ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

ความภาคภูมิใจโดยรวมของคุณมาจากหลายส่วนในชีวิต รวมถึงรูปลักษณ์ภายนอกด้วย [1] การรับรู้ถึงความบกพร่องของรูปลักษณ์อาจนำไปสู่ความวิตกกังวลเป็นอย่างมาก การหมกมุ่นเรื่องรูปลักษณ์มากเกินไป เอาแต่แต่งตัวจนเกินงาม เข้ารับการเสริมเติมแต่งรูปลักษณ์มากมายโดยไม่จำเป็นเพื่อให้ตัวเองดูดีขึ้น และ/หรือแยกตัวออกจากสังคม (เช่น อยู่แต่กับบ้าน ไม่ยอมถ่ายรูป เป็นต้น) [2] ในกรณีหนักๆ คนที่ไม่มั่นใจในรูปลักษณ์ของตัวเองอาจเจ็บป่วยทางจิตเรื้อรัง เช่น โรคคิดว่าตนเองมีรูปร่างผิดปกติและโรคการกินผิดปกติ และอาจมีความวิตกกังวลเวลาเข้าสังคมหรือไม่ก็ได้ [3] ในกรณีที่เป็นน้อยหน่อย การขาดความมั่นใจในรูปลักษณ์ของตัวเองอาจทำให้คุณอารมณ์หม่นหมองและมีความสุขกับกิจกรรมในชีวิตประจำวันน้อยลง ด้วยเหตุผลเหล่านี้และเหตุผลอื่นๆ การเข้าใจและ (ถ้าจำเป็น) เพิ่มความมั่นใจในรูปลักษณ์ของตนเองเป็นสิ่งสำคัญต่อสุขภาพจิตโดยรวมของคุณ

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

เพิ่มความภาคภูมิใจในรูปลักษณ์ของตนเอง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การหาว่าทำไมคุณถึงขาดความมั่นใจในตนเองช่วยให้คุณชี้เป้าความรู้สึกเหล่านั้นได้ตรงจุด เริ่มจากการเขียนบันทึก "ความภาคภูมิใจในตนเอง" ในบันทึกให้คุณเขียนเวลาที่คุณรู้สึกมั่นใจในรูปลักษณ์ของตนเองมากขึ้นหรือน้อยลง หลังจากนั้น 1 หรือ 2 สัปดาห์ให้คุณกลับไปดูสิ่งที่คุณเขียนแล้วพยายามหารูปแบบความรู้สึกของคุณ
    • คุณรู้สึกมั่นใจมากขึ้นในสถานการณ์ดังต่อไปนี้หรือไหม: คุณมั่นใจมากขึ้นหลังจากใช้เวลาแต่งองค์ทรงเครื่องหรือเตรียมพร้อมมากขึ้น เวลาที่คุณแต่งตัวแบบใดแบบหนึ่ง เวลาที่คุณอยู่กับคนกลุ่มเล็กกว่าปกติ เวลาที่คุณไม่ได้อยู่กับใครคนใดคนหนึ่ง หรือเวลาที่คุณใช้เวลาดูโซเชียลมีเดียหรือดูดาราตามสื่อต่างๆ น้อยลง [4]
    • คุณมีปัญหาอื่นๆ ที่ "ใหญ่กว่า" หรือไม่ เช่น สถานภาพการทำงานหรือปัญหาส่วนตัวที่ดูจะกระตุ้นความรู้สึกขาดความมั่นใจในตนเอง บางคนเปลี่ยนความวิตกกังวลประเภทนี้ให้กลายเป็นการรับรู้เกี่ยวกับตนเอง ซึ่งอาจดูเป็นสิ่งที่รับมือง่ายกว่าปัญหาที่ “ใหญ่กว่า” ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงในหน้าที่การงานหรือปัญหาส่วนตัว [5]
    • ถ้าคุณยังไม่เห็นรูปแบบหรือยังไม่แน่ใจว่าอะไรที่ทำให้คุณขาดความมั่นใจในตนเอง คุณอาจจะลองหลายๆ วิธีเพื่อหาว่าวิธีไหนช่วยคุณได้มากที่สุด
  2. ดร. วิเวียน ดิลเลอร์มีเทคนิคการปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรมมากมายที่เพิ่มความมั่นใจในรูปลักษณ์ของคุณ ซึ่งเธอเรียกเทคนิคเหล่านี้ว่า “ความภาคภูมิใจในความงาม” [6] เทคนิคเหล่านี้เน้นเรื่องการประเมินแหล่งที่มาของความภาคภูมิใจในตนเอง ตั้งคำถามเกี่ยวกับความคิดเห็นด้านลบของคุณที่มีต่อรูปลักษณ์ของตนเอง และการคิดเกี่ยวกับวิธีการมองรูปลักษณ์ตัวเองอย่างเป็นบวกมากยิ่งขึ้น
    • นั่งหลังตรงอกผายไหล่ผึ่งขณะทำตามขั้นตอนต่อไปนี้เพื่อให้เกิดความมั่นใจสูงสุด [7]
  3. เขียน 3 สิ่งเกี่ยวกับรูปลักษณ์ของคุณและอีก 3 สิ่งเกี่ยวกับบุคลิกภาพของคุณที่คุณชอบมากที่สุด เรียงลำดับความสำคัญ 6 ข้อนี้และเขียน 1 ประโยคอธิบายแต่ละข้อ เช่น “ฉันช่วยเหลือคนอื่น ฉันเป็นอาสาสมัครช่วยงานองค์กรการกุศลท้องถิ่นทุกสัปดาห์ และฉันก็โทรกลับหาเพื่อนทันทีทุกครั้งที่พวกเขามีเรื่องจะคุยด้วย”
  4. สังเกตว่าคุณจัดลำดับลักษณะทางกายกับลักษณะทางบุคลิกภาพอย่างไร คนส่วนใหญ่จะจัดลำดับความสำคัญของลักษณะทางบุคลิกภาพก่อนลักษณะทางกายภาพ ซึ่งไม่ได้เน้นย้ำแค่ว่าความภาคภูมิใจในตนเองของเรานั้นมีอิทธิพลมาจากความรู้สึกของเราที่มีต่อบุคลิกภาพมากกว่า แต่ยังบอกด้วยว่าความคิดเห็นของคนอื่นที่มีต่อตัวเรานั้นส่วนมากก็ได้รับอิทธิพลมาจากลักษณะทางบุคลิกภาพมากกว่าเช่นกัน
  5. เขียนลักษณะทางกายภาพที่คุณคิดว่ามีเสน่ห์มากที่สุดสำหรับคุณ 3 อย่างและเขียนประโยค 1 ประโยคเพื่ออธิบายแต่ละข้อ เช่น “ผมยาวเป็นลอนของฉัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่ฉันเพิ่งออกจากร้านทำผมแล้วผมดูมีวอลลุมนุ่มเด้ง” หรือ “ไหล่กว้างของฉัน โดยเฉพาะเวลาที่แฟนเอาหัวของเธอมาซุกที่หน้าอกเวลาที่เธอต้องการความสบายใจ”
    • แบบฝึกหัดนี้แสดงให้เห็นว่า ทุกคนมีลักษณะบางอย่างที่ตัวเองภาคภูมิใจ ลักษณะเหล่านี้สามารถเด่นขึ้นได้ด้วยการเลือกเสื้อผ้า
  6. มองตัวเองในกระจกและดูว่าความคิดไหนที่โผล่เข้ามาในหัวของคุณ คำพูดเหล่านั้นเป็นคำพูดของใคร ของคุณเองหรือของคนอื่น คุณนึกถึงคำพูดของใคร ของคนที่ระรานคุณ ของพ่อแม่ หรือของเพื่อน
    • ตั้งคำถามถึงความถูกต้องของคำที่ผุดขึ้นมาในหัว กล้ามของคุณเล็กกว่าคนส่วนใหญ่จริงๆ หรือเปล่า สะโพกคุณใหญ่ขนาดนั้นไหม คุณสูงโย่งกว่าคนอื่นมากเลยเหรอ แล้วสิ่งพวกนี้มันสำคัญมากจริงๆ หรือเปล่า
    • ลองคิดว่าคุณจะพูดกับเพื่อนแบบไหน แล้วมันต่างจากเวลาที่คุณพูดกับตัวเองอย่างไร ทำอย่างไรคุณถึงจะคิดถึงตัวเองในแง่บวกแทนที่จะใช้น้ำเสียงต่อว่าหรือเป็นลบแบบที่คุณมักใช้เวลาเริ่มพูดกับตัวเอง
    • หาว่าคุณชอบอะไรเกี่ยวกับตัวเองมากที่สุดในกระจก และจากนี้ไปเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณส่องกระจก ให้มองสิ่งเหล่านี้แทนที่จะไปมองสิ่งที่คุณคิดว่าไม่ดีเหมือนที่คุณเคยทำตามปกติ
  7. จำไว้ว่าร่างกายที่แสดงออกผ่านสื่อนั้นถูกออกแบบมาเพื่อให้คุณรู้สึกแย่กับตัวเอง เพราะว่านั่นจะทำให้คุณซื้อสินค้าและเสื้อผ้าใหม่ๆ ร่างกายที่แสดงออกผ่านสื่อไม่เพียงแต่ไม่มาตรฐานเท่านั้น แต่ยังมักตกแต่งด้วยโปรแกรมเสริมอย่าง Adobe Photoshop ด้วย คนที่ตระหนักถึงสิ่งนี้และมีความรู้ด้านสื่อมักจะมีการรับรู้เกี่ยวกับตนเองที่ดีกว่า [8] [9]
  8. ถ้าคุณคิดถึงรูปลักษณ์ของตัวเองในทางที่ไม่ดี ให้หยุดและคิดใหม่ให้เป็นบวกมากยิ่งขึ้น เช่น ถ้าคุณคิดว่าจมูกคุณใหญ่เกินไป หยุดแล้วบอกตัวเองว่าคุณมีลักษณะที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ ถ้าคุณคิดว่าคุณมีน้ำหนักมากเกินไป ให้นึกถึงส่วนเว้าส่วนโค้งเจ๋งๆ นั่นและวางแผนว่าคุณจะเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตได้อย่างไร
  9. ทุกคืนก่อนนอนให้เขียน 3 สิ่งที่ดีเกี่ยวกับตัวคุณ จากนั้นตอนเช้าให้อ่านและเขียนเพิ่มไปอีก 2 ข้อ คุณจะเขียนซ้ำในสิ่งที่เขียนไปแล้วก็ได้ ยิ่งคุณมีความคิดกับตัวเองที่เป็นบวกมากเท่าไหร่ ความภาคภูมิใจโดยรวมของคุณก็จะมากขึ้นเท่านั้น
  10. ถ้าการรับรู้เกี่ยวกับตนเองที่เป็นลบยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ คุณอาจจะต้องเข้าพบนักบำบัด ความคิดของคุณที่มีต่อรูปลักษณ์อาจเกี่ยวข้องกับปัญหาลึกกว่าที่คุณไม่รู้ และการให้คำปรึกษาโดยทั่วไปยังช่วยให้คุณมีความภาคภูมิใจในตัวเองที่ดีขึ้นอีกด้วย
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

เปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิต

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เสื้อผ้าที่คุณสวมใส่มีผลต่อความภาคภูมิใจในตนเองของคุณได้จริงๆ เช่น การแต่งชุดซูเปอร์ฮีโร่สามารถเพิ่มความมั่นใจในตัวเองและทำให้เรารู้สึกแข็งแกร่งขึ้น ผู้หญิงเวลาสวมเสื้อกันหนาวสามารถทำข้อสอบเลขได้ดีกว่าตอนใส่ชุดว่ายน้ำ และเสื้อโค้ตสีขาวทำให้เรามี “ความรวดเร็วในการคิด” มากขึ้น [10]
    • เน้นการแต่งตัวที่ทำให้คุณรู้สึกสบายใจมากขึ้น เช่น เสื้อกันหนาวหนุ่มๆ สวยๆ กางเกงยีนส์ตัวโปรด และใส่สูตผูกเนกไท (หรืออย่างอื่นที่ดูเป็นมืออาชีพ)
    • ตรวจดูว่าตู้เสื้อผ้าของคุณว่ามีเสื้อผ้าที่ตรงกับสไตล์ของคุณหรือเปล่า ถ้าไม่ คุณก็อาจจะต้องไปช้อปปิ้งแล้วละ! แต่ถ้าคุณไม่ชอบการช้อปปิ้งในที่สาธารณะ จะซื้อออนไลน์ก็ได้ ถ้าไม่มั่นใจว่าใส่อะไรถึงจะดูดี ให้ลองอ่านบทความเพื่อศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อน
    • ใส่สีที่คุณชอบ วิธีนี้จะช่วยทำให้คุณอารมณ์ดีขึ้น ถ้าคุณตัดสินใจไม่ได้ว่าตัวเองชอบสีไหน สีที่เป็นตัวช่วยได้ก็คือสีฟ้า เพราะเป็นสีที่โดยทั่วไปคนมองแล้วรู้สึกดี [11]
  2. ใส่เสื้อผ้าที่เน้นลักษณะทางกายภาพที่คุณชอบให้โดนเด่นยิ่งขึ้น. หาเสื้อผ้าที่คุณใส่แล้วรู้สึกว่าตัวเองดูดีเวลาที่มองเข้าไปในกระจกเพราะเสื้อผ้ามันเหมาะกับรูปร่างของคุณ หรือใส่เครื่องประดับที่เผยให้เห็นลักษณะที่โดดเด่น รูปร่างที่สมบูรณ์แบบไม่มีในโลก แต่มันมีเสื้อผ้าที่เหมาะและไม่เหมาะกับลักษณะรูปร่างของคุณ เสื้อผ้าที่เข้ากับลักษณะรูปร่างของคุณนั้นใส่แล้วมักจะดูดี [12]
    • ถ้าคุณผอมมากๆ หลีกเลี่ยงเสื้อผ้าสีเข้มเช่นสีดำเพราะจะทำให้คุณยิ่งดูผอม ให้ใส่เสื้อผ้าสีอ่อนแทน ผู้หญิงผอมควรเสริมทรวดทรงด้วยการใส่เข็มขัดตรงกลางเวลาใส่ชุดกระโปรงพลิ้วๆ [13] ผู้ชายผอมไม่ควรใส่เสื้อผ้าตัวใหญ่ๆ หรือเสื้อผ้าพองๆ เพื่อให้ดูตัวใหญ่ขึ้น การใส่เสื้อผ้าที่พอดีกับรูปร่างจะทำให้คุณดูดีกว่า [14]
    • ถ้าคุณเป็นคนไหล่กว้างแต่สะโพกเล็ก หลีกเลี่ยงผ้าพันคอที่มีลาย (เพราะเป็นการดึงความสนใจมาที่ไหล่) เสื้อเชิ้ตที่เน้นไหล่ และรองเท้าที่ดูเล็กเมื่อเทียบกับลักษณะรูปร่างของคุณ แต่ให้ใส่กางเกงที่ทำให้สะโพกคุณดูใหญ่ขึ้นและรองเท้าส้นสูงส้นหน้าหรือบูทที่มีสายรัดหัวเข็มขัดเพื่อเรียกความสนใจไปที่เท้าแทน
    • ถ้าคุณมีหุ่นลูกแพร์ ให้ใส่เสื้อสีอ่อนหรือมีลาย ท่อนล่างให้ใส่สีเข้มสีเดียวและหลีกเลี่ยงลายขวางโดยเฉพาะท่อนล่าง [15]
    • ถ้าคุณตัวกลมๆ หลีกเลี่ยงผ้าพลิ้วๆ ฟูๆ เยอะๆ ตรงกลางลำตัว เข็มขัด และกระโปรงเหนือเข่า แต่ให้เน้นรายละเอียดเหนือช่วงอกและใต้ช่วงสะโพก
    • ถ้าหุ่นของคุณมีส่วนเว้าส่วนโค้ง ลองใส่เสื้อผ้าที่ทำให้ช่วงเอวดูผอมแต่ให้ท่อนบนและท่อนล่างดูพลิ้วๆ การแต่งตัวแบบนี้จะทำให้ส่วนเว้าส่วนโค้งของคุณดูโดดเด่นและลดไม่ให้เห็นช่วงขาได้เล็กน้อย [16]
  3. การใส่เสื้อผ้าที่พอดีกับน้ำหนักและส่วนสูงในปัจจุบันของคุณทำให้คุณรู้สึกดีกับรูปร่างของตัวเองมากขึ้น แม้ว่าเสื้อผ้าที่คุณใส่นั้นจะไม่ใช่ขนาดในอุดมคติของคุณก็ตาม
    • สั่งเสื้อผ้าขนาดพิเศษที่พอดีกับคุณจริงๆ เช่น ถ้าคุณเป็นผู้ชายที่สูงและผอมมาก คุณอาจจะต้องสั่งเสื้อผ้าสำหรับคนสูงปานกลางจากร้านออนไลน์มากกว่าจะซื้อเสื้อผ้าตามร้านที่คุณใส่แล้วดูโคร่งเพราะมันพอดีกับความยาว
    • สั่งตัดเสื้อผ้าที่มีความยาวหรือความกว้างพอดีกับตัวคุณ นอกจากนี้ช่างตัดเย็บเสื้อผ้ายังมีเคล็ดลับในการตีเกล็ด (ส่วนที่ผ้าเย็บเข้าไปข้างในเป็นเส้นเพื่อให้ดูรูปร่างดี) เสื้อผ้าเพื่อเน้นส่วนที่ดี เช่น ส่วนเว้าส่วนโค้งได้ด้วย
  4. การใช้ลิปสติกให้ดีไม่ใช่แค่การเลือกสีที่ถูกต้องเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการดูแลริมฝีปากซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภาพรวมด้วยการสครับริมฝีปาก (เช่น เอาเกลือกับน้ำมันอัลมอนด์มาผสมกัน) และทาลิปบาล์มสัปดาห์ละ 2 ครั้ง แต่ในส่วนของลิปสติกนั้น ช่างแต่งหน้าเขาแนะนำว่า: [17]
    • หลีกเลี่ยงลิปสติกที่มีชิมเมอร์และแวววาวเพราะมันมักจะให้ลุคที่ดูไม่แพง
    • เลือกสีสว่างตามสีเดิมของริมฝีปาก (เช่น ริมฝีปากซีด = ลิปสติกสีเชอร์รี สีธรรมชาติ = สีแดงแครนเบอร์รี และริมฝีปากคล้ำ = สีเบอร์กันดี)
    • เลือกสีนู้ดตามโทนสีผิว (เลือกสีที่สว่างกว่าหรือเข้มกว่าสีผิวเล็กน้อย)
    • หลีกเลี่ยงลิปสติกเฉดสีน้ำเงินหรือสีดำ เพราะมักจะทำให้คุณดูแก่กว่าวัย ดูดุกว่าเดิม และแน่นอนว่าน่ากลัวกว่าเดิม (ลองนึกถึงแวมไพร์)
    • ลิปไลเนอร์ไม่ใช่สิ่งจำเป็น แต่ถ้าคุณใช้ ให้เลือกสีตามสีปากเดิมของคุณ ไม่ใช่สีลิปสติก
    • ทาลิปสติกอย่างระมัดระวังแล้วเกลี่ยขอบๆ เล็กน้อยเพื่อให้ดูละมุนขึ้น
    • เริ่มทาตรงกลางก่อนจากนั้นค่อยเกลี่ยสีไปที่มุมปาก ระวังอย่าทาที่มุมปากโดยตรง
    • ทาลิปสติกสีเข้มที่ริมฝีปากล่าง จากนั้นเม้มปากเข้าหากันเพื่อให้สีอ่อนลง
    • ทาลิปสติก 1 ครั้ง จากนั้นเม้มปากลงบนกระดาษทิชชู และทาลิปสติกอีกครั้งเพื่อให้ติดทนนานยิ่งขึ้น
  5. แม้ว่าการแต่งหน้าอาจไม่ใช่สำหรับทุกคน แต่คนที่แต่งหน้าสามารถปรับภาพลักษณ์ให้ดีขึ้นได้ด้วยการศึกษาวิธีการแต่งหน้าเพื่อเพิ่มความมั่นใจในรูปลักษณ์ให้มากขึ้น เช่นเดียวกับเสื้อผ้า เป้าหมายของการแต่งหน้าคือแต่งให้เข้ากับรูปหน้าของคุณและแต่งดวงตาในแบบที่คุณต้องการจะเน้น เพื่อให้คุณรู้ลักษณะรูปหน้าของตัวเอง ให้รวบผมไว้ด้านหลังและส่องกระจกดูไรผมและคาง: [18]
    • หน้ารูปหัวใจ (หน้าผากกว้างและคางแหลม) ควรเลี่ยงความสนใจจากคางและโหนกแก้มที่เด่นด้วยการแต่งหน้าและทาลิปสติกสีโทนอ่อน
    • หน้ากลม (หน้าผากกับช่วงล่างของใบหน้ากว้างเท่ากัน) ดูคมชัดขึ้นได้ด้วยการแต่งแก้มและแต่งตา (เช่น แต่งตาแบบสโมกกี้อาย)
    • หน้าเหลี่ยม (ขากรรไกรและไรผมเป็นมุม) ควรแต่งผิว ปาก และดวงตาด้วยสีอ่อนเพื่อทำให้ลักษณะใบหน้าดูละมุนขึ้น
    • หน้ารูปไข่ (หน้าผากและช่วงล่างของใบหน้ากว้างเท่ากันแต่ความยาวยาวกว่าความกว้าง) ควรทาบลัชออนในแนวขวางและแต่งตาและปากให้คมชัดขึ้นเพื่อลดความยาวของใบหน้า
  6. ทรงผมเริดๆ จากร้านตัดผมเก๋ไก๋หรือมีชื่อเสียงสามารถทำให้คุณรู้สึกมั่นใจในรูปลักษณ์ของตัวเองมากขึ้น และยังทำให้คุณดูมีสไตล์ที่ทันสมัยและตามเทรนด์มากขึ้นด้วย เช่นเดียวกับการแต่งหน้า กุญแจสำคัญของทรงผมที่ดีก็คือทรงผมที่เหมาะกับรูปหน้าของคุณ: [19]
    • หน้ารูปหัวใจควรไว้ผมหน้าม้าและด้านข้างควรมีผมยาวประมาณคางลงมาปิดไว้เพื่อให้ใบหน้าดูกลมขึ้น
    • หน้ากลมควรแสกกลางหรือค่อนข้างกลางและ “สไลด์ผมตามกรอบหน้า” ที่จะช่วยลดความกลมของใบหน้าและทำให้ใบหน้า “ดูมีเหลี่ยมมุมมากยิ่งขึ้น”
    • หน้าเหลี่ยมควร “สไลด์ผมตามกรอบหน้า” และแสกข้างเพื่อดึงความสนใจมาที่โหนกแก้ม
    • หน้ารูปไข่เป็นใบหน้าที่เหมาะกับสไตล์ทรงผมส่วนใหญ่ เนื่องจากเทคนิคต่างๆ สำหรับรูปหน้าแบบอื่นนั้นมีจุดประสงค์คือเพื่อให้ใบหน้าเป็นรูปไข่มากยิ่งขึ้น
  7. การมีรูปลักษณ์ที่ดูเหมือนว่าคุณใส่ใจรูปลักษณ์และดูแลตัวเองอยู่เสมอช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับคุณได้ คุณสามารถดูดีอยู่เสมอได้ด้วยเคล็ดลับการดูแลตัวเองง่ายๆ ดังต่อไปนี้: [20]
    • ตัดและตะไบเล็บให้เรียบร้อยอยู่เสมอ (เคล็ดลับนี้มีประโยชน์ทั้งกับผู้หญิงและผู้ชาย) เนื้อใต้เล็บต้องสะอาด
    • แปรงฟันวันละหลายๆ ครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังอาหารเพราะอาจมีเศษอาหารติดฟัน
    • พกทิชชูเปียกและผ้าเปียกสำหรับทำความสะอาดติดตัวไว้เพื่อเช็ดเครื่องสำอาง ครีมกันแดด และเหงื่อ หรือแค่เพื่อเติมความสดชื่นให้ตัวเองหลังจากผ่านชั่วโมงเคร่งเครียดไป 2 – 3 ชั่วโมง นอกจากนี้อย่าลืมล้างหน้าให้สะอาดหมดจดทุกวันเพื่อให้ผิวหน้าสะอาด
    • ใช้มอยซ์เจอไรเซอร์ชะลอวัย ครีมกันแดด และคอนซีลเลอร์ (เพื่อให้สีผิวสม่ำเสมอ)
    • ใช้นิ้วมือ (แทนที่จะใช้แปรง) แต่งหน้าเพื่อให้รู้สึกได้ดีขึ้น (จริงๆ) ว่าต้องใช้เครื่องสำอางแค่ไหนถึงจะได้ลุคที่ดูเป็นธรรมชาติมากกว่า
    • ติดเล็บปลอมเพื่อการตกแต่งเล็บอย่างรวดเร็ว ถึงแม้มันจะมีไว้ให้คนที่ผ่านยุค 80 มา แต่เดี๋ยวนี้การติดเล็บปลอมเป็นที่ยอมรับมากกว่าที่คุณรู้เสียอีก!
    • ทาผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายและผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อเป็นประจำ
    • ใช้น้ำมันธรรมชาติ (เช่น อะโวคาโด มะพร้าว หรืออัลมอนด์) เพื่อให้ร่างกายและผมของคุณชุ่มชื้น
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

พัฒนาคุณภาพชีวิต

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ให้ความสนใจกับเพื่อนๆ และดูว่าพวกเขาทำให้คุณรู้สึกอย่างไร อยู่ท่ามกลางคนที่ไม่วิจารณ์หรือตัดสินคุณ เพราะมันอาจส่งผลที่ไม่ดีต่อภาพลักษณ์ทางกายของคุณ [21]
    • เพื่อนๆ อาจช่วยให้คุณทำตามเป้าหมายด้านสุขภาพและสมรรถนะทางกายได้ ซึ่งอาจจะช่วยให้คุณมั่นใจในรูปลักษณ์ของตัวเองมากขึ้นเช่นกัน ลองหาเพื่อนไปฟิตเนสหรือเพื่อนเดินป่า
  2. เรื่องที่ฟังดูง่ายๆ และชัดเจนอย่างการยิ้มนั้นแม้จะเป็นการฝืนยิ้ม ก็ยังช่วยลดความเครียดและทำให้คุณรู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้นได้ [22] นอกจากนี้คนก็ยังจะมองว่าคุณเป็นคนเข้าถึงได้และไว้ใจคนอื่นด้วย [23]
  3. ถ้าคุณได้รับคำชม อย่าทำเป็นเฉไฉ รับมันซะ! [24] ถ้าคุณไม่มั่นใจในรูปลักษณ์ของตัวเอง คุณอาจจะรู้สึกกระอักกระอ่วนที่จะรับคำชมและปฏิกิริยาที่กังวลของคุณอาจทำให้คุณเฉไฉหรือไม่ให้ความสำคัญกับคำชมสักเท่าไหร่ เช่น ถ้ามีคนชมคุณว่าเสื้อเชิ้ตคุณสวยจัง คุณอาจจะบอกเขาว่ามีคนเขาไม่ใส่แล้วเลยยกให้คุณมา และคุณก็ใส่เสื้อตัวนี้เพราะว่าเสื้อตัวอื่นที่เหลือยังไม่ได้ซัก นี่คือปฏิกิริยาที่สะท้อนถึงความวิตกกังวลเกี่ยวกับรูปลักษณ์ของตัวเอง และอาจทำให้คุณและคนที่ชมคุณรู้สึกอึดอัดทั้งคู่ แทนที่จะทำแบบนั้น ให้พูดขอบคุณและมีความสุขไปกับคำชมที่คุณได้รับให้เต็มที่
  4. ไม่ว่าการออกกำลังกายจะเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ภายนอกของคุณได้จริงๆ หรือไม่ การออกกำลังกายสามารถเปลี่ยนการรับรู้เกี่ยวกับตนเอง ซึ่งอาจนำไปสู่ความภาคภูมิใจในตนเองที่มากขึ้น จากการสำรวจเรื่องกิจกรรมที่ใช้แรงและน้ำหนักในสหรัฐอเมริกาพบว่า คนที่ไม่พอใจในขนาดรูปร่างของตนเองนั้นมีแนวโน้มที่จะออกกำลังกายน้อยกว่า ไม่ว่าจริงๆ แล้วพวกเขาจะน้ำหนักเท่าไหร่ก็ตาม ผลการสำรวจครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า แค่การออกกำลังกายก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับการมีภาพลักษณ์ที่ดีต่อตนเองที่มากขึ้นได้เช่นกัน [25]
    • ปริมาณการออกกำลังกายต้องมากพอที่คุณจะรู้สึกถึงความสำเร็จและต้องสม่ำเสมอ แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นการออกกำลังกายแบบใดแบบหนึ่งโดยเฉพาะ หรือไม่ต้องมีกำหนดระยะเวลาแน่นอน
  5. อาหารบางชนิด เช่นอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลสูงอาจทำให้คุณเฉื่อยชาและส่งผลกระทบที่ไม่ดีต่ออารมณ์ของคุณ อาหารที่สามารถทำให้คุณอารมณ์ดีขึ้นได้คืออาหารที่มีไขมันต่ำและให้พลังงานอย่างช้าๆ อาหารเหล่านี้ให้พลังงานในแต่ละช่วงเวลาเท่าๆ กันและไม่เสี่ยงต่อน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ท้องอืด และท้องไส้ปั่นป่วน และยังทำให้ผมและเล็บแข็งแรงขึ้น ซึ่งช่วยให้คุณมีภาพลักษณ์ที่ดีต่อตนเองมากขึ้นด้วย [26]
    • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูง ทอด หรือแปรรูปมากเกินไป [27]
    • รับประทานถั่วเปลือกแข็งและเมล็ดพืช ถั่วมีฝัก ผักและผลไม้สดโดยเฉพาะอย่างยิ่งผักผลไม้ที่มีสีสันสดใส [28]
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • จำไว้ว่าสิ่งที่คนอื่นคิดกับคุณนั้นไม่ได้สำคัญเลยสักนิด สิ่งสำคัญก็คือสิ่งที่คุณคิด และตัวคุณเท่านั้นว่าคิดต่อตนเองอย่างไร
  • การพูดสิ่งดีๆ และสิ่งที่แสดงถึงความมั่นใจให้ตัวเองฟังดังๆ นั้นช่วยให้คุณรู้สึกมั่นใจมากขึ้นได้
  • ถ้ามีใครพูดไม่ดีกับคุณ จำไว้ว่าพวกเขาแค่แสดงให้เห็นถึงด้านที่ไม่ดีของตัวเองเท่านั้น และความคิดเห็นของพวกเขาก็บอกอะไรเกี่ยวกับตัวเขามากกว่าตัวคุณ
  • ซื่อสัตย์ต่อตนเองและค้นหาว่าอะไรที่ทำให้คุณสบายใจและมั่นใจในตัวเอง
  • พยายามอย่าเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น


โฆษณา
  1. http://www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-2644076/You-DRESS-Clothing-significant-effect-self-esteem-confidence-claims-expert.html
  2. http://www.oprah.com/spirit/How-to-Feel-Beautiful-and-Boost-Confidence/7
  3. http://www.joyofclothes.com/style-advice/shape-guides/body-shapes-overview.php
  4. http://www.sofeminine.co.uk/fashion-trends/what-to-wear-if-you-re-skinny-s563557.html
  5. http://www.askmen.com/fashion/galleries/10-things-you-can-t-wear-if-you-re-skinny.html
  6. http://traceyevelynbeautifulyou.com/2013/02/20-simple-tips-to-flatter-wide-hips-or-pear-shaped-body-type/
  7. http://www.harpersbazaar.com/fashion/trends/g936/clothes-for-your-body-type/?slide=1
  8. http://www.youbeauty.com/mind/give-your-beauty-self-esteem-a-boost
  9. http://www.totalbeauty.com/content/gallery/face-shape-makeup
  10. http://www.totalbeauty.com/content/gallery/p_face_shape/p1121/page1
  11. http://www.totalbeauty.com/content/gallery/lazy-girls-guide-grooming
  12. http://psychcentral.com/news/2012/11/06/friends-perceptions-influence-womens-body-image/47197.html
  13. http://www.sciencedaily.com/releases/2012/07/120730150113.htm
  14. http://www.pnas.org/content/105/32/11087.full?sid=65bb4758-3bfc-46a5-9a68-f0a7590da9ba
  15. http://www.entrepreneur.com/article/234668
  16. http://onlinelibrary.wiley.com/doi/10.1038/oby.2008.311/full
  17. http://www.nutritionist-resource.org.uk/articles/confidence.html
  18. http://www.huffingtonpost.com/2013/06/04/get-more-energy_n_3377819.html
  19. http://www.webmd.com/depression/features/foods-feel-better?page=2#

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 6,858 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา