที่คุณโกหกให้กับตัวคุณเอง
    • การโกหกทำให้เราดูดีขึ้น อาจรวมถึงการพูดเกินจริง การเสริมแต่ง และเรื่องเล่าคุยโวต่างๆ ที่เราเล่าให้ผู้อื่นและตัวเราเองฟัง เพื่อทำให้ตัวเรารู้สึกดีขึ้นในสิ่งที่เราขาดไป เมื่อคุณรู้สึกไม่มีความสุขกับอะไรบางอย่าง มันเป็นเรื่องที่ง่ายกว่ามากที่จะเติมเต็มในส่วนนั้นด้วยการโกหกมากกว่าการบอกความจริง
    • เราโกหกเพื่อให้เสมอกัน เราคิดว่าพวกเขานั้นดีกว่าเรา เพราะอยากให้พวกเขาเคารพเราอย่างที่เราเคารพเขา แต่จริงๆ แล้ว การโกหกเป็นสิ่งที่ไม่น่าเคารพเลยในระยะยาว ให้คิดว่าคนอื่นสามารถที่จะเห็นอกเห็นใจและเข้าใจคุณในระดับที่ลึกลงไป
    • โกหกเพื่อหลีกเลี่ยงความอึดอัดลำบากใจ อาจรวมถึงการโกหกเพื่อปิดบังพฤติกรรมแย่ๆ การทำผิด หรือกิจกรรมใดๆ ที่เราไม่ภูมิใจ หากแม่ของคุณพบซองบุหรี่ในเสื้อแจ็คเก็ตของคุณ คุณอาจโกหกและบอกว่ามันเป็นของเพื่อน เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกลงโทษ
    • เราโกหกผู้ที่มีอำนาจ เพื่อหลีกเลี่ยงความลำบากใจ และการทำโทษรวมถึงตัวเราเอง เมื่อเราทำอะไรบางอย่างที่เรารู้สึกผิด การโกหกจะช่วยกำจัดความรู้สึกนั้น และหลีกเลี่ยงการถูกลงโทษ และกลับมาสู่พฤติกรรมที่น่ารังเกียจที่ทำให้เราต้องโกหก มันเป็นวงจรปัญหา
  2. เพื่อที่จะหยุดห่วงโซ่แห่งความละอาย และการโกหก มันสำคัญมากที่จะเรียนรู้ในการคาดเดาถึงสิ่งที่จะทำให้คุณรู้สึกไม่ดีในอนาคต และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเหล่านั้น เมื่อคุณโกหก คุณกำลังปกปิดความจริงบางอย่างที่ทำให้ไม่สบายใจ ที่เมื่อโกหกแล้วจะสบายใจกว่า คุณสามารถที่จะพยายามทำใจให้สบายเพื่อบอกความจริง หรือไม่ก็ละทิ้งพฤติกรรมที่ทำให้คุณละอายไป
    • ถ้าหากคุณสูบบุหรี่ คุณจะไม่จำเป็นต้องโกหกเลยหากทุกคนรู้ว่ามันจริง ยอมรับมันซะ ถ้าพฤติกรรมนั้นยอมรับไม่ได้จริงๆ มันคงจะดีที่สุดถ้าคุณจะหยุดทำมันซะ มันจะเป็นเรื่องน่าอายยิ่งกว่าสำหรับแฟนคุณหากเขามาพบว่าคุณมีความสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสมกับเพื่อนร่วมงาน แต่คุณไม่จำเป็นต้องโกหก ถ้าหากคุณไม่ได้ทำมัน
  3. บางครั้งเราโกหกเพื่อให้ตัวเองดูใหญ่ขึ้น ดีขึ้นกว่าสิ่งที่เราเป็นจริงๆ เพราะเราชอบที่จะไปแข่งขัน เปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น อะไรที่เราขาดไปเราก็สร้างเรื่องโกหกขึ้นมาเพื่อเอาชนะ หากคุณหยุดความรู้สึกในการแข่งขันกับผู้อื่น และให้คุณค่ากับตัวคุณเองอย่างที่ควรได้รับ คุณจะไม่รู้สึกจำเป็นเลยที่จะโกหกเพื่อดึงตัวเองขึ้นมา เพราะคุณอยู่สูงอยู่แล้ว!
    • ลืมว่าอะไรที่คุณคิดว่าคนอื่นอยากได้ยินจากคุณ ปล่อยให้คนอื่นสงสัยไป และคิดซะว่า พวกเขาไม่ได้กำลังเล่น “เกม” กับคุณอยู่ หรือกำลังบังคับ พูดจากใจของคุณและบอกความจริง โดยไม่ต้องไปคิดแม้แต่นิดเดียวว่าสิ่งนั้นจะทำให้คุณดู “แย่” หรือไม่ คนเคารพความซื่อสัตย์ แม้ว่าความจริงนั้นจะน่าอึดอัด
    • ปล่อยให้ความซื่อสัตย์ของคุณสร้างความประทับใจให้กับผู้อื่น ไม่ใช่พูดเกินจริง การไม่ซื่อสัตย์หลายครั้งเป็นผลมาจากความพยายามในการสร้างความประทับใจให้กับเพื่อนของเราด้วยเรื่องราวเสริมแต่งอย่างประณีตที่จะทำให้ดีกว่าคนอื่นๆ บนโต๊ะ หากคุณไม่สามารถที่จะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราวของการไปเที่ยวยุโรปได้ ให้ฟังเงียบๆ เฉยๆ ไป และรอจนกว่าจะเปลี่ยนเรื่อง โดยไม่ต้องไปสร้างเรื่องว่าคุณไปเรียนที่ต่างประเทศที่เมือง Majorca
  4. บางครั้งมันอาจจะดีกว่าที่จะยอมรับว่าโกหก หลอกลวง และยอมรับต่อการกระทำก่อนหน้าที่ทำให้คุณละอาย ดีกว่าที่จะสร้างเรื่องโยงใยต่อไปเรื่อยๆ การเป็นคนใสสะอาดย่อมรู้สึกอิสระและดีกว่าสุดๆ แม้ว่ามันจะมีผลตามมาจากการยอมรับนั้น แต่มันก็เป็นผลของการซื่อสัตย์ที่คุณควรได้รับ
  5. คุณไม่จำเป็นต้องโกหก หากคุณรู้สึกดีกับตัวคุณเอง ให้อยู่กับคนที่เอาใจใส่ และเข้าใจคุณ ที่เคารพในสิ่งที่คุณเป็น ทำในสิ่งที่คุณชอบและทำให้คุณรู้สึกภูมิใจในตนเอง
    • การเมาเละเทะทุกคืนอาจทำให้คุณรู้สึกดีสัก 2-3 ชั่วโมง แต่สุดท้ายแล้วมันก็จะเล่นงานคุณในตอนเช้าที่ทำงาน ทำให้คุณรู้สึกละอาย และรู้สึกผิดเมื่อคุณไม่สามารถไปทำงานไหว ดูแลตัวคุณเองให้ดี ทั้งทางจิตใจและทางร่างกาย “อย่า” ทำในสิ่งที่คุณอายที่จะทำ
  6. หลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่จะทำให้คุณต้องโกหกเพื่อผู้อื่น. ระวังว่าเมื่อใดก็ตามที่มีคนบอกความลับกับคุณ ที่คุณรู้ว่าคุณจะต้องเล่าให้กับคนอื่น (เช่น เรื่องของอาชญากรรม โกหก หรือการกระทำที่อันตรายต่อคนอื่น) การฟังเรื่องเหล่านี้จะทำให้คุณตกที่นั่งลำบาก โดยเฉพาะเมื่อสุดท้ายแล้วความเป็นจริงเปิดเผยออกสู่คนที่ได้รับผล และรู้ว่าคุณรู้มาตลอด
    • หากมีใครเริ่มพูดกับคุณว่า “อย่าไปบอกคนอื่นเรื่องนี้นะ ตกลงไหม?” ให้เตรียมบอกไปเลยว่า “มันเป็นเรื่องที่ฉันอยากรู้หรือเปล่าถ้าฉันเป็นพวกเขา ถ้าใช่อย่าบอกฉันเลย ฉันไม่อยากจะไปรับผิดชอบความลับใครนอกจากของฉันเอง”
  7. แยกระหว่างอะไรที่คนที่คุณกำลังสนทนาด้วยจำเป็นต้องรู้ และอะไรที่คุณอยากจะพูด. บางครั้งเรารู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างมารุมเล้าผลักดันและพยายามทำให้คนฟังเรา การบอกตัดกับเพื่อนร่วมห้องที่แย่ๆ การเผชิญหน้ากับสามี/ภรรยาของคุณ หรือการเถียงกับครูดูเป็นช่วงเวลาที่ต้องการความซื่อสัตย์ทั้งสิ้น แต่การดึกตัวหยุดออกมาอาจเป็นการทำให้ความสัมพันธ์ขมขื่นได้อย่างเร็วและพูดในสิ่งที่คุณไม่ได้หมายความเช่นนั้นจริงๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการพูดมากเกินไป พยายามแยกให้ออกระหว่างสิ่งที่คุณต้องพูดเพราะคนอื่นจำเป็นต้องได้ยิน และสิ่งที่คุณอยากจะพูดเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นให้ได้
    • คนอื่นจำเป็นต้องรู้ ถ้าหากเขาพลาดบางอย่างไปที่จะทำให้เขาต้องบาดเจ็บทางร่างกาย หรือทางอารมณ์ หรือถ้าเขาทำบางอย่างที่จะส่งผลเช่นเดียวกันต่อผู้อื่น เพื่อนร่วมห้องของคุณอาจจำเป็นต้องรู้ว่าการดื่มมากเกินไปนั้นทำให้คุณอึดอัด แต่ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าคู่เดทใหม่ของคุณนั้นเป็น “ขยะ”
    • คุณอาจจะอยากพูด บางอย่างที่เหมาะกับความโกรธ หรืออารมณ์พลุ่งพล่าน ที่เมื่อคิดดีๆ แล้วคุณอาจจะสามารถพูดมันได้อย่างเป็นมิตรมากขึ้น ในระหว่างที่ทะเลาะกันเกี่ยวกับความสัมพันธ์น่าเบื่อ คุณอาจจะพูดว่า “เธอน้ำหนักขึ้นแล้ว และตอนนี้ฉันก็ไม่ชอบเธอแล้ว” และนี่อาจเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคู่ของคุณที่จะรู้ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง แต่ไม่ใช่ด้วยวิธีนั้น อย่างไรก็ตาม “ฉันว่าเราน่าจะรักษาสุขภาพให้มากกว่านี้นะ” เป็นการให้ความหมายเดียวกันทางภาษาแต่สุภาพกว่า ซึ่งเป็นสิ่งที่คู่ของคุณควรรู้
  8. ทุกๆ คนต่างชอบลูกยิงตรง แต่บางครั้งการเล็งยิงตรงๆ อาจจะพลาดไปสักเล็กน้อย ลองคิดถึงผลกระทบจากคำพูดของคุณ และเรียนรู้ที่จะปรับคำพูดที่อาจก้าวร้าว รุนแรง หรือภาษาที่ทำให้อึดอัด พยายามเรียนรู้ในการแสดงความเห็นที่เหมาะสม
    • ใช้คำว่า "ฉัน/ผม" เมื่อต้องเล่าถึงความจริงที่ไม่สบายใจ เมื่อคุณกำลังแสดงความเห็นและพูดความจริงกับผู้อื่น อย่าพูดตรงมากเกินไป ให้พูดถึงความรู้สึกของคุณ ความเห็นคุณ เพื่อให้ความเคารพกับคนอื่น
    • พยายามเติมประโยค “จากประสบการณ์ของฉัน...” หรือ “โดยส่วนตัวแล้ว ฉันเห็นว่า...” ตอนเริ่มต้นประโยค หรือตอนจบด้วย “... แต่นั่นก็เป็นแค่ตามที่ฉันเห็น/ตามประสบการณ์ของฉัน ซึ่งอาจไม่ได้เป็นเหมือนกันทุกที่”
    • เรียนรู้ที่จะฟังอย่างเงียบๆ ขณะที่คนอื่นกำลังพูด แม้ว่าคุณจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่พวกเขากำลังคุยกันก็ตาม หรือรู้สึกอยากค้านขึ้นมา เมื่อถึงตาคุณพูด เขาจะให้ความเคารพเช่นเดียวกัน และทำให้การแลกเปลี่ยนความเห็นนี้เป็นไปอย่างซื่อสัตย์และสบายกว่า
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. มันเป็นเรื่องที่สำคัญที่บางครั้งคุณจะลองส่องกระจกและสำรวจตัวคุณเองว่ารู้สึกอย่างไร คุณชอบอะไรในตัวเอง? และอะไรที่คุณยังต้องพยายามทำให้ดีขึ้น? เราอาจจะสร้างกำแพงทางจิตใจที่บังคับให้เราต้องทำพฤติกรรมไม่ซื่อสัตย์ ทั้งด้านความคิด และกิจกรรมที่ทำ ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถหลีกเลี่ยงได้ด้วยกันกำหนดคุณค่าที่เป็นรูปธรรมให้กับตัวเราเอง เขียนจุดแข็งจุดอ่อนของคุณลงในสมุดโน้ต ไม่ใช่เพื่อสำรวจว่าคุณมีอะไรที่ดีในตัวบ้าง แต่เป็นการหาสิ่งที่ต้องพัฒนา และเพื่อเป็นการฉลองให้กับความสำเร็จของคุณ
    • ระบุจุดแข็งให้ได้ คุณเก่งในเรื่องอะไร? อะไรที่คุณสามารถทำได้ดีกว่าคนอื่นๆ ? อะไรที่คุณทำในชีวิตประจำวัน? อะไรที่คุณภูมิใจ และคุณดีขึ้นกว่าที่คุณเคยเป็นอย่างไร?
    • ระบุจุดอ่อนของคุณ อะไรที่คุณอายในตัวคุณ? แล้วคุณจะทำอะไรให้ดีขึ้นได้? ในช่วงปีที่ผ่านๆ มา มีอะไรที่คุณทำได้แย่ลงไหม?
  2. แหล่งกำเนิดใหญ่ของความไม่ซื่อสัตย์ในชีวิตคนเรามาจากความไม่ต้องการที่จะเผชิญหน้ากับบางอย่างที่ตัวเรารู้สึกละอาย กระดากใจกับมัน หรืออาจแค่รังเกียจมัน พยายามบอกให้ได้ว่ามันคืออะไรอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่ต้องไปอยู่ร่วมกับมัน
    • บางทีคุณอาจจะยังหวังที่จะตีพิมพ์นวนิยายเล่มแรกเมื่อตอนคุณอายุ30 เป็นเป้าหมายที่ไม่ได้มีความใกล้เคียงเพิ่มกว่าเมื่อตอน 5 ปีที่แล้ว คุณอาจจะรู้ว่าคุณต้องเริ่มรักษาหุ่น แต่คุณก็ยังทำนิสัยเดิมๆ เพราะมันง่ายกว่า บางทีความสัมพันธ์ของคุณอาจจะเริ่มจืดจาง และคุณก็ไม่มีความสุขกับมัน แต่คุณไม่สามารถที่จะเปลี่ยนตัวเองได้
    • พยายามกำจัดข้ออ้างทั้งหมดออกไปจากใจคุณเท่าที่คุณทำได้ มันไม่สำคัญว่าทำไมความจริงที่น่าอึดอัดเกี่ยวกับคุณถึงเป็นเข่นนั้น เพราะคุณไม่สามารถที่จะย้อนอดีตไปเปลี่ยนมันได้ แต่คุณสามารถที่จะเปลี่ยนนิสัยคุณตั้งแต่ตอนนี้และเริ่มมีความสุขไปกับมัน
  3. จากรายการจุดแข็งจุดอ่อน พยายามหาสิ่งที่ต้องพัฒนา รวมถึงวิธีการในการพัฒนาตัวคุณเอง
    • อะไรที่จำเป็นสำหรับจุดแข็งที่ทำให้มันกลายเป็นจุดแข็ง? อะไรที่คุณทำแล้วรู้สึกภูมิใจเป็นพิเศษ? ความจริงเหล่านั้นจะช่วยบอกความต้องการของคุณให้พัฒนาจุดอ่อนได้ในทางใด?
    • อะไรที่รั้งคุณไว้ไม่ให้คุณพัฒนาตัวเอง? อุปสรรคเหล่านี้เป็นสิ่งภายนอก เช่น ไม่มีเงินเพื่อไปสมัครสมาชิคกับฟิตเนสออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก หรือเป็นสิ่งภายในตัวคุณเอง เช่น การไม่มีแรงบันดาลใจในการหาวิธีลดน้ำหนักด้วยตัวคุณเอง?
  4. โกหกตัวเองนั้นเป็นเรื่องง่าย มันเป็นสิ่งที่ง่ายมากในการที่จะหาเหตุผลมาสักร้อยเหตุผลเพื่อบอกให้คุณไม่ต้องทำในสิ่งที่คุณไม่อยากทำ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราถึงปล่อยให้มันเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ตั้งใจให้มากขึ้น เมื่อคุณตัดสินใจที่จะจบความสัมพันธ์ หรือเริ่มต้นแก้ปัญหา ให้เริ่มทำเลย ทันที อย่ารอจนกระทั่งคุณมีเหตุผลอีกร้อยพันอย่างเพื่อบอกว่า “มันยังไม่ถึงเวลา” เมื่อคุณตัดสินใจแล้ว ให้ลงมือทำ
    • ค่อยๆเป็นค่อยไปในการพัฒนาตัวคุณให้สำเร็จ กำหนดรางวัลแลกเปลี่ยนขึ้นมาเมื่อคุณทำสิ่งที่ตั้งใจสำเร็จ เช่น ซื้อกีต้าร์ใหม่ให้ตัวเองหลักจากจบความสัมพันธ์ที่ยุ่งเหยิง หรือ ให้วันหยุดพักผ่อนกับตัวเองหลักจากลดน้ำหนักได้ 2-3 กิโลกรัม
    • ใช้ตัวช่วยดิจิตัลให้เป็นประโยชน์: คุณอาจจะสมัครรับข้อความช่วยเตือนให้คุณออกกำลังกายบนโทรศัพท์ หรือแม้แต่ใช้แอพพลิเคชั่น Pact ที่จะคิดเงินคุณหากคุณไม่ออกกำลังกาย
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

หลีกเลี่ยงการโกหกที่ไม่จำเป็น

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การโกหกเล็กน้อยเพื่อเติมรายละเอียดลงไปในเรื่องเพื่อสร้างความบันเทิง มันอาจฟังดูน่าสนใจในการสร้างหมีสักตัวขึ้นมาเดินอยู่ในเขตมหาวิทยาลัย แทนที่จะเป็นตัวแรคคูน แต่มันอาจจะเป็นการสร้างบรรทัดฐานที่นำไปสู่โอกาสที่จะโกหกเพิ่มขึ้น ปล่อยความจริงให้เป็นความจริง และพยายามซื่อสัตย์เท่าที่เป็นไปได้
  2. ทุกคนย่อมผ่านกันมาแล้วทั้งนั้น เมื่อมีใครสักคนถามอะไรบางอย่างที่ไม่อยากตอบ เช่น “ชุดนี้ฉันใส่แล้วอ้วนไหม?” หรือ “ซานต้าคลอสมีจริงหรอ?” บางครั้งเรารู้สึกว่า เราต้องโกหกเพื่อทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้น หรือเพื่อบรรเทาลม หรือความจริงที่น่าอึดอัดนั้น แต่ตัวเลือกระหว่างว่าจะพูดตรงๆ หรือโกหกนั้น ไม่ได้เป็นตัวเลือกระหว่าง ก และ ข เสมอไป
    • เน้นแต่สิ่งที่ดีๆ เบนความสนใจไปจากอะไรก็ตามที่คุณคิดว่าถ้าพูดตรงๆ แล้วจะไม่ดี แทนที่จะพูดว่า “ไม่ ฉันว่าเธอไม่เหมาะกับกางเกงตัวนั้นนะ” ให้บอกว่า “มันดูไม่สวยเท่ากับชุดกระโปรงดำตัวนั้นหรอก ชุดนั้นมันดูสวยมาก “จริงๆ” เธอได้ลองใส่มันกับถุงน่องคู่ที่เธอใส่มางานแต่งงานญาติฉันปีที่แล้วหรือยัง?”
    • เก็บความเห็นบางเรื่องไว้กับตัวเอง คุณอาจจะไม่ได้บ้า หรือชอบที่จะไปร้านอาหาร บาร์ที่เป็นแนวคาวบาว ที่เพื่อนสนิทคุณอยากจะไปในคืนนั้นของเธอในเมือง แต่คุณก็ไม่จำเป็นที่จะต้องบอกเพื่อนคุณ “ตรงๆ” สิ่งที่คุณต้องการคือ คืนที่ดีๆสักคืนกับเพื่อนของคุณ คุณมีโอกาสแค่คืนเดียวเท่านั้น! ที่จะสนุกไปด้วยกัน แทนที่จะพูดว่า “ฉันไม่ชอบที่นี่ ไปที่อื่นกันเถอะ” ให้พูดว่า “แม้ว่าที่นี่จะไม่ใช่ที่โปรดของฉัน แต่ฉันก็อยากทำอะไรที่เธออยากทำ แต่มาทำมันให้สุดยอดไปเลยดีกว่า”
    • เบี่ยงเบนคำถาม ถ้าหากลูกของคุณอยากรู้ว่าซานต้าคลอสมีจริงหรือเปล่า บอกพวกเขาว่า ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน และถามพวกเขากลับดูว่าอะไรที่เขาคิดว่าเป็นจริง: “แล้วลูกคิดว่าไงล่ะ? เพื่อนๆที่โรงเรียนพูดอะไรกัน?” คุณไม่จำเป็นที่จะต้องโกหก หรือบอกความจริงทั้งหมด โลกความเป็นจริงมันซับซ้อนกว่านั้นเยอะ [1]
  3. ถ้าหากคุณอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด ที่ถ้าหากบอกความจริงไปจะไปขัดอารมณ์และความสุขของทุกคน มันไม่ได้เป็นการหลอกลวงหากคุณอยู่เงียบๆ ถ้าคุณมีตัวเลือกที่จะอยู่ห่างๆ ให้เลือกที่จะอยู่ห่างๆ ไว้ บางครั้งมันก็ต้องใช้ความกล้าที่จะอยู่เงียบๆ ในสถานการณ์ที่อึดอัด
    • เลือกทางที่ง่าย ในการขัดแย้งกัน ความเห็นที่เพิ่มขึ้นไม่ได้ช่วยให้ปัญหาคลายได้ง่ายขึ้น คุณไม่จำเป็นต้องโกหกบริสุทธิ์เพื่อให้การโต้เถียงกันนั้นจบลง แต่คุณก็ไม่จำเป็นที่จะต้องทิ้งระเบิดบอกความจริงตลอด ให้ถอยออกมาจากการโต้เถียงนั้น ดีกว่าที่จะไปจุดไฟให้ติดอีกครั้ง [2]
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • การซื่อสัตย์เป็นเรื่องยากเพราะมันบังคับให้เราต้องยอมรับในความผิดของเรา
  • จดบันทึกคำพูดของคุณกับคนอื่นไว้ (บันทึกประจำวัน หรือเป็นตาราง) มันจะบอกคุณได้ว่าคุณซื่อสัตย์หรือไม่ซื่อสัตย์กี่ครั้ง แล้วเรียนรู้จากมัน จำนวนครั้งที่พูดโกหกที่บันทึกไว้ จะช่วยให้ข้อมูลสำหรับการตัดสินใจในอนาคต และมันจะช่วยเปรียบให้เห็นความแตกต่างที่ชัดเจนมากหากคุณตั้งเป้าที่รางวัลแห่งความซื่อสัตย์!
  • หากใครสักคนกดดันให้คุณพูดความจริงในสิ่งที่คุณทำ ให้พูดประมาณว่า “ฉันผิดเองที่ทำอะไรโง่ๆอย่างนั้นไป แต่ฉันจะทำให้ดีขึ้นนะ! ให้โอกาสฉันอีกครั้งแสดงให้เธอเห็นว่าฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ และฉันเป็นเพื่อนที่ดีได้”
  • สำหรับคนหลายๆ คน การเก็บความลับเพื่อใครสักคนไม่ได้ถือเป็นการโกหก ถ้าหากเขาหรือเธอจะเข้าใจหากมันถูกเปิดเผย เส้นแบ่งระหว่างความซื่อสัตย์และไม่ซื่อสัตย์ของความลับนั้นไม่มีความชัดเจนใดๆ: การปิดเซอร์ไพรส์วันเกิดก็เรื่องหนึ่ง แต่การไม่บอกเด็กว่าเขาถูกรับเลี้ยงมา หรือว่าสัตย์เลี้ยงของพวกเขาตายนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
  • กลุ่มเพื่อนอาจทำให้คุณลังเลใจในตัวเลือกที่จะคงอยู่บนเส้นทาง “ตรงและแคบ” เช่นเดียวกับนิสัยแย่อื่นๆ คุณอาจถูกกดดันให้ต้องทำสิ่งไม่ดีตาม เมื่ออยู่รอบๆ คนที่ขาดความซื่อสัตย์ คุณต้องหาเพื่อนใหม่ ที่ซื่อสัตย์มากกว่านี้ แต่ระวังจะออกนอกลู่นอกทาง หากคุณคบอยู่กับคนที่ไม่ซื่อสัตย์ลับๆ ล่อๆ
โฆษณา

คำเตือน

  • ปัญหาทางอารมณ์อาจไปไกลเกินกว่าขอบเขตของบทความนี้ซึ่งอาจก่อให้เกิดการโกหกที่ไม่อาจควบคุมได้: หากคุณไม่สามารถควบคุมการโกหกของคุณได้ ให้ลองพบนักให้คำปรึกษาหรือผู้เชี่ยวชาญอื่นที่สามารถช่วยให้คุณผ่านพ้นปัญหาเหล่านี้ได้ในระยะยาว การไม่ซื่อสัตย์อาจเป็นนิสัยที่ต้องใช้การใคร่ครวญอย่างมากและความพยายามในการแก้ไข


โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 9,129 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา