ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

รอยแผลเป็นที่ขาทั้งไม่น่าดูและอาจทำให้คุณรู้สึกอายหากต้องโชว์ขา ถึงแม้ว่าเราไม่สามารถทำให้มันหายสนิทได้ แต่มีครีม เจล เวชภัณฑ์ และ ยาสามัญประจำบ้านมากมายที่สามารถลดเลือนรอยแผลเป็นให้จางลง และไม่ว่าแผลเป็นเป็นผลมาจากรอยไหม้ ศัลยกรรม การบาดเจ็บ โรคอีสุกอีใส สิว หรือ แมลงสัตว์กัดต่อย แผลเป็นแบบต่างๆ ก็มีวิธีรักษาในแบบของตัวเอง โดยวิธีการนั้นอยู่ด้านล่างนี้แล้ว

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 4:

การลดเลือนรอยแผลเป็น

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ก่อนที่คุณจะเลือกวิธีการรักษา สิ่งสำคัญที่คุณควรรู้คือแผลเป็นของคุณเป็นแผลประเภทใด เพราะการรักษาบางวิธีก็ได้ผลกับเฉพาะแผลเป็นบางชนิดเท่านั้น ดังนั้นคุณควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางผิวหนังก่อนเสาะหาวิธีการรักษา แผลเป็นสามารถแบ่งออกเป็นประเภทหลักๆ ดังนี้:
    • แผลเป็นนูน (Keloid scars) : แผลเหล่านี้มีรูปร่างนูนเป็นก้อนใหญ่ เกิดจากบาดแผลที่รักษาตัวเองอย่างรวดเร็ว แผลเป็นนูนอาจลุกลามไปเรื่อยๆ และอาจกลับมาเป็นซ้ำหลังจากรักษาแล้ว มักพบในผู้ป่วยที่ผิวสีเข้ม
    • แผลเป็นนูนเกิน (Hypertrophic scars) : แผลเป็นชนิดนี้มีสีแดงหรือชมพู แล้วสีจะจางลงเมื่อเวลาผ่านไป อาจเกิดจากการไหม้หรือการศัลยกรรมและอาจก่อให้เกิดอาการคัน
    • แผลเป็นหลุม (Atrophic scars) : แผลเป็นชนิดนี้มีลักษณะเป็นหลุมลึก เป็นร่องรอยหลังจากเป็นสิวอย่างรุนแรงหรือเป็นโรคอีสุกอีใส
    • ผิวแตกลาย (Stretch marks) : แผลเหล่านี้เป็นเส้นบางสีม่วงแดง เกิดจากน้ำหนักที่ขึ้นหรือลงอย่างรวดเร็ว มักเกิดกับสตรีมีครรภ์ เมื่อผ่านไปรอยเหล่านี้จะจางลงและเปลี่ยนเป็นสีขาว
    • แผลเป็นหดรั้ง (Contracture scars) : แผลเป็นเหล่านี้มักเกิดจากการไหม้ที่รุนแรงและกินพื้นที่ผิวหนังเป็นบริเวณกว้าง แผลจะทำให้รู้สึกตึงโดยเฉพาะบริเวณที่อยู่ใกล้ข้อต่อ และอาจทำให้เคลื่อนไหวได้ลำบากขึ้น
    • จุดด่างดำ (Dark spots) : รอยประเภทนี้ที่จริงไม่ใช่แผลเป็น แต่เป็นร่องรอยหลังการอักเสบ มักมาจากยุงหรือแมลงสัตว์กัดต่อย
  2. คุณควรเริ่มรักษาแผลเป็นด้วยครีมหรือวิธีการรักษาแบบอื่นที่เหมาะสมทันทีที่แผลหายดี ยารักษาแผลเป็นส่วนใหญ่ให้ผลดีในขณะที่แผลเป็นยังใหม่อยู่มากกว่าแผลที่เป็นมานานแล้ว ทั้งยังช่วยประหยัดเงินและเวลาของคุณได้อีก
  3. แผลเป็นส่วนใหญ่มักจางลงพร้อมการผลัดเซลล์ผิวใหม่ คุณสามารถช่วยผิวหนังของคุณให้ผลัดเซลล์ผิวได้โดยการขัดด้วยสครับหรือแปรงขนอ่อนขณะอาบน้ำ [1]
  4. นี่เป็นคำแนะนำที่สามารถช่วยลดเลือนรอยแผลเป็นอย่างได้ผลที่มักถูกละเลย คนส่วนใหญ่มักไม่รู้สึกว่ารอยแผลเป็นใหม่ไวต่อรังสียูวีและการเปิดให้ผิวรับแสงแดดเป็นสาเหตุที่ทำให้รอยแผลเป็นคล้ำลงกว่าสาเหตุอื่น การทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 เป็นต้นไปที่รอยแผลเป็นจะช่วยชะลอการเปลี่ยนสีได้ [1]
  5. การนวดขาตัวเองเป็นประจำช่วยทำลายเนื้อเยื่อเส้นใยที่เป็นสาเหตุของการเกิดรอยแผลเป็น รวมทั้งยังช่วยระบบไหลเวียนโลหิตที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนสีของรอยแผลเป็นด้วย คุณสามารถนวดขาด้วยแปรงขัดตัวระหว่างอาบน้ำหรือใช้มือนวดวนไปตามแนวขาก็ได้
  6. คอนซีลเลอร์ดีๆ สักอันก็สามารถช่วยคุณปกปิดรอยแผลเป็นได้ ต้องแน่ใจด้วยว่าสีของคอนซีลเลอร์เข้ากับสีผิวของคุณ และคุณทาได้แนบเนียนกับผิวหนังโดยรอบ คอนซีลเลอร์กันน้ำเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดหากคุณต้องโชว์เรียวขาในสภาพอากาศที่คาดการณ์ไม่ได้ และการแต่งหน้า (แผล) แบบแสดงละครซึ่งหนากว่าการแต่งหน้าแบบปกติก็ช่วยปกปิดรอยแผลเป็นที่ชัดเจนได้มากทีเดียว
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 4:

การใช้ยาสามัญประจำบ้าน

ดาวน์โหลดบทความ
  1. วิตามินอีถูกใช้ในการรักษาสุขภาพและความงามมาเป็นเวลายาวนาน และผู้คนต่างยืนยันว่ามันได้ผลดีในการรักษารอยแผลเป็น น้ำมันวิตามินอีเป็นผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้นและอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยฟื้นฟูผิวของคุณและทำให้เนื้อเยื่อที่ได้ถูกทำลายดูดีขึ้น
    • คุณสามารถรับประทานวิตามินอีที่อยู่ในรูปแคปซูลหรือเจาะเอาน้ำมันมาทาเฉพาะจุดก็ได้ [2]
    • คุณอาจต้องทดสอบด้วยการทาวิตามินอีลงบนพื้นที่เล็กๆ บนผิวหนังของคุณก่อน เพราะวิตามินอีอาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ในบางราย [3]
  2. โกโก้บัตเตอร์เป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่ช่วยทำให้รอยแผลเป็นจางลงได้โดยให้ความชุ่มชื้นและทำให้รอยแผลเป็นชั้นนอกและชั้นกลางนุ่มลง ในขณะเดียวกันก็ทำให้ผิวเนียนนุ่มขึ้นด้วย ควรใช้โกโก้บัตเตอร์บริสุทธิ์หรือโลชั่นที่มีส่วนผสมของโกโก้บัตเตอร์ทาบริเวณที่มีรอยแผลเป็น 2 -4 ครั้งต่อวัน [4]
    • ควรนวดวนจนรู้สึกว่าโกโก้บัตเตอร์ซึมเข้าสู่ผิวอย่างเต็มที่
    • โกโก้บัตเตอร์ให้ผลดีที่สุดกับรอยแผลเป็นที่ยังใหม่อยู่มากกว่ารอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นนานแล้ว ถึงแม้มันจะให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นทั้งคู่ก็ตาม
  3. น้ำมะนาวสดเป็นยาสามัญประจำบ้านพื้นฐานสำหรับการรักษารอยแผลเป็นที่ได้รับคำวิจารณ์ในหลากหลายแง่มุม มันถูกเชื่อว่าสามารถลดเลือนรอยแผลเป็นได้ด้วยการกัดสีจนเหลือเพียงรอยแดงเล็กน้อยเท่านั้น ในขณะที่น้ำมะนาวสดช่วยลดเลือนรอยแผลเป็นของใครหลายคน วิธีนี้กลับไม่ได้รับการรับรองจากแพทย์ผิวหนัง เพราะน้ำมะนาวสดจะทำให้ผิวหนังหยาบและแห้ง ทั้งยังไม่มีการยอมรับในทางวิทยาศาสตร์ว่าสามารถลดเลือนรอยแผลเป็นได้อีกด้วย [5]
    • หากคุณเลือกใช้น้ำมะนาวสดกับรอยแผลเป็นของคุณ ให้หั่นมะนาวเป็นชิ้นเล็กแล้วบีบให้น้ำมะนาวหยดลงที่รอยแผลเป็นของคุณโดยตรง ทิ้งไว้ข้ามคืนหรือหลายชั่วโมง และอย่าทำมากกว่าวันละครั้ง
    • หากคุณรู้สึกว่าน้ำมะนาวสดรุนแรงเกินไป คุณสามารถผสมน้ำเปล่าหรือผสมกับแตงกวาบดเพื่อลดความรุนแรงลดได้
  4. ว่านหางจระเข้เป็นพืชที่รู้จักกันดีว่ายางของมันมีสรรพคุณในการให้ความชุ่มชื้นและช่วยบรรเทาอาการบาดเจ็บได้ โดยส่วนใหญ่มักใช้ว่านหางจระเข้รักษาแผลไฟไหม้ แต่นอกจากนี้ยังสามารถเป็นการรักษาแผลแบบธรรมชาติได้อีกด้วย ว่านหางจระเข้มีคุณสมบัติต้านอาการอักเสบและต้านเชื้อแบคทีเรีย ทำให้มันได้ผลดีที่สุดกับรอยแผลเป็นที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ (ถึงแม้ว่าไม่ควรจะใช้กับแผลเปิดโดยตรงก็ตาม) ว่านหางจระเข้จะรักษาและช่วยในการฟื้นฟูผิว ทั้งยังค่อยๆ ลดเลือนรอยแผลเป็นไปในตัว [6]
    • สำหรับการใช้ว่านหางจระเข้ ให้ตัดใบออกมาจากกอ บีบยางที่มีลักษณะใสเหมือนเจลลงบนรอยแผลโดยตรง จากนั้นนวดยางว่านหางจระเข้วนเป็นวงเล็กๆ ว่านหางจระเข้อ่อนโยนต่อผิวมาก คุณจึงสามารถใช้ยางของมันได้ถึง 4 ครั้งต่อวัน
    • ถ้าคุณไม่มีต้นว่านหางจระเข้ (ที่ถึงแม้คุณควรจะมีไว้เป็นพืชสวนครัวประจำบ้านก็ตาม) ก็ยังมีครีมและโลชั่นที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากว่านหางจระเข้ก็ให้ผลลัพธ์ที่เท่าเทียมกัน
  5. น้ำมันมะกอกเป็นอีกหนึ่งการรักษาที่กล่าวกันว่ารักษารอยแผลเป็นได้ โดยเฉพาะน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ถูกเชื่อว่าให้ผลลัพธ์ดีที่สุดเช่นเดียวกับค่าความเป็นกรดที่สูงที่สุดในบรรดาน้ำมันมะกอกด้วยกัน และยังมีส่วนประกอบของวิตามินอีและวิตามินเคสูงอีกด้วย [7] น้ำมันมะกอกจะทำให้ผิวเนียนนุ่มชุ่มชื้น ทำให้เนื้อเยื่อบริเวณรอยแผลเป็นคลายตัวลง ในขณะเดียวกัน ความเป็นกรดในน้ำมันมะกอกก็จะช่วยผลัดเซลล์ผิวไปในตัว
    • ทาน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ลงบนบริเวณรอยแผลเป็นแล้วนวดวนจนน้ำมันซึมซาบเข้าสู่ผิว คุณสามารถใช้น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์เป็นสครับได้โดยนำไปผสมกับเบกกิ้งโซดา 1 ช้อนชา นำสครับที่ผสมแล้วขัดผิวจากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่น
    • คุณสามารถเพิ่มประสิธิภาพของการรักษาด้วยน้ำมันมะกอกได้ด้วยการนำไปผสมกับน้ำมันชนิดอื่น ผสมน้ำมันมะกอก 2 ส่วนเข้ากับน้ำมันผลกุหลาบ, คาโมมายล์ หรือ น้ำมันดาวเรือง 1 ส่วน น้ำมันที่นำมาผสมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาของน้ำมันมะกอกให้ดียิ่งขึ้น
  6. การใช้แตงกวาเป็นการรักษาตามธรรมชาติที่ปลอดภัยซึ่งมีคนกล่าวว่ามันช่วยทำลายเนื้อเยื่อรอยแผลเป็นได้ ในขณะเดียวกันก็ช่วยรักษาและทำให้แผลไฟไหม้เย็นลง เช่นเดียวกับการรักษาที่เคยกล่าวมา มันได้ผลดีกับรอยแผลเป็นที่เพิ่งเกิดมากกว่ารอยแผลเป็นที่ผ่านมานานแล้ว การใช้แตงกวาทำได้โดยปอกเปลือกออก สับหยาบๆ แล้วนำไปปั่นในเครื่องผสมอาหารจนเป็นเนื้อเดียวกัน นำแตงกวาที่ปั่นแล้วทาลงบนรอยแผลเป็นแล้วทิ้งไว้ข้ามคืน หรือทาให้หนา ทิ้งไว้ 20 นาทีแล้วล้างออก [8]
    • แตงกวาปั่นที่เหลือสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้นานหลายวัน และคุณควรทาบนรอยแผลเป็นอย่างต่อเนื่องทุกคืน
    • คุณสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาได้ด้วยการผสมแตงกวาปั่นกับผลิตภัณฑ์ที่ได้กล่าวมาแล้ว เช่น น้ำมะนาวสด น้ำมันมะกอก หรือ ว่านหางจระเข้ เป็นต้น
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 4:

การใช้ยาจำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์

ดาวน์โหลดบทความ
  1. มีผลิตภัณฑ์หน้าเคาน์เตอร์มากมายตามร้านขายยาที่อ้างสรรพคุณว่าทำให้รอยแผลเป็นจางลง รวมไปถึงทำให้รอยแผลเป็นหายขาดเลยก็มี ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะช่วยคุณได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับประเภทและความรุนแรงของแผลเป็นที่คุณมี
    • ถึงแม้ว่าผู้เชียวชาญด้านผิวหนังยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอัตราความสำเร็จของครีมเหล่านี้ [9] ก็มีหลายคนที่ใช้ผลิตภัณฑ์อย่างMedermaและ Vita-K ได้ผล
    • Mederma ได้ผลดีกับผิวแตกลายและรอยแผลเป็นชนิดอื่นๆ ถ้าใช้อย่างต่อเนื่องวันละ 3-4 ครั้งเป็นระยะเวลา 6 เดือน โดยจะทำให้รอยแผลเป็นทั้งที่ขาและจุดอื่นๆ บนร่างกายนุ่มและชุ่มชื้น [10]
  2. แผ่นปิดรอยแผลเป็นเป็นสุดยอดนวัตกรรมเพื่อต่อสู้กับรอยแผลเป็นโดยเฉพาะรอยแผลเป็นที่ไม่น่ามอง แผ่นปิดรอยแผลเป็นสามารถติดได้โดยไม่ต้องใช้กาว มันจึงติดอยู่บนผิวของคุณ ในขณะเดียวกันเทคโนโลยีซิลิโคนก็จะให้ความชุ่มชื้น เนียนนุ่ม และลดเลือนรอยแผลเป็นไปพร้อมกัน แผ่นปิดรอยแผลเป็นมีขายตามเคาน์เตอร์หรือร้านค้าออนไลน์ และในหนึ่งกล่องมักมีสำหรับใช้ 8-12 สัปดาห์
    • แผ่นปิดรอยแผลเป็นซิลิโคนได้รับการยืนยันว่าสามารถรักษารอยแผลเป็นได้ แต่ต้องอาศัยเวลาและความอดทนกว่าจะเห็นผลลัพธ์ที่สังเกตได้ แผ่นปิดรอยแผลเป็นนี้ต้องติดทุกวัน วันละ 12 ชั่วโมง เป็นเวลามากกว่า 2-3 เดือน [11]
  3. ไวท์เทนนิ่งครีมที่มีส่วนผสมของไฮโรควิโนนจะลดเลือนรอยแผลเป็น เช่น ผิวแตกลายและจุดด่างดำ โดยจะมุ่งไปที่รอยด่างที่เป็นต้นเหตุของรอยแผลเป็นสีน้ำตาลเข้ม ดำ แดง และ ม่วง ครีมเหล่านี้จะทำให้สีชองรอยแผลเป็นค่อยๆ สว่างขึ้นจนไม่เป็นที่สังเกตในที่สุด
    • ระวังครีมที่มีส่วนผสมของไฮโดรควิโนน ถึงแม้จะให้ผลดี แต่ก็ถูกสั่งห้ามประเทศในทวีปยุโรปเพราะมีคุณสมบัติเป็นสารก่อมะเร็งและและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งผิวหนังอีกด้วย [12]
    • ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของไฮโดรควิโนนยังมีวางจำหน่ายที่เคาน์เตอร์ในสหรัฐอเมริกา โดยส่วนผสมจะอยู่ในอัตราร้อยละ 2 เท่านั้น หากต้องการผลิตภัณฑ์ที่มีอัตราส่วนผสมของไฮโรควิโนนมากกว่านี้จำเป็นจะต้องมีใบสั่งยา
    โฆษณา
วิธีการ 4
วิธีการ 4 ของ 4:

เข้ารับการรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การกรอผิวเป็นวิธีผลัดเซลล์ผิวโดยใช้เครื่องกรอที่มีหัวเป็นแปรงขนหรือวงล้อเพชรซึ่งสามารถขจัดผิวชั้นบนสุดและผิวบริเวณรอบรอยแผลเป็น ผิวจะถูกสร้างขึ้นใหม่ในหลายสัปดาห์และร่องรอยของรอยแผลเป็นจะหายไปมากทีเดียว การกรอผิวมักใช้สำหรับการรักษาสิวและรอยแผลเป็นบนใบหน้า แต่ก็สามารถรักษารอยแผลเป็นที่ขาได้โดยศัลยแพทย์ที่ได้รับการรับรอง การกรอผิวที่ขาเป็นขั้นตอนที่ละเอียดอ่อน เพราะจะทำให้ผิวที่ขาบางลงมาก และจะเป็นข้อเสียมากกว่าข้อดีหากกรอลึกเกินไป [13]
    • การกรอผิวที่ขามักแนะนำให้ทำในรายที่มีจุดด่างดำหรือแผลเป็นหลุมที่เกิดจากยุงกัดหรือกรณีอื่นๆ เท่านั้น ส่วนแผลเป็นนูนและแผลเป็นนูนเกินไม่ควรรักษาด้วยวิธีนี้
    • นัดพบศัลยแพทย์ตกแต่งที่สามารถวิเคราะห์แผลเป็นของคุณและตัดสินใจได้ว่าคุณควรทำการกรอผิวหรือไม่ อย่าลืมด้วยว่ากระบวนการทางความงามนี้ไม่ได้รับความคุ้มครองจากประกันภัย
  2. การลอกผิวด้วยสารเคมีสามารถใช้เป็นการรักษารอยแผลเป็นบนขาแบบผิวเผินได้ และได้ผลดีโดยเฉพาะกับรอยแผลเป็นที่เกิดจากจุดด่างดำ ในการลอกผิวด้วยสารเคมี แพทย์ผิวหนังจะทาสารละลายที่มีฤทธิ์เป็นกรดลงบนผิวบริเวณที่เป็นรอยแผลเป็น และทิ้งไว้ประมาณ 2 นาที คุณจะรู้สึกแสบร้อน จะหายเมื่อกรดหยุดกัดกร่อนผิวของคุณและหลังจากชำระล้างสารละลายกรดออกไปแล้ว ในระยะเวลา 2 ต่อจากนี้ผิวชั้นบนของคุณจะเริ่มลอกและเหลือทิ้งไว้แต่ผิวใหม่ที่เนียนนุ่ม [14]
    • ขึ้นอยู่กับรอยแผลเป็นของคุณ คุณอาจจะต้องทำการลอกผิวด้วยสารเคมีหลายครั้งกว่าจะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงบนผิวของคุณได้
    • ระวังผิวบริเวณที่เพิ่งผ่านการลอกมา เพราะเป็นส่วนที่บอบบางมาก และคุณจำเป็นต้องปกป้องด้วยการหลีกเลี่ยงแสงแดดและทาครีมกันแดดที่มีค่าป้องกันแสงแดดสูงอีกหลายสัปดาห์
  3. การรักษาด้วยเลเซอร์เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการรักษารอยแผลเป็นลึกมากกว่าการรักษาด้วยการกรอผิวหรือลอกผิวด้วยสารเคมี การรักษาด้วยเลเซอร์จะทำการเผาไหม้เนื้อเยื่อ ทำให้ผิวใหม่เกิดขึ้นมาแทนที่ผิวส่วนที่เป็นรอยแผลเป็น ก่อนการรักษาจะทาครีมชนิดพิเศษที่จะทำให้เกิดอาการชา จึงไม่ทำให้เจ็บขณะรักษา ประโยชน์อีกอย่างของการรักษาด้วยเลเซอร์คือสามารถรักษาเฉพาะในจุดที่เป็นรอยแผลเป็นได้โดยไม่กระทบผิวรอบข้าง [15]
    • ควรเข้ารับการรักษาด้วยเลเซอร์กับคลินิกที่เป็นที่ยอมรับและพนักงานที่ได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดีเท่านั้น เพราะเลเซอร์อาจเป็นอันตรายหากใช้ไม่ถูกวิธี
    • คุณอาจจะต้องกลับไปที่คลินิกเพื่อเข้ารับการรักษาอีกหลายครั้งเพื่อให้รอยแผลเป็นหายไป ข้อเสียของทางเลือกนี้คือค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง โดยเริ่มต้นที่ประมาณ 30000-150000 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดและความลึกของรอยแผลเป็น
  4. การฉีดสเตียรอยด์ใช้กับแผลเป็นนูนที่กำจัดได้ยากอย่างได้ผล สำหรับแผลเป็นนูนขนาดเล็ก การฉีดสเตียรอยด์ (ที่มีส่วนผสมของสารไฮโดรคอร์ติโซน) จะฉีดเข้าไปที่ผิวบริเวณรอบรอยแผลเป็นโดยตรง ส่วนในแผลเป็นนูนขนาดใหญ่อาจจะต้องเฉือนออกก่อนฉีดสเตียรอยด์ [16]
    • การรักษาด้วยสเตียรอยด์เป็นกระบวนการรักษาที่ต้องทำมากกว่าหนึ่งครั้ง และคุณจะต้องกลับไปที่คลินิกทุกๆ 2-3 สัปดาห์เพื่อฉีดสเตียรอยด์เพิ่ม
    • การรักษานี้มี่อัตราความสำเร็จที่สูงก็จริง แต่ก็มีค่าใช้จ่ายสูงและอาจเกิดรอยด่างสำหรับผู้ป่วยที่มีสีผิวเข้ม ควรปรึกษากับศัลยแพทย์ด้านความงามก่อนเพื่อตัดสินใจว่าการรักษานี้เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคุณหรือไม่ [17]
  5. การฉีดคอลลาเจนหรือไขมันชนิดอื่น สามารถช่วยในการทำให้รอยแผลเป็นหลุม เช่น รอยจุดและหลุมที่ทิ้งไว้หลังจากโรคอีสุกอีใสหายแล้วให้ดีขึ้นอย่างได้อย่างมาก คอลลาเจนเป็นโปรตีนธรรมชาติที่มาจากสัตว์ ซึ่งสามารถฉีดเข้าสู่ผิวได้ด้วยเข็มขนาดเล็กจึงเข้าไปเติมเต็มร่องหลุมลึกได้ ถึงแม้ว่าได้ผลดีแค่ไหนก็ตาม แต่การรักษาด้วยคอลลาเจนก็ไม่สามารถคงอยู่ได้ตลอดไปตราบใดที่ร่างกายยังคงดูดซึมคอลลาเจนจากธรรมชาติ คุณจำเป็นต้องเติมทุกๆ 4 เดือน [18]
    • คอลลาเจนหนึ่งเข็มราคาประมาณ 7,500 บาท ดังนั้นการเลือกทางนี้เพื่อรักษารอยแผลเป็นจึงเป็นการสิ้นเปลืองมาก
    • คุณควรทดสอบก่อนฉีดคอลลาเจนเข้าสู่ร่างกายเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่เกิดผลข้างเคียงของการรักษา
    โฆษณา

คำเตือน

  • ต้องแน่ใจว่าคุณไม่มีอาการแพ้ต่อสิ่งที่ใช้รักษาก่อนที่จะใช้กับขาของคุณ ลองทดสอบด้วยการป้ายเป็นจุดเล็กๆ เพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะไม่เกิดอาการแพ้
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 50,206 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา