ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

การขายสินค้าไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไร ในระดับขั้นพื้นฐานที่สุด โปรแกรมการขายก็มีระบุไว้อย่างเป็นระบบแล้วว่าคุณขายอะไร ขายให้ใคร และจะขายอย่างไร แต่นอกเหนือไปจากนั้นการขายเกี่ยวข้องกับการใส่ใจรายละเอียดของสินค้าและลูกค้า ในขณะที่โปรแกรมการขายดำเนินไป คุณจะต้องให้ความสำคัญกับแนวโน้ม ความต้องการ หรือความปรารถนาของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป การสังเกตการเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยให้คุณสามารถปรับโปรแกรมและทำให้การขายของคุณแข็งแกร่งต่อไปได้

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

แสดงความสนใจต่อสินค้า

ดาวน์โหลดบทความ
  1. [1] ถ้าคุณสามารถถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับสินค้าและตอบคำถามของลูกค้าได้ พวกเขาก็จะเข้าใจว่าคุณเอาใจใส่สินค้าจริงๆ ถ้าคุณเห็นว่าสินค้าของคุณมีคุณค่า ลูกค้าก็มีแนวโน้มที่จะเห็นว่ามันมีคุณค่าเช่นเดียวกัน
    • คุณจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้จักสินค้าของคุณอย่างทะลุปรุโปร่ง ถ้าคุณไม่รู้ในสิ่งที่ลูกค้าถาม ให้พูดประมาณว่า “ฉันก็ไม่ทราบคำตอบที่ชัดเจนนะคะ แต่ดิฉันยินดีที่จะค้นและติดต่อคุณทันทีที่ทราบ เมื่อได้คำตอบแล้วไม่ทราบว่าดิฉันจะติดต่อคุณได้ดีที่สุดทางไหนคะ”
  2. เช่นเดียวกับการเล่าข้อมูลที่ดีเกี่ยวกับตัวสินค้าให้คนที่ใช่ฟัง คุณจำเป็นที่จะต้องตีความลักษณะของสินค้าให้กลายเป็นประโยชน์ให้ได้ วิธีนี้จะทำให้ลูกค้าเข้าใจง่ายขึ้นว่าทำไมเขาจึงควรซื้อสินค้า ลองนึกถึงคำถามต่อไปนี้ : [2]
    • สินค้าตัวนี้จะทำให้ชีวิตของลูกค้าง่ายขึ้นไหม
    • สินค้าตัวนี้จะสร้างความรู้สึกถึงความหรูหราหรือไม่
    • สินค้าตัวนี้เป็นสิ่งที่สามารถใช้ร่วมกันได้หลายคนหรือเปล่า
    • สินค้าตัวนี้เป็นของที่ใช้ได้นานหรือไม่
  3. ถ้าคุณไม่ได้ทำการขายโดยตรงแบบต่อหน้า คุณก็ต้องแน่ใจว่าข้อมูลที่ดีเกี่ยวกับสินค้านั้นได้สื่อผ่านบรรจุภัณฑ์ขายปลีก การนำเสนอสินค้า ณ จุดขาย และสื่อการตลาดแบบอื่นๆ [3] และแม้ว่าคุณจะขายสินค้าโดยตรงหรือกำลังขายสินค้า การมีข้อมูลที่ดีเกี่ยวกับสินค้าบนที่จัดแสดงจะช่วยให้คุณดึงดูดใจลูกค้าได้ [4] [5]
    • คุณต้องแน่ใจว่าข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับตัวสินค้านั้นให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ถูกต้อง และครบถ้วน
    • คุณต้องแน่ใจว่าภาษาที่อยู่บนบรรจุภัณฑ์และสื่อการตลาดนั้นชัดเจน ตรงไปตรงมา และอ่านง่าย
    • ลงทุนเวลาและเงินเพื่อให้แน่ใจว่า สินค้า บรรจุภัณฑ์ และสื่อโฆษณาดูดี ภาพถ่ายคุณภาพสูง สีคมชัด เป็นต้น
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

สร้างความสัมพันธ์กับผู้ซื้อ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. [6] [7] คนขายที่ดีจะเชื่อมั่นในสินค้าที่ขายไป และส่งต่อความหลงใหลนี้ไปยังลูกค้าด้วย วิธีการแสดงความรักที่มีต่อสินค้ามีอยู่หลายวิธีด้วยกัน
    • อย่าละเลยเรื่องภาษากายและน้ำเสียง คุณจะสื่อถึงพลังและความกระตือรือร้นได้ด้วยการพูดเกี่ยวกับสินค้าอย่างชัดเจนและแสดงสีหน้าท่าทางต่างๆ เวลาพูดถึงสินค้า แต่ถ้าคุณพูดงึมงำเวลาที่ลูกค้าถามคำถามเกี่ยวกับสินค้าหรือกอดอก มันจะดูเหมือนคุณทำตัวห่างเหินและไม่ได้สนใจตัวสินค้ามากนัก
    • เตรียมตัวเล่าว่าคุณใช้สินค้าอย่างไร หรือลูกค้าคนอื่นๆ ที่พอใจในสินค้าเขาใช้สินค้ากันอย่างไร เรื่องเล่าที่เจาะจงเกี่ยวกับตัวสินค้าจะทำให้ลูกค้ารู้สึกเข้าถึงได้ เช่น ถ้าคุณขายแชมพู คุณอาจจะบอกลูกค้าประมาณว่า: “ปกติแล้วผมของดิฉันชี้ฟูมากเลยค่ะ แต่ตั้งแต่เริ่มใช้แชมพูตัวนี้ผมก็ตรงสลวยอย่างที่เห็นอยู่นี่แหละค่ะ”
  2. [8] คุณต้องตอบคำถามที่ลูกค้าถามเกี่ยวกับสินค้าของคุณให้ได้ แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ คุณต้องสามารถคาดการณ์คำถามนั้นได้ก่อน วิธีนี้แสดงให้เห็นว่าคุณเข้าใจความต้องการของลูกค้า เพราะฉะนั้นคุณต้องสามารถเชื่อมโยงกับลูกค้าในด้านจิตใจให้ได้ด้วยการพูดถึงความต้องการเหล่านั้น [9]
    • ลองนึกถึงลูกค้าทั่วๆ ไป สิ่งที่กระตุ้นพวกเขาคืออะไร พวกเขาต้องการอะไร พวกเขาเป็นพวกคนหนุ่มสาว ยังโสดอยู่ไหม รวยหรือเปล่า มีครอบครัวไหม
    • พอคุณมีไอเดียแล้วว่าลูกค้าคิดอะไรในใจ ให้นึกดูว่าสินค้าของคุณจะช่วยตอบสนองความต้องการของลูกค้าหรือช่วยให้เขาบรรลุความต้องการของพวกเขาได้อย่างไร
  3. ถ้าคุณทำงานที่เป็นการขายโดยตรง วิธีสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้านั้นสำคัญมาก แทนที่จะถามคำถามปลายปิดอย่าง "มีอะไรให้ช่วยไหมคะ” ให้ถามคำถามปลายเปิดที่ฟังดูเป็นเชิงบวกมากกว่า เช่น "กำลังมองหาอะไรให้ตัวเองอยู่หรือเปล่าคะ หรือว่าหาของขวัญให้คนพิเศษอยู่คะ" [10] นอกจากนี้ให้เตรียมพร้อมคำพูดเด็ดๆ เกี่ยวกับสินค้าที่จะทำให้ลูกค้าสนใจและเริ่มบทสนทนาที่ลึกซึ้งขึ้น เช่น ถ้าคุณทำงานเกี่ยวกับการขายเสื้อผ้าปลีก คุณอาจจะพูดว่า : “คุณรู้ไหมคะ ตอนนี้ปาร์ตี้เสื้อสเวตเตอร์คริสมาสต์เฉิ่มๆ กำลังมาแรงเลยนะคะ คุณเคยไปมาบ้างแล้วหรือยังคะ”
  4. เปลี่ยนแรงกระตุ้นของลูกค้าให้กลายเป็นลักษณะของสินค้า. ในทางการตลาด วิธีนี้เรียกว่า "การกำหนดตำแหน่งครองใจ" ประกอบด้วยการเทียบสินค้ากับความหวังและความปรารถนาของลูกค้า มีปัจจัยต่างๆ มากมายที่สำคัญต่อการกำหนดตำแหน่งครองใจให้กับตัวสินค้า [11] :
    • กำหนดตำแหน่งครองใจของสินค้าในจุดที่ดีที่สุดในตลาดเท่าที่เป็นไปได้ อย่าขายสินค้าในจุดที่สูงเกินไปหรือต่ำเกินไปในแง่ของความสามารถในการซื้อและความหรูหรา
    • กำหนดตำแหน่งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสินค้าตามคนที่คุณกำลังขายสินค้าให้ คุณอาจจะมีข้อเท็จจริงต่างๆ จำนวนหนึ่ง แต่มันก็ขึ้นอยู่กับทักษะของคุณที่จะรู้ว่า ข้อเท็จจริงข้อไหนที่เหมาะกับการขายในแต่ละครั้งมากที่สุด
    • อย่าสร้างข้อเท็จจริงขึ้นมาเองหรือโกหกหน้าตาเฉย การกำหนดตำแหน่งครองใจของสินค้าเป็นเรื่องของการรับรู้ ไม่ใช่การหลอกลวง
    • กำหนดตำแหน่งของข้อเท็จจริงเพื่อให้ข้อเท็จจริงขายตัวสินค้าเอง หมายความว่าคุณค่าด้านบวกและเป็นที่ปรารถนาของตัวสินค้าคือสิ่งที่ทำให้สินค้าขายได้ บริษัทที่เก่งในเรื่องนี้ได้แก่ Coca-Cola Apple และสินค้าหรือตราของนักออกแบบหลายๆ ยี่ห้อ ลองคิดดูว่าสินค้าของคุณจะเชื่อมโยงกับวิถีชีวิตหรือคุณค่าได้อย่างไร โดยไม่ใช่แค่เรื่องของการใช้งานเพียงอย่างเดียว
    • เช่น ถ้าคุณกำลังพยายามขายรถมินิแวนที่ค่อนข้างหรูหราให้กับคนมีอายุที่ฐานะร่ำรวย คุณอาจจะพูดถึงลักษณะที่หรูหราของมันด้วยการพูดประมาณว่า : “ดูตรงขอบไม้นี่สิคะ สวยมากเลยค่ะ และยังมีที่นั่งหนังแท้นุ่มๆ ด้วยนะคะ นั่งแล้วสบายมากเลยค่ะ เหมาะกับการขับรถไปชมพระอาทิตย์ตกมากๆ เลย”
    • แต่ถ้าคุณขายรถมินิแวนคันเดียวกันนี้ให้กับครอบครัวที่มีลูก 3 คน คุณก็ต้องเน้นลักษณะที่เป็นประโยชน์ใช้สอยมากกว่า เช่น คุณอาจจะพูดประมาณว่า : “ที่นั่งเบาะสามเพิ่มพื้นที่กว้างสำหรับพาเพื่อนๆ ไปไหนมาไหน และพับลงได้ถ้าหากคุณต้องการพื้นที่ขนของเวลาซื้อของเข้าบ้าน อุปกรณ์กีฬาต่างๆ หรือของอื่นๆ ค่ะ นอกจากนี้ยังมีถุงลมนิรภัยด้านข้างและระบบป้องกันการเบรกจนล้อล็อกตายด้วยนะคะ”
  5. ขายสินค้าอย่างซื่อสัตย์ . แฟนสินค้าระยะยาวของคุณจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อคุณซื่อสัตย์กับพวกเขา หมายความว่าคุณควรจะบอกข้อมูลเกี่ยวกับตัวสินค้าแบบไม่หมกเม็ดและยอมรับว่ามีเรื่องที่คุณไม่รู้หรือมีสิ่งผิดพลาดที่คุณได้ทำลงไป อย่ากลัวที่จะซื่อสัตย์ เพราะมันช่วยสร้างความไว้วางใจ
    • ถ้าคุณไม่สามารถตอบคำถามลูกค้าหรือให้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการได้ ให้เสนอว่าจะติดตามให้ทีหลังทันทีที่คุณทำได้
    • คุณต้องทำให้ลูกค้ารู้ว่า พวกเขากลับมาหาคุณทีหลังได้เสมอถ้าพวกเขามีคำถามหรือข้อสงสัย
    • ถ้ากลายเป็นว่าสินค้านั้นไม่เหมาะกับลูกค้า ให้ยอมรับอย่างซื่อสัตย์และช่วยลูกค้าหาว่าอะไรคือสิ่งที่เขาหรือเธอต้องการจริงๆ [12] ถึงแม้ว่าวันนี้คุณจะขายของไม่ได้ แต่ความซื่อสัตย์และความมีน้ำใจของคุณจะเป็นที่จดจำ และแปรเปลี่ยนเป็นการขายในวันข้างหน้าได้
    • เช่น ถ้าคุณกำลังขายรถสปอร์ตให้ลูกค้าที่สุดท้ายแล้วบอกคุณว่า เขามีลูกเล็ก 5 คนที่ต้องขับรถไปส่งโรงเรียนทุกวัน คุณก็อาจจะพูดประมาณว่า : “ถ้าเป็นอย่างนั้นคุณก็อาจจะเหมาะกับรถมินิแวนหรือรถ SUV ดีๆ สักคันมากกว่า แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณมองหารถอีกคันนึงก็สามารถกลับมาคุยกับดิฉันได้นะคะ ดิฉันจะช่วยให้คุณได้ราคาดีๆ ค่ะ”
  6. รูปแบบและวิธีปิดการขายมีอยู่หลายแบบด้วยกัน แต่วิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดคือ "ปิดการขายให้ได้เสมอ" [13] ขณะที่คุณย้ำความสนใจของว่าที่ลูกค้าที่มีต่อสินค้า ให้ลองตะล่อมปิดการขายด้วยการพูดว่า "เป็นยังไงคะ ใช่สินค้าที่คุณต้องการไหม" หรือ “คุณคิดว่ายังไงบ้างคะ สินค้าตัวนี้ตอบโจทย์คุณไหม”
  7. การมีท่าทีเซ้าซี้มากเกินไปทำให้ลูกค้าหลายรายหมดอารมณ์ที่จะซื้อ [14] พวกเขาอาจจะอยากกลับบ้านไปดูข้อมูลในอินเทอร์เน็ตคร่าวๆ เพิ่มอีกสักหน่อย ก็ปล่อยให้เขากลับไปพร้อมกับภาพการขายสินค้าอย่างกระตือรือร้นและสนับสนุนลูกค้าในใจ ถ้าคุณซื่อสัตย์ คอยช่วยเหลือ เข้าอกเข้าใจลูกค้า และกระตือรือร้น และถ้าข้อมูลที่คุณให้ลูกค้าตรงกับสิ่งที่เขาอ่านในอินเทอร์เน็ต พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะกลับมาซื้อสินค้าของคุณ
    • บางครั้งการให้ลูกค้าเป็นฝ่ายนำก็ให้ประโยชน์เช่นเดียวกัน ให้เวลาลูกค้าได้พิจารณาและอยู่เงียบๆ ตอนที่ลูกค้ากำลังพิจารณาสินค้า ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเฉพาะตอนที่ลูกค้าถามเท่านั้น [15]
    • อย่าปล่อยให้ลูกค้าหลุดลอยไปโดยไม่รู้ว่าเขาจะติดต่อคุณได้อย่างไร ถ้าคุณทำงานในร้านหรือในสถานที่ที่แน่นอน คุณต้องบอกให้ลูกค้ารู้ว่าพวกเขาจะหาคุณเจออีกครั้งได้อย่างไร (โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณต้องเดินไปเดินมา) คุณต้องบอกลูกค้าประมาณว่า "ถ้าคุณต้องการความช่วยเหลือ ดิฉันจะมาที่เคาน์เตอร์ทันทีค่ะ" หรือ "ถ้าคุณมีคำถามก็ให้คนขายคนไหนก็ได้ตามตัวดิฉันได้เลยค่ะ"
    • นอกจากนี้คุณยังสามารถให้ข้อมูลติดต่อของคุณเพื่อที่ลูกค้าจะได้ติดต่อคุณได้หากพวกเขามีคำถามหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม แนบนามบัตรหรือข้อมูลการติดต่ออื่นๆ แก่ลูกค้าและพูดว่า: "ถ้าคุณมีคำถามก็โทรหาดิฉันได้ตลอดเวลาเลยนะคะ และคุณก็สามารถพบดิฉันได้ที่ร้านนี้ช่วงวันธรรมดาค่ะ"
    • ใช้สัญชาตญาณ ถ้าคุณคิดว่าลูกค้าใกล้จะซื้อแล้ว ให้อยู่ใกล้ๆ โดยไม่เข้าไปขัดจังหวะ ลูกค้าต้องหาตัวคุณได้อย่างรวดเร็ว เพราะคุณคงไม่อยากให้ว่าที่ลูกค้าตัดสินใจซื้อของแต่กลับหาตัวคุณไม่เจอ
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

ขายสินค้าในฐานะเจ้าของสินค้า

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ศึกษาสินค้าในทุกๆ ด้านที่นำไปสู่การปิดการขายสินค้า. ในฐานะผู้ขายที่เป็นเจ้าของสินค้า ซึ่งก็คือคนที่เป็นเจ้าของธุรกิจที่ขายสินค้านี้ คุณมีความสามารถในการสร้างแรงจูงใจที่มากไปกว่าแค่การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ซื้อ นอกจากกลยุทธ์ต่างๆ ที่กล่าวในบทความนี้ คุณยังสามารถใช้เครื่องมืออื่นๆ ในการเพิ่มยอดขายของคุณได้ การโฆษณา การขายสินค้า และการตลาดคือเครื่องมือเสริมการขายของคุณ [16] การขายคือเป้าหมายของเครื่องมือเสริมนี้ และคนขายที่เป็นเจ้าของธุรกิจที่ดีก็ต้องมีความเข้าใจในแต่ละเครื่องมือตามที่กล่าวมาดีพอ
    • อ่านหนังสือการตลาดพื้นฐาน หนังสือเหล่านี้จะบอกคุณเกี่ยวกับกลวิธีและเทคนิคหลายอย่างที่เป็นพื้นฐานของการโฆษณา การขายสินค้า และการตลาด
  2. คุณต้องทำให้ข้อมูลสินค้าของคุณปรากฏอยู่ในช่องทางการขายให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทุกวันนี้ช่องทางการโฆษณาสินค้าที่มีประสิทธิภาพนั้นมีเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากความก้าวหน้าทางการสื่อสาร เพิ่มช่องทางการวางข้อมูลสินค้าให้มากขึ้นเพื่อให้ว่าที่ลูกค้าของคุณได้มีโอกาสเข้าถึงสินค้าของคุณจากที่ต่างๆ ช่องทางที่ว่านี้ได้แก่ :
    • ปากต่อปาก
    • โฆษณา (วิทยุ ทีวี สื่อสิ่งพิมพ์ อีเมล โซเชียลมีเดีย โฆษณาออนไลน์ และอื่นๆ)
    • ตัวแทนจำหน่าย
    • งานแสดงสินค้า
    • งานสัมมนา
    • การเสนอขายสินค้าทางโทรศัพท์
    • โฆษณาสินค้าในภาพยนตร์ งานกีฬา และอื่นๆ
    • งานชุมชนในท้องถิ่น (เช่น การบริจาคสินค้าให้กับการประมูลเพื่อระดุมทุนในท้องถิ่นจะช่วยดึงความสนใจมาที่สินค้าของคุณและเป็นการสนับสนุนการช่วยเหลือด้วย) [17] [18]
  3. [19] [20] คุณควรวิเคราะห์การขายของคุณในแต่ละช่วงเวลาอย่างสม่ำเสมอ สินค้าขายดีไหม สต็อกสินค้ามีน้อยหรือเยอะ คุณได้กำไรหรือเปล่า คู่แข่งของคุณขายดีไหม การที่คุณสามารถตอบคำถามนี้ได้จะช่วยให้ขายสินค้าได้มากขึ้นและทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคง
  4. ถ้าคุณขายไม่ดี คุณก็จำเป็นต้องเข้าสู่โหมดแก้ปัญหา การปรับปรุงยอดขายเกี่ยวข้องกับการประเมินสินค้า ฐานลูกค้า และการตลาดใหม่อีกครั้ง [21]
    • เปลี่ยนกลยุทธ์เป็นช่วงๆ ถ้าลูกค้าได้ยินรูปแบบการขายแบบเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หรือไม่ว่าจะผ่านไปกี่เดือนพวกเขาก็ยังเห็นการจัดแสดงสินค้าแบบเดิมๆ สินค้าของคุณก็อาจจะเริ่มไม่น่าสนใจ
    • ลองกำจัดสินค้าออกไปจากไลน์สินค้าถ้าหากสินค้าชิ้นนั้นขายไม่ดี คุณอาจจะขายสินค้าในสต๊อกไปในราคาถูกเพื่อให้ได้เงินสดกลับคืนมา
    • ทบทวนตลาดเป้าหมายของคุณและลับคมการตั้งเป้าการขายของคุณให้ดี ผู้ซื้อของคุณอาจจะเปลี่ยนไป และคุณก็ต้องตามพวกเขาให้ทัน หรือไม่ก็หาตลาดใหม่
    • ประเมินรูปแบบสินค้า การจำหน่าย บรรจุภัณฑ์ และอื่นๆ อีกครั้ง การปรับเปลี่ยนสินค้าโดยคำนึงถึงตลาดเป้าหมายและกลยุทธ์การขายจะช่วยเพิ่มยอดขายของคุณได้
    • เปลี่ยนราคาสินค้า การศึกษาข้อมูลการขายและยอดขายของคู่แข่งอาจทำให้คุณบอกได้ว่าคุณขายสินค้าแพงไปหรือถูกไป
    • ทำให้สินค้าของคุณพิเศษ หรือวางขายสินค้าในระยะเวลาจำกัดเท่านั้น บางครั้งการควบคุมจำนวนสินค้าด้วยวิธีนี้สามารถเพิ่มอุปสงค์และการขายได้ แต่คุณต้องแน่ใจว่ากลวิธีนี้เข้ากับกลยุทธ์การขายในภาพรวม ถ้าคุณทำการตลาดสินค้าว่าเป็นสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี การทำการตลาดว่าสินค้าของคุณเป็นสินค้าพิเศษด้วยอาจจะไม่ได้ผล
    โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 9,276 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา