ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

การลงทุนในตลาดหุ้นอาจจะเป็นวิธีนำเงินที่คุณมีมาสร้างรายได้ที่ดี โดยเฉพาะในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจทุกวันนี้ที่บัญชีเงินฝากและบัตรธนาคารระยะยาว (Bank Note) ไม่ค่อยให้ผลตอบแทนมากนัก แต่จำไว้ว่าการซื้อขายหุ้นเป็นกิจกรรมที่มีความเสี่ยง และอาจจะต้องมีการสูญเสียบ้าง อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณศึกษาการซื้อขายหุ้นมาอย่างดีและเลือกลงทุนกับบริษัทที่ดี การซื้อขายหุ้นก็อาจจะสร้างกำไรได้อย่างงาม

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 3:

เริ่มต้น

ดาวน์โหลดบทความ
  1. มีแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือมากมายที่คอยรายงานกระแสการลงทุนในตลาด คุณอาจจะติดตามนิตยสารเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้น เช่น Kiplinger, Investor's Business Daily, Traders World, The Economist หรือ Bloomberg BusinessWeek. [1]
    • คุณควรจะติดตามบล็อกที่เขียนโดยนักวิเคราะห์ทางการตลาดที่ประสบความสำเร็จ เช่น Abnormal Returns, Deal Book, Footnoted, Calculated Risk, หรือ Zero Hedge [2]
  2. เว็บไซต์ที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ของวงการก็จะมี Scottrade, OptionsHouse, TD Ameritrade, Motif Investing และ TradeKing ดูให้ดีว่าคุณได้ศึกษาค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรม (Transaction fees) หรือส่วนแบ่งที่คุณจะต้องจ่ายก่อนที่คุณจะตัดสินใจใช้เว็บไซต์นั้นๆ มาเป็นอย่างดีแล้ว [3]
    • ดูให้ดีว่าบริการที่คุณเลือกใช้มีความน่าเชื่อถือ คุณอาจจะต้องลองอ่านคำวิจารณ์ของธุรกิจออนไลน์นั้นๆ ดูก่อน
    • เลือกบริการที่มีสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น มีแอพพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือ มีเครื่องมือช่วยให้นักลงทุนเรียนรู้และศึกษา มีค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมที่ต่ำ อ่านง่าย และบริการลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมง [4]
  3. เปิดบัญชีสำหรับซื้อขายหุ้นหนึ่งเว็บไซต์หรือมากกว่านั้น. คุณอาจจะไม่อยากมีบัญชีมากกว่าหนึ่งบัญชี อย่างไรก็ตาม คุณอาจจะต้องเริ่มจาก 2 บัญชีหรือมากกว่านั้น เพราะคุณจะได้เลือกเว็บไซต์ที่คุณชอบที่สุดได้
    • ตรวจสอบยอดเงินขั้นต่ำที่เว็บไซต์แต่ละที่ต้องการให้ดี งบประมาณของคุณอาจจะสร้างบัญชีได้แค่ 1-2 เว็บไซต์เท่านั้น
    • เริ่มต้นด้วยจำนวนเงินเล็กๆ ก่อน เช่น เงิน 30,000 บาทจะสามารถซื้อขายหุ้นได้บางรูปแบบ ในขณะที่การซื้อขายหุ้นในรูปแบบอื่นอาจจะต้องการจำนวนเงินขั้นต่ำที่มากขึ้นไปอีก [5]
  4. เว็บไซต์บางแห่งเช่น ScottradeELITE, SureTrader และ OptionsHouse จะมีการซื้อขายหุ้นในรูปแบบการจำลองสถานการณ์ (Virtual trading platform) ซึ่งคุณจะสามารถทดลองซื้อขายหุ้นสักพักหนึ่งเพื่อสร้างความคุ้นชินกับตลาดหุ้นโดยที่ไม่ต้องใช้เงินจริง แน่นอนว่าคุณไม่สามารถสร้างรายได้ด้วยวิธีนี้ได้ แต่คุณก็ไม่มีวันเสียเงินเช่นกัน [6]
    • การซื้อขายหุ้นด้วยวิธีนี้จะทำให้คุณเคยชินกับวิธีและรูปแบบการตัดสินใจที่คุณจะต้องเจอเมื่อจะซื้อขายหุ้น แต่โดยรวมแล้วก็ไม่ได้เหมือนกับการซื้อขายหุ้นจริงๆ เพราะว่าการซื้อขายหุ้นจริงๆ จะมีความล่าช้าในการซื้อและขายหุ้น ซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นแตกต่างจากที่คุณตั้งเป้าไว้ได้ นอกจากนี้ การซื้อขายหุ้นด้วยเงินจำลองไม่ได้ช่วยให้คุณรับมือกับความเครียดในการซื้อขายหุ้นด้วยเงินจริงได้
  5. คุณมีตัวเลือกมากมาย แต่เอาจริงๆ แล้วคุณอาจจะอยากซื้อหุ้นของบริษัทที่ไม่มีช่องโหว่ นำเสนอสิ่งที่ผู้คนต้องการ มียี่ห้อที่ติดตลาด มีรูปแบบธุรกิจที่ดี และประสบความสำเร็จมาเป็นระยะเวลานาน [7]
    • ลองศึกษารายงานทางการเงินสาธารณะของบริษัทนั้นๆ เพื่อประเมินกำไรที่พวกเขาได้รับ บริษัทที่ทำกำไรได้มากมักจะเป็นหุ้นที่สร้างกำไรได้ดี คุณสามารถหาข้อมูลทางการเงินฉบับสมบูรณ์ของบริษัทที่มีหุ้นสาธารณะได้โดยการเข้าเว็บไซต์ของพวกเขาและมองหารายงานประจำปีล่าสุด (Annual report) ถ้าไม่มีข้อมูลบนเว็บไซต์ คุณสามารถติดต่อไปที่บริษัทเพื่อขอสำเนารายงานได้ [8]
    • ลองดูบันทึกของบริษัทในไตรมาสที่เลวร้ายที่สุดและตัดสินใจที่จะลองเสี่ยงดูว่ามีแนวโน้มที่จะได้กำไรหรือจะยังคงแย่ต่อไป [9]
    • ศึกษาภาวะผู้นำของบริษัท (Company's leadership), ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (Operating costs) และหนี้สิน (Debt) จากนั้นให้ลองวิเคราะห์งบดุล (Balance Sheet) และงบกำไรขาดทุน (Income Statement) แล้วพิจารณาว่าบริษัทจะสร้างกำไรมากขึ้นหรือมีโอกาสที่จะทำกำไรในอนาคตได้หรือไม่ [10]
    • เปรียบเทียบประวัติราคาหุ้นของบริษัทใดบริษัทหนึ่งกับบริษัทที่มีลักษณะคล้ายกัน ถ้าหุ้นในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทั้งหมดลดลง 1 จุด การประเมินบริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกันมากกว่าประเมินบริษัทจากตลาดหุ้นโดยรวมจะช่วยบอกได้ว่าบริษัทไหนเป็นที่หนึ่งของอุตสาหกรรมนั้นๆ [11]
    • ฟังการประชุมผลกำไรทางไกลของบริษัท. บทวิเคราะห์กำไรในแต่ละไตรมาสของบริษัทฉบับแรกจะถูกโพสท์บนอินเทอร์เน็ตคล้ายกับสื่อสิ่งพิมพ์ ซึ่งจะปล่อยออกมาประมาณ 1 ชั่วโมงก่อนการประชุม [12]
  6. เมื่อคุณพร้อมแล้ว ให้เริ่มซื้อหุ้นที่น่าเชื่อถือได้ด้วยจำนวนเงินเล็กน้อยก่อน ซึ่งจำนวนหุ้นที่แน่นอนนั้นขึ้นอยู่กับงบประมาณของคุณ แต่ให้ซื้ออย่างน้อยสองตัว [13] บริษัทที่รู้จักกันดี มีประวัติการตลาดที่มั่นคง และมีชื่อเสียงที่ดีนั้นจะเป็นหุ้นที่เสถียรที่สุด และเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ดังนั้น เริ่มต้นด้วยการซื้อขายเล็กๆ และให้ลงทุนด้วยเงินที่คุณเผื่อเอาไว้ขาดทุนมาลงทุนก่อน [14]
    • การเริ่มต้นซื้อขายหุ้นด้วยเงินไม่เกิน 30,000 บาทเป็นจำนวนที่สมเหตุสมผล อย่างไรก็ตาม คุณต้องคอยระวังและหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมในอัตราที่สูงไว้ด้วย ซึ่งจะช่วยให้คุณสร้างรายได้ได้ง่ายขึ้นเมื่อคุณมีเงินในบัญชีน้อย [15]
  7. ให้ลงทุนกับบริษัทที่มีหุ้นขนาดกลางและขนาดใหญ่. บริษัทที่มีหุ้นขนาดกลาง (Mid-cap) คือบริษัทที่มีมูลค่าตามราคาตลาดระหว่าง 2 พันล้าน – 1 หมื่นล้านดอลล่าห์สหรัฐ (ประมาณ 6 หมื่นล้าน – 3 แสนล้านบาท) ส่วนบริษัทที่มีหุ้นขนาดใหญ่ (Large-cap) จะมีมูลค่าตามราคาตลาดมากกว่า 1 หมื่นล้านดอลล่าห์สหรัฐ ในขณะที่บริษัทมูลค่าตามราคาตลาดน้อยกว่า 2 พันล้านดอลล่าห์สหรัฐ จัดเป็นหุ้นขนาดเล็ก (Small-cap) [16]
    • มูลค่าตามราคาตลาด (Market capitalization) สามารถคำนวนได้โดยการคูณราคาหุ้นของบริษัทด้วยจำนวนหุ้นที่มี (Shares outstanding) [17]
  8. จำไว้ว่ากฎพื้นฐานการซื้อขายหุ้นก็คือซื้อให้ต่ำและขายให้สูง ถ้ามูลค่าหุ้นของคุณสูงขึ้นอย่างมาก คุณอาจจะต้องประเมินว่าจะขายแล้วไปซื้อหุ้นตัวอื่น (ที่ถูกกว่า) หรือไม่
  9. กองทุนรวม (Mutual funds) จะบริหารโดยผู้บริหารกองทุนระดับมืออาชีพ และยังรวมไปถึงการรวมหุ้นหลายๆ ตัวเข้าด้วยกัน ซึ่งจะทำให้ลงทุนกับกลุ่มบริษัทต่างๆ ได้หลากหลาย เช่น เทคโนโลยี ตลาดขายปลีก การเงิน พลังงาน หรือบริษัทต่างชาติ เป็นต้น [18]
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 3:

ทำความเข้าใจกับพื้นฐานการซื้อขายหุ้น

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ถ้าราคาหุ้นนั้นต่ำลงเมื่อเทียบกับประวัติราคาหุ้นของบริษัทนั้น ให้คุณซื้อเอาไว้ เพราะไม่มีใครรู้ว่าราคาหุ้นจะขึ้นหรือลง จุดนี้เองจึงเป็นความท้าทายของการลงทุนด้วยการซื้อขายหุ้น
    • ในการพิจารณาว่าหุ้นนั้นราคาต่ำกว่าปกติหรือไม่ ให้ดูที่กำไรของบริษัทต่อจำนวนหุ้น และกิจกรรมการใช้จ่ายของพนักงานในบริษัทนั้น โดยให้พิจารณาเจาะจงไปที่บริษัทที่มีอุตสาหกรรมและการตลาดที่มีความผันผวนมาก เพราะจุดนี้จะช่วยให้คุณทำกำไรได้มาก
  2. คุณต้องขายหุ้นของคุณที่ราคาสูงสุดเมื่อเทียบกับราคาหุ้นที่ผ่านมา ถ้าคุณขายหุ้นเพื่อทำกำไรให้มากกว่าที่คุณซื้อมา คุณก็จะได้เงิน ยิ่งราคาสูงกว่าตอนที่คุณซื้อมากเท่าไหร่ คุณก็มีรายได้มากเท่านั้น
  3. เมื่อราคาหุ้นต่ำลงกว่าที่คุณซื้อมา สัญชาตญาณของคุณอาจจะสั่งให้ขายทิ้งไปเลย ในขณะที่มีความเป็นไปได้ที่ราคาหุ้นจะตกลงเรื่อยๆ และไม่กลับขึ้นมาใหม่นั้น คุณควรจะพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่ราคาอาจจะกลับมาสูงอีกครั้งด้วยเช่นกัน การขายแบบยอมขาดทุนไม่ใช่ความคิดที่ดีเสมอไป เพราะคุณจะขาดทุนอย่างแน่นอน
  4. เรียนรู้พื้นฐานและวิธีการวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิคที่มีผลต่อตลาด. สองสิ่งนี้เป็นพื้นฐานที่จะทำให้คุณเข้าใจตลาดหุ้นและคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงราคาหุ้นได้ ซึ่งจะช่วยให้พิจารณาได้ว่าคุณจะตัดสินใจอย่างไรกับหุ้นที่จะซื้อและเมื่อใดที่ควรซื้อและควรขาย [19]
    • พื้นฐานการวิเคราะห์จะช่วยตัดสินใจลงทุนกับบริษัทนั้นๆ โดยอาศัยพื้นฐานจากสิ่งที่พวกเขาทำ ลักษณะเด่นของพวกเขา ชื่อเสียง และผู้นำบริษัท การวิเคราะห์แบบนี้จะช่วยให้มองเห็นมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทหรือช่วยให้เห็นราคาหุ้นนั่นเอง
    • การวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิคจะมองไปที่ตลาดโดยรวมและสิ่งที่ชักจูงใจให้นักลงทุนซื้อและขายหุ้น ซึ่งรวมไปถึงการมองกระแสในตลาดและวิเคราะห์ปฏิกิริยาของนักลงทุนที่มีต่อเหตุการณ์ต่างๆ [20]
    • นักลงทุนส่วนมากจะใช้ทั้งสองวิธีในการตัดสินใจลงทุน
  5. นักลงทุนบางคนหรือรู้จักกันในชื่อนักลงทุนเพื่อรายได้มักจะลงทุนกับบริษัทที่ให้เงินปันผลกับหุ้นเกือบทั้งหมด เพราะเป็นวิธีที่ทำให้หุ้นที่คุณถืออยู่นั้นสามารถสร้างรายได้แม้ว่าราคาจะไม่ดีมากก็ตาม เงินปันผล (Dividends) เป็นกำไรของบริษัทที่จ่ายให้ผู้ถือหุ้นโดนตรงในแต่ละไตรมาส [21] ไม่ว่าคุณจะตัดสินใจลงทุนกับหุ้นเหล่านี้หรือไม่ ล้วนขึ้นอยู่กับเป้าหมายในฐานะนักลงทุนของคุณ
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 3:

พัฒนาการจัดพอร์ตหุ้นของคุณ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เมื่อคุณมั่นใจว่าจะถือหุ้นตัวนี้ และรู้วิธีซื้อและขายหุ้นแล้ว คุณควรจะทำพอร์ตหุ้นของคุณให้หลากหลาย ซึ่งก็คือคุณควรใช้เงินซื้อหุ้นที่แตกต่างกันไปหลายๆ ตัว
    • บริษัทที่เพิ่งก่อตั้งใหม่อาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีหลังจากที่คุณมีหุ้นตัวเก่าที่มั่นคงแล้ว ถ้าบริษัทน้องใหม่ได้ขยายกลายเป็นบริษัทที่ใหญ่ขึ้น คุณอาจจะมีโอกาสสร้างรายได้เป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม จำไว้ว่า 90% ของบริษัทน้องใหม่มักจะอยู่ได้ไม่ถึง 5 ปี ซึ่งจะทำให้การลงทุนมีความเสี่ยงมากขึ้น [22]
    • พิจารณาดูอุตสาหกรรมอื่นๆ ด้วย ถ้าหุ้นที่คุณถือส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี ให้ลองดูหุ้นของอุตสาหกรรมการผลิตและอุตสาหกรรมค้าปลีก การทำแบบนี้จะช่วยให้พอร์ตหุ้นของคุณมีความหลากหลาย และเป็นการลงทุนเผื่อไว้เมื่อกระแสการลงทุนในอุตสาหกรรมบางชนิดนั้นลดลง
  2. เมื่อคุณขายหุ้นไปแล้ว (โดยคาดหวังไว้ว่าจะได้เงินมากกว่าที่คุณเคยซื้อไว้) คุณควรจะหมุนเงินและกำไรโดยการซื้อหุ้นใหม่ ถ้าคุณสามารถสร้างรายได้เล็กๆ น้อยๆ ทุกๆ วันหรือทุกสัปดาห์ได้ ก็ถือว่าคุณประสบความสำเร็จในตลาดหุ้น
    • พิจารณานำเงินกำไรจำนวนหนึ่งเก็บไว้ในบัญชีเงินฝากหรือบัญชีหลังเกษียณ
  3. ลงทุนกับหุ้นใหม่ที่ให้คนทั่วไปถือได้เป็นครั้งแรก. การเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกหรือหุ้นไอพีโอ (Initial public offering: IPO) เป็นหุ้นที่บริษัทเปิดให้ซื้อได้เป็นครั้งแรก ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะซื้อหุ้นในบริษัทที่คุณเชื่อว่าจะประสบความสำเร็จ เพราะหุ้นไอพีโอจะมีให้ซื้อบ่อยๆ (แต่ไม่ตลอด) โดยจะมีราคาที่ต่ำที่สุดเท่าที่บริษัทนั้นมีได้
  4. วิธีเดียวที่คุณจะสร้างรายได้ในตลาดหุ้นได้ก็คือการเสี่ยงและการใช้โชคเล็กๆ น้อยๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณควรจะทำทุกอย่างให้เป็นความเสี่ยงเสียหมดและหวังว่าโชคจะเข้าข้าง การลงทุนไม่ควรจะเล่นเหมือนกับการพนัน คุณควรจะศึกษาการลงทุนทุกอย่างและมั่นใจว่าคุณจะสามารถฟื้นฟูการเงินของตัวเองได้ถ้าหุ้นไปในทางที่แย่
    • ในทางกลับกัน การเน้นความปลอดภัยโดยเลือกแต่หุ้นที่มั่นคงจะไม่ช่วยให้คุณ “ตีตลาดแตก” และสร้างรายได้สูงๆ ได้ อย่างไรก็ตาม หุ้นเหล่านั้นมักมีแนวโน้มที่จะมั่นคง ซึ่งก็คือคุณจะมีโอกาสเสียเงินน้อยลง และด้วยเงินปันผลที่สม่ำเสมอและสามารถจัดการความเสี่ยงได้ ทำให้บริษัทเหล่านี้ก็น่าลงทุนกว่าบริษัทที่มีความเสี่ยงในท้ายสุด
    • คุณยังลดความเสี่ยงได้ด้วยการป้องกันความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินลงทุน ลองศึกษาวิธีป้องกันความเสี่ยงในการลงทุนดู
  5. เราจะต้องจ่ายค่านายหน้า (Brokerage) เกือบทุกๆ ครั้งที่คุณทำธุรกรรม ซึ่งอาจจะมีราคาที่สูงขึ้น ถ้าคุณซื้อขายหุ้นหลายครั้งใน 1 สัปดาห์ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์หรือเอสอีซี (Security Exchange Commission: SEC) จะบังคับให้คุณสร้างบัญชีสำหรับนักลงทุนสถาบัน (Institutional Account) ซึ่งต้องการจำนวนเงินขั้นต่ำค่อนข้างสูง นอกจากนี้ คนที่ซื้อขายหุ้นรายวันจะถูกมองว่าเป็นคนที่ขาดทุนเป็นจำนวนมากและมีความเครียดสูง ดังนั้น ให้เลือกลงทุนระยะยาวจะดีกว่า
  6. CPA). เมื่อคุณเริ่มสร้างรายได้จากการซื้อขายหุ้นเป็นจำนวนมากแล้ว คุณอาจจะอยากปรึกษานักบัญชีเรื่องวิธีจ่ายภาษีจากกำไรที่ได้ ในขณะที่การพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีเป็นวิธีที่ดีที่สุดนั้น คุณสามารถศึกษาหาข้อมูลได้ด้วยตัวเองในหลายๆ กรณี เพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าที่ปรึกษาแก่ผู้เชี่ยวชาญ
  7. การซื้อขายหุ้นเป็นเหมือนการพนันที่ถูกกฎหมายและไม่ใช่การลงทุนในระยะยาว ซึ่งจะแตกต่างจากการลงทุนแบบนี้มาก เพราะการลงทุนในระยะยาวเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยและลงทุนเป็นระยะเวลาที่นาน อย่างไรก็ตาม บางคนสามารถพัฒนาไปเป็นการเสพติดการซื้อขายหุ้น ซึ่งจะทำให้คุณเสียเงินเยอะมาก (และอาจจะหมดตัว) ถ้าคุณรู้สึกว่าคุณควบคุมการตัดสินใจด้วยเหตุผลกับการลงทุนไม่ได้ ให้พยายามขอความช่วยเหลือก่อนที่คุณจะหมดตัว ถ้าคุณรู้จักผู้เชี่ยวชาญที่เก่ง มีเหตุมีผล มีเป้าหมาย และไม่ใช้อารมณ์เป็นใหญ่ ให้สอบถามคนๆ นั้นเพื่อขอความช่วยเหลือถ้าคุณรู้สึกควบคุมตัวเองไม่ได้
    โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 4,732 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา