บทความนี้ ร่วมเขียน โดย Gera Anderson, PsyD
. ดร. เจรา แอนเดอร์สันเป็นนักจิตวิทยาคลินิกที่มีใบอนุญาต โดยมีประสบการณ์มากกว่าห้าปี เธอเชี่ยวชาญในด้านสุขภาพพฤติกรรมแบบองค์รวม การประเมินทางประสาทจิตวิทยา และการจัดการความเจ็บปวด เธอได้ทำงานในสถานที่ให้บริการสุขภาพจิตชุมชน เรือนจำ โรงพยาบาลจิตเวช และโรงเรียน ดร. แอนเดอร์สันได้รับปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยมินนิโซตา ทวินซิตีส์และจบปริญญาเอกด้านจิตวิทยา สาขาจิตวิทยาคลินิก จากมหาวิทยาลัยเพพเพอร์ไดน์
มีการอ้างอิง 14 ข้อ
ที่อ้างอิงอยู่ในบทความ ซึ่งสามารถพบได้ทางด้านล่างของบทความ
บทความนี้ถูกเข้าชม 8,327 ครั้ง
ถ้าพ่อแม่ของคุณตั้งกฎเยอะแยะ คุณก็คงหาโอกาสไปเดตแทบไม่ได้ แต่โชคดีที่ยังพอมีวิธีที่จะทำให้พ่อแม่มีความสุขได้โดยที่คุณเองก็ยังได้ไปเดต วันนี้เราจะมาแบ่งปันเคล็ดลับที่จะทำให้คุณได้ใช้เวลากับแฟนหนุ่มแม้ว่าพ่อแม่ของคุณจะเข้มงวดมากก็ตาม ลองอ่านบทความด้านล่างนี้เพื่อหาวิธีใหม่ๆ ที่ช่วยให้คุณได้สานสัมพันธ์กับหนุ่มคนโปรด
ขั้นตอน
-
ทำให้พ่อแม่คิดว่าคุณสนใจเรื่องการพบปะสังสรรค์กับผู้คนมากกว่าการเดต. เล่าให้พ่อแม่ฟังว่าตารางเวลาของคุณอัดแน่นไปด้วยกิจกรรมกับผองเพื่อน เช่น ถ้าคุณจะไปโยนโบว์ลิ่งกับแฟน ก็ให้บอกว่าไปกันเป็นกลุ่ม ให้เพื่อนมารับตรงจุดที่พ่อแม่มองเห็นเพื่อนๆ พวกเขาจะได้เชื่อว่าไม่มีอะไรในกอไผ่ แล้วค่อยไปเจอแฟนทีหลัง [1] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- วิธีที่ง่ายที่สุดคือการบอกความจริงเสียเป็นส่วนใหญ่ ถ้าคุณบอกว่าจะอยู่กับเพื่อน ก็วางแผนใช้เวลาบางส่วนในวันนั้นกับเพื่อนๆ วิธีนี้จะทำให้คุณดูผ่อนคลายเมื่ออธิบายให้พ่อแม่ฟัง [2] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ถ้าคุณอยากแต่งตัวจี๊ดจ๊าดเวลาออกไปเจอแฟน ให้เอาเสื้อผ้าใส่ไว้ในกระเป๋าหรือเป้ และแต่งตัวออกจากบ้านตามปกติเหมือนเวลาคุณไปเรียนพิเศษ พ่อแม่จะได้ไม่สงสัยว่าคุณไปเดต [3] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
โฆษณา
-
พ่อแม่จะประทับใจเมื่อรู้ว่าคุณมีความรับผิดชอบแค่ไหน. บอกพวกเขาว่าคุณมีการบ้านเยอะแค่ไหน และบอกด้วยว่าคุณทำเองคนเดียวไม่ไหวหรอก บอกว่าคุณเข้าร่วมกลุ่มติวหนังสือหลายกลุ่ม แต่ถึงจะไปเดตคุณก็ต้องได้คะแนนดีๆ ด้วยนะ เมื่อคุณกลับมาบ้านพร้อมกับเกรดสวยๆ พ่อแม่จะยอมรับการตัดสินใจของคุณ [4] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- คุณอาจจะเล่าให้พวกเขาฟังว่าคุณต้องใช้เวลาทำการบ้านกี่ชั่วโมงเพื่อให้ข้ออ้างของคุณฟังขึ้นสุดๆ เช่น คุณอาจจะบอกว่า “หนูมีการบ้านต้องทำสัปดาห์ละ 15-20 ชั่วโมงเลยค่ะ!” [5] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- นอกจากนี้คุณก็อาจจะเล่าไปตรงๆ ว่าการบ้านเยอะขนาดไหน คุณอาจจะบอกพวกเขาว่า “ถ้าจะให้ทำการบ้านทั้งหมดนี้เองมันยากมากเลยค่ะ อีกอย่างเวลามีคนอื่นอยู่ด้วยแล้วหนูรู้สึกมีแรงกระตุ้นมากกว่า”
- คุณอาจจะตั้งเป้าหมายว่าจะทำการบ้านกับแฟนแล้วค่อยพักผ่อนด้วยกันทีหลังก็ได้ พ่อแม่ของคุณจะต้องดีใจที่คุณตั้งใจเรียน
-
พ่อแม่จะไม่กังวลถ้าเพื่อนโทรมา. เปลี่ยนชื่อแฟนในรายชื่อติดต่อ อย่าลืมลบอิโมจิหวานแหววทั้งหลาย เช่น หัวใจ (💕) หรือไฟ (🔥) ออกจากชื่อเขาด้วย คุณอาจจะแค่สลับชื่อเขากับชื่อเพื่อนสนิท เช่น ถ้าคุณพูดถึงเพื่อนสนิทที่ชื่อ “ธิชา” ตลอด ก็ให้เปลี่ยนชื่อแฟนเป็นชื่อนั้น พ่อแม่จะคิดว่าคุณก็แค่สนิทกับเพื่อนมากเท่านั้นเอง [6] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- เป็นไปได้มากๆ ที่รายชื่อติดต่อจะมีชื่อซ้ำกันสองชื่อ อย่าเผยไต๋ เช่น “ธิชา 2” เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นถ้าพ่อแม่มาเห็น พวกเขาจะสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
โฆษณา
-
พ่อแม่จะคิดว่าคุณโสด. โพสต์รูปที่คุณทำกิจกรรมสนุกๆ กับเพื่อนๆ คำคมสร้างแรงบันดาลใจ หรือความคิดเกี่ยวกับอนาคตของคุณ อย่าให้มีหลักฐานเป็นภาพคุณกำลังกอดตัวกลมกับแฟนและเช็กว่าไม่มีใครแท็กรูปคุณถ่ายคู่กับเขาในภาพอื่น ถ้าโซเชียลมีเดียของคุณไม่มีร่องรอยความโรแมนติกอยู่เลย พ่อแม่จะคิดว่าคุณไม่ได้คิดเรื่องการเดตเลยสักนิดเดียว [7] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Pew Research Center ไปที่แหล่งข้อมูล
- นอกจากนี้คุณกับแฟนหนุ่มยังได้ความเป็นส่วนตัวมากขึ้นด้วยหากคุณไม่ได้โพสต์รูปมากมาย คุณจะมีความสุขกับความสัมพันธ์โดยที่ไม่เจอกับเรื่องดราม่ามากนัก
-
เบี่ยงเบนความสนใจของพ่อแม่ออกจากความสัมพันธ์ของคุณ. พูดเรื่องต่างๆ ในแต่ละช่วงเวลาของวัน เช่น คุณอาจจะพูดถึงเกร็ดความรู้จากวิชาประวัติศาสตร์ระหว่างกินมื้อเช้า จากนั้นก็เล่าเรื่องความหวังและความฝันของคุณให้พ่อแม่ฟังช่วงมื้อเย็น พวกเขาอยากรู้เรื่องของคุณอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นพวกเขาจะดีใจมากที่ได้รู้เรื่องของคุณ [8] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ตอนเช้าคุณอาจจะพูดทำนองว่า “หนูไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตัวเองชอบประวัติศาสตร์โลก! หนูเรียนเรื่องเส้นทางสายไหม…”
- ระหว่างมื้อค่ำ คุณก็อาจจะเล่าสิ่งที่คุณอยากทำในอนาคตให้พ่อแม่ฟัง เช่น คุณอาจจะบอกว่า “หนูคิดว่าหนูอยากเรียนเอกควบภาษาต่างประเทศกับเศรษฐศาสตร์!”
- งานวิจัยกล่าวว่า ทักษะการเข้าสังคมและความภาคภูมิใจในตัวเองของคุณจะสูงขึ้นหากคุณพูดคุยกับพ่อแม่เป็นประจำ [9] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
โฆษณา
-
ไปในที่ที่พวกเขาไม่รู้จัก ความสัมพันธ์ของคุณจะได้ไม่มีเรื่องปวดหัว. ไปในที่ที่พ่อแม่หรือเพื่อนของพ่อแม่ไม่คิดจะไป เช่น อาจจะเป็นศูนย์รวมความบันเทิงในละแวกบ้าน แหล่งรวมร้านค้าต่างๆ หรือลานสเก็ตที่วัยรุ่นชอบไปรวมตัวกัน ถ้าคุณอยู่แค่ในพื้นที่ที่ผู้ใหญ่ไม่สนใจจะไป พวกเขาก็จะไม่เจอคุณกับแฟน [10] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Pew Research Center ไปที่แหล่งข้อมูล
- โรงเรียนก็เป็นสถานที่ที่เหมาะกับการพบปะกับแฟนหนุ่ม เพราะคุณสามารถคุยกันช่วงพักได้อย่างสนุกสนาน
- เวลาที่พ่อแม่ไปทำงาน คุณก็สามารถนั่งเล่นกับแฟนและเพื่อนๆ ของคุณสองคนได้ที่บ้านของใครสักคน
- นอกจากนี้คุณก็อาจจะทำกิจกรรมนอกหลักสูตรกับแฟนหนุ่มก็ได้ เช่น คุณสองคนอาจจะเข้าชมรมละครและได้ใช้เวลาร่วมกันเยอะๆ ระหว่างซ้อมละคร
-
ใกล้ชิดกับเขาเมื่ออยู่ด้วยกันตามลำพังเท่านั้นเพื่อให้ความสัมพันธ์เป็นเรื่องพิเศษ. ลืมการแสดงความรักในโซเชียลมีเดียหรือในที่สาธารณะไปได้เลย คุณทั้งคู่จะได้ไม่ต้องรับมือกับคำวิจารณ์จากพ่อแม่ เพื่อนๆ หรือเพื่อนของครอบครัว คุณจะกอดจูบคนรักของคุณมากแค่ไหนก็ได้เมื่ออยู่ด้วยกันตามลำพัง [11] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ถ้าพ่อแม่และเพื่อนๆ เข้ามาวุ่นวายกับความสัมพันธ์ของคุณไม่ได้ คุณสองคนก็จะได้คบกันอย่างสบายใจ
- เวลาที่อยู่ด้วยกันตามลำพัง บีบมือเขาแล้วบอกว่าคุณดีใจที่ได้เจอเขาอีก
- คุณอาจจะบอกเขาว่า “มันรู้สึกพิเศษมากเลยนะเวลาที่ได้แอบจูบคุณเพราะว่าไม่มีมองอยู่!”
โฆษณา
-
รู้จักค่านิยมของพ่อแม่ คุณจะได้เข้าใจพวกเขา. คุณอาจจะถามพ่อแม่ว่าสมัยที่พ่อแม่อายุเท่าคุณพวกเขามีแฟนได้หรือเปล่า คุณอาจจะได้รู้ว่าพวกเขาคิดว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้วหรือไม่ ถามว่าพวกเขาจะอนุญาตให้คุณมีแฟนไหม ถ้าพวกเขาบอกว่าไม่ ปล่อยให้พวกเขาอธิบายมุมมองของตัวเอง พ่อแม่จะรู้สึกดีที่คุณตั้งใจฟัง และอาจจะสงสัยว่าตัวเองควรยืดหยุ่นกว่านี้หรือเปล่า [12] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- คุณอาจจะเริ่มชวนคุยด้วยการพูดทำนองว่า “ตอนพ่อแม่อายุเท่าหนู พ่อแม่มีแฟนได้มั้ยคะ แล้วอยากมีหรือเปล่า”
- เกริ่นว่ายุคสมัยของคุณนั้นแตกต่างจากสมัยของพ่อแม่เล็กน้อยอย่างไร เช่น คุณอาจจะพูดว่า “สมัยนี้คนอายุเท่าหนูเขาก็ไปเที่ยวกันหลังเลิกเรียนเป็นเรื่องปกตินะคะ พ่อแม่คิดว่าไงคะ”
- คุณอาจจะถามถึงสิ่งที่พวกเขาคิดว่าจะตามมาด้วยก็ได้ เช่น คุณอาจจะถามว่า “แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหนูมีแฟนขึ้นมาจริงๆ”
-
ย้ำให้พ่อแม่มั่นใจว่าคุณรับผิดชอบเรื่องต่างๆ ได้. เขียนรายการสิ่งที่สำคัญกับคุณ จากนั้นอธิบายวิธีการจัดการเวลาทั้งหมดของคุณให้พ่อแม่ฟัง ให้พวกเขาดูเกรด ปฏิทินเข้าสังคม และเวลานอน ถ้าคุณทำให้พ่อแม่เห็นว่าคุณมุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จ คุณก็จะได้พิสูจน์ว่าคุณสามารถจัดการเรื่องความสัมพันธ์ได้นอกเหนือจากเรื่องอื่นๆ [13] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ถ้าคุณจัดกลุ่มติวหนังสือที่คุณตั้งใจจริงๆ ให้บอกพ่อแม่เรื่องนี้ อธิบายว่าคุณมีเครือข่ายช่วยกันเรียนที่เป็นกลุ่มเพื่อนที่มีความมุ่งมั่นเหมือนกันกับคุณ
- บอกพ่อแม่ว่าสุขภาพก็เป็นเรื่องสำคัญสำหรับคุณเช่นกัน เมื่อพวกเขารู้ว่าคุณดูแลร่างกายและจิตใจของตัวเอง พ่อแม่ก็จะโล่งใจ และพวกเขาก็จะเชื่อมั่นว่าคุณจะตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง
- ย้ำกับพ่อแม่ว่าความสัมพันธ์กับผู้อื่นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และคุณแค่ต้องการคนรักที่คอยสนับสนุนคุณ
โฆษณา
-
บอกพ่อแม่ว่าคุณอยู่กับเขาในที่สาธารณะเพื่อทำความดี. สร้างความผูกพันกับพวกเขาและเปิดใจเล่าเรื่องความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าให้พวกเขาฟัง เช่น คุณอาจจะมุ่งมั่นเรื่องการเก็บขยะบริเวณชายหาดหรือเสิร์ฟอาหารที่โรงทาน พ่อแม่จะดีใจที่รู้ว่าคุณเป็นคนที่มีประโยชน์ต่อสังคม เมื่อคุณออกไปข้างนอก ให้ชวนแฟนหนุ่มมาทำงานอาสาสมัครกับคุณด้วย การได้เป็นทีมเดียวกันนอกจากจะโรแมนติกแล้วยังสร้างความแตกต่างได้ด้วย [14] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- คุณอาจจะบอกพ่อแม่แค่ว่าเขาเป็นเพื่อนอาสาสมัคร แทนที่จะบอกว่าเป็นแฟน
- เล่าประโยชน์ของงานบริการชุมชนให้พ่อแม่ฟัง เช่น คุณอาจจะพูดว่า “งานอาสาสมัครนอกจากจะทำให้หนูมั่นใจแล้ว หนูยังได้เพื่อนใหม่และได้ประสบการณ์การทำงานด้วย” [15] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ย้ำกับพ่อแม่ว่าคุณยังได้ “ประกาศนียบัตรอาสาสมัคร” ด้วย ซึ่งจะช่วยให้ใบสมัครเข้าศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัยและประวัติการทำงานของคุณดูดีขึ้นมาก
-
บอกข้อดีของเขาให้พ่อแม่ฟัง พ่อแม่จะได้เริ่มชอบเขา. ถ้ามีเรื่องน่ารักๆ ว่าคุณสองคนเจอกันได้อย่างไร ก็เล่าให้พวกเขาฟัง เช่น เขาอาจจะเคยติวเลขให้คุณ จากนั้นคุณก็ปลื้มเขามากๆ เล่าต่อและอธิบายว่าเขาทำให้ชีวิตคุณสบายขึ้นอย่างไร เมื่อพวกเขารู้ว่าเขาเป็นแรงบวกในชีวิตของคุณ พ่อแม่ก็มีแนวโน้มที่จะยอมรับเขามากขึ้น [16] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ชี้ให้เห็นว่าคนรักช่วยให้คุณไปถึงเป้าหมายของตัวเองได้อย่างไร คุณอาจจะพูดประมาณว่า “ตั้งแต่เราคบกัน หนูสอบแคลคูลัสได้คะแนนถึง ‘80%’ ตลอดเลยค่ะ!”
- เล่าให้ฟังว่าแฟนหนุ่มของคุณประทับใจในสิ่งที่คุณเป็นอย่างไร เช่น คุณอาจจะพูดว่า “เขาชอบงานศิลปะของหนูทุกชิ้นเลยค่ะ เขาบอกว่าหนูควรส่งพอร์ตโฟลิโอไปที่มหาลัยที่เราคุยกัน!”
- ชื่นชมนิสัยของเขาด้วยเช่นกัน เช่น คุณอาจจะเล่าว่า “เขามีน้ำใจมากเลยค่ะ เขาได้รางวัล ‘นักเรียนคุณธรรม’ ที่โรงเรียนด้วยนะคะ!”
โฆษณา
บทความวิกิฮาวอื่น ๆ ที่่เกี่ยวข้อง
ข้อมูลอ้างอิง
- ↑ https://www.teenvogue.com/story/parents-hate-friends
- ↑ https://www.psychologytoday.com/us/blog/thinking-about-kids/201609/how-lie-your-parents
- ↑ https://www.seventeen.com/life/friends-family/a26283/strict-parent-struggles/
- ↑ https://people.com/health/homework-biggest-cause-teen-stress/
- ↑ https://people.com/health/homework-biggest-cause-teen-stress/
- ↑ https://lovesyllabus.com/hide-a-long-distance-relationship/
- ↑ https://www.pewresearch.org/internet/2015/10/01/social-media-and-romantic-relationships/
- ↑ https://kidshealth.org/en/teens/talk-to-parents.html
- ↑ https://www.sciencedaily.com/releases/2012/08/120821143907.htm
- ↑ https://www.pewresearch.org/internet/2015/08/06/chapter-2-how-teens-hang-out-and-stay-in-touch-with-their-closest-friends/
- ↑ https://www.researchgate.net/publication/271347840_Public_and_Private_Physical_Affection_Differences_between_Same-Sex_and_Different-Sex_Couples_The_Role_of_Perceived_Marginalization
- ↑ https://www.rootsofaction.com/integrity/
- ↑ https://fazeteen.com/how-to-balance-social-life-with-studies/
- ↑ https://blogs.volunteermatch.org/4-reasons-every-teen-should-volunteer
- ↑ https://blogs.volunteermatch.org/4-reasons-every-teen-should-volunteer
- ↑ https://www.romper.com/p/11-signs-you-have-a-supportive-partner-who-will-always-be-there-for-you-5542