ดาวน์โหลดบทความ
ดาวน์โหลดบทความ
บทความวิกิฮาวนี้จะแนะนำวิธีการเปลี่ยนระบบปฏิบัติการของแท็บเล็ต Kindle Fire เป็น Android ที่ใช้ง่ายกว่าให้คุณเอง ถึงปกติ Kindle Fire จะมาพร้อมระบบปฏิบัติการ Fire OS ที่ถือเป็น Android เวอร์ชั่นหนึ่ง แต่ถ้าเปลี่ยนระบบแล้ว คุณจะทำอะไรเพิ่มเติมได้ เช่น ดาวน์โหลดแอพต่างๆ จาก Google Play Store รวมถึงติดตั้งธีมแบบ custom ได้ แต่จะลง Android ได้ ต้องล้างข้อมูลไปจาก Kindle Fire ซะก่อน ซึ่งจะทำให้ประกันขาดไปเลย เพราะงั้นต้องแน่ใจก่อน ค่อยเปลี่ยนระบบปฏิบัติการ
ขั้นตอน
-
เช็คก่อนว่า Kindle Fire ที่ใช้ เป็นแบบ root เครื่องได้. ถ้าเป็น Kindle Fire ที่ใช้ FireOS 5.3.1 หรือเก่ากว่า จะ root เครื่องได้ คุณเช็คระบบปฏิบัติการของ Kindle Fire ได้โดยปัดหน้าจอลงมาจากด้านบน แตะ Settings แตะ Device Options แตะ System Updates แล้วสังเกตเลขระบบปฏิบัติการ ทางขวาของหัวข้อ "Your device is running Fire OS" [1] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ถ้า Kindle Fire ของคุณใช้ระบบปฏิบัติการใหม่ จะ root เครื่องแล้วลง Android เองไม่ได้ [2] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ถ้าเป็น Kindle Fire รุ่นปี 2017 (2560) ก็จะลง Android เองไม่ได้เช่นกัน
-
backup ไฟล์ต่างๆ เก็บไว้. หลังจากนี้ ข้อมูลทั้งหมดใน Kindle Fire จะถูกลบหายไป เพราะงั้นต้อง backup รูป ไฟล์ และงานต่างๆ ไว้ในบัญชี Amazon หรือในคอมก่อน
-
ดาวน์โหลดไฟล์ ZIP ของ SuperTool. ถ้าใช้คอมพิวเตอร์ Windows หรือ Mac ให้ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
- เข้าเว็บ http://rootjunkysdl.com/files/?dir=Amazon%20Fire%205th%20gen/SuperTool ในเบราว์เซอร์ของคอม
- คลิก AmazonFire5thGenSuperTool.zip ในหัวข้อ "File"
-
ติดตั้ง Android Studio ในคอม. ให้ติดตั้ง Android Studio ที่ใช้ลง command line "adb" อีกที ในคอม Windows หรือ Mac
- เข้าเว็บ https://developer.android.com/studio/ ในเบราว์เซอร์ของคอม
- ติ๊กช่อง "I have read and agree..." แล้วคลิกปุ่ม DOWNLOAD สีฟ้า
- ดับเบิลคลิกไฟล์ที่ดาวน์โหลดมา
- ติดตั้งไปตามขั้นตอนในหน้าจอ
- เปิด Android Studio แล้วทำตามขั้นตอนในหน้าจอ
-
เปิดใช้การ debug ใน Kindle Fire. เพื่อให้เข้าถึงไฟล์ต่างๆ ใน Kindle Fire ผ่านคอมได้
- ปัดหน้าจอลงมาจากด้านบน แล้วแตะ Settings
- แตะ Device Options
- เปิดใช้ Developer Options โดยแตะหัวข้อ Build number 7 ครั้ง
- แตะ Developer Options
- แตะ USB computer connection
- แตะ Camera (PTP)
- ย้อนกลับไป 1 หน้า แล้วแตะสวิตช์ "Enable ADB"
โฆษณา
-
เสียบ Kindle Fire กับคอม. เสียบสาย USB ข้างหนึ่งของ Kindle Fire ที่คอม แล้วเสียบอีกข้างที่พอร์ทชาร์จของ Kindle Fire
-
แตกไฟล์ ZIP ของ SuperTool. ดับเบิลคลิกไฟล์ ZIP ของ SuperTool ที่ดาวน์โหลดมา แล้วคลิก Extract ทางด้านบนของหน้าต่าง จากนั้นคลิก Extract all ใน toolbar แล้วคลิก Extract แตกไฟล์เป็นโฟลเดอร์แล้ว โฟลเดอร์นั้นจะเปิดขึ้นมา
- ถ้าใช้ Mac ก็แค่ดับเบิลคลิกไฟล์ ZIP ของ SuperTool ที่ดาวน์โหลดมา แล้วรอจนแตกไฟล์เสร็จ
-
เพิ่มไฟล์ SuperTool ลงโฟลเดอร์ ADB ของ Windows. ถ้าใช้ Mac ไม่ต้องทำขั้นตอนนี้ คุณเพิ่มไฟล์ลงโฟลเดอร์ที่ติดตั้ง ADB ไว้ได้ด้วยขั้นตอนต่อไปนี้
- เปิดโฟลเดอร์ที่แตกไว้ แล้วเปิดโฟลเดอร์ "AmazonFire5thGenSuperTool" อีกที
- กด Ctrl + A เพื่อเลือกโฟลเดอร์และไฟล์ทั้งหมดในโฟลเดอร์นั้น จากนั้นกด Ctrl + C เพื่อ copy
- ไปยังโฟลเดอร์ที่ติดตั้ง ADB ไว้ (ส่วนใหญ่จะเป็น path "C:\Program Files (x86)\Android\android-sdk\platform-tools")
- paste ไฟล์ที่ copy มา โดยกด Ctrl + V
-
เปิด SuperTool. ถ้าใช้ Windows ก็แค่ดับเบิลคลิกไฟล์ 1-Amazon-Fire-5th-gen ในโฟลเดอร์ ADB ถ้าใช้ Mac ให้ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
- เปิดโฟลเดอร์ "_MACOSX" ในหน้าต่าง SuperTool ที่แตกไฟล์ไว้
- เปิด Terminal (พิมพ์ terminal ใน Spotlight แล้วดับเบิลคลิก Terminal )
- พิมพ์ chmod 755 sh แล้วกด spacebar
- ลากไฟล์ "._3-Amazon-Fire-5th-gen-linux-mac.sh" จากโฟลเดอร์ "_MACOSX" ไปใส่ในหน้าต่าง Terminal ถ้าไม่เจอไฟล์นี้ ให้เปิด "AmazonFire5thGenSuperTool" ในโฟลเดอร์ "_MACOSX" แล้วจะเจอ
- กด ⏎ Return
-
ใช้ตัวเลือก "Root device". กดเลข 2 ที่คอม แล้วกด ↵ Enter จากนั้นทำตามขั้นตอนในหน้าจอ [3] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ขั้นตอนนี้อาจใช้เวลานานเป็นชั่วโมง กว่าจะเสร็จ
-
ใช้ตัวเลือก "Google Play Store". กดเลข 1 ที่คอม แล้วกด ↵ Enter จากนั้นทำตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้องในหน้าจอ
-
ติดตั้ง FlashFire. เป็นแอพสำหรับติดตั้ง custom ROM ใน Kindle Fire ให้กดเลข 6 แล้วกด ↵ Enter จากนั้นทำตามขั้นตอนที่ปรากฏในหน้าจอ [4] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
eject และถอดอุปกรณ์ที่ลง Android แล้วจากคอม. พอติดตั้ง package ต่างๆ ใน Kindle Fire แล้ว ก็แปลว่า root เครื่องเรียบร้อย ให้ถอด Kindle Fire ออกจากคอม แล้วดาวน์โหลดไฟล์ติดตั้งที่ต้องใช้ได้เลยโฆษณา
-
เปิดเบราว์เซอร์ใน Kindle Fire. ต้องดาวน์โหลด 2 ไฟล์ ZIP จาก 2 เว็บ คือ package ของ Google Apps และ ROM ของระบบปฏิบัติการ Android
-
ติ๊กช่อง "5.1" . ในคอลัมน์ "Android" นี่คือระบบปฏิบัติการที่ต้องใช้กับ ROM ที่เรากำลังจะดาวน์โหลด
-
ติ๊กช่อง "nano". ในคอลัมน์ "Variant" เพื่อดาวน์โหลดเฉพาะแอพต่างๆ ที่จำเป็น ขั้นตอนนี้สำคัญ เพราะเรามีพื้นที่เก็บข้อมูลใน Kindle Fire ค่อนข้างจำกัด
-
แตะปุ่ม "Download" . ที่เป็นปุ่มสีขาวส้ม อยู่ด้านล่างของหน้า
-
เข้าเว็บ Android Nexus ROM. เข้าเว็บ https://androidfilehost.com/?w=files&flid=48493 ในเบราว์เซอร์ของ Kindle Fire
-
เลื่อนลงไปที่เวอร์ชั่นล่าสุด. จะเป็นชื่อ ROM สุดท้ายในหน้านั้น
- ตั้งแต่เดือนกันยายน 2018 (2561) เป็นต้นมา เวอร์ชั่นล่าสุดจะชื่อว่า "lp-fire-nexus-rom-ford-standalone-20180602.zip"
-
แตะ Download . ทางขวาของชื่อ ROM
-
แตะ Click Here to Start Download . ที่เป็นปุ่มสีเขียวตรงกลางหน้า เพื่อดาวน์โหลดไฟล์ ZIP ของ ROM ลง Kindle Fire
-
รอจนดาวน์โหลดทั้ง 2 ไฟล์เสร็จ. พอดาวน์โหลดทั้ง 2 โฟลเดอร์ ลงในโฟลเดอร์ "Downloads" ของ Kindle Fire แล้ว ก็ไปติดตั้ง Android กันได้เลยโฆษณา
-
ให้เสียบชาร์จ Kindle Fire ไว้จนแบตเต็ม. เพื่อป้องกันความผิดพลาด แนะนำให้ชาร์จแบต Kindle Fire ไว้จนเต็ม 100% แล้วเสียบปลั๊กทิ้งไว้ ก่อนเริ่มติดตั้ง Android
-
เปิด FlashFire. แตะไอคอนแอพ FlashFire ที่เป็นรูปสายฟ้าสีขาวบนพื้นแดง
-
แตะ . ที่ด้านขวาล่างของหน้าจอ แล้วเมนูจะโผล่มา
-
แตะ Wipe . ในเมนู แล้วเมนู pop-up จะโผล่มา
-
ติ๊กช่องที่จำเป็น. ให้ติ๊กแต่ละช่องต่อไปนี้ ถ้าตอนแรกไม่ได้ติ๊กไว้ และเอาติ๊กออกจากช่องอื่นๆ ในหน้านั้น
- System data
- 3rd party apps
- Dalvik cache
-
แตะ อีกรอบ แล้วแตะ Flash ZIP or OTA . ในเมนู เพื่อเปิด file tree หรือโครงสร้างไฟล์
-
เลือกไฟล์ ZIP ของ ROM. ไปยังตำแหน่งที่ดาวน์โหลดไฟล์ ZIP ของ ROM ไว้ แล้วแตะเลือกไฟล์ ZIP นั้น
- อาจจะต้องแตะ Choose หรือ OK ก่อน ถึงจะเลือกไฟล์ได้
- ปกติ ROM จะอยู่ในโฟลเดอร์ "Download"
-
เลือกตัวเลือกการติดตั้ง ROM. เอาติ๊กออกจากช่อง "Auto-mount" และ "Mount /system read/write" แล้วแตะ [5] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
แตะ อีกรอบ แล้วแตะ Flash ZIP or OTA . เพื่อเปิด file tree อีกรอบ
-
เลือกไฟล์ ZIP ของ GApps. ไปยังตำแหน่งที่ดาวน์โหลดไฟล์ GApps ไว้ แล้วเลือกไฟล์
-
เอาติ๊กออกจากช่อง "Auto-mount". ในเมนู
-
ติ๊กช่อง "Mount /system read/write". ที่เป็นตัวเลือกในเมนู ย้ำว่าจะต่างจากไฟล์ ROM ตรงที่ต้องติ๊กช่องตัวเลือกนี้ไว้
-
แตะ . ที่มุมขวาบนของหน้าจอ เพื่อกลับไปที่หน้าหลักของ FlashFire
-
ลากตัวเลือก Wipe ไปที่ด้านบนของรายชื่อ. เพื่อลบข้อมูลทั้งหมดในแท็บเล็ตก่อนทำตามเมนูอื่น [6] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- อาจจะต้องแตะ ก่อน ถึงจะลาก Wipe ขึ้นไปได้
-
แตะ FLASH . ตรงกลางหน้า เพื่อเริ่มติดตั้ง ROM ของ Android ใน Kindle Fire
-
รอจน flash Kindle Fire เสร็จ. ปกติจะใช้เวลา 2 - 3 นาที ไปจนถึงเป็นชั่วโมง เพราะงั้นให้เสียบชาร์จ Kindle Fire ไว้จนเสร็จสิ้นขั้นตอน พอหน้า lock screen ของ Android โผล่มา ก็เริ่มใช้งาน Kindle Fire ได้เหมือนเป็นแท็บเล็ต Android เลยโฆษณา
เคล็ดลับ
- ให้ backup ข้อมูล และ archive (จัดเก็บถาวร) ไฟล์หนังสือที่มีใน Kindle Fire ก่อนติดตั้ง ROM เพราะ flash เครื่องแล้ว ข้อมูลทั้งหมดในความจำของเครื่อง จะถูกลบหายไป
โฆษณา
คำเตือน
- ระวังอย่า downgrade หรือลดเวอร์ชั่นของระบบปฏิบัติการใน Kindle Fire เพราะ Kindle Fire จะ "brick (อิฐ)" คือใช้งานไม่ได้อีกเลย (เหมือนเป็นก้อนอิฐไว้ทับกระดาษนั่นเอง)
- บทความวิกิฮาวนี้มีเพื่อประโยชน์ทางการศึกษาเท่านั้น ขอย้ำกันตรงนี้ว่าการ flash หรือเปลี่ยนแปลง ROM ของ Kindle Fire ถือว่าละเมิดกฎการใช้งาน ประกัน Kindle Fire ของ Amazon จะขาดไปเลย
โฆษณา
ข้อมูลอ้างอิง
- ↑ https://audible.custhelp.com/app/answers/detail/a_id/7216/~/which-version-of-the-fire-operating-system-is-installed-on-my-fire-tablet%3F
- ↑ https://www.reddit.com/r/kindlefire/comments/7rvhz2/how_to_root_kindle_fire_generation_5_version_5601/
- ↑ https://reflectivecode.com/2016/03/installing-cyanogenmod-12-1-on-the-amazon-fire-2015/
- ↑ https://flashfire.chainfire.eu/
- ↑ https://www.thepolyglotdeveloper.com/2016/05/install-better-custom-rom-amazon-kindle-fire/
- ↑ https://reflectivecode.com/2016/03/installing-cyanogenmod-12-1-on-the-amazon-fire-2015/
เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้
มีการเข้าถึงหน้านี้ 1,947 ครั้ง
โฆษณา