ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

การจะเป็นคนรวยได้นั้นต้องมีทั้งความรู้ ความขยัน และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ มีการวางแผน แม้ว่าความรวยนั้นไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย แต่ก็มีหนทางที่จะช่วยให้คุณเป็นคนรวยได้ถ้าคุณใช้เวลา ความพยายาม และการอุทิศตน ด้วยการลงทุนกับตัวเองและลงทุนในตลาดหุ้น คุณก็อาจจะเป็นคนรวยขึ้นมาได้สักวันหนึ่ง

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

เก็บออมเงิน

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การออมเงินเป็นหนึ่งในทักษะที่สำคัญที่สุดในหนทางแห่งความร่ำรวย คำพูดที่ว่า “เก็บ 1 บาทก็คือได้เงิน 1 บาท” นั้นเป็นเรื่องจริง แต่ถ้าให้อธิบายเพิ่มเติมก็คือ เงินเก็บ 1 บาทอาจจะมีค่าเท่ากับ 100 บาทได้ ถ้าคุณลงทุนด้วยการใช้เงินออมของคุณเอง
    • ในการออมเงิน คุณต้องใช้เงินให้น้อยกว่าที่คุณได้รับ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายถ้าคุณมีรายได้ที่แน่นอน (นี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมการลงทุนกับการศึกษาถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ) แต่จำไว้ว่าคุณสามารถออมเงินจากรายได้ของคุณได้เสมอ แม้ว่าจำนวนเงินอาจจะน้อยก็ตาม
    • ลองเริ่มต้นจากการออมเงินเป็นจำนวน 10% จากเงินเดือนของคุณในแต่ละเดือน แม้ว่าจำนวนเงินออมประมาณนี้เป็นเป้าหมายที่แนะนำให้เริ่มต้น แต่ถ้าเป็นไปไม่ได้ ก็ให้ลองออมเงินเท่าที่คุณสามารถทำได้ แล้วค่อยๆ เพิ่มเป้าหมายในการเก็บออมในแต่ละเดือนให้มากขึ้น
  2. งบประมาณที่แน่นอนเป็นก้าวแรกที่นำไปสู่หนทางแห่งความร่ำรวย การทำงบประมาณจะช่วยให้คุณระบุค่าใช้จ่ายของคุณทั้งหมด ซึ่งจะช่วยให้คุณควบคุมและลดทอนค่าใช้จ่ายของตัวเองได้ การทำแบบนี้จะช่วยให้คุณมีเงินเก็บ และช่วยให้คุณมีต้นทุนในการลงทุน
    • ให้เขียนตารางแสดงรายได้ของคุณลงบนกระดาษหรือลงบนคอมพิวเตอร์ โดยเขียนรายได้ทั้งหมดที่คุณได้รับลงไป 1 แถว แล้วเพิ่มแหล่งที่มาของรายได้ในแต่ละส่วนบริเวณด้านล่างเพื่อพิจารณารายได้ของคุณในภาพรวม
    • ในแถวถัดไป ให้ทำเหมือนกันแต่เปลี่ยนเป็นค่าใช้จ่าย ดูให้ดีว่าคุณได้เขียนค่าใช้จ่ายทุกอย่างลงไป วิธีหนึ่งที่จะช่วยได้ก็คือตรวจสอบบัญชีเงินฝากหรือใบแจ้งหนี้บัตรเครดิต ให้เพิ่มค่าใช้จ่ายเหล่านี้ลงไปเพื่อพิจารณารายจ่ายรายเดือนของคุณในภาพรวม
  3. ค้นหาว่ามีส่วนไหนที่คุณสามาถลดค่าใช้จ่ายลงได้. ตรวจสอบค่าใช้จ่ายอย่างละเอียดเพื่อหาส่วนที่สามารถลดทอนได้ เป้าหมายของคุณควรจะเป็นการสร้าง “ช่องว่าง” ระหว่างรายได้โดยรวมและรายจ่ายโดยรวมให้มากขึ้น
    • สิ่งหนึ่งที่ควรจะทำก็คือการตรวจสอบความแตกต่างระหว่าง “ความต้องการ” และ “ความจำเป็น” ความต้องการเป็นสิ่งที่สำคัญที่คุณต้องพิจารณาในการลดทอนค่าใช้จ่าย ส่วนความจำเป็นนั้นให้มองเป็นทางเลือก ให้ลองดู “ความต้องการ” ของคุณในแต่ละเดือนและมองหาจุดที่คุณสามารถลดทอนได้ ยกตัวอย่างเช่น คุณอาจจะต้องการโทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดที่เล่นอินเทอร์เน็ตได้ 3GB ในขณะที่ความจำเป็นของคุณคือโทรศัพท์ทั่วไปที่เล่นอินเทอร์เน็ตได้ 1GB เป็นต้น
    • พิจารณาความจำเป็นของตัวเองด้วยเช่นกัน และตรวจสอบดูว่าจะลดค่าใช้จ่ายได้อย่างไร ยกตัวอย่างเช่น ค่าเช่าที่พักเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่คุณอาจจะหาห้องเช่าที่ถูกกว่าในละแวกนั้นได้ หรือลดขนาดห้องจาก 2 ห้องนอนเป็น 1 ห้องนอนเพื่อลดค่าใช้จ่าย
  4. ก่อนที่คุณจะนำเงินไปลงทุน คุณควรจะเตรียมกองทุนสำรองฉุกเฉิน (emergency savings fund) เอาไว้ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าให้มีเงินสำรองอย่างต่ำคือค่าใช้จ่ายของคุณทั้ง 3 เดือนรวมกันเผื่อไว้ในกรณีที่คุณตกงาน ใช้จ่ายเพื่อการรักษาทางการแพทย์ฉุกเฉิน หรือค่าใช้จ่ายที่คาดไม่ถึง
    • หลังจากที่เตรียมกองทุนสำรองฉุกเฉินไว้แล้ว คุณสามารถเริ่มต้นออมเงินของคุณเพื่อสร้างประวัติการลงทุนได้ (Investment portfolio)
  5. ใช้ประโยชน์จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในที่ทำงาน. บริษัทในสหรัฐอเมริกากว่าครึ่งหนึ่งมีสิ่งที่เรียกว่ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (401(k)) ซึ่งเป็นโครงการพิเศษที่จะหักเงินเดือนของคุณทุกๆ เดือนเป็นเงินเก็บเอาไว้ นอกจากนี้ ผู้ว่าจ้างส่วนใหญ่จะช่วยสมทบเงินที่คุณถูกหักออกไป ซึ่งอาจจะสมทบด้วยเงินจำนวนเท่ากับเงินที่คุณถูกหักหรืออาจจะสมทบบางส่วน
    • ประโยชน์ที่ได้จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพคือคุณจะมีเงินมากขึ้นโดยที่ไม่มีภาษี (ปกติแล้วภาษีจะถูกคิดและเก็บประจำปี โดยเก็บจากเงินลงทุน ซึ่งทำให้คุณรวยช้าลง) นอกจากนี้ เงินที่คุณบริจาคยังสามารถลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย ซึ่งหมายความว่าถ้าคุณจ่ายเงินไปกับการออมเงินหลังเกษียณ 15,000 บาท คุณก็ไม่ต้องจ่ายภาษีเงินได้ของเงินส่วนนี้นั้นเอง
    • สอบถามที่ทำงานของคุณถ้ามีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และแน่ใจว่าคุณจะใช้ประโยชน์จากมันได้ โดยเฉพาะถ้านายจ้างของคุณเสนอเงินสมทบให้ ซึ่งเป็นวิธีที่ดีมากที่จะเริ่มต้นเข้าสู่หนทางแห่งความร่ำรวย
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

ลงทุน

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การลงทุนอาจจะเป็นสิ่งที่ซับซ้อน แต่โชคดีที่ว่ามันไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้น จริงๆ แล้วคุณสามารถนำเงินออมมาลงทุนแล้วรอดูผลกำไรที่งอกเงยออกมาในระยะยาวได้ด้วยการยึดถือหลักการพื้นฐานเอาไว้
    • โดยทั่วไปแล้ว รูปแบบทางเลือกในการลงทุนมีอยู่ไม่มากนัก ซึ่งทางเลือกหลักๆ ก็คือหุ้น (Stock) และตราสารหนี้ (Bond) หุ้นเป็นตัวแทนของการถือครองธุรกิจ และตราสารหนี้เป็นตัวแทนของเงินที่คุณให้ธุรกิจหรือรัฐบาลยืมเพื่อแลกเปลี่ยนกับค่าตอบแทนที่น่าสนใจ
    • นักลงทุนส่วนใหญ่มักจะมีทั้งหนี้และส่วนของผู้ถือหุ้นในประวัติการลงทุนของพวกเขา
  2. เรียนรู้เกี่ยวกับกองทุนรวมและกองทุนรวมอีทีเอฟ. กองทุนรวมและกองทุนรวมอีทีเอฟ (Exchange traded funds: ETFs) มีความคล้ายคลึงกัน คือเป็นการรวมหุ้นและตราสารหนี้หลายๆ ตัวเข้าด้วยกัน กองทุนเหล่านี้จะช่วยให้คุณมีประวัติการซื้อขายหุ้นที่หลากหลายมากจนถึงขอบเขตเป็นไปได้โดยที่คุณลงทุนเพียงครั้งเดียว อย่างไรก็ตาม กองทุนทั้งสองรูปแบบก็มีส่วนที่ต่างกัน ดังนั้น ให้ศึกษากองทุนทั้งสองรูปแบบนี้ก่อนที่จะตัดสินใจว่าคุณจะลงทุนกับกองทุนใดกองทุนหนึ่ง
    • กองทุนรวมอีทีเอฟจะมีความยืดหยุ่นและมีอัตราค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับกองทุนรวม [1] นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยในการบริหารการจ่ายภาษี แต่จะได้กำไรจากการขายหุ้นน้อยกว่ากองทุนรวม [2]
    • กองทุนรวมอีทีเอฟจะซื้อขายหุ้นกันเหมือนวิธีซื้อขายปกติและราคาหุ้นจะผันผวนตลอดทั้งวัน ในขณะที่ราคาหุ้นของกองทุนรวมจะถูกคำนวนเพียงครั้งเดียวต่อวัน ด้วยการใช้ราคาหุ้นตอนปิดตลาดเพื่อความปลอดภัยของประวัติการลงทุนของกองทุนรวม [3]
    • กองทุนรวมจะมีคนคอยดูแลจัดการ ในขณะที่กองทุนรวมอีทีเอฟส่วนใหญ่จะไม่ทำเช่นนั้น การถือหุ้นของกองทุนรวมจะถูกเลือกโดยผู้จัดการกองทุนที่ต้องการทำให้กองทุนทำกำไรให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ผู้จัดการจะคอยติดตามตลาดและปรับปรุงการเงินของกองทุนรวมอยู่เสมอ
  3. ตัดสินใจดูว่าคุณต้องการที่จะเลือกนายหน้า (Broker) ผ่านอินเทอร์เน็ตหรือนายหน้าที่ดูแลคุณอย่างใกล้ชิด นายหน้าที่ดูแลคุณอย่างใกล้ชิดจะมีเวลาและความรู้มากพอที่จะช่วยให้การลงทุนของคุณประสบความสำเร็จได้ อย่างไรก็ตาม นายหน้าเหล่านี้จะเก็บค่าจ้างที่สูงมาก ถ้าคุณรู้สึกว่าคุณเข้าใจตลาดมากพอและอยากจะจัดการประวัติการลงทุนด้วยตัวเอง คุณอาจจะเลือกนายหน้าผ่านอินเทอร์เน็ตแทน เช่น TD Ameritrade, Capital One, Scottrade, E*Trade และ Charles Schwab เป็นต้น
    • ตระหนักถึงค่าใช้จ่ายก่อนที่จะเปิดบัญชีอยู่เสมอ เช่นเดียวกับเงินขั้นต่ำในบัญชี นายหน้าทุกคนจะเก็บค่าใช้จ่ายต่อการซื้อขายหุ้น 1 ครั้ง (โดยทั่วไปจะมีราคาประมาณ 150-300 บาท) และส่วนใหญ่ยังต้องการเงินขั้นต่ำที่ใช้เริ่มต้นลงทุนอีกด้วย (ประมาณ 15,000 บาทหรือมากกว่านั้น)
    • ในปัจจุบัน นายหน้าบนอินเทอร์เน็ตจะไม่ต้องการเงินเริ่มต้นลงทุนขั้นต่ำ ซึ่งรวมไปถึงนายหน้า Capital One Investing, TD Ameritrade, First Trade, TradeKing, และ OptionsHouse [4]
    • ถ้าคุณต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติม ก็ยังมีหลายวิธีที่คุณจะขอคำแนะนำทางการเงินได้ ถ้าคุณต้องการใครสักคนมาช่วยคุณเมื่อคุณไม่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการซื้อขาย (Non-sales environment) คุณสามารถหาที่ปรึกษาใกล้บ้านคุณได้จากเว็บไซต์เหล่านี้ (ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น) letsmakeaplan.org , www.napfa.org , garrettplanningnetwork.com นอกจากนี้ คุณสามารถหาที่ปรึกษาตามธนาคารหรือสถาบันการเงินต่างๆ ได้ อย่างไรก็ตาม ธนาคารและสถาบันการเงินส่วนใหญ่จะเก็บค่าธรรมเนียมคุณในอัตราที่สูงและต้องการเงินลงทุนขั้นต่ำที่สูง (จำนวนที่ต้องการโดยทั่วไปประมาณ 15,000,000-30,000,000 บาท)
    • ที่ปรึกษาบางราย (เช่น CERTIFIED FINANCIAL PLANNER™) มีความสามารถในการให้คำปรึกษาด้านการเงินในหลายๆด้าน เช่น การลงทุน ภาษีและการวางแผนหลังเกษียณ ในขณะที่รายอื่นๆ อาจจะทำได้แค่แนะนำคุณแต่ไม่ได้ให้คำปรึกษาคุณ นอกจากนี้ สิ่งหนึ่งที่คุณควรจะรู้ก็คือไม่ใช่ทุกคนที่ทำงานในสถาบันทางการเงินที่ยึดถือหลักความซื่อสัตย์สุจริต (Fiduciary duty) ต่อผลประโยชน์ของลูกค้าเป็นอันดับแรก ดังนั้น ให้ถามถึงประสบการณ์และการฝึกฝนที่พวกเขามีก่อนที่จะตัดสินใจร่วมงานกับใครสักคน เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขานั้นเข้ากับคุณได้ดี
  4. แทนที่จะลงทุนเงินทีละมากๆ และคาดหวังว่าเวลาจะทำให้ทุกอย่างออกมาดี คุณควรลงทุนบ่อยๆ เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุน การทำแบบนี้เป็นที่รู้จักในฐานะการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (Dollar Cost Averaging: DCA) [5] ในการลงทุนรูปแบบนี้ ให้จัดตารางการลงทุน (เช่น ลงทุน 1 ครั้งต่อเดือน) ในการซื้อหุ้นด้วยเงินที่ตั้งไว้ เมื่อราคาหุ้นตกลง คุณจะซื้อหุ้นได้มากขึ้น เมื่อราคาหุ้นสูงขึ้น คุณก็จะซื้อหุ้นได้น้อยลง ให้ทำแบบนี้ด้วยเงินเท่าเดิมทุกๆ เดือน [6]
    • ตัวอย่างเช่น คุณลงทุน 3,000 บาทในบริษัท ก เดือนละครั้ง ราคาหุ้นในเดือนนี้อยู่ที่ตัวละ 300 บาท ดังนั้นคุณจึงซื้อหุ้นนี้ 10 ตัว (ด้วยเงิน 3,000 บาทที่คุณมี) ราคาหุ้นในเดือนถัดไปอยู่ที่ตัวละ 600 บาท ดังนั้น คุณจึงซื้อเพิ่มอีก 5 ตัว (ด้วยเงิน 3,000 บาท) และทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ
    • คอยลงทุนอยู่เสมอไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในตลาดหุ้นก็ตาม ในปีค.ศ. 1956 (พ.ศ. 2499) เกิดภาวะตลาดถล่ม 11 แห่ง แต่ตลาดหุ้นก็ฟื้นตัวเพื่อให้มีรายได้มากกว่าที่เสียไปตลอดมา ดังนั้น ให้ลงทุนซื้อหุ้นเพิ่มทุกๆ เดือน และสบายใจกับความจริงที่ว่าความมั่งคั่งของคุณกำลังงอกเงยขึ้นเรื่อยๆ
  5. ความลับของความมั่งคั่งก็คือการเริ่มต้นลงทุนให้รวดเร็ว การทำแบบนี้จะช่วยให้ฐานะของคุณค่อยๆ “ผสมเล็กผสมน้อย” ไปเรื่อยๆ ซึ่งการผสมเล็กผสมน้อยก็คือเงินที่คุณเริ่มลงทุนไปนั้นจะเริ่มออกดอกออกผล จากนั้นในปีถัดไป ผลประโยชน์ที่ได้ก็คือเงินที่คุณเริ่มต้นลงทุนพร้อมกับผลประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นมา [7]
    • ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณลงทุน 3,000 บาทและได้กำไร 5% ในปีนี้ คุณก็จะมีเงิน 3,150 บาท ในปีถัดไปคุณอาจจะได้กำไรอีก 5% จาก 3,150 บาท ซึ่งหมายความว่าคุณก็จะมีเงิน 3,307.5 บาท ในปีถัดไปคุณก็ได้กำไรอีก 5% จาก 3,307.5 ก็จะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ
    • ผลที่ได้ในระยะยาวนั้นเป็นสิ่งที่น่าทึ่งมาก ถ้าคุณลงทุน 30,000 บาทต่อเดือนเมื่อ 30 ปีก่อน คุณอาจจะได้เงิน 50 กว่าล้านบาทในวันนี้ นี่เป็นวิธีที่แน่นอนที่สุดในการสร้างความร่ำรวยให้ตัวเอง
    • เรียนรู้เพิ่มเติมจากบทความด้านการลงทุนในวิกิฮาว
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

ลงทุนกับตัวเอง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การศึกษามัธยมปลาย (Secondary education) และหลังมัธยมปลาย (Post-secondary education) เป็นวิธีวางตัวเองอยู่บนทางแห่งความร่ำรวยที่มั่นคงที่สุด มีงานวิจัยพบว่าเด็กวัยรุ่นที่มีระดับการศึกษาปริญญาตรี (Bachelor's degree) มีรายได้กว่า 500,000 บาทต่อปี ซึ่งมากกว่าเด็กวัยรุ่นที่มีระดับการศึกษามัธยมปลาย และเด็กที่ได้รับฝึกฝนอาชีพมีรายได้มากกว่าเด็กที่จบมัธยมปลายกว่า 90,000 บาท (ผลวิจัยและสถิติทั้งหมดที่มีในบทความส่วนนี้เกิดจากการสำรวจประชากรในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น) [8]
    • งานวิจัยยังพบว่าเงินเดือนต่อคนที่จบการศึกษาระดับมัธยมปลายนั้นต่ำลงเรื่อยๆ
    • และงานวิจัยยังแสดงให้เห็นว่าอัตราการว่างงานของเด็กที่มีการศึกษาระดับมัธยมปลายนั้นมีมากกว่าเด็กที่มีการศึกษาในระดับหลังจากมัธยมศึกษา [9]
  2. เมื่อการศึกษาเพิ่มขึ้น เงินเดือนก็เพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้น อีกวิธีที่ดีที่สุดที่จะเพิ่มรายได้ของตัวเองก็คือการเพิ่มระดับการศึกษาของตัวเอง หนทางแห่งความร่ำรวยสามารถเริ่มได้จากการเลือกที่จะยกระดับการศึกษาของคุณ
    • ตัวอย่างเช่น เงินเดือนเฉลี่ยต่อปีของเด็กที่มีการศึกษาระดับอนุปริญญาตรีคือ 1,500,000 บาท ระดับปริญญาตรีอยู่ที่ 2,000,000 บาท ระดับปริญญาโทอยู่ที่ 2,500,000 บาท และระดับปริญญาเอกอยู่ที่ 3,500,000 บาท (จำนวนเงินเหล่านี้เกิดจากสำรวจกลุ่มคนในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น) [10]
  3. สำรวจทักษะ ความสามารถ ความสนใจ และพรสวรรค์ของตัวเอง. ไม่ว่าคุณจะมีระดับการศึกษาที่น้อยและอยากจะพัฒนา หรือมีการศึกษาอยู่แล้วและอยากจะเลือกสายงานที่แน่นอน ทุกอย่างเริ่มต้นจากการสำรวจตัวเอง
    • เชื่อมโยงความสามารถที่คุณมีติดตัวกับความสนใจและระดับการศึกษาที่คุณต้องการเพื่อเพิ่มรายได้และเดินหน้าสู่หนทางแห่งความร่ำรวย ถามตัวเองว่าพรสวรรค์ของคุณคืออะไร พิจารณาสิ่งที่คุณทำได้ดีกว่าคนอื่นๆ และสิ่งที่คุณได้รับคำชมอยู่บ่อยๆ
    • ถามตัวเองว่าหลงใหลหรือสนใจในสิ่งใด ยกตัวอย่างเช่น คุณมีความสนใจในศาสตร์หนึ่ง เช่น คณิตศาสตร์ หรืออาจจะเป็นกิจกรรมเฉพาะทาง เช่น การทำอาหาร เป็นต้น
    • มองหาสิ่งที่คาบเกี่ยวกันระหว่างพรสวรรค์กับความสนใจของคุณ ยกตัวอย่างเช่น คุณอาจจะสนใจในร่างกายมนุษย์ และยังเก่งวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ซึ่งความสนใจเหล่านี้จะส่งเสริมกันและกัน
  4. เลือกหนทางการศึกษาที่มีโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนสูง. ไม่ว่าจะดีหรือร้าย สายงานบางอย่างก็ให้ค่าตอบแทนที่มากกว่าสายงานอื่นๆ และอาจจะเป็นที่ต้องการในสังคม สถานการณ์ที่ดีที่สุดก็คือการมีสายงานหรืออาชีพที่ให้ค่าตอบแทนสูงที่เข้ากับความสามารถและความสนใจของคุณ ถ้าไม่มี ให้พิจารณาสำรวจสายงานเหล่านั้นเพื่อดูว่าคุณสามารถพัฒนาความสนใจไปเป็นสิ่งนั้นได้หรือไม่ [11]
    • ในปัจจุบัน (ในสหรัฐอเมริกา) ตัวอย่างของวิชาเอกในมหาวิทยาลัยที่ให้ค่าตอบแทนที่ที่สุดก็คือวิศวกรรม วิทยาการคอมพิวเตอร์ และเศรษฐศาสตร์ วิชาเอกเหล่านี้ล้วนมีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 2,000,000 บาทต่อปี
    • ถ้าคุณมีการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยและอยากจะเรียนต่อ สายอาชีพจำพวกกฎหมาย การแพทย์ และทันตแพทย์สามารถสร้างรายได้มากกว่า 3,000,000 บาทต่อปี
    • ดูให้ดีว่าคุณพิจารณาขายทักษะ (Skilled trades) ในฐานะอาชีพด้วยเหมือนกัน (การขายทักษะคือการที่คุณมีฝีมือในด้านใดด้านหนึ่งแล้วใช้ทักษะนั้นในการสร้างรายได้) ถ้าคุณเป็นคนที่ “มีประสบการณ์” ในการทำงานใดๆ ก็ตาม คุณก็สามารถสร้างรายได้จำนวนมากในการเรียนรู้การขายทักษะ ยกตัวอย่างเช่น ช่างทำท่อน้ำและติดตั้งระบบความร้อนในบ้านสามารถสร้างรายได้กว่า 1,5000,000 ต่อปี และผลกำไรที่เป็นไปได้นั้นแทบไม่จำกัดถ้าคุณทำธุรกิจเป็นของตัวเอง [12]
    • ก่อนที่คุณจะเลือกสายการศึกษา ให้ศึกษาว่ากลุ่มเป้าหมายของงานในปัจจุบันคืออะไร คุณต้องเข้าทำงานเมื่อใด และรายได้เฉลี่ยเป็นอย่างไร จำไว้ว่า สายงานที่เป็นที่นิยมอาจจะจางหายไปใน 5-10 ปี ซึ่งจะช่วยให้คุณแน่ใจได้ว่าจะกลับมาลงทุนได้ตอนไหน
  5. โชคไม่ดีที่ว่าการศึกษาใดๆ ล้วนมีค่าใช้จ่าย แต่ถ้าคุณเลือกวิชาเอกที่ดี คุณก็จะได้เงินที่ลงทุนกลับมาได้ และยังได้กำไรอีกด้วย
    • พิจารณาใช้เวลา 1-2 ปีก่อนที่คุณจะเรียนในการเก็บเงิน การทำแบบนี้จะช่วยลดจำนวนเงินที่คุณต้องกู้ยืมได้ ซึ่งจะทำให้คุณมีหนี้ค้างชำระน้อยเมื่อคุณเรียนจบแล้ว
    • เลือกพื้นที่การทำงานอย่างฉลาด ถ้าคุณไม่มีความสุขกับการอยู่ในเมืองใหญ่หรือมีข้อจำกัดทางครอบครัว ให้เลือกอยู่อาศัยไปเรียนในย่านที่ค่าครองชีพต่ำ การเลือกเมืองเล็กๆ สามารถช่วยให้คุณประหยัดเงินไปได้เป็นเงินหลายหมื่นบาทเลยทีเดียว
    • สมัครขอกู้ยืมเงินเพื่อใช้ในการศึกษา เงินกู้ประเภทนี้มักจะมีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าเงินกู้ธนาคาร และดอกเบี้ยมักจะกำหนดตายตัว ซึ่งคุณไม่จำเป็นต้องรีบจ่ายจนกว่าคุณจะจบ [13]
  6. ให้เพิ่มทักษะความเป็นมืออาชีพ ทักษะความเป็นผู้นำ ทักษะทางการเงิน ทักษะทางสังคม และทักษะการใช้ชีวิตทั่วไป การสร้างและรักษาคุณค่าในตัวเองจะทำให้คุณมีโอกาสอยู่เสมอไม่ว่าคุณจะเดินทางไหนก็ตาม การพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องจะทำให้คุณใช้ทรัพย์สินทางการเงินได้ดียิ่งขึ้น
    • การเพิ่มการศึกษาอย่างเสมอต้นเสมอปลายเป็นการเพิ่มโอกาสทางการสร้างรายได้ สิ่งใหม่ๆ ที่คุณเรียนจะช่วยให้คุณมีความสามารถมากยิ่งขึ้น
    โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 15,326 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา