ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

คุณชงกาแฟได้มากมายหลายวิธีมาก แต่บทความวิกิฮาวนี้จะมาแนะนำ 2 - 3 เคล็ดลับเด็ด ที่จะช่วยให้คุณชง กาแฟ ด้วย เครื่องชงกาแฟ ออกมา ชั้นหนึ่ง ถ้าที่บ้านไม่มีเครื่องชงกาแฟ ก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะคุณยังชงกาแฟแสนอร่อยได้โดยใช้อุปกรณ์ดริปกาแฟ (coffee dripper) และแก้ว/ถ้วยกาแฟ หรือชงกาแฟแบบ French press ไม่ก็ใช้แก้วกับผ้าเช็ดจาน (tea towel) ผืนใหม่สะอาดๆ

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 6:

ชงกาแฟแบบ French Press

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เปิดฝา และเอา plunger ออกมาก่อน จากนั้นใส่กาแฟเข้าไป ให้ใส่กาแฟบดไป 2 ช้อนโต๊ะ (14 กรัม) ต่อการชงกาแฟ 1 แก้ว [1]
    • ห้ามใช้กาแฟบดหยาด เพราะจะไปอุดตันตาข่าย ล้างทำความสะอาดยาก
    • ห้ามใช้กาแฟบดละเอียด เพราะจะ ไหลผ่าน ตาข่าย เข้าไปปนในกาแฟที่ชงไว้
  2. ต้มน้ำให้เดือด จากนั้นยกลง พักไว้ประมาณ 10 วินาที ตวงน้ำให้ได้ 8 ออนซ์ (240 มล.) ต่อกาแฟ 1 แก้ว แล้วเทใส่กระบอกได้เลย [2]
    • จากนั้นคนนิดหน่อยให้ผสมกับกาแฟ
  3. กด plunger ลงไปแค่พอให้ตาข่ายกรองอยู่เหนือระดับน้ำพอดี ตอนนี้อย่าเพิ่งกดลงไปจนสุด [3]
  4. จับ French press ไว้ให้มั่นด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างกด plunger ลงไป กดปั๊มลงไปช้าๆ จนถึงก้น French press [4]
  5. หรือจะแต่งรสด้วยนมกับน้ำตาลตามใจชอบก่อนก็ได้ หลังจากนั้นให้ล้างทำความสะอาด French press ด้วยน้ำกับน้ำยาล้างจานอ่อนๆ
    • ผึ่ง plunger กับตัวกระบอกแยกกัน และอย่าเพิ่งนำกลับไปประกอบ จนกว่าทุกอย่างจะแห้งสนิท
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 6:

ใช้แก้วกับอุปกรณ์ดริปกาแฟ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ใส่อุปกรณ์ดริปกาแฟที่ด้านบนของถ้วย แล้วใส่กระดาษกรองกาแฟเข้าไป. ที่ดริปกาแฟ (coffee dripper) จะเหมือนกรวยหงาย มีจานรองแก้วข้างล่าง ให้เอาที่ดริปกาแฟนี้วางซ้อนบนถ้วยกาแฟ ให้ส่วนที่เหมือนจานรองอยู่บนปากแก้ว ให้ส่วนกรวยตั้งอยู่ด้านบน สุดท้ายใส่กระดาษกรองกาแฟเข้าไปในกรวย
    • ให้ใช้วิธีเดียวกันนี้ เวลาชงกาแฟด้วยที่ชง Chemex แค่ใส่กระดาษกรองกาแฟเข้าไปที่ด้านบน แล้วทำตามขั้นตอน
    • จะใช้ที่กรองกาแฟแบบเดียวกับที่ใช้ในเครื่องชงกาแฟก็ได้ หรือใช้กระดาษกรองแบบซอง หรือถ้วยก็แล้วแต่สะดวก
    • อาจจะราดน้ำร้อนใส่กระดาษกรองก่อน แล้วทิ้งน้ำแรกไป เพื่อไม่ให้มีรสกระดาษติดมาด้วย
  2. ถ้าอยากชงกาแฟเข้มๆ ให้ใส่ 2 ช้อนโต๊ะ (14 กรัม) แทน จะใช้กาแฟที่ยังไม่บดก็ได้ แต่บอกเลยว่ากาแฟจะ รสดีกว่าเยอะ ถ้าใช้เมล็ดกาแฟบดสดๆ แทน
  3. ต้มน้ำพอประมาณจนเดือด จากนั้นยกลง พักไว้ให้เย็นลงประมาณ 10 วินาที จากนั้นเทน้ำใส่กาแฟบดให้พอชุ่ม [5]
    • อย่าเพิ่งเทน้ำไปทั้งหมด เพราะกาแฟจะต้อง "bloom" ก่อน โดยจะใช้เวลาประมาณ 30 วินาที พูดง่ายๆ คือกาแฟจะดูดซับน้ำเข้าไป แล้วเป็นฟองเล็กน้อย
  4. เราจะต้องใช้น้ำทั้งหมดประมาณ 6 ออนซ์ (180 มล.) ด้วยกัน แต่เพื่อไม่ให้น้ำล้น ให้เทน้ำลงไปในกระดาษกรองทีละ 1 นิ้ว (2.5 ซม.) แล้วรอจนน้ำแห้งลงไปก่อนค่อยเทเพิ่ม [6]
    • ถ้าเทน้ำลงไปในที่ดริปกาแฟทีเดียว 6 ออนซ์ (180 มล.) ระวังน้ำจะซึมลงไปไม่ทัน จนน้ำล้นออกมาจากที่ดริป
  5. พอได้กาแฟในแก้วแล้ว ให้ยก dripper ออก ทิ้งกระดาษกรองกาแฟ และกากกาแฟ จากนั้นเติมครีมและน้ำตาล เท่านี้กาแฟก็พร้อมเสิร์ฟ
    • เสร็จแล้วให้ทิ้งกระดาษกรองและกากกาแฟทันที จากนั้นล้างทำความสะอาดที่ดริปกาแฟ ไม่ให้มีเศษตกค้าง
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 6:

ชงกาแฟด้วยเครื่อง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. จะใส่น้ำแค่ไหนก็แล้วแต่ว่าจะชงกาแฟกี่แก้ว แต่โดยทั่วไปให้ใช้น้ำประมาณ 6 ออนซ์ (180 มล.) ต่อกาแฟ 1 แก้ว จะตวงน้ำด้วย carafe ใส่ไวน์ หรือใช้ถ้วยตวงก็สะดวกดี [7]
    • ให้ใช้น้ำกรองหรือน้ำดื่มบรรจุขวด อย่าชงกาแฟด้วยน้ำก๊อก น้ำกลั่น หรือน้ำอ่อน
    • ถ้าที่เครื่องมีเส้นบอกจำนวนแก้ว ก็ให้ใส่น้ำไปตามนั้น แต่บางเครื่องชงกาแฟก็ต้องใส่น้ำเพิ่มอีก เพื่อทดแทนน้ำที่ระเหยไป
  2. เปิดส่วนใส่กระดาษกรองกาแฟ แล้วสังเกตข้างใน เครื่องชงกาแฟบางเครื่องจะมีตะกร้าตาข่ายกรองกาแฟ ก็ใช้แทนกระดาษกรองได้เลย แต่ถ้าเครื่องที่คุณใช้ไม่มีตะกร้ากรอง ให้ใส่กระดาษกรองได้เลย
    • กระดาษกรองที่ใช้กับเครื่องชงกาแฟ มีหลายแบบด้วยกัน บางทีก็เป็นทรงเหมือนถ้วย บางทีก็เหมือนซอง ให้เลือกที่ใช้ได้กับเครื่องชงกาแฟของคุณ
    • ถ้าเครื่องชงกาแฟที่ใช้ มีตะกร้าตาข่ายกรองอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องใช้กระดาษกรองเพิ่มเติม ตัวตาข่ายนี้จะกรองกากกาแฟให้เอง
  3. ก็เหมือนกับปริมาณน้ำ คือจะใช้กาแฟมากน้อยแค่ไหน ก็แล้วแต่ว่าจะชงกาแฟกี่แก้ว แต่โดยทั่วไปต้องใช้กาแฟบดประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ (7 กรัม) ต่อกาแฟ 1 แก้ว แต่ถ้าชอบกาแฟเข้มๆ ให้ใช้ 2 ช้อนโต๊ะ (14 กรัม) [8]
    • จะใช้กาแฟบดละเอียด ปานกลาง หรือบดหยาบก็แล้วแต่ชอบเลย
    • กาแฟจะรสดียิ่งกว่าเดิม ถ้าบดกาแฟเต็มเมล็ดเองสดๆ แทนการใช้กาแฟที่บดมาแล้ว
  4. ใส่กระดาษกรองเข้าที่ แล้วปิดฝาเครื่อง (แล้วแต่ลักษณะของเครื่องที่ใช้) จากนั้นเปิดเครื่องชงกาแฟ แล้วรอจนชงเสร็จ จะใช้เวลาชงกาแฟเท่าไหร่ ก็แล้วแต่ปริมาณน้ำที่ใส่เข้าไปในกระบอก ส่วนใหญ่ประมาณ 5 นาทีก็เสร็จแล้ว
    • ฟังเสียงกาแฟหยดจากในเครื่อง พอไม่ได้ยินเสียงแล้ว แสดงว่าชงกาแฟเสร็จเรียบร้อย
  5. เครื่องชงกาแฟบางเครื่องจะดับเอง แต่บางเครื่องก็ต้องคอยปิด ถ้าเครื่องชงกาแฟของคุณไม่เป็นแบบอัตโนมัติ ให้ปิดเครื่องเองหลังกาแฟเลิกหยดแล้ว พอปิดเครื่องชงกาแฟ ให้ดึงที่กรองออกมา แล้วกำจัดกากกาแฟซะ
    • เวลาดึงเครื่องชงกาแฟเปิดออกมาต้องระวังมากๆ เพราะอาจมีไอร้อน ลวกหน้าลวกมือได้ ห้ามก้มลงไปใกล้ๆ
  6. จะดื่มกาแฟทั้งแบบนั้น หรือแต่งรสหวานด้วยนม ครีม หรือ half-and-half (ครึ่งนม ครึ่งครีม) ก็ได้ หรือถ้าอยากหวานไปกว่านั้น ให้เติมน้ำตาล เมเปิ้ลไซรัป และสารให้ความหวานอื่นๆ เท่านี้ก็ดื่มกาแฟให้มีความสุขได้แล้ว
    • ถ้าคุณเป็นมังสวิรัติ หรือแพ้แลคโตส ให้ใช้นมที่ไม่ใช่นมวัวแทน เช่น นมถั่วเหลือง นมอัลมอนด์ หรือกะทิ
    • เช็คดีๆ เพราะบางทีครีมที่แต่งรสหรือนมจากพืชต่างๆ ก็แต่งรสหวานมาแล้ว ไม่ต้องใส่น้ำตาลเพิ่ม
    • อย่าทิ้งกาแฟไว้นานหลังชง นอกจากจะทำให้เย็นชืดแล้ว ยังเสียรสชาติไปพอสมควรเลย
    โฆษณา
วิธีการ 4
วิธีการ 4 ของ 6:

ชงกาแฟด้วย Percolator

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ถ้ายังไม่ได้แยกส่วน ให้ถอดส่วนบนของเครื่อง กับตะกร้ากรอง ออกมาซะก่อน จากนั้นต้มน้ำแล้วเทใส่ส่วนล่างของ percolator ให้เติมน้ำไปเรื่อยๆ จนระดับน้ำอยู่ล่างรูระบายไอน้ำพอดี [9]
    • ชื่ออื่นๆ ของ percolator คือ "เครื่องชงเอสเปรสโซ่แบบตั้งเตา" และ "กาโมก้า (moka pot)"
    • ให้ชงกาแฟด้วยน้ำกรองหรือน้ำดื่มบรรจุขวดจะดีที่สุด
  2. ใส่ตะกร้ากรองเข้าที่ แล้วเติมกาแฟบดหยาบลงไป. จะใช้กาแฟมากเท่าไหร่ก็แล้วแต่ความจุของ percolator ที่ใช้ โดยทั่วไปจะมีเส้นบอกให้ชัดเจน แต่ถ้าไม่มี ให้ใส่กาแฟไป 1 - 2 ช้อนโต๊ะ (7 - 14 กรัม) ต่อน้ำทุก 6 ออนซ์ (180 มล.) [10]
    • พอใส่กาแฟในตะกร้ากรองแล้ว ให้ตบๆ กาแฟให้ยุบลงไป
  3. ใช้มือข้างหนึ่งถือ percolator ให้มั่น แล้วหมุนส่วนบนประกอบกลับเข้ามา ระวัง percolator ร้อนเพราะน้ำที่ใส่ไป แนะนำให้สวมถุงมือจับของร้อนหรือใช้ผ้าสำหรับจับหม้อซะก่อน
  4. วาง percolator บนหัวเตา จากนั้นเปิดไฟกลาง แล้วต้มน้ำไป ไม่ต้องปิดฝา จะได้เห็นความเป็นไปชัดเจนระหว่างชงกาแฟ เสร็จแล้วค่อยปิดฝา [11]
    • ห้ามหันที่จับไปทางไฟหรือทางความร้อน ไม่ว่าจะใช้เตาแก๊สหรือเตาไฟฟ้าก็ตาม!
  5. พอน้ำเดือด กาแฟจะเริ่มขึ้นมาที่ส่วนบนของ percolator โดยตอนแรกจะสีเข้ม แล้วค่อยๆ อ่อนลงระหว่างชง พอกาแฟสีซีดออกทองแล้ว แสดงว่าพร้อมเสิร์ฟ
    • ปกติขั้นตอนทั้งหมดนี้จะใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที แต่บางทีจะนานหรือเร็วกว่านั้นก็ได้
  6. เวลาจะยกส่วนบนขึ้นมา ให้สวมถุงมือจับของร้อนหรือผ้าจับหม้อ แล้วปิดฝาก่อน ค่อยยก percolator โดยจับที่หู จากนั้นก็รินกาแฟได้เลย ใส่ครีมหรือน้ำตาลก่อนตามชอบ เท่านี้ก็พร้อมดื่ม
    • บอกเลยว่า ตัวกา percolator จะร้อน เวลาจะจับหรือยกขึ้นมาต้องระวัง!
    โฆษณา
วิธีการ 5
วิธีการ 5 ของ 6:

ชงกาแฟแบบไม่ใช้เครื่อง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เอามือกดผ้าเช็ดหน้าหรือผ้าเช็ดจานผืนใหม่ลงไปในแก้ว/ถ้วยกาแฟ ให้เป็นถุง ลึกลงไปประมาณ 3 - 4 นิ้ว (7.5 - 10 ซม.) จะใช้ผ้าโพกหัว ผ้าเช็ดหน้า ผ้าคอตตอน หรือผ้ามัสลินก็ได้ ขอแค่เป็นผ้าใหม่หรือสะอาด [12]
    • ถ้าอยากชงกาแฟปริมาณมาก ให้เอาผ้าไปครอบปากขวดโหลแก้ว แบบนี้ต้องเพิ่มปริมาณกาแฟบดและน้ำด้วย
    • ถ้าผ้าทอตาห่างหน่อย ให้พับสี่เหลี่ยมก่อน [13]
  2. จะใช้คลิปดำ คลิปหนีบกระดาษ หรือไม้หนีบก็ได้ โดยใช้อย่างน้อย 2 ตัว ข้างละตัว แต่ถ้าใช้ 4 ตัวได้จะดีที่สุด
    • หรือใช้หนังยางรัดรอบปากถ้วย ยึดผ้าที่ครอบไว้
  3. ใช้กาแฟบดใหม่จะดีที่สุด แต่จะใช้กาแฟที่บดมาก่อนแล้วก็ได้ ถ้าไม่มีชนิดอื่นจริงๆ โดยใช้กาแฟ 1 - 2 ช้อนโต๊ะ (7 - 14 กรัม) ต่อกาแฟ 1 แก้ว ยิ่งเติมกาแฟเยอะ กาแฟที่ชงออกมาก็ยิ่งเข้ม
    • ห้ามใช้กาแฟบดละเอียด ไม่งั้นผงกาแฟจะทะลุผ่านผ้าที่รองไว้ในแก้ว ลงไปปนในกาแฟที่ชง
    • ห้ามใช้กาแฟบดหยาบ เพราะจะไปอุดตันผ้าทอละเอียดที่รองไว้ในแก้ว
  4. จะดีที่สุดถ้าใช้น้ำร้อนประมาณ 91 - 97°C (195 - 205°F) แต่ถ้ายุ่งยากไปสำหรับคุณ ก็ต้มน้ำไปตามปกติ แล้วคนให้หายร้อนประมาณ 30 วินาที [14]
    • ห้ามใช้น้ำร้อนเกินไป เพราะจะทำให้กาแฟเสียรสได้
  5. รินน้ำลงไปให้พอท่วมกาแฟบด รอ 30 วินาที แล้วเติมน้ำครึ่งหนึ่ง จากนั้นรออีก 30 วินาที แล้วเติมน้ำที่เหลือลงไป โดยแบ่งเป็น 4 ส่วน [15]
    • ห้ามเทน้ำลงไปทีเดียวทั้งหมด ไม่งั้นจะซึมลงไปไม่ทัน จนน้ำล้นออกมาได้
  6. พอน้ำไหลลงไปจนหมดแล้ว (ส่วนใหญ่จะใช้เวลาประมาณ 2 นาที) ให้แกะผ้าที่ปิดปากถ้วยไว้ แล้วเอาออกมา ให้ดื่มกาแฟทันทีอย่าทิ้งไว้นาน จะเติมครีมหรือน้ำตาลก็ตามชอบ [16]
    • ทิ้งกากกาแฟไปเลย แล้วซักผ้าให้สะอาด แต่กากกาแฟก็อาจทำผ้าเปื้อนเป็นคราบได้เหมือนกัน
    โฆษณา
วิธีการ 6
วิธีการ 6 ของ 6:

รักษารสชาติให้ดีที่สุด

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เมล็ดกาแฟมีด้วยกันหลายแบบ แต่ละแบบก็มาจากต่างที่กัน บางที่ก็เป็นแหล่งเมล็ดกาแฟคุณภาพสูงกว่าที่อื่น เช่น เมล็ดกาแฟ Arabica จะคุณภาพสูงกว่า robusta [17]
    • จะซื้อกาแฟที่บดไว้แล้วก็ได้ แต่ถ้าอยากให้กาแฟรสชาติดีขึ้น ต้องบดเมล็ดกาแฟเอง
    • ให้บดเมล็ดกาแฟแค่พอชงทีละแก้ว เพราะกาแฟบดจะเสียความสดใหม่เร็วกว่ากาแฟเต็มเมล็ด
  2. เก็บเมล็ดกาแฟให้ดี แล้วใช้ให้หมดภายใน 1 อาทิตย์. ให้เก็บเมล็ดกาแฟในอุณหภูมิห้อง โดยใส่ในภาชนะปิดมิดชิด ถ้าเป็นแก้วหรือเซรามิคได้จะดีที่สุด ห้ามเก็บกาแฟในตู้เย็นหรือช่องฟรีซ เพราะกาแฟจะดูดซับความชื้นกับกลิ่นต่างๆ เข้าไป [18]
    • ถ้า จำเป็น ต้องเก็บกาแฟบดในช่องฟรีซจริงๆ ต้องใช้ให้หมดใน 3 - 5 เดือน
    • แต่ก็อย่าทิ้งกาแฟบดไปแบบเปล่าประโยชน์! ถ้าหมดความสดใหม่แล้ว ให้เอาไปใช้ทำสครับขัดผิวแทน
  3. กระดาษกรองที่ฟอกขาวด้วยออกซิเจน หรือไม่ปนเปื้อนสารไดออกซิน (dioxin-free) จะใช้ดีสุด หรือใช้กระดาษกรองสีทองที่จะทนกว่า ห้ามใช้กระดาษกรองถูกๆ เพราะส่งผลต่อรสชาติของกาแฟได้ [19]
    • กระดาษกรองใช้แล้วบางทีมีรสกระดาษติดมาในกาแฟด้วย แก้ได้โดยเทน้ำร้อนให้ไหลผ่ากระดาษกรองก่อน
  4. ห้ามใช้น้ำก๊อก เว้นแต่ในใจว่าอยู่ในที่ที่น้ำประปาสะอาดมากๆ ใช้ดื่มได้ ปลอดภัยดี ถ้า จำเป็น ต้องใช้น้ำก๊อกจริงๆ ให้เปิดน้ำทิ้งไว้หลายๆ วินาที แล้วค่อยกรอกใส่กา ย้ำว่าต้องใช้น้ำเย็น [20]
    • ห้ามใช้น้ำกลั่นหรือน้ำอ่อน เพราะกาแฟจะออกมารสชาติไม่ดี
  5. อุณหภูมิของน้ำที่เหมาะจะใช้ชงกาแฟคือ 91 - 97°C (195 - 205°F) ถ้าน้ำร้อนไปหรือเย็นไป กาแฟก็เสียรสได้เช่นกัน [21]
    • ถ้าไม่ได้ใช้เครื่องชงกาแฟ ต้องต้มน้ำให้เดือดก่อน แล้วทิ้งไว้ให้เย็นลง 30 - 60 วินาที ค่อยเอาไปเทใส่กาแฟบด
  6. ยิ่งทิ้งไว้นานเท่าไหร่ ก็ยิ่งรสชาติน้อยลงเรื่อยๆ ถ้าจะชงใส่กระติกหรือแก้วเก็บความร้อน ก็ขอให้ดื่มภายใน 1 ชั่วโมง [22]
    • ยิ่งทิ้งกาแฟไว้นานเท่าไหร่ กาแฟก็ยิ่งรสชาติเข้มข้นน้อยลง
  7. ให้ล้างกาและตะกร้ากรองด้วยน้ำร้อน จากนั้นเช็ดด้วยผ้าสะอาดจนแห้งสนิท แล้วประกอบกลับคืน เพื่อไม่ให้กากกาแฟและ caffeol (น้ำมันกาแฟ) ตกค้าง จนทำให้ชงกาแฟคราวหน้าแล้วรสขมกว่าที่ควร [23]
    • ให้ ล้างเครื่องชงกาแฟ ด้วยน้ำส้มสายชูเดือนละครั้ง แล้วล้างน้ำให้สะอาดหมดจด [24]
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • ถ้าชอบเครื่องดื่มรสหวาน ลองบิช็อคโกแลตใส่ หรือเติมน้ำตาลลงไปในกาแฟบด เวลาชงจะออกมาหวานอร่อยขึ้น
  • กาแฟจะออกมารสชาติแบบไหน ก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น เมล็ดกาแฟปลูกที่ไหน ระดับความสูงของพื้นที่ปลูกกาแฟ ความหลากหลายของต้นกาแฟ และว่าเป็นกาแฟแบบสำเร็จรูป กาแฟแบบแห้ง หรือกาแฟแบบคั่ว
  • ลองถามบาริสต้าดูว่าแนะนำกาแฟรสชาติไหน แล้วจดไว้ จะได้คำตอบแบบไหนก็แล้วแต่สไตล์ของร้านกาแฟและบาริสต้า เช่น "Hawaiian Kona" ไปจนถึง "Ethiopian Heirloom" และ "Maxwell House"
  • ถ้าเป็นไปได้ ให้ซื้อเมล็ดกาแฟที่คั่วเองในท้องถิ่น แล้วค่อยเอามาบดต่อที่บ้าน แบบนี้แน่ใจได้เรื่องความสดใหม่ เต็มรสชาติ
  • เทน้ำให้ไหลผ่านกระดาษกรอง (โดยยังไม่ต้องใส่กาแฟ) จะช่วยล้างเศษกาแฟจากคราวก่อนได้ ทำให้กาแฟขมน้อยลง
  • กาแฟที่บดแล้วจะเสียรสได้ง่ายมาก ถ้าไม่ได้เก็บในภาชนะหรือบรรจุภัณฑ์มิดชิด เดี๋ยวนี้มีภาชนะสูญญากาศสำหรับเก็บกาแฟโดยเฉพาะขายด้วย
  • อาจจะผสมครีมใส่กาแฟใช้เองด้วย ถ้าอยากให้ได้กาแฟรสชาติเฉพาะตัวจริงๆ
โฆษณา

สิ่งของที่ใช้

ชงกาแฟด้วยเครื่อง

  • เครื่องชงกาแฟ
  • เมล็ดกาแฟเต็มเมล็ด หรือเมล็ดกาแฟบด
  • เครื่องบดเมล็ดกาแฟ (ถ้าจะบดเมล็ดกาแฟเต็มเมล็ดเอง)
  • กระดาษกรองกาแฟ
  • น้ำกรอง หรือน้ำดื่มบรรจุขวด

ใช้แก้วกับอุปกรณ์ดริปกาแฟ

  • อุปกรณ์ดริปกาแฟ (coffee dripper)
  • แก้ว/ถ้วยกาแฟ
  • เมล็ดกาแฟเต็มเมล็ด หรือเมล็ดกาแฟบด
  • เครื่องบดเมล็ดกาแฟ (ถ้าจะบดเมล็ดกาแฟเต็มเมล็ดเอง)
  • กระดาษกรองกาแฟ
  • น้ำกรอง หรือน้ำดื่มบรรจุขวด

ชงกาแฟแบบ French Press

  • เครื่องชงกาแฟแบบ French press
  • กาแฟบดปานกลาง
  • น้ำกรอง หรือน้ำดื่มบรรจุขวด

ชงกาแฟด้วย Percolator

  • กาแบบ Percolator
  • กาแฟบดหยาบ
  • กระดาษกรองกาแฟ
  • น้ำกรอง หรือน้ำดื่มบรรจุขวด

ชงกาแฟแบบไม่ใช้เครื่อง

  • แก้ว/ถ้วยกาแฟ
  • ผ้าเช็ดจาน (tea towel) ผืนใหม่
  • ไม้หนีบ หรือคลิปดำ
  • เมล็ดกาแฟเต็มเมล็ด หรือเมล็ดกาแฟบด
  • เครื่องบดเมล็ดกาแฟ (ถ้าจะบดเมล็ดกาแฟเต็มเมล็ดเอง)
  • น้ำกรอง หรือน้ำดื่มบรรจุขวด

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 3,725 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา