ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

เครื่องดูดความชื้นมีไว้ใช้ควบคุมปริมาณความชื้นในอากาศของพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง มีทั้งแบบเคลื่อนย้ายได้สะดวกและแบบติดตั้งถาวร เครื่องดูดความชื้นช่วยลดค่าความชื้นสัมพัทธ์ในบ้านคุณ ลดอาการแพ้ และปัญหาทางเดินหายใจอื่นๆ ทำให้บ้านอยู่สบายขึ้นโดยรวม

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 5:

เลือกเครื่องดูดความชื้นให้ตรงตามความต้องการ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เลือกขนาดเครื่องดูดความชื้นโดยพิจารณาจากพื้นที่ห้องเป็นตารางฟุต. ต้องใช้เครื่องดูดความชื้นขนาดใด ก็ขึ้นอยู่กับความกว้างของห้องที่จะติดตั้ง ให้เลือกห้องหลักที่จะติดตั้งเครื่องดูดความชื้น แล้ววัดพื้นที่ห้องเป็นตารางฟุต จากนั้นเอาไปอ้างอิงเลือกเครื่องดูดความชื้นในขนาดที่เหมาะสมอีกที [1]
  2. นอกจากเลือกเครื่องดูดความชื้นตามขนาดห้องแล้ว ยังต้องคำนึงถึงระดับความชื้นภายในห้องนั้นด้วย โดยวัดเป็นปริมาณ pints (1 pint ประมาณ 0.5 ลิตร) ของน้ำที่ได้จากบรรยากาศในห้องนั้น ภายใน 24 ชั่วโมง ผลที่ได้จะเป็นตัวกำหนดว่าห้องนั้นควรมีความชื้นเท่าไหร่
    • เช่น ถ้าห้องขนาด 500 ตารางฟุต หรือประมาณ 45 ตรม. มีกลิ่นอับชื้น อากาศชื้นแฉะ ก็ต้องใช้เครื่องดูดความชื้นขนาดประมาณ 40 - 45 pints (ประมาณ 19 - 21 ลิตร) ยังไงลองศึกษาแนวทางการคำนวณขนาดเครื่องดูดความชื้นเพิ่มเติมดู [2]
    • เครื่องดูดความชื้นสามารถจุน้ำได้ถึง 44 pints (ประมาณ 20 ลิตร) ด้วยกันใน 24 ชั่วโมง ในห้องกว้างได้มากถึง 2,500 ตารางฟุต (ประมาณ 230 ตรม.)
  3. ให้ใช้เครื่องดูดความชื้นขนาดใหญ่ ถ้าห้องกว้างหรือเป็นห้องใต้ดิน. ถ้าใช้เครื่องดูดความชื้นที่ใหญ่หน่อย ก็จะดูดความชื้นในห้องได้รวดเร็วทันใจกว่า แถมคุณยังไม่ต้องเทน้ำในเครื่องทิ้งบ่อยๆ ด้วย แต่ก็แน่นอนว่ายิ่งเครื่องใหญ่ ราคาก็ยิ่งแพง แถมกินไฟมากกว่า ค่าใช้จ่ายโดยรวมจะสูงขึ้นแน่นอน [3]
  4. ให้ใช้เครื่องดูดความชื้นแบบพิเศษ สำหรับพื้นที่เฉพาะ. ถ้าจะติดตั้งเครื่องดูดความชื้นในห้องสปา สระว่ายน้ำในร่ม โกดังสินค้า หรืออื่นๆ ก็ต้องเลือกเครื่องดูดความชื้นสำหรับสถานที่นั้นโดยเฉพาะ ลองปรึกษาผู้เชี่ยวชาญในร้านขายอุปกรณ์งานช่างดู ว่าถ้าคุณมีสถานที่แบบนี้ ควรใช้เครื่องดูดความชื้นประเภทไหน
  5. ถ้ารู้แต่เนิ่นๆ ว่าจำเป็นต้องย้ายเครื่องดูดความชื้นไปมาตามห้องต่างๆ เป็นประจำ แนะนำให้ซื้อแบบพกพา ส่วนมากเครื่องดูดความชื้นลักษณะนี้จะมีล้อที่ฐาน หรือเป็นเครื่องที่มีน้ำหนักเบา เคลื่อนย้ายสะดวก แถมอีกข้อดีของเครื่องดูดความชื้นแบบพกพา คือคุณสามารถปรับเปลี่ยนตำแหน่งของเครื่องภายในห้องเดียวกันได้ด้วย
    • ถ้าต้องใช้เครื่องดูดความชื้นในหลายๆ ห้องของบ้าน แนะนำให้ใช้เครื่องดูดความชื้นที่ต่อท่อกับระบบ HVAC แทนการซื้อเครื่องดูดความชื้นประจำไว้แต่ละห้อง
  6. เครื่องดูดความชื้นรุ่นใหม่สมัยนี้ มีหลายฟีเจอร์และ settings ให้เลือกสรร เครื่องยิ่งแพงก็ยิ่งมีหลายตัวเลือกในการใช้งาน แต่ฟีเจอร์หลักๆ ที่พบบ่อยก็เช่น
    • Adjustable Humidistat : เป็นฟีเจอร์สำหรับควบคุมระดับความชื้นในห้อง คุณตั้ง humidistat ได้ตามระดับความชื้นสัมพัทธ์ที่ต้องการ พอถึงระดับที่ต้องการแล้ว เครื่องจะตัดเองอัตโนมัติ [4]
    • Built-in Hygrometer : เป็นอุปกรณ์ใช้วัดระดับความชื้นในห้อง ช่วยให้เครื่องดูดความชื้นในห้องมาเป็นน้ำได้แม่นยำที่สุดตามที่ต้องการ
    • Automatic Shut Off : เครื่องดูดความชื้นส่วนใหญ่จะตัดเองอัตโนมัติเวลาปรับระดับความชื้นในห้องได้ตามต้องการแล้ว หรือเมื่อถาดใส่น้ำของเครื่องเต็ม
    • Automatic Defrost : ถ้าเครื่องดูดความชื้นทำงานหนักเกินไป น้ำแข็งจะเกาะที่คอยล์ของเครื่องได้ เป็นอันตรายต่อชิ้นส่วนต่างๆ ข้างใน ถ้ามีตัวเลือก automatic defrost หรือละลายน้ำแข็งอัตโนมัติ จะช่วยให้พัดลมในเครื่องทำงาน ละลายน้ำแข็งให้คุณเอง
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 5:

ต้องใช้เครื่องดูดความชื้นเมื่อไหร่

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ให้ใช้เครื่องดูดความชื้นเมื่อในห้องอากาศชื้นแฉะ. ห้องที่อากาศชื้นเกินไปและเหม็นอับ แสดงว่ามีระดับความชื้นในอากาศค่อนข้างสูง ให้เปิดเครื่องดูดความชื้นเพื่อปรับระดับความชื้นสัมพัทธ์ในห้องให้กลับมาเป็นปกติ ถ้าแตะแล้วผนังเปียกชื้น หรือราขึ้น ให้เปิดเครื่องดูดความชื้นเป็นประจำ
    • สัญญาณสำคัญว่าคุณจำเป็นต้องใช้เครื่องดูดความชื้นก็คือ เมื่อหน้าต่างนั้นมีคราบไอน้ำจับ มองเห็นคราบเชื้อรา หรือเห็นรอยชื้นตามผนังหรือบนเพดาน อย่างไรก็ตาม ถ้าห้องมีกลิ่นอับชื้นก็ควรต้องใช้แล้ว
    • เครื่องดูดความชื้นจำเป็นมาก ถ้าห้องนั้นเคยโดนน้ำท่วมมาก่อน หลังน้ำลดและทำความสะอาดห้องแล้ว แนะนำให้เปิดเครื่องดูดความชื้นเรื่อยๆ เพื่อขจัดความชื้นส่วนเกินในอากาศ
  2. คนที่เป็นหอบหืด ภูมิแพ้ หรือเป็นหวัดคัดจมูก เปิดเครื่องดูดความชื้นแล้วช่วยได้มาก เพราะทำให้หายใจสะดวกขึ้น ไซนัสโล่ง บรรเทาอาการไอ หรือเป็นหวัดคัดจมูก [5]
    • การรักษาระดับความชื้นภายในห้องให้อยู่ในช่วง 40%-60% จะช่วยบรรเทาโรคระบบทางเดินหายใจ รวมถึงโควิด-19 เพราะมันลดจำนวนของเชื้อในอากาศ
  3. ในหน้าร้อน หรืออากาศร้อนชื้นแบบบ้านเรา ส่วนใหญ่อากาศจะชื้นแฉะจนตัวเหนอะหนะ หายใจไม่สะดวก แบบนี้ให้เปิดเครื่องดูดความชื้น จะช่วยปรับระดับความชื้นสัมพัทธ์ในบ้านให้เหมาะสม หรือเท่าที่สบายตัวได้
    • คุณใช้เครื่องดูดความชื้นควบคู่ไปกับเครื่องปรับอากาศได้ เพราะทำให้แอร์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ อุณหภูมิในห้องจะเย็นสบาย แถมดีไม่ดีจะทำให้ประหยัดค่าไฟได้ด้วย
  4. ถ้าอากาศหนาว จะใช้ได้เฉพาะเครื่องดูดความชื้นบางประเภท. เครื่องดูดความชื้นส่วนใหญ่ เช่น แบบใช้คอมเพรสเซอร์ จะทำงานได้ไม่เต็มที่เวลาอุณหภูมิต่ำกว่า 18 องศาเซลเซียส (65 องศาฟาเรนไฮต์) เพราะยิ่งอากาศหนาวเท่าไหร่ น้ำแข็งก็ยิ่งเกาะคอยล์ของเครื่องง่ายขึ้นเท่านั้น ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง ดีไม่ดีจะเสียได้ง่าย [6]
    • อย่างเครื่องดูดความชื้นแบบใช้สารดูดความชื้น (Desiccant dehumidifier) ก็เหมาะจะใช้เวลาอากาศหนาว ยังไงถ้าอยู่ต่างประเทศที่อากาศหนาวๆ หรือในหน้าหนาว แนะนำให้ใช้เครื่องดูดความชื้นที่ทำงานได้ดีเวลาอุณหภูมิต่ำๆ
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 5:

จัดวางเครื่องดูดความชื้นในห้อง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ส่วนใหญ่คุณตั้งเครื่องดูดความชื้นชิดติดผนังได้ ถ้าช่องลมอยู่ด้านบน แต่ถ้าไม่มีฟีเจอร์นี้ ก็ต้องเว้นที่เผื่อไว้รอบๆ เครื่อง ให้อากาศถ่ายเท ห้ามวางเครื่องดูดความชื้นชิดติดผนังหรือเฟอร์นิเจอร์ เพราะยิ่งอากาศถ่ายเทสะดวก เครื่องก็ยิ่งทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ [7]
    • เว้นที่ให้อากาศถ่ายเทรอบเครื่องทุกด้าน ประมาณ 15 - 30 ซม. (6 - 12 นิ้ว) [8]
  2. ถ้าระบายน้ำจากเครื่องผ่านท่อหรือสายยาง ต้องให้ท่อต่อลงอ่างล้างจานหรืออ่างอาบน้ำ อย่าให้เอียงไปทางอื่นจนเลอะเทอะ และหมั่นเช็คว่าสายไม่เขยื้อน และน้ำยังไหลลงอ่างดี จะใช้เชือกหรือลวดพันยืดสายยางไว้กับหัวก๊อกก็ได้
    • ระวังอย่าให้สายระบายน้ำอยู่ใกล้ปลั๊กไฟหรือสายไฟ ป้องกันไฟดูดหรือลัดวงจร
    • พยายามใช้สายให้สั้นที่สุด จะได้ไม่มีใครเผลอสะดุด
  3. ให้ตั้งเครื่องดูดความชื้นห่างจากจุดที่ฝุ่นฟุ้งหรือสิ่งสกปรกเยอะเป็นพิเศษ เช่น โต๊ะงานไม้ [9]
  4. ห้องที่มักจะชื้นแฉะอยู่เป็นประจำก็เช่น ห้องน้ำ ห้องซักล้าง และห้องใต้ดิน เป็นห้องที่แนะนำให้ตั้งเครื่องดูดความชื้นไว้
    • ใครมีเรือแล้วผูกไว้เทียบท่า ก็สามารถใช้เครื่องดูดความชื้นได้ด้วย
  5. เครื่องดูดความชื้นจะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ถ้าตั้งไว้ 1 เครื่องต่อ 1 ห้อง และปิดหน้าต่างและประตูไว้ จะติดตั้งกึ่งกลางระหว่าง 2 ห้องก็ได้ แต่ก็จะลดประสิทธิภาพลง เครื่องทำงานหนักขึ้น
  6. ส่วนใหญ่เครื่องดูดความชื้นจะเป็นแบบติดผนัง แต่ก็มีหลายรุ่นเหมือนกันที่พกพา ย้ายที่ได้ แบบนั้นให้ตั้งเครื่องดูดความชื้นกลางห้องเลย เพื่อให้เครื่องทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
  7. ถ้าเป็นเครื่องขนาดใหญ่ อย่าง Santa Fe Dehumidifier จะเน้นเชื่อมต่อกับระบบ HVAC จะมาพร้อมท่อต่อและชุดอุปกรณ์ติดตั้งอื่นๆ ที่จำเป็น
    • แนะนำให้ปรึกษาและใช้บริการบริษัทหรือช่างรับติดตั้งเครื่องดูดความชื้นสำหรับระบบ HVAC โดยเฉพาะ
    โฆษณา
ส่วน 4
ส่วน 4 ของ 5:

ใช้งานเครื่องดูดความชื้น

ดาวน์โหลดบทความ
  1. แนะนำให้อ่านคู่มือของเครื่องดูดความชื้นที่ใช้ให้ละเอียด จะได้รู้จักและคุ้นเคยกับการทำงานของเครื่อง และคำแนะนำในการใช้งาน หลังจากนั้นให้เก็บคู่มือไว้ในที่ที่หาง่าย
  2. hygrometer เป็นอุปกรณ์สำหรับวัดปริมาณความชื้นในอากาศ ค่าความชื้นสัมพัทธ์ (relative humidity (RH)) ที่เหมาะสม คือประมาณ 45 - 50% RH ถ้าเกินกว่านั้น ราจะขึ้นได้ หรือถ้าต่ำกว่า 30% RH โครงสร้างของบ้านจะเสียหายได้ เช่น เพดานแตกร้าว พื้นไม้แยกออกจากกัน และอื่นๆ [10]
  3. เสียบเครื่องดูดความชื้นกับปลั๊กที่ต่อสายดินแล้ว. ให้เสียบเครื่องดูดความชื้นกับปลั๊ก 3 ตาที่ต่อสายดินและมีขั้ว ห้ามใช้ปลั๊กพ่วง ถ้าไม่มีปลั๊กที่ปลอดภัยพอ แนะนำให้ใช้บริการช่างไฟมืออาชีพ หรือให้ช่างไฟต่อสายดินให้ก่อนจะดีที่สุด
    • เวลาถอดปลั๊กเครื่องดูดความชื้น ให้จับที่หัวเสียบ อย่าดึงหรือกระชากสายไฟ
    • ระวังอย่าให้สายไฟงอหรือหัก
  4. อันนี้แล้วแต่รุ่นเครื่องดูดความชื้นที่ใช้ ถ้ามีก็ให้ปรับค่าความชื้นสัมพัทธ์ (relative humidity (RH)) อ่านค่าที่ hygrometer วัดได้ และอื่นๆ ให้เปิดเครื่องดูดความชื้นจนได้ค่า RH ที่เหมาะสมหรือต้องการ
  5. ครั้งแรกที่ใช้เครื่องดูดความชื้นจะสำคัญและเห็นผลที่สุด เพราะเครื่องจะดูดน้ำส่วนเกินในอากาศได้มากที่สุดใน 2 - 3 ชั่วโมงแรก 2 - 3 วันแรก หรืออาจเป็นอาทิตย์ พอเครื่องทำงานรอบแรกเสร็จ ต่อไปจะเป็นการเฝ้าระวัง คงระดับความชื้นไว้ให้เหมาะสม ไม่ใช่การปรับระดับความชื้นเหมือนครั้งแรก
    • คุณกำหนดปริมาณความชื้นที่ต้องการได้ หลังเสียบปลั๊กเครื่องดูดความชื้นแล้ว
  6. ยิ่งห้องกว้าง เครื่องก็ยิ่งทำงานหนัก ถ้าปิดห้องให้มิดชิดหลังตั้งเครื่องดูดความชื้น จะได้ดูดความชื้นเฉพาะในพื้นที่จำกัด
    • ถ้าจะดูดความชื้นในห้องน้ำ แนะนำให้สังเกตว่าตรงไหนชื้นเป็นพิเศษ และอย่าลืมปิดฝาชักโครกด้วย เครื่องจะได้ไม่ดูดความชื้นจากน้ำในชักโครกหรือตำแหน่งอื่นๆ
  7. เครื่องจะดูดความชื้นกลายเป็นน้ำสะสมในตัวเครื่อง น้ำที่ได้จะมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับค่าความชื้นสัมพัทธ์ในห้องที่ตั้งเครื่องไว้ ยิ่งชื้นก็ยิ่งน้ำเยอะเป็นพิเศษ ถ้าไม่ได้ต่อท่อระบายน้ำจากเครื่องลงอ่างล้างจาน ก็ต้องหมั่นถอดถาดในเครื่องไปเทน้ำทิ้งเรื่อยๆ เพราะเครื่องจะตัดอัตโนมัติเวลาน้ำเต็ม เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำล้นออกมา
    • ถอดปลั๊กก่อนเอาน้ำไปเททิ้งเสมอ
    • ให้สังเกตระดับน้ำในเครื่องทุก 2 - 3 ชั่วโมง ถ้าอากาศชื้นเป็นพิเศษ
    • อ่านคู่มือของเครื่องดูดความชื้นที่ใช้ จะได้รู้ว่าควรเทน้ำทิ้งบ่อยแค่ไหน
    โฆษณา
ส่วน 5
ส่วน 5 ของ 5:

ทำความสะอาดและดูแลรักษาเครื่องดูดความชื้น

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ให้อ่านคู่มือของเครื่องดูดความชื้นทั้งเล่ม จะได้รู้วิธีใช้งานและดูแลรักษาเครื่อง หลังจากอ่านแล้วให้เก็บคู่มือไว้ในจุดที่หาง่าย เผื่อมีปัญหาที่ต้องหาทางแก้ไข
  2. ก่อนทำความสะอาดหรือดูแลรักษาเครื่องดูดความชื้น ให้ปิดเครื่องแล้วถอดปลั๊กก่อน จะได้ไม่เสี่ยงถูกไฟดูด
  3. เอาถาดรองน้ำในเครื่องออกมา ล้างทำความสะอาดด้วยน้ำอุ่นกับน้ำยาล้างจานอ่อนๆ ล้างน้ำให้สะอาด จากนั้นใช้ผ้าเช็ดให้แห้ง [11]
    • แนะนำให้ล้างทำความสะอาดส่วนนี้ของเครื่องดูดความชื้นเป็นประจำ ทุก 2 อาทิตย์ขึ้นไปกำลังดี
    • ใส่เม็ดดูดกลิ่นเข้าไปด้วยก็ได้ ถ้าถาดรองน้ำมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ เม็ดดูดกลิ่นนี้หาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์และเครื่องมือช่าง ใส่ในถาดของเครื่องให้ละลายในน้ำ
  4. ถ้าคอยล์ฝุ่นเขรอะ เครื่องดูดความชื้นจะลดประสิทธิภาพการทำงานได้ เพราะต้องทำงานหนักกว่าเดิมแถมทำงานได้ไม่เต็มที่ นอกจากนี้ฝุ่นจะถูกแช่แข็งในเครื่อง ทีนี้ก็อาจทำเครื่องเสียได้เลย [12]
    • ให้กำจัดฝุ่นและทำความสะอาดคอยล์ของเครื่องดูดความชื้นทุก 2 - 3 เดือน เพื่อให้คอยล์สะอาด ไม่มีฝุ่นปนเปื้อนไปทั้งระบบ อย่างน้อยใช้ผ้าเช็ดฝุ่นก็ยังดี
    • เช็คว่ามีน้ำแข็งเกาะคอยล์ไหม ถ้ามี เป็นไปได้ว่าห้องเย็นจัด อย่าพยายามตั้งเครื่องที่พื้น เพราะเป็นส่วนที่อุณหภูมิต่ำสุดในห้อง แนะนำให้วางบนชั้นหรือเก้าอี้แทน [13]
  5. ถอดไส้กรองอากาศแล้วตรวจสภาพทุก 6 เดือน เช็คว่ามีรู รอยฉีกขาด หรือทะลุหรือไม่ เพราะจะทำให้เครื่องทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ อันนี้แล้วแต่ประเภทไส้กรองที่ใช้ บางแบบก็ทำความสะอาดแล้วประกอบกลับเข้าไปเองได้ แต่บางแบบก็ต้องเปลี่ยนใหม่ลูกเดียว ยังไงลองอ่านคู่มือของเครื่องรุ่นที่ใช้ให้ละเอียด เพราะแต่ละรุ่นไม่เหมือนกัน [14]
    • ปกติไส้กรองอากาศจะอยู่บริเวณตะแกรงของเครื่องดูดความชื้น ถอดได้โดยเปิดแผงด้านหน้า แล้วดึงไส้กรองออกมา
    • เครื่องดูดความชื้นบางยี่ห้อแนะนำให้เช็คไส้กรองบ่อยกว่านั้น แล้วแต่ว่าคุณใช้เครื่องดูดความชื้นบ่อยแค่ไหน ยังไงศึกษาคู่มือของเครื่องดูดความชื้นรุ่นที่ใช้จะดีที่สุด
  6. อย่าปิดๆ เปิดๆ รวดเร็ว คุณยืดอายุการใช้งานของเครื่องดูดความชื้นได้ ถ้าปิดเครื่อง 10 นาทีขึ้นไปแล้วค่อยเปิดกลับมา [15]
    โฆษณา

คำเตือน

  • หมั่นเทน้ำในถาดของเครื่องเรื่อยๆ ที่สำคัญคือห้ามนำน้ำนี้ไปใช้ต่อ ไม่ว่าจะดื่ม ปรุงอาหาร หรือซักล้างก็ตาม
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 13,408 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา