ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

ผิวผสมนั้นหมายถึงคุณมีสภาพผิวแต่ละจุดบนใบหน้า 2 ประเภทหรือมากกว่านั้นผสมกัน ผิวของคุณอาจจะแห้งแตกแค่บริเวณบางส่วนของใบหน้า และคุณอาจจะมีผิวมันตรงบริเวณทีโซน (T-zone) ซึ่งก็คือบริเวณกึ่งกลางใบหน้า จมูก คาง และหน้าผาก คุณอาจจะมีผิวผสมถ้าคุณมีปัญหาผิวอื่นๆ เช่น ริ้วรอย สิวอักเสบ หรือเป็นโรคสิวหน้าแดง (Rosacea) [1] มันอาจจะเป็นเรื่องยากที่จะดูแลผิวผสมแต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ในการดูแลผิวผสมอย่างเหมาะสม คุณจะต้องค้นหาผลิตภัณฑ์ที่เข้ากันกับสภาพผิวที่แตกต่างกันบนใบหน้าของคุณและต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทำให้ผิวของคุณระคายเคือง

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

ใช้วิธีธรรมชาติ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. สิ่งสำคัญของการจัดการดูแลผิวผสมก็คือการดูแลผิวอย่างเป็นประจำทั้งกลางคืนและกลางวันโดยทำให้เป็นกิจวัตร นี่หมายความว่าคุณควรใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดเดียวกัน 1-2 ครั้งต่อวันอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือนเพื่อให้ผิวของคุณมีความคุ้นชินกับกิจวัตรการดูแลผิวนี้ [2]
    • ใช้คลีนเซอร์ล้างใบหน้า 1-2 ครั้งต่อวัน
    • ขัดผิวหน้าเบาๆ 1 ครั้งต่ออาทิตย์ [3]
    • ตบท้ายด้วยการใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ 1 ครั้งในตอนเช้าและอีก 1 ครั้งในตอนเย็น
  2. เน้นไปที่การดูแลสภาพผิวที่แตกต่างกันบนผิวหน้า. สำหรับการดูแลผิวผสม คุณควรที่จะเน้นไปที่การดูแลสภาพผิวทั้งสองประเภท คุณจะต้องเพิ่มความชุ่มชื้นบริเวณที่แห้งของใบหน้าและลดน้ำมันส่วนเกินในบริเวณที่มัน [4] บ่อยครั้งแล้ว บริเวณที่มันบนผิวหน้าของคุณคือบริเวณทีโซน (หน้าผาก จมูก เหนือริมฝีปาก และคาง) แทนที่จะดูแลผิวหน้าทั้งใบหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ชนิดเดียว คุณจะต้องดูแลผิวเฉพาะจุดไป ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของคุณ [5]
    • ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณกำลังมีสิวอักเสบที่หน้าผากและคุณรู้ว่าบริเวณหน้าผากของคุณมักจะมัน ให้ใช้การดูแลเฉพาะจุดเพื่อจัดการกับความมันที่บริเวณหน้าผาก ถ้าผิวที่แก้มของคุณมีแนวโน้มว่าจะแห้งและระคายเคือง ให้ใช้ผลิตภัณฑ์เพิ่มความชุ่มชื้นแค่บริเวณนั้น
  3. ใช้คลีนเซอร์แบบน้ำมัน (Oil based cleanser) บริเวณผิวที่แห้ง. คลีนเซอร์ที่ทำจากน้ำมันธรรมชาติอย่างน้ำมันมะพร้าวและน้ำมันมะกอกนั้นยอดเยี่ยมสำหรับผิวแห้งและผิวแห้งมาก และจะใช้ได้ดีเฉพาะบริเวณใบหน้าจุดที่แห้งหากคุณมีผิวผสม [6] แม้ว่าคลีนเซอร์แบบน้ำมันนั้นจะไม่ทำร้ายผิวของคุณ แต่ก็ไม่แนะนำให้ใช้กับผิวมัน คุณอาจจะต้องทดลองใช้คลีนเซอร์แบบน้ำมันหลายชนิดก่อน ถ้าคุณเริ่มมีสิวอักเสบหรือมีปฏิกิริยาแพ้ คุณอาจจะต้องลองใช้คลีนเซอร์อื่นๆ ที่มีส่วนผสมในการดูแลผิวผสมของคุณ ให้เริ่มจากคลีนเซอร์สูตรน้ำผึ้งธรรมชาติดังต่อไปนี้ [7]
    • คุณต้องใช้น้ำผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะ กลีเซอรีนจากพืช ½ ถ้วย (หาได้ที่ร้านอาหารเพื่อสุขภาพส่วนใหญ่) สบู่เหลว 2 ช้อนโต๊ะ
    • ผสมส่วนผสมให้เข้ากันในถ้วยใบใหญ่ เทส่วนผสมลงไปในขวดเปล่าเพื่อจะได้ใช้ง่าย
    • ทาคลีนเซอร์ในปริมาณน้อยๆ ที่ใบหน้าและลำคอ ใช้นิ้วมือนวดให้ซึมเข้าสู่ผิวหน้าเป็นเวลา 30 วินาที -1 นาที นี่จะช่วยขจัดสิ่งสกปรกหรือสิ่งตกค้างที่อยู่บนใบหน้า เมื่อใช้คลีนเซอร์เรียบร้อยแล้ว ให้ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นและใช้ผ้าขนหนูซับให้แห้ง
    • คุณสามารถลองใช้คลีนเซอร์แบบน้ำมันโดยใช้น้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันมะกอกและใช้ผ้าขนหนูอุ่นๆ ให้มองหาน้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันมะกอกแบบออร์แกนิคบริสุทธิ์เพื่อให้แน่ใจว่าคุณใช้ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติที่บริสุทธิ์ที่สุดบนใบหน้า [8]
    • ใช้ปลายนิ้วมือนวดน้ำมันที่ใบหน้าเป็นเวลา 30 วินาที จากนั้นชุบผ้าขนหนูในน้ำอุ่นและประคบผ้าขนหนูอุ่นๆ ที่ใบหน้า ให้น้ำมันอยู่บนใบหน้าประมาณ 15-30 วินาทีและค่อยๆ ใช้ผ้าเช็ดน้ำมันออก หลีกเลี่ยงการถูที่ใบหน้า แค่ค่อยๆ เช็ดน้ำมันออกเท่านั้น
  4. คุณสามารถขัดผิวที่ใบหน้าเพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วหลังจากที่คุณทำความสะอาดผิวหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีบริเวณบางจุดที่แห้งและอุดตันด้วยเซลล์ผิวที่ตายแล้ว การขัดใบหน้าจะช่วยป้องกันการอุดตันของรูขุมขนและสภาพผิวที่ไม่มีชีวิตชีวา ให้เริ่มขัดใบหน้าด้วยการใช้สครับทำเอง 1-2 ครั้งต่ออาทิตย์ [9]
    • การขัดผิวหน้านั้นไม่แนะนำสำหรับผู้ที่มีผิวระคายเคืองง่าย ให้ขัดที่ใบหน้าเบาๆ ในการทดสอบดูก่อน ให้ลองกับผิวบริเวณเล็กๆ ถ้ามันไม่ทำร้ายหรือทำให้ผิวระคายเคือง คุณก็สามารถใช้ขัดหน้าทั้งใบหน้าได้
    • สครับทำเองส่วนใหญ่จะใช้น้ำตาลทรายแดงเป็นส่วนผสมหลัก เพราะว่ามันอ่อนโยนต่อผิวกว่าน้ำตาลทรายขาว คุณสามารถใช้น้ำมันธรรมชาติเช่น น้ำมันพิมเสน น้ำมันทีทรี และน้ำมันลาเวนเดอร์ เพื่อให้ผิวของคุณเปล่งประกายอย่างมีสุขภาพดี
    • สำหรับผิวระคายเคืองง่าย ให้ผสมน้ำตาลทรายแดง 1 ถ้วย ข้าวโอ๊ตบด 1 ถ้วย น้ำผึ้ง ½ ถ้วย ถูที่ใบหน้าเป็นเวลา 30 วินาทีจนถึง 1 นาทีเพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วและเป็นการสครับผิวอย่างอ่อนโยน
    • ทำครีมขัดหน้าสำหรับผิวมัน ให้ผสมเกลือทะเล 1 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำมันพิมเสน ทำให้ผิวหนังเปียกก่อนและค่อยๆ ทาครีมขัดผิวด้วยนิ้วมือ นวดส่วนผสมให้เข้าไปในผิวเป็นเวลา 30 วินาทีจนถึง 1 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น
    • อีกวิธีหนึ่งในการทำสครับสำหรับขัดผิวหน้า ให้ผสมน้ำตาลทรายแดง 2 ช้อนโต๊ะ ผงกาแฟบดละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ ใส่น้ำผึ้ง 1 ช้อนชาเพื่อเพิ่มคุณค่ามากขึ้น ทาสครับที่ผิวหน้าและถูเป็นเวลา 30 วินาทีจนถึง 1 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่น
  5. ในการรักษาจุดด่างดำในบริเวณทีโซนและป้องกันสิวใหม่ไม่ให้เกิดขึ้นที่บริเวณนั้น ให้ลองใช้ทรีตเมนต์แบบเฉพาะจุด นี่จะทำให้คุณเน้นไปที่พื้นที่ที่มีแนวโน้มที่จะเป็นสิวและหลีกเลี่ยงบริเวณที่ระคายเคืองอื่นๆ บนใบหน้า มีการใช้วิธีธรรมชาติเพื่อเป็นทรีตเมนต์เฉพาะจุดหลายวิธีได้แก่ [10]
    • เบกกิ้งโซดา: นี่เป็นสิ่งที่ถูก ได้ผลดี และสามารถทำได้ง่ายมาก เบกกิ้งโซดาจะช่วยบรรเทาอาการอักเสบของสิวและป้องกันสิวอักเสบในอนาคต มันยังเป็นผงขัดหน้าที่ดีมากและจะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วซึ่งสามารถสะสมที่ผิวหน้าของคุณ ใช้เบกกิ้งโซดา 2-3 ช้อนโต๊ะและผสมเข้ากับน้ำอุ่นจนเป็นเนื้อข้นๆ ทาส่วนผสมลงบริเวณผิวหนังที่แห้งและทาแต้มโดยตรงที่รอยด่างดำ ในการใช้ครั้งแรกๆ ให้ปล่อยส่วนผสมทิ้งไว้ 10-15 นาที ค่อยๆ เพิ่มระยะเวลาเป็นชั่วโมง และจนทิ้งไว้ข้ามคืน เพื่อที่ผิวของคุณจะได้คุ้นชินกับวิธีนี้
    • ละลายน้ำมันทีทรี: น้ำมันหอมระเหยนั้นมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเป็นการรักษาสิวที่ได้ผลดีมาก แต่ทั้งนี้ จะต้องละลายน้ำมันทีทรีก่อนเพราะมันจะเป็นอันตรายต่อผิวหนังของคุณได้ถ้าคุณแต้มไปที่จุดด่างดำโดยตรง ในการใช้น้ำมันทีทรี ให้ผสมหยดน้ำมันทีทรี 5-10 หยดกับน้ำ ¼ ถ้วยในถ้วยผสม ใช้สำลีก้อนทาส่วนผสมไปที่บริเวณที่มีแนวโน้มจะเป็นสิวหรือจุดด่างดำบนใบหน้า คุณสามารถทาก่อนลงรองพื้นและทาซ้ำได้ระหว่างวัน
    • น้ำมะนาว: ทรีตเมนต์เฉพาะจุดวิธีนี้จะใช้สารต้านเชื้อแบคทีเรียที่มีตามธรรมชาติและคุณสมบัติในการสมานผิวของน้ำมะนาว ให้ใช้น้ำมะนาวที่คั้นมาสดๆ หรือน้ำมะนาวในกล่องที่ซื้อจากร้านขายของชำก็ได้ ใส่น้ำมะนาว 3 ช้อนชาในถ้วยผสมและใช้สำลีก้อนทาที่บริเวณที่มักเป็นสิวหรือจุดด่างดำ ทิ้งไว้ 15 นาทีจนถึงชั่วโมงเพื่อให้น้ำมะนาวซึมซับเข้าสู่ผิว
    • ว่านหางจระเข้: ถ้าคุณมีว่านหางจระเข้ ให้ใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติในการบรรเทาผิวของมัน หั่นมันเป็นชิ้นๆ บีบน้ำออกจากลำต้นและแต้มที่จุดด่างดำหรือบริเวณที่จะเป็นสิว คุณสามารถทาเจลว่านหางจระเข้ที่ผิวหลายครั้งต่อวันได้ คุณสามารถหาซื้อเจลว่านหางจระเข้ออร์แกนิคได้ที่ร้านขายอาหารเพื่อสุขภาพ มองหาผลิตภัณฑ์ว่านหางจระเข้ที่ใส่ส่วนผสมอื่นเพิ่มเล็กน้อยหรือไม่ใส่เลย
  6. ใช้ครีมมาส์กหน้า 1 ครั้งต่ออาทิตย์เพื่อให้สีผิวกระจ่างใสและเป็นการทำให้ผิวผ่อนคลาย มาส์กพอกหน้าแบบออร์แกนิคส่วนใหญ่จะใช้ส่วนผสมของผลไม้และน้ำมันเพื่อให้เป็นครีมข้นๆ สำหรับทาที่ผิวหน้า
    • ใช้กล้วย 1 ผล มะละกอครึ่งลูก แครอท 2 หัว และน้ำผึ้ง 1 ถ้วยผสมกันในเครื่องปั่น ปั่นส่วนผสมให้เข้ากันจนเป็นครีมข้น ทาส่วนผสมที่ใบหน้าแล้วทิ้งไว้เป็นเวลา 20 นาที จากนั้น ล้างออกด้วยน้ำอุ่น [11]
    • ทำมาส์กมะนาวโยเกิร์ตด้วยการผสมโยเกิร์ตธรรมชาติ 1 ช้อนโต๊ะ น้ำมะนาว 1 ช้อนชา และน้ำมันมะนาว 2 หยด ทามาส์กทั่วใบหน้าแล้วพักไว้ 10 นาที จากนั้น ล้างออกด้วยน้ำอุ่น [12]
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ให้ดูแลผิวหน้าอย่างเป็นประจำทั้งกลางคืนและกลางวัน นี่จะช่วยให้ผิวหนังของคุณคุ้นเคยกับผลิตภัณฑ์ที่คุณใช้และเป็นการทำให้แน่ใจว่าสภาพผิวผสมของคุณจะดูสุขภาพดีและไม่มีจุดด่างดำ [13]
    • ทำความสะอาดผิวหน้า 2 ครั้งต่อวัน (ตอนเช้าและกลางคืน) โดยใช้คลีนเซอร์เพื่อขจัดสิ่งตกค้างที่อยู่บนใบหน้า
    • ทามอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของน้ำมันลงบนบริเวณผิวที่แห้งเพื่อให้ผิวหนังของคุณชุ่มชื้นไม่แห้งแตก
    • ถ้าคุณกำลังพยายามลดริ้วรอยไม่ให้เห็นชัด ให้ใช้มาส์กยกกระชับหรือครีมยกกระชับก่อนเข้านอน
  2. แทนที่จะใช้ทรีตเมนต์ชนิดเดียวทาทั่วทั้งใบหน้า ให้เน้นไปที่การดูแลสภาพผิวแต่ละประเภทบนใบหน้า คุณจะต้องระบุว่าบริเวณไหนบนใบหน้าของคุณที่แห้งและบริเวณไหนที่มันหรือบริเวณที่มักจะเป็นสิว
  3. ให้มองหาคลีนเซอร์เจลหรือแบบโฟมเพื่อป้องกันความแห้งและการอักเสบ หลีกเลี่ยงการใช้คลีนเซอร์ที่มีส่วนผสมที่ทำให้ระคายเคืองหรือน้ำหอม นวดวนคลีนเซอร์เบาๆ ที่ผิว ทำความสะอาดหน้าผิวหน้าทุกเช้าและทุกคืนเป็นเวลา 30 วินาทีจนถึง 1 นาที [14]
    • การขัดผิวนั้นไม่แนะนำสำหรับผู้ที่มีผิวระคายเคืองง่าย ใช้ครีมขัดผิวเบาๆ ในการทดสอบดูก่อน ให้ลองใช้บริเวณเล็กๆ ที่ผิวหน้า ถ้ามันไม่เป็นอันตรายหรือระคายเคืองต่อผิวหน้า คุณก็สามารถใช้มันกับบริเวณอื่นบนใบหน้าได้
    • คลีนเซอร์แบบโลชั่นบางเบานั้นดีสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งและเป็นโรคสิวหน้าแดง ไม่ควรใช้สบู่ก้อนหรือคลีนเซอร์แบบก้อนเพราะส่วนผสมในสบู่ก้อนสามารถทำให้รูขุมขุนของคุณอุดตันได้และจะทำให้ผิวแห้งและระคายเคือง คลีนเซอร์ที่ดีควรมีคำว่า “อ่อนโยน” และ “สำหรับผิวระคายเคืองง่าย” อยู่บนฉลากผลิตภัณฑ์
  4. มองหาโทนเนอร์ที่ไม่มีสิ่งที่ทำให้ระคายเคือง เช่น แอลกอฮอล์ วิชฮาเซล (Witch hazel) เมนทอล น้ำหอมสังเคราะห์หรือธรรมชาติ น้ำมันจากซิตรัส โทนเนอร์ที่ดีควรทำจากน้ำและมีสารต้านการอักเสบและสารต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยให้ผิวของคุณฟื้นฟู [15]
    • รายชื่อของสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีที่พบในโทนเนอร์ สามารถตรวจสอบได้ ที่นี่
    • ใช้คลีนเซอร์หรือโทนเนอร์ที่มีกรดเบต้าไฮดร็อกซี (Beta Hydroxy Acid (BHA)) อย่างกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) หรือที่มีกรดอัลฟ่าไฮดร็อกซี (Alpha Hydroxy Acid (AHA)) อย่างกรดไกลโคลิค (Glycolic acid) เพื่อที่จะช่วยเผยผิวหนังสุขภาพดีที่ซ่อนอยู่ภายใต้ผิวที่มีแนวโน้มที่จะเป็นสิว มองหาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมเหล่านี้ในรูปแบบเจลหรือแบบเหลวสำหรับผิวมันหรือผิวผสม [16]
  5. เพิ่มความชุ่มชื้นด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำมัน. ให้เลือกมอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของน้ำมัน จากพืชเพื่อป้องกันไม่ให้ผิวของคุณแห้ง ผิวหนังของคุณนั้นมีน้ำมันเป็นส่วนประกอบ ดังนั้นในการจะทำให้การผลิตน้ำมันบนใบหน้ามีความสมดุล คุณควรใช้น้ำมันคุณภาพดีกับผิว ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีน้ำมันหรือแบบไม่ก่อให้เกิดสิว ถ้าคุณมีผิวที่ระคายเคืองง่ายหรือมีผิวมัน
  6. ใช้ทรีตเมนต์เฉพาะจุดสำหรับสภาพผิวแต่ละเภทที่อยู่บนใบหน้าของคุณ. คุณจะต้องขยันหมั่นดูแลสภาพผิวบนใบหน้าแต่ละชนิดแยกจากกัน มันดูเหมือนว่าจะมีเรื่องให้ต้องจำเยอะและมีผลิตภัณฑ์หลายตัวที่ต้องใช้ แต่ในท้ายที่สุดแล้ว ผิวหน้าของคุณจะต้องรู้สึกขอบใจคุณแน่ๆ ที่คุณใส่ใจกับความต้องการของผิวแต่ละประเภท
    • ใช้โลชั่นหรือครีมที่มีมอยเจอร์ไรเซอร์ตรงบริเวณที่แห้ง ใช้โลชั่นหรือครีมที่ไม่มีน้ำมันหรือไม่ก่อให้เกิดสิวตรงบริเวณที่มัน
    • เพิ่มความชุ่มชื้นให้บริเวณที่แห้งบนผิวหน้าก่อนที่คุณจะทารองพื้นหรือแต่งหน้า นี่จะช่วยป้องกันไม่ให้ผิวแห้ง
    • ทายาแต้มสิวที่จุดด่างดำหรือรอยสิว หลีกเลี่ยงการทาทั่วบริเวณทั้งหน้า
  7. เมื่อคุณได้ทำความสะอาด ขัดผิว ปรับสภาพ และลงมอยเจอร์ไรเซอร์แล้ว สิ่งสุดท้ายที่คุณอาจจะทำก็คือการแต่งหน้า การใช้รองพื้นที่มาจากแร่ธาตุธรรมชาติจะช่วยให้ผิวของคุณชุ่มชื้นและป้องกันน้ำมันไม่ให้เกิดขึ้นบริเวณทีโซน มองหารองพื้นที่เขียนว่ามันเหมาะสำหรับผิวผสม
    • อย่าเข้านอนโดยไม่ล้างเครื่องสำอางออก
    • ถ้าเป็นไปได้ ให้เลือกรองพื้นที่มี SPF เพื่อปกป้องผิวของคุณไม่ให้โดนแสงอาทิตย์ทำร้าย
  8. ถ้าคุณไม่ได้ใช้รองพื้นที่มีส่วนผสมของ SPF คุณควรทากันแดดทุกวันตลอดทั้งปี การป้องกันผิวของคุณจากสัญญาณริ้วรอยแห่งวัย ริ้วรอย กระแดด และสีผิวไม่เท่ากัน สามารถทำได้แค่ทาครีมกันแดดบางเบาที่มี SPF 30 [17]
    • ใช้ครีมกันแดดที่มีส่วนผสมออกฤทธิ์อย่างไททาเนียมไดออกไซด์ (Titanium Dioxide) หรือซิงค์ ออกไซด์ (Zinc Oxide) สำหรับผิวแพ้ง่ายหรือผู้ที่เป็นสิวหน้าแดง
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

พูดคุยกับแพทย์ผิวหนัง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ให้ถามแพทย์ทั่วไปในการส่งตัวคุณไปให้แพทย์ผิวหนังที่มีความเชี่ยวชาญในการดูแลสภาพผิวผสม คุณอาจจะลองหาแพทย์ผิวหนังที่อยู่ในบริเวณใกล้บ้านคุณก็ได้ ให้ดูประวัติ ความเชี่ยวชาญ ค่าใช้จ่ายในการรักษา นัดปรึกษาพูดคุยกันเบื้องต้นเพื่อดูว่าแพทย์ผิวหนังผู้นี้เหมาะสมในการดูแลสภาพผิวของคุณหรือไม่ [18]
    • ถามเกี่ยวกับทางเลือกการรักษาหลายๆ อย่างในการดูแลปัญหาสิว ตัวอย่างเช่น การใช้การใช้ยาทาภายนอก การทานยาฆ่าเชื้อ การใช้สารเคมีเร่งผลัดเซลล์ผิว การใช้แสงและเลเซอร์
    • ถามแพทย์ผิวหนังให้แนะนำคลีนเซอร์ มอยเจอร์ไรเซอร์ ครีมขัดผิว โทนเนอร์ และครีมกันแดด
    • คุณอาจจะถามเพื่อนหรือครอบครัวให้แนะนำแพทย์ผิวหนังให้ เช็คดูว่าพวกเขาไปพบแพทย์ผิวหนังมานานแค่ไหน พวกเขารู้สึกอย่างไรเมื่อพนักงานดูแลคนไข้ที่คลินิกของแพทย์ และพวกเขาสามารถรู้ข้อมูลของแต่ละขั้นตอนหรือการรักษาสำหรับปัญหาผิวผสมจากแพทย์ผิวหนังมากแค่ไหน
  2. ถ้ายาที่หาซื้อตามเคาน์เตอร์ร้านขายยานั้นไม่ช่วยให้ปัญหาสิวของคุณดีขึ้น แพทย์ของคุณอาจจะจ่ายยาใช้ภายนอกเพื่อรักษาปัญหาผิวหนังของคุณ โดยยาจะมีสามประเภทใหญ่ๆ ดังนี้ [19]
    • เรตินอยด์ (Retinoids): ยาชนิดนี้จะมาในรูปแบบของโลชั่น เจล หรือครีม แพทย์ผิวหนังจะบอกคุณเกี่ยวกับวิธีการใช้ยาตัวนี้ โดยจะต้องใช้มันในตอนกลางคืน ใช้สามครั้งต่ออาทิตย์และเพิ่มความถี่เป็นการใช้ทุกวันเมื่อผิวของคุณคุ้นเคยกับยาชนิดนี้แล้ว เรตินอยด์นั้นมาจากวิตามินเอและจะปิดรูขุมขนไว้เพื่อให้มันหยุดการสร้างน้ำมันและไม่ให้สิวก่อตัว
    • ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย (Antibiotics): แพทย์ผิวหนังอาจจะจ่ายยาเรตินอยด์และยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย (ใช้ทาภายนอกและยาแบบทาน) ในช่วงหลายเดือนแรกของการรักษา คุณอาจจะใช้ยาฆ่าเชื้อในตอนเช้าและใช้เรตินอยด์ในตอนกลางคืน ยาฆ่าเชื้อจะทำงานโดยการทำลายแบคทีเรียส่วนเกินที่ผิวหนังและลดการอักเสบที่ผิวหนัง มักจะใช้ยาฆ่าเชื้อกับเบนโซอิล เปอร์ออกไซด์เพื่อช่วยป้องกันแบคทีเรียดื้อยา
    • ยาแดพโซน (Aczone): ยาชนิดนี้จะมาในรูปแบบเจลและแพทย์จะจ่ายมาพร้อมกับเรตินอยด์ที่ใช้ทาภายนอก ถ้าคุณใช้ยาชนิดนี้ คุณอาจจะมีอาการข้างเคียงจากการใช้ยาเช่นผิวแห้งและมีรอยแดง
  3. พูดคุยกับแพทย์เกี่ยวกับการใช้สารเคมีผลัดเซลล์ผิว (Chemical peel) และการกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี (Microdermabrasion). ในการใช้สารเคมีผลัดเซลล์ผิวแพทย์ของคุณจะใช้สารละลายเคมีอย่างกรดซาลิไซลิกทำทรีตเมนต์ซ้ำๆ ที่ผิวหน้า แพทย์อาจจะแนะนำให้ใช้วิธีนี้พร้อมกับวิธีการรักษาสิวอื่นๆ [20]
    • อย่างไรก็ตาม คุณไม่ควรใช้ยาเรตินอยด์แบบทานขณะที่คุณใช้สารเคมีผลัดเซลล์ผิว การใช้การรักษาสองวิธีนี้ด้วยกันสามารถทำให้ผิวระคายเคืองได้
    • อาการข้างเคียงที่เป็นไปได้ของวิธีนี้ได้แก่การเกิดรอยแดงอย่างรุนแรง ผิวหนังพุพองตกสะเก็ด สีผิวไม่สม่ำเสมออย่างถาวร อาการข้างเคียงเหล่านี้นั้นพบได้ยากหากแพทย์ที่ได้รับการฝึกมาหรือผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังเป็นผู้ดำเนินการทำให้
    โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 9,646 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา