ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

ปอดและระบบทางเดินหายใจนั้นเป็นการป้องกันจากธรรมชาติ ซึ่งอากาศที่หายใจเข้าผ่านจมูกนั้นจะถูกกรองโดยขนเส้นเล็กๆ ในจมูก และปอดยังผลิตสารที่เป็นเมือก หนาและเหนียว ที่ช่วยกันและยับยั้งแบคทีเรียมากมายที่จะมาจับกับปอด โดยปอดที่สุขภาพดีนั้นสำคัญต่อชีวิตที่สมบูรณ์และมีความสุข แต่โชคร้ายที่ปอดของเราจะโดนสารเคมีร้าย และมลพิษมากมายจากการหายใจเข้าออกทุกวัน ซึ่งจะทำให้สุขภาพและอาการของปอดแย่ เช่น วัณโรค ไอกรน ปอดบวม หลอดลมอักเสบ และยังมีโรคเรื้อรัง เช่น หอบหืด ปอดอุดกั้นเรื้อรัง และมะเร็งปอด ที่มีผลกระทบต่อปอดในช่วงเวลายาวนาน โดยถ้าอยากช่วยทำให้ปอดดีขึ้น ก็สามารถทำตามวิธีธรรมชาติเหล่านี้ได้ เพื่อฟื้นฟูจากอาการที่รุนแรง [1] [2]

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 5:

รักษาอาหารและโภชนาการ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ควรพยายามเพิ่มสัดส่วนของผักและผลไม้ในกิจวัตรประจำวัน โดยการลดปริมาณลงจะทำให้เกิดโรคปอด โดยเฉพาะหอบหืดและหลอดลมอักเสบ เพราะผักและผลไม้มีสารต้านอนุมูลอิสระในระดับสูง ซึ่งพบว่าจะป้องกันอาการหอบหืดและหลอดลมอักเสบ รวมไปถึงมะเร็งอีกด้วย [3] [4]
    • เลือกผักและผลไม้สีสดใส เพื่อให้ได้สารต้านอนุมูลอิสระระดับสูง เช่น บลูเบอร์รี ราสเบอร์รี แอปเปิล ลูกพลัม ส้มและผลไม้ตระกูลส้ม ผักใบเขียว ฟักทองเทศและฟักทองพื้นเมือง รวมทั้งพริกหวาน [5]
  2. ควรจำกัดการบริโภคเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะเนื้อแดง เพื่อสุขภาพที่ดีของปอด โดยต้องมั่นใจว่าเนื้อวัวนั้นไร้มัน กินหญ้าเป็นอาหารและไม่ฉีดฮอร์โมนและยาปฏิชีวนะ รวมถึงเนื้อสัตว์ปีกที่ไม่ได้เลี้ยงด้วยฮอร์โมนหรือยาปฏิชีวนะ และควรเอาหนังออกด้วย [6]
    • สัตว์ปีก เช่น ไก่และไก่งวง นั้นเป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยวิตามินเอสูง ซึ่งคนที่ขาดวิตามินเอนั้นอาจมีแบคทีเรียติดเชื้อที่ปอดได้ รวมทั้งยังช่วยฆ่าสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่มีอันตรายต่อปอด [7]
  3. โดยควรกินปลาเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ได้ประโยชน์ในการรักษาปอดจากปลาที่มีไขมัน เช่น แซลมอน แมคคาเรล เทราต์ แฮร์ริ่ง และซาร์ดีน เพราะปลาที่มีไขมันจากกรดโอเมก้า 3 จะช่วยเสริมสุขภาพปอด
    • คุณสมบัติในการต้านการอักเสบของกรดไขมันโอเมก้า 3 จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการออกกำลังกาย ซึ่งช่วยทำให้สุขภาพปอดดีขึ้น [8]
  4. โดยในการกินเพื่อสุขภาพที่ดีนั้น ให้พยายามเพิ่มถั่วฝักและถั่วเมล็ดแห้งในแต่ละมื้อ ถั่วขาว ถั่วดำ และถั่วแดงนั้นเป็นแหล่งของโปรตีนที่ดี ซึ่งถั่วเหล่านี้รวมทั้งถั่วเมล็ดแห้ง เช่น เลนทิล มีวิตามินและเกลือแร่มากมาย ที่จำเป็นสำหรับการทำงานของปอด
  5. การควบคุมอาหารที่มีวิตามินและเกลือแร่ที่พบในอาหารบางชนิด จะช่วยป้องกันและรักษาปอด โดยให้เปลี่ยนไปกินอาหารแบบเกษตรอินทรีย์ให้ได้มากเท่าที่ทำได้ และจากผลการวิจัยพบว่าสารกันบูดและวัตถุเจือปนอาหารที่ถูกพบในอาหารที่ไม่ใช่ออร์แกนิค จะทำให้เกิดอาการหอบหืด มะเร็งปอด และโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ซึ่งรวมถึงถุงลมโป่งพอง และหลอดลมอักเสบเรื้อรัง
    • วัตถุเจือปนอาหารก็มี ซัลไฟต์ แอสปาแตม พาราเบน ทาร์ทราซีน ไนเตรตและไนไตรต์ บิวทิล ไฮดรอกซี่ โทลูอีน (BHT) และเบนโซเอต [9] [10]
    • ถ้าไม่สามารถเปลี่ยนไปกินแบบออร์แกนิคได้ทั้งหมด ให้ลองหลีกเลี่ยงอาหารที่มีวัตถุเจือปนเหล่านี้ดู โดยตรวจสอบที่ฉลากอาหาร เพื่อจะได้มั่นใจว่าไม่มีสารเหล่านี้อยู่
  6. จำกัดอาหารที่ผ่านกระบวนการและบรรจุเสร็จแล้ว. เมื่อพยายามที่จะรักษาและส่งเสริมปอด ก็ควรจำกัดปริมาณอาหารเหล่านี้ เพราะจะช่วยจำกัดการรับวัตถุปนเปื้อนและสารกันบูด ซึ่งทำให้เกิดปัญหาทางการหายใจและเพิ่มความอ่อนไหวของปอดได้ โดยควรพยายามทำให้อาหารทั้งหมดด้วยตนเองแม้ว่าอาจจะต้องฝึกฝนและวางแผนเพิ่ม
    • จะมีสุขภาพดีขึ้นถ้าทำอาหารด้วยตนเอง และใช้อาหารที่ไม่ผ่านกระบวนการ เพราะมันยังมีวิตามิน เกลือแร่และสารอาหารอื่นๆ คงเหลืออยู่ในอาหารอยู่
    • วิธีหนึ่งจะบอกว่าอาหารนั้นผ่านกระบวนการมากเกินไป ก็คือดูว่ามันขาวเกินไป เช่น ขนมปังขาว ข้าวขาว หรือพาสต้าขาว แล้วให้กินขนมปังธัญพืชเต็มเมล็ด ข้าวกล้อง และพาสต้าจากธัญพืชเต็มเมล็ดแทน
    • นี่หมายความว่าควรกินแค่คาร์โบไฮเดรตที่เป็นเชิงซ้อนไม่ผ่านกระบวนการ แต่ถ้าหลีกเลี่ยงขนมปังขาวและอาหารผ่านกระบวนการอื่นๆ ก็ต้องไม่กินคาร์โบไฮเดรตอื่นๆ เลย เพราะเมื่อคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนผ่านกระบวนการแล้ว มันจะถูกทำลายเป็นเชิงเดี่ยว [11]
  7. เสริมการกินด้วยเกลือแร่ เช่น แมกนีเซียม สังกะสี และซีลีเนียมให้เพิ่มขึ้น เพราะเกลือแร่เหล่านี้จำเป็นต่อการทำงานที่เหมาะสมของปอด และทำให้สุขภาพดีขึ้นด้วย รวมทั้งเสริมวิตามินดี 3 ในทุกวัน เพราะการทำงานของระบบทางเดินหายใจที่แย่เกิดจากการมีระดับวิตามินดีต่ำ [12] [13]
    • ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ทางด้านการดูแลสุขภาพก่อนกินอาหารเสริม และทำตามคำแนะนำของผู้ผลิต
  8. ซึ่งเบต้าแคโรทีนพบในอาหารจากธรรมชาติและช่วยเสริมสร้างวิตามินเอ แต่ไม่ควรกินอาหารเสริมหากสูบบุหรี่หรือมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งปอด โดยมีบางงานวิจัยที่บ่งบอกว่า การเสริมเบต้าแคโรทีนอาจจะเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็งปอดในคนที่สูบบุหรี่บางคนได้
    • ไม่มีหลักฐานว่าการกินอาหารที่มีเบต้าแคโรทีน จะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งได้ [14]
  9. การดื่มน้ำมากจะทำให้ปอดมีความชุ่มชื่นและไม่มีเมือก และยังทำให้เลือดไหลเวียนได้ง่าย โดยตั้งเป้าให้ดื่มน้ำให้ได้วันละ 2 ลิตร และการดื่มน้ำที่เพียงพอนั้นก็จำเป็นที่จะทำให้เมือกเบาบางลง ซึ่งจะช่วยป้องกันการสร้างเมือกในปอดและทางเดินหายใจที่มากเกินไป
    • สามารถเพิ่มระดับความชุ่มชื้นในร่างกายด้วยการดื่มชาสมุนไพรและน้ำผลไม้ โดยน้ำที่ปราศจากคาเฟอีนก็รวมด้วยได้
    • เพิ่มน้ำด้วยการกินผักและผลไม้ที่มีน้ำอยู่มาก เช่น แตงโม มะเขือเทศ และแตงกวา [15]
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 5:

ออกกำลังกายร่วมด้วย

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การออกกำลังกายนั้นสำคัญต่อการรักษาสุขภาพหัวใจ แต่ก็สำคัญต่อปอดด้วยเช่นกัน โดยมันจะเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปสู่ปอด และทำให้สารอาหารที่จำเป็นทุกอย่างไปถึงปอด ซึ่งควรเริ่มอย่างน้อยๆ ในตอนแรกและทำอย่างระมัดระวังจะได้ไม่ทำมากเกินไป ดังนั้นหาวิธีการที่เหมาะสมกับตัวเองและเพิ่มระดับการออกกำลังกายตามสะดวก
    • เมื่อเริ่มครั้งแรกให้เดินนานๆ หรือเดินเร็ว หรือใช้เครื่องออกกำลังกายเดินวงรี Elliptical เพราะการออกกำลังกายเหล่านี้ไม่ใช้พลังมาก แต่จะทำให้เลือดและอากาศเคลื่อนเข้าสู่ปอดและร่างกาย
    • ถ้ามีปัญหาปอดหรือการหายใจ ให้ปรึกษาแพทย์ก่อนการออกกำลังกายแบบใหม่ เพราะอาจจะมีตัวอย่างของการออกกำลังกายที่ปลอดภัยจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของปอด และช่วยทำให้ได้ปอดมีความแข็งแรง
  2. เพราะมันช่วยเพิ่มปริมาณการรับออกซิเจน และความสามารถในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยในครั้งแรกการออกกำลังกายเหล่านี้อาจจะทำให้เวียนหัวเล็กน้อยได้ จึงทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพแนะนำให้ทำช้าๆ อย่างต่อเนื่อง และเมื่อคุ้นเคยกับวิธีการหายใจที่เหมาะกับตัวเองที่สุดแล้ว ก็จะพบว่าได้ทำตามวิธีนั้นมากขึ้นๆ โดยไม่รู้ตัวเลย
    • หาเทรนเนอร์ส่วนตัวหรือนักบำบัดร่างกายที่จะแนะนำในการปรับเพิ่มที่เหมาะสม โดยสอบถามเพื่อความรู้เพิ่มเติม
    • ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญในการดูแลสุขภาพก่อนการเริ่มโปรแกรมการออกกำลังกายใดๆ ซึ่งหากต้องการมีสุขภาพปอดที่ดีขึ้น ก็อาจจะได้รับการแนะนำให้ไปหาแพทย์เฉพาะทางด้านการฟื้นฟูสมรรถภาพปอด
  3. โดยทั่วไปแพทย์ส่วนใหญ่จะแนะนำวิธี 2 อย่างที่ทำให้การหายใจลำบาก และเพิ่มประสิทธิภาพของปอดดีขึ้น ซึ่งวิธีแรกคือการหายใจแบบห่อปาก โดยเริ่มด้วยการหายใจผ่านจมูกประมาณ 2 – 3 วินาที และจีบปากและหายใจออกช้าๆ ผ่านการห่อหรือจีบปากประมาณ 4 – 9 วินาที แล้วทำซ้ำตามสะดวก
    • ถ้ารู้สึกไม่สบาย ให้รอซัก 1 ชั่วโมงและทำซ้ำอีกครั้ง โดยมันต้องมีการฝึกฝนและทุ่มเท แต่ก็จะหายใจง่ายขึ้นและรู้สึกดีขึ้นด้วย [16]
  4. ควรฝึกตัวเองให้หายใจแบบนี้ ซึ่งจะเป็นการหายใจผ่านหน้าท้องแทนช่องอก แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะไม่ได้หายใจแบบนี้ แต่มันก็เป็นการหายใจปกติ โดยมันใช้กะบังลมที่กล้ามเนื้อที่อยู่ใต้ปอดที่เป็นกล้ามเนื้อหลักการหายใจ โดยขั้นแรกให้คลายไหล่ หลังและคอ แล้ววางมือข้างหนึ่งลงบนหน้าท้องและอีกข้างไว้บนหลัง จากนั้นหายใจเข้าผ่านทางจมูกประมาณ 2 วินาที และขณะที่หายใจเข้าให้ขยับหน้าท้องให้ออกมาข้างนอก แล้วหายใจออกผ่านการห่อปาก เพื่อช่วยควบคุมอัตราการหายใจออกและค่อยๆ กดหน้าท้องลง ซึ่งการดันกะบังลมขึ้นจะช่วยทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงอีกด้วย
    • อาจจะต้องใช้การฝึกฝนเพื่อความเชี่ยวชาญซักหน่อย ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหายใจแบบนี้ตลอด แต่ถ้าสังเกตเด็กทารก นี่แหละคือวิธีที่พวกเขาหายใจ โดยไม่ได้ใช้สิ่งที่เรียกว่า “กล้ามเนื้อช่วยหายใจ” คือ คอ ไหล่ หลัง และซี่โครง และเมื่อเข้าใจแล้วก็ใช้วิธีนี้ได้นานและบ่อยตามสะดวก [17] [18]
  5. มันมีความหลากหลายในวิธีการหายใจแบบห่อปากและใช้กะบังลม ซึ่งถูกปรับจากมหาวิทยาลัยมิซซูรีที่เมืองคานซัส โดยวิธีการหายใจลึกๆ ให้นอนหงายราบ แล้วใช้หมอนไว้ใต้เข่าและคอเพื่อให้สบายตัว จากนั้นคว่ำฝ่ามือทั้งสองข้างลงบนท้อง ด้านขวาใต้ซี่โครง และทำนิ้วให้ติดกันก็จะรู้สึกว่ามันแยกกัน และกำลังทำถูกทางแล้ว นอกจากนี้ให้หายใจลึกช้าๆ ยาวๆ ด้วยการขยายหน้าท้อง โดยนิ้วมือควรแยกจากกันเมื่อวางบนหน้าท้องอยู่
    • การฝึกแบบนี้จะทำให้ใช้กะบังลมไม่ใช่ซี่โครง ซึ่งกะบังลมนั้นจะสร้างการดูดที่จะดึงอากาศเข้าสู่ปอดให้มากขึ้นมากกว่าที่จะเป็นการขยายซี่โครง
    • ทำแบบนี้เมื่อไหร่ก็ตามที่หายใจไม่ออกหรือบ่อยครั้งเท่าที่ทำได้ โดยในตอนแรกอาจจะรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย เพราะกำลังดึงออกซิเจนเข้าปอดมากกว่าที่เคย และหากรู้สึกไม่สบายเมื่อไหร่ ก็ให้หยุด แต่ก็สามารถทำซ้ำได้บ่อยเท่าที่ต้องการเลย [19]
  6. สามารถเพิ่มประสิทธิภาพปอดได้ด้วยการเพิ่มความแข็งแรงของกะบังลม โดยเริ่มที่การฝึกหายใจลึก แล้วเมื่อหายใจออกให้ทำเสียง ซึ่งเสียงนี้จะทำให้กะบังลมเคลื่อนที่และช่วยทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ดังนั้นให้ทำแบบนี้เมื่อหายใจไม่ออกหรือบ่อยครั้งตามความสามารถ ซึ่งในตอนแรกอาจจะรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย ก็ห้ามตื่นตกใจไป มันเป็นเพราะกำลังได้รับออกซิเจนมากกว่าที่เคยในคราวเดียว
    • ถ้ารู้สึกไม่สบายตอนไหนให้หยุด แต่ก็สามารถทำซ้ำได้บ่อยตามสะดวก [20]
  7. ในการฝึกนี้ต้องนั่งลงแบบสบายๆ แล้วหายใจเข้าสั้นๆ 3 ครั้งผ่านจมูก และเมื่อหายใจเข้าครั้งแรกให้ยกแขนขึ้น เอื้อมมือไปข้างหน้า และรักษาระดับของแขนกับไหล่ให้ตรงกัน จากนั้นในการหายใจเข้าครั้งที่ 2 ให้ขยับแขนไปด้านข้าง แล้วรักษาระดับแขนกับไหล่ และในครั้งที่ 3 ให้ยกแขนเหนือศีรษะ
    • ทำซ้ำ 10 – 12 ครั้ง
    • ถ้าการฝึกนี้ทำให้เกิดอาการเวียนหัวให้หยุด และจะกลับไปมีจังหวะการหายใจแบบธรรมชาติทันที [21]
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 5:

ใช้สมุนไพร

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ซึ่งมีตัวที่ช่วยในการหายใจและสุขภาพปอดมาก แต่มันก็ไม่ได้มีวิธีที่ตายตัวในการใช้สมุนไพรเหล่านี้ โดยสามารถดื่มแบบชา หรือกินเป็นอาหารเสริม หรือหากไม่อยากกินก็ใช้เป็นการบำบัดด้วยกลิ่น โดยให้ความร้อนมันในน้ำ แล้วปล่อยให้กลิ่นแทรกซึมไปทั่วทั้งห้อง
    • ทำชาด้วยการใช้สมุนไพรแห้ง 1 ช้อนชาต่อน้ำเดือด 1 ถ้วย และหากใช้เป็นอาหารเสริมก็ให้ทำตามคำแนะนำของผู้ผลิต
  2. สมุนไพรของอิตาลีที่ชื่อออริกาโนนั้นเป็นยาที่ช่วยลดอาการบวมของเยื่อบุโพรงจมูก ยาต้านจุลชีพ และยาต้านฮีสตามีน โดยตัวกระทำที่ทำงานก็คือน้ำมันหอมระเหยที่เรียกว่าคาร์วาครอล (Carvacrol) และกรดโรสมารินิค และสามารถเติมสมุนไพรนี้ได้ทั้งแบบสดหรือแห้ง ใส่ลงไปในซอสมะเขือเทศและนวดลงบนเนื้อสัตว์
    • สามารถใช้เป็นอาหารเสริมในรูปแบบน้ำมันก็ได้ [22] [23] [24] [25]
  3. ส่วนประกอบที่ทำงานของเปปเปอร์มินท์ คือ เมนทอล ซึ่งจะคลายกล้ามเนื้อของระบบทางเดินหายใจและทำหน้าที่เป็นตัวต้านฮีสตามีน โดยสามารถใช้ได้ทั้งแบบสดหรือแห้งในการทำปลาหรือขนมหวาน และยังสามารถใช้ในแบบน้ำมันด้วยการใส่ในอาหาร กินเป็นอาหารเสริม หรือใช้เป็นครีมทาได้ด้วย รวมทั้งมันยังมีรูปแบบน้ำมันอื่นๆ ที่สามารถให้ความร้อน เพื่อให้แทรกซึมอยู่ในอากาศด้วย
    • ห้ามใช้น้ำมันเปปเปอร์มินท์หรือเมนทอลลงบนผิวเด็กตรงๆ เพราะมันเป็นการทำให้อัตราของระบบทางเดินหายใจของเด็กลดต่ำลง [26] [27] [28]
    • หลายคนใช้ยาหม่องที่มีเมนทอลทาที่หน้าอกและสเปรย์ฉีดคอ เพื่อช่วยแก้อาการคัดจมูก
  4. ใบจากต้นยูคาลิปตัสมีการใช้กันมายาวนานเป็นสิบปี และมันเป็นตัวลดอาการคัดจมูกจากธรรมชาติ ซึ่งละลายเสมหะลง และทำให้อาการไอดีขึ้น โดยตัวที่ทำให้มีคุณสมบัตินี้คือสาร cineole ยูคาลิปตอล และเมอร์เทิล ซึ่งผลงานวิจัยจากคลินิคแนะนำว่า ยูคาลิปตัสจะใช้รักษาอาการหลอดลมอักเสบทั้งเรื้อรังและเฉียบพลันอย่างได้ผลมาก รวมทั้งสามารถใช้น้ำมันยูคาลิปตัสได้โดยการกินหรือทาครีม แต่ต้องทำให้มันเจือจางลงก่อน
    • น้ำมันระเหยยูคาลิปตัสจะใช้เป็นตัวลดอาการคัดจมูกเมื่อสูดหายใจเข้า และมันจะใช้ในการรักษาอาการหลอดลมอักเสบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลองหยดน้ำมัน 2 – 3 หยดลงในถ้วยที่มีน้ำมันยูคาลิปตัส และสูดหายใจเอาไอเข้าไป
    • น้ำมันยูคาลิปตัสแบบที่เจือจางจะช่วยอาการไอ อาการบวมของทางเดินหายใจ หลอดลมอักเสบและปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจอื่นๆ อีกมากมาย
    • สามารถใช้กับผิว เพื่อช่วยอาการบวมของเยื่อเมือกในทางเดินหายใจ [29] [30] [31]
  5. อาหารเสริมบางอย่างอาจจะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของปอด โดยสามารถใช้ white horehound ซึ่งใช้กันมานานในหลายๆ วัฒนธรรมตั้งแต่การแพทย์ของอียิปต์โบราณ อายุรเวท ชนอะบอริจินของออสเตรเลีย และชาวอเมริกันพื้นเมือง เพื่อรักษาอาการของระบบทางเดินหายใจที่แตกต่าง ซึ่งยาอมแก้ไอ เช่น ยาหยอดริโคล่า ที่มี horehound และกินครั้ง 1 - 2 เม็ดทุกๆ 1 – 2 ชั่วโมง ตามความจำเป็น
    • ยา Lungwort ถูกใช้เป็นยารักษาความผิดปกติของปอดมากว่าหลายสิบปีแล้ว โดยมันเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีพลังและเป็นตัวขับเสมหะ ซึ่งจะทำให้ไอออกมา
    • สารสกัดจากดอกไม้/ราก Elecampane จะมีอินูลินที่ช่วยในการผลิตเสมหะและคลายทางเดินหลอดลม รวมทั้งมันยังมีคุณสมบัติในการต้านแบคทีเรียอีกด้วย [32] [33] [34]
    • ห้ามใช้ horehound ถ้าเป็นโรคเบาหวานหรือความดันเลือดสูง
    โฆษณา
วิธีการ 4
วิธีการ 4 ของ 5:

ป้องกันโรคปอด

ดาวน์โหลดบทความ
  1. กันไว้มักดีกว่าแก้เสมอ โดยจำไว้ว่าไม่ควรทำให้ปอดเจอความเครียด ฝุ่นละออง สารก่อมะเร็ง และควันที่มากเกินไป ด้วยการไม่สูบบุหรี่ หรือเลิกสูบถ้าทำได้ เพราะมันทำให้ปอดอ่อนแอจากการมีสารเคมีอันตราย เช่น นิโคติน เข้าสู่ร่างกาย และทำลายปอดผ่านการรับควันติดต่อกัน รวมทั้งการสูบบุหรี่ก็ยังทำให้น้ำมันดินไปเคลือบปอด ซึ่งมีอันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพปอดอีกด้วย
  2. ถ้าอยู่ในพื้นที่ที่มีมลภาวะทางอากาศในระดับสูง หรือหากเป็นหอบหืด ก็จะต้องป้องกันตัวเองให้มากขึ้น โดยสามารถใส่หน้ากากอนามันเมื่อออกไปข้างนอก หรืออาจจะมีเครื่องกรองอากาศไว้ที่บ้าน เพราะมันช่วยป้องกันมลพิษในบ้านได้ [39] [40]
    • มันมีหน้ากากอนามัยแบบพิเศษที่ต้องซื้อเพื่อสุขภาพปอด และให้ลองหน้ากากอนามัยที่มีคาร์บอนหรือถ่านที่ทำงานอยู่ในตัวกรอง เพื่อป้องกันจากการหายใจที่มีสารก่อภูมิแพ้ มลพิษ ควัน และสารเคมี รวมทั้งสามารถซื้อหน้ากากที่เฉพาะเจาะจงที่มีตัวกรอง P100 ที่ดีกว่า และทำขึ้นสำหรับอากาศเย็นๆ หรือช่วยในระบบทางเดินหายใจ [41]
    • สามารถลงชื่อเข้าในระบบแจ้งเตือนได้ เช่น EnviroFlash ซึ่งจะส่งอีเมลแจ้งเกี่ยวกับคุณภาพอากาศในพื้นที่ที่อยู่ และหากอากาศแย่ ก็ยังทำให้อยู่บ้านหรือระวังปัญหานั้นและใส่หน้ากากป้องกันเมื่อออกไปข้างนอกได้ [42]
  3. หนึ่งในวิธีธรรมชาติที่ดีที่สุดที่จะส่งเสริมปอดคือ การยอมไอออกมา โดยหลายคนจะใช้ยาระงับอาการไอ แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่ควรทำ เพราะอาการไอคือการที่ปอดกำจัดเมือก ซึ่งมีสารก่อภูมิแพ้หรือการติดเชื้อภายใน แต่การใช้ยากดอาการไอไว้ จะทำให้เมือกที่มีเชื้อและสารก่อภูมิแพ้นั้นยังคงอยู่ในปอด
    • ใช้ยาระงับอาการไอเฉพาะเมื่อเกิดอาการไม่สบายอย่างชัดเจนเท่านั้น หรือไอจนไม่สามารถหายใจได้
    โฆษณา
วิธีการ 5
วิธีการ 5 ของ 5:

เลือกวิธีในการรักษาหอบหืด

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับอาการนี้จะทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อปอดได้ โดยวิธีในการหลีกเลี่ยงอย่างหนึ่งก็คือ ป้องกันอาการที่เกิดจากสิ่งกระตุ้นต่างๆ เช่น คุณภาพอากาศและปัญหาทางสิ่งแวดล้อมได้ ซึ่งหากเป็นโรคนี้ให้ใส่หน้ากากอนามัย เพื่อช่วยป้องกันจากสิ่งกระตุ้นทั่วไป รวมถึงละอองเกสรดอกไม้ เชื้อรา สะเก็ดผิวหนังของสุนัข มลพิษและกลิ่นที่ค่อนข้างรุนแรง [43]
  2. โดยคนที่เป็นโรคนี้อาจจะมีอาหารบางอย่างที่กระตุ้นอาการ ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละคน แต่โดยทั่วไปแล้วก็ควรหลีกเลี่ยงสิ่งกระต้นทั่วไป เช่น ไข่ ไก่ ถั่วลิสง ถั่วเหลือง ยีสต์ ชีส ข้าวสาลี และข้าว รวมถึงอาหารที่มีสารกันบูดมาก เช่น ผงชูรส (MSG) ไนเตรตหรือไนไตรต์ ก็กระตุ้นอาการหอบหืดได้เหมือนกัน และสารเหล่านี้ยังลดประสิทธิภาพในการหายใจอีกด้วย
    • คำแนะนำเบื้องต้น คือให้กินอาหารที่เป็นออร์แกนิค และไม่แปรรูป สำหรับคนที่มีอาการหอบหืดจากสารก่อภูมิแพ้ทั่วไปเหล่านี้ [45]
  3. หลีกเลี่ยงน้ำตาลและสารให้ความหวานแทนน้ำตาล. ซึ่งสามารถเป็นอันตรายต่อสุขภาพปอดได้ โดยจากการศึกษาพบว่าอาการหอบหืดจะเกี่ยวข้องกับการบริโภคน้ำตาลที่สูง ดังนั้นให้หลีกเลี่ยงลูกอม เครื่องดื่มที่มีน้ำตาล ขนมเค้ก และขนมขบเคี้ยวหวานอื่นๆ [46]
    • ถ้าต้องการสิ่งให้ความหวานสำหรับชาหรือกาแฟ ให้ลองใช้สมุนไพรสตีเวียเป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาล
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • ต้องเข้าใจว่าไม่สามารถรักษาตัวเองจากปัญหาเรื่องปอดได้โดยสมบูรณ์
  • จำไว้ว่าแม้จะทำตามขั้นตอนเหล่านี้ ก็อาจจะช่วยให้ปัญหาเรื่องปอดดีขึ้นได้เล็กน้อย แต่การพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญที่ฝึกฝนมาแล้วนั้นเป็นสิ่งสำคัญเสมอ
โฆษณา

ข้อมูลอ้างอิง

  1. Quie, PG.,Lung defense against infection.J Pediatr. 1986 May;108(5 Pt 2):813-6
  2. http://www.merckmanuals.com/home/lung-and-airway-disorders/biology-of-the-lungs-and-airways/defense-mechanisms-of-the-respiratory-system
  3. Ellwood P, Innes Asher M, García-Marcos L, et al. (2013) Do fast foods cause asthma, rhinoconjunctivitis and eczema? Global findings from the International Study of Asthma and Allergies in Childhood (ISAAC) Phase Three Thorax 68:351-360
  4. Park S, Blanck HM, Sherry B, et al. (2013) Regular-soda intake independent of weight status is associated with asthma among US high school students. J Acad Nutr Diet 113(1):106-11.
  5. Rahman I, Biswas SK, Kode A. (2006) Oxidant and antioxidant balance in the airways and airway diseases. Eur J Pharmacol 533:222–239.
  6. Emelyanov A, Fedoseev G, Krasnoschekova O, et al. (2002) Treatment of asthma with lipid extract of New Zealand green-lipped mussel: a randomised clinical trial. Eur Respir J 20:596–600.
  7. http://www.stepintomygreenworld.com/healthyliving/greenfoods/top-foods-for-lung-health/
  8. http://www.stepintomygreenworld.com/healthyliving/greenfoods/top-foods-for-lung-health/
  9. https://www.aafa.org/display.cfm?id=9&sub=20&cont=285
  1. Jin H, Xu C-X, Lim H-T, et al. High Dietary Inorganic Phosphate Increases Lung Tumorigenesis and Alters Akt Signaling. Am J Respir Crit Care Med 2009;179:59-68
  2. http://cas.umkc.edu/casww/brethexr.htm
  3. http://advances.nutrition.org/content/2/3/244.full
  4. Gupta, S. K., Tshikaya, M., Kingston, M., and Chopra, B. K. Comparative evaluation of herbs and spices against bacterial pathogens. Dent.Implantol.Update. 2012;23(10):73-79.
  5. http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/druginfo/natural/999.html
  6. http://www.lung.org/lung-disease/copd/living-with-copd/nutrition.html
  7. http://www.copdfoundation.org/What-is-COPD/Living-with-COPD/Breathing-Techniques.aspx
  8. http://www.physio-pedia.com/Muscles_of_Respiration
  9. http://www.copdfoundation.org/What-is-COPD/Living-with-COPD/Breathing-Techniques.aspx
  10. http://cas.umkc.edu/casww/brethexr.htm
  11. http://cas.umkc.edu/casww/brethexr.htm
  12. http://cas.umkc.edu/casww/brethexr.htm
  13. Bimczok, D., Rau, H., Sewekow, E., Janczyk, P., Souffrant, W. B., and Rothkotter, H. J. Influence of carvacrol on proliferation and survival of porcine lymphocytes and intestinal epithelial cells in vitro. Toxicol.In Vitro 2008;22(3):652-658.
  14. Gupta, S. K., Tshikaya, M., Kingston, M., and Chopra, B. K. Comparative evaluation of herbs and spices against bacterial pathogens. Dent.Implantol.Update. 2012;23(10):73-79.
  15. Skrovankova, S., Misurcova, L., and Machu, L. Antioxidant activity and protecting health effects of common medicinal plants. Adv.Food Nutr Res 2012;67:75-139.
  16. Bouhdid, S., Abrini, J., Zhiri, A., Espuny, M. J., and Manresa, A. Investigation of functional and morphological changes in Pseudomonas aeruginosa and Staphylococcus aureus cells induced by Origanum compactum essential oil. J Appl.Microbiol. 2009;106(5):1558-1568.
  17. Schelz, Z., Molnar, J., and Hohmann, J. Antimicrobial and antiplasmid activities of essential oils. Fitoterapia 2006;77(4):279-285.
  18. Javorka, K., Tomori, Z., and Zavarska, L. Protective and defensive airway reflexes in premature infants. Physiol Bohemoslov. 1980;29(1):29-35.
  19. http://www.webmd.com/a-to-z-guides/peppermint-oil-uses-benefits-effects
  20. Meister, R., Wittig, T., Beuscher, N., and de Mey, C. Efficacy and tolerability of myrtol standardized in long-term treatment of chronic bronchitis. A double-blind, placebo-controlled study. Study Group Investigators. Arzneimittelforschung. 1999;49(4):351-358.
  21. Matthys, H., de Mey, C., Carls, C., Rys, A., Geib, A., and Wittig, T. Efficacy and tolerability of myrtol standardized in acute bronchitis. A multi-centre, randomised, double-blind, placebo-controlled parallel group clinical trial vs. cefuroxime and ambroxol. Arzneimittelforschung. 2000;50(8):700-711.
  22. http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/druginfo/natural/700.html
  23. http://www.botanical.com/botanical/mgmh/l/lungwo49.html
  24. Reiter, M. and Brandt, W. Relaxant effects on tracheal and ileal smooth muscles of the guinea pig. Arzneimittelforschung. 1985;35(1A):408-414.
  25. Stojakowska, A., Kedzia, B., and Kisiel, W. Antimicrobial activity of 10-isobutyryloxy-8,9-epoxythymol isobutyrate. Fitoterapia 2005;76(7-8):687-690.
  26. http://www.cancer.org/healthy/stayawayfromtobacco/guidetoquittingsmoking/guide-to-quitting-smoking-why-so-hard-to-quit
  27. http://www.lung.org/stop-smoking/how-to-quit/getting-help/
  28. http://www.smokefree.gov
  29. http://www.cancer.org/healthy/stayawayfromtobacco/guidetoquittingsmoking/index
  30. http://www.consumerreports.org/cro/air-purifiers.htm
  31. http://www.lung.org/lung-disease/asthma/taking-control-of-asthma/reduce-asthma-triggers.html
  32. http://www.achooallergy.com/allergy-asthma-mask-buying-guide.asp
  33. http://www.enviroflash.info/
  34. http://www.lung.org/lung-disease/asthma/taking-control-of-asthma/reduce-asthma-triggers.html
  35. http://www.consumerreports.org/cro/air-purifiers.htm
  36. http://www.pharmaceutical-journal.com/news-and-analysis/news/what-you-can-tell-lung-disease-patients/11129485.article
  37. Park S, Blanck HM, Sherry B, et al. (2013) Regular-soda intake independent of weight status is associated with asthma among US high school students. J Acad Nutr Diet 113(1):106-11.

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 49,744 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา