ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

การให้อภัยเป็นสิ่งที่ต้องถูกสร้างขึ้น หากทำด้วยการไตร่ตรองให้ดี และมีประสิทธิภาพ มันจะเปลี่ยนวิธีคิด ความรู้สึก และการใช้ชีวิตของคุณ การเข้าถึงความท้าทายด้วยทัศนคติที่ว่า “ฉันสามารถทำได้” จะจูงใจคุณให้เผชิญหน้ากับความท้าทาย และการลงมือทำ การเปลี่ยนแปลงความคิด และอารมณ์ของคุณ และการหาคำแนะนำจากแหล่งข้อมูลที่มีอยู่มากมาย จะทำให้คุณรู้วิธีให้อภัยผู้อื่น รวมไปถึงตัวคุณเองได้

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

ลงมือทำ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. 1
    เข้าหาเพื่อประสานสัมพันธ์. เนื่องจากชีวิตเต็มไปด้วยความวุ่นวาย มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะติดต่อกับเพื่อนฝูงได้เหมือนเก่า และเมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้นที่เป็นแรงผลักดันให้คนเคยคุ้นเคยต้องไกลห่างกัน ยิ่งทำให้เป็นเรื่องยากมากขึ้นในการกอบกู้ความสัมพันธ์ให้กลับคืนมาเหมือนเดิม หากคุณต้องการที่จะให้อภัยใครบางคน ให้เริ่มต้นขั้นตอนแรกในกระบวนการโดยการเข้าหา แค่คุณทำขั้นตอนนี้ได้ มันจะทำให้คุณรู้สึกเปิดรับ และมองโลกในแง่ดีมากขึ้น
    • มันเป็นเรื่องที่ยากเสมอในการเริ่มต้นขั้นตอนแรก และบางครั้งคุณจำเป็นต้องกระตุ้นตัวคุณเอง ให้คุณบอกกับตัวเองง่ายๆ ว่า “เอาละ” และต่อโทรศัพท์หาคนคนนั้น
  2. 2
    ขอเวลาเพื่อรับฟัง. ไม่ว่าคุณตัดสินใจจะนัดพบพูดคุยกับคนคนนั้นเป็นการส่วนตัว หรือสนทนาผ่านโทรศัพท์ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ เป้าหมายต่างเหมือนกัน คือขอเวลาเพื่อแสดงออกความคิด และความรู้สึกของคุณเกี่ยวกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นกับคนคนนั้น
    • ทำให้คนคนนั้นแน่ใจว่า คุณเปิดใจ และเต็มใจที่จะฟังสิ่งที่เขา หรือเธอพูดด้วยเช่นกัน วิธีนี้จะช่วยให้คนคนนั้นรู้สึกเปิดใจรับมากขึ้นเกี่ยวกับการอธิบายที่กำลังจะมาถึง
    • หากคนคนนั้นปฏิเสธที่จะพบกับคุณ อย่าสิ้นหวัง ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่คุณสามารถทำ เพื่อนำไปสู่การให้อภัย ไม่ว่าคนคนนั้นจะทำตามหรือไม่ก็ตาม ซึ่งพฤติการณ์ของการให้อภัยถูกออกแบบเพื่อช่วยคุณในตอนท้าย ยกตัวอย่างเช่น ใช้การเขียนแทนการติดต่อโดยตรง ในการแสดงออกความรู้สึก และความคิดของคุณเกี่ยวกับคนคนนั้น การเขียนลงในบันทึกประจำวันช่วยแปรเปลี่ยนความรู้สึกของคุณ และเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ [1]
    • การเขียนบันทึกประจำวันสามารถช่วยลดความวิตกกังวล และความเครียด เนื่องจากมันเป็นพื้นที่ที่ดีในการระบายอารมณ์สับสน หรือความรู้สึกฟูมฟายของคุณ [2]
  3. 3
    อธิบายประเด็นปัญหา. บางการอธิบายในชีวิตอาจเป็นเรื่องยากที่จะทำ เมื่อความขัดแย้งเกิดขึ้น และความรู้สึกเชิงลบพัฒนาขึ้น มันเป็นเรื่องยากในการเริ่มต้นบทสนทนา เป้าหมายจะตีกรอบบทสนทนา และนำทางไปสู่การแก้ปัญหาอย่างสันติเพื่อจัดการกับความเจ็บปวด และความผิดหวังที่คุณกำลังรู้สึก [3]
    • ลำดับแรก ให้ขอบคุณคนคนนั้นที่มาพบกับคุณ
    • ลำดับที่สอง บอกคนคนนั้นถึงเป้าหมายของคุณ คือการรับฟังเรื่องราวอีกด้านของกันและกัน และหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน เพื่อที่คุณทั้งคู่สามารถไปต่อได้
    • ลำดับที่สาม ให้รายละเอียดของเรื่องราวในฝั่งคุณ รวมไปถึงความรู้สึก และสิ่งที่คุณคิด
    • ลำดับที่สี่ ถามคนคนนั้นหากมีสิ่งใดที่คุณสามารถชี้แจงให้เขา หรือเธอฟัง ก่อนที่จะให้เขา หรือเธอให้รายละเอียดอีกด้านแก่คุณ
    • ลำดับที่ห้า ถามคำถามที่จะเป็นข้อมูลที่จำเป็นสำหรับคุณในการทำความเข้าใจความตั้งใจ แรงจูงใจ ความคิด และความรู้สึกของเขา หรือเธอ
  4. 4
    ขอโทษสำหรับส่วนของคุณ. ในทุกๆ ความขัดแย้ง มีความเกี่ยวข้องกับ การเข้าใจผิด หรือเห็นผิดเกี่ยวกับสิ่งที่ใครบางคนได้ทำ หรือพูด มีหลายสิ่งที่คุณต้องทำเพื่อคลายความตึงเครียดในสถานการณ์ การรับผิดชอบในบทบาทของคุณ เป็นการกระทำที่ช่วยสนับสนุนการสื่อสารแบบเปิดที่คุณต้องการ และเป็นสิ่งจำเป็นในการเข้าถึงแนวทางการแก้ไขปัญหา [4]
  5. 5
    รับคำขอโทษ. [5] หากคุณอธิบายสถานการณ์ และคนคนนั้นกล่าวคำขอโทษอย่างจริงใจ ให้คุณรับไว้ ถึงแม้ว่าคุณต้องฝืนใจตัวเองในการพูดว่า “ฉันรับคำขอโทษของคุณ" ก็ตามที นี่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ในการสร้างความรู้สึกของการให้อภัยสำหรับตัวคุณเอง
    • การรับคำขอโทษอาจเป็นเรื่องที่ยาก แต่หากคุณกำลังพยายามจนถึงที่สุดที่จะให้อภัยใครบางคน คุณสามารถพูดว่า “ฉันรับคำขอโทษของคุณ และฉันกำลังพยายามที่จะให้อภัยคุณ แต่มันคงต้องใช้เวลา”
  6. 6
    แสดงความตั้งใจที่จะไปต่อ. หากคุณต้องการที่จะรักษาความสัมพันธ์กับคนคนนี้จริงๆ ฉะนั้นพฤติกรรมของคุณต้องแสดงออกว่าคุณจริงจังในเรื่องนี้ ความสัมพันธ์ของคุณจะพัฒนาขึ้น เมื่อคุณผ่านกระบวนการของการให้อภัย [6] นี่หมายรวมถึง การไม่เก็บความคับแค้นเอาไว้ในใจ และพูดถึงอดีต [7] มันยังรวมไปถึงความตั้งใจของคุณที่จะหัวเราะ และมีความเบิกบานใจเมื่ออยู่กับคนคนนั้น ทั้งนี้ การก้าวข้ามอดีตของความขัดแย้งได้ เป็นการปลดเปลื้องที่ยิ่งใหญ่ ปล่อยให้มันกระตุ้นการกระทำของคุณในการแก้ไขปัญหาอย่างไม่มีอคติ
    • เมื่อเวลาผ่านไป และกระบวนการได้ถูกดำเนินไป คุณอาจสังเกตเห็นว่า คุณยังยอมให้ความรู้สึกของการทรยศ มากระทบต่อวิธีที่คุณปฏิบัติต่อคนคนนั้น บางทีมันอาจเกิดขึ้นในระหว่างการโต้เถียง หรือการอธิบายอย่างฉุนเฉียว ซึ่งอาจเกิดจากคุณยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนความรู้สึกเจ็บปวดของคุณ ดังนั้นคุณยังจำเป็นที่จะต้องพยายามทำเพิ่มขึ้น นี่เป็นการตอบสนองที่อาจเกิดขึ้นได้ตามปกติ และสามารถจัดการได้โดยการพูดคุยเกี่ยวกับความรู้สึกของคุณกับคนที่เกี่ยวข้อง หรือคนอื่น
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

การเปลี่ยนความคิด และอารมณ์ของคุณ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. 1
    ฝึกฝนที่จะเข้าใจความรู้สึกผู้อื่น และมีความเห็นอกเห็นใจ. [8] การเข้าใจความรู้สึกผู้อื่น และความเห็นอกเห็นใจเป็นเรื่องที่สามารถเรียนรู้ได้ เช่นเดียวกับการมีทักษะในเรื่องอื่นๆ คุณจำเป็นต้องฝึกฝนให้เกิดความชำนาญ อย่างไรก็ตาม หากคุณสามารถปฏิบัติต่อคนอื่นในแบบเดียวกับที่คุณต้องการให้คนอื่นปฏิบัติต่อคุณ นั่นหมายความว่า คุณทำได้เดินมาเกินครึ่งทางแล้ว
    • ใช้โอกาสในการฝึกฝนความเห็นอกเห็นใจเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ เช่น หากคุณเห็นคนกำลังพยายามที่จะเปิดประตูเข้ามาในร้านค้าด้วยความยากลำบาก ให้คุณรีบเปิดประตูให้คนนั้นเข้ามาในร้าน หรือหากคุณเห็นใครบางคนที่ดูไม่ใช่วันที่เป็นใจกับเขา หรือเธอ ให้คุณยิ้ม และกล่าวทักทาย เป้าหมายของคุณ คือการปล่อยให้ผู้อื่นรู้สึกถึงผลกระทบของการกระทำที่ดีของคุณ
    • เพิ่มการเข้าใจความรู้สึกผู้อื่นของคุณด้วยการพูดคุย และสิ่งที่สำคัญมากที่สุด คือการรับฟังผู้อื่นภายนอกสังคมของคุณ ให้คุณลองเริ่มบทสนทนากับคนแปลกหน้าสัปดาห์ละครั้ง ให้ลงลึกในรายละเอียด และถามถึงชีวิต และประสบการณ์ของเขา หรือเธออย่างให้ความเคารพ วิธีนี้จะช่วยเปิดโลกทัศน์ของคุณให้กว้างขึ้น และช่วยให้คุณเข้าใจผู้อื่นได้มากขึ้นด้วย [9]
  2. 2
    ให้คุณทิ้งความรู้สึกเชิงลบของคุณ. ความกลัว ความไม่ปลอดภัย และการไร้ความสามารถในการสื่อสาร เป็นแรงกระตุ้นของพฤติกรรมน้อยใจทั้งหลาย คนบางคนไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาต้องแสดงพฤติกรรมบางอย่างออกมา เพราะว่าพวกเขาไม่ได้สำรวจกระบวนการทำงานข้างในลึกๆ ของพฤติกรรมของตัวพวกเขาเอง [10] นี่ไม่ใช่ข้อแก้ตัวของพฤติกรรมของบุคคล
    • คุณต้องบอกตัวเองว่า คุณไม่มีส่วนรับผิดชอบในการช่วย หรือทำให้คนคนนี้ค่อยๆ พัฒนาจนกลายเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ จงอวยพรให้คนคนนั้นประสบแต่สิ่งดีๆ และอย่าปล่อยให้มันขัดขวางคุณจากการมุ่งหน้าสู่การให้อภัย
    • พยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น และใคร่ครวญว่าทำไมบุคคลจึงแสดงพฤติกรรมแบบนั้นออกมา คุณสามารถทำได้โดยการอธิบายประเด็นดังกล่าวกับใครก็ตามที่คุณไว้ใจ นอกจากนี้ คุณยังสามารถเข้าอินเตอร์เน็ต หรือไปร้านหนังสือ หรือห้องสมุดเพื่อค้นหาประเด็นข้อมูล ทั้งนี้ข้อมูลเป็นพลัง และการเรียนรู้เกี่ยวกับการระบุแรงจูงใจของพฤติกรรมมนุษย์เป็นเรื่องที่น่าสนใจ
  3. 3
    ตั้งคำถาม และเปลี่ยนทัศนคติของคุณ. คุณอาจปักใจเชื่อว่าคุณถูกใส่ร้ายโดยผู้อื่น บ่อยครั้งทัศนคติของบุคคลอาจเอนเอียง และจำเป็นต้องนำกลับมาสู่สภาวะที่สมดุล มันเป็นสิ่งสำคัญในการมีทัศนคติที่ดี โดยเฉพาะหากทัศนคติของคุณส่งผลร้ายต่อตัวคุณ
    • ยกตัวอย่างเช่น หากความขัดแย้งกำลังครอบงำความคิดของคุณในการใช้ชีวิตประจำวัน นั่นหมายความว่ามันกำลังรบกวนเวลาของคุณมากเกินไป จงตั้งคำถามเช่น หากเปรียบเทียบสถานการณ์ของความเป็น กับความตายที่จริงจัง แท้จริงแล้วปัญหานี้ใช่เรื่องใหญ่จริงๆ หรือไม่? มันคุ้มค่ากับการใช้เวลาทั้งหมดของคุณในการคิดเรื่องนี้ แทนที่จะเอาเวลาไปหาความสุขใส่ตัวหรือไม่? ให้คุณคิดคำตอบของคุณ และตัดสินใจเปลี่ยนทัศนคติของคุณ และไม่ปล่อยให้ความขัดแย้งกัดกินคุณ
    • คุณอาจหลีกเลี่ยงการมีสังคม กับคนที่คุณชื่นชอบ เพราะว่าคุณไม่ต้องการจะเห็นคนที่ทรยศ หรือทำให้คุณเจ็บ ทัศนคตินี้กำลังขัดขวางคุณในการยุ่งเกี่ยวกับคนที่คุณชื่นชอบ ซึ่งปล้นประสบการณ์เชิงบวกของคุณไป จงกล้า และรับคำเชิญ คุณไม่จำเป็นต้องคุยกับคนคนนั้นขณะที่คุณอยู่ที่นั่น แต่หากคุณเลี่ยงที่จะไม่พูดคุยไม่ได้ ให้คุณตัดบทสนทนาให้สั้นที่สุดเท่าที่ทำได้
  4. 4
    เปลี่ยนความคิดของคุณจากขุ่นเคือง ให้เป็นความรู้สึกซาบซึ้งใจ. มันเป็นความจริงที่ว่า ความขุ่นเคืองมีแต่จะทำร้ายคุณเพียงเท่านั้น เพราะว่าคุณกำลังเก็บความรู้สึกแง่ลบที่มีต่อคนคนหนึ่งเอาไว้ในใจ ในการต่อสู้กับความรู้สึกขุ่นเคือง ให้คุณเปลี่ยนมันให้เป็นความรู้สึกซาบซึ้งใจ ยิ่งคุณรู้สึกซาบซึ้งใจมากขึ้นเท่าไหร่ จะช่วยลดความรู้สึกขุ่นเคืองได้มากขึ้นเท่านั้น รางวัลที่คุณจะได้รับจะเป็นเรื่องของการพัฒนาด้านอารมณ์ของคุณ ซึ่งผู้อื่นที่รับรู้จะรู้สึกชื่นชมคุณ [11] การตั้งคำถามตัวคุณเองด้วยคำถามต่อไปนี้ จะช่วยคุณในการเปลี่ยนความคิด และผลลัพธ์ที่ได้จะทำให้คุณรู้สึกขุ่นเคืองน้อยลง:
    • ฉันรู้สึกอย่างไร เมื่อฉันคิดแง่ลบเกี่ยวกับคนคนนี้?
    • ฉันต้องการที่จะทำให้ตัวเองเจ็บปวดหรือไม่?
    • ความคิดของฉันเพียงผู้เดียวสามารถทำให้คนอื่นเจ็บปวดได้ใช่ไหม?
    • คำตอบของคุณที่ได้จะคือ แย่ ไม่ และไม่ ให้คุณใช้คำตอบของคุณในการกำหนดรูปแบบในการตอบสนองในแบบที่ซาบซึ้งใจมากกว่า: ฉันคู่ควรที่จะรู้สึกแง่บวก ดูแลตัวฉันเองให้ดี และรักษาตัวฉันเองให้ปลอดภัยจากภัยอันตราย
  5. 5
    ทำรายการของประโยชน์ที่ได้รับจากการละทิ้งความขุ่นเคือง. การละทิ้งสิ่งที่รั้งคุณไว้ คนบางคนเรียนรู้ที่จะยึดมั่นในความขุ่นเคือง และบทบาทของผู้เคราะห์ร้าย และปล่อยให้มันมีอิทธิพลต่อหลายๆ ส่วนของชีวิตพวกเขา คนพวกนี้เชื่อว่า พวกเขาเป็นผู้เคราะห์ร้ายจากการกระทำของผู้อื่น แม้ว่าจะมีหลักฐานของสิ่งที่ขัดกันอยู่ก็ตาม
    • ตั้งคำถามตัวคุณเองหากคุณเป็นคนแบบนั้น หากคำตอบคือ ใช่ คุณสามารถบอกเลิกพฤติกรรมนี้ได้
    • การปลดปล่อยอารมณ์ที่เชื่อมโยงกับความขัดแย้ง จำเป็นจะต้องแยกแยะความรู้สึกเชิงลบ และหาประโยชน์ที่คุณจะได้รับ หากคุณเป็นอิสระจากความรู้สึกเชิงลบนั้น ยกตัวอย่างเช่น คุณจะรู้สึกเป็นอิสระ โล่ง ผ่อนคลาย สามารถโฟกัสกับสิ่งดีๆ สามารถหยุดยึดมั่นอยู่กับความขุ่นเคือง และสามารถทำให้รู้สึกได้ว่าชีวิตของคุณกลับคืนมาอีกครั้ง เป้าหมาย คือแสดงจำนวนของหลักฐานที่มีอยู่มากมายแก่ตัวเอง ว่าชีวิตของคุณจะดีขึ้น หากคุณปล่อยวาง และไปต่อ
  6. 6
    อย่าละทิ้งความพยายาม. หากคุณพยายามที่จะปล่อยวางบางอย่าง และมันยังคงกัดกินตัวคุณอยู่ เช่นนั้นคุณจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนความรู้สึกเกี่ยวกับสถานการณ์ให้มากขึ้น นี่อาจรวมถึงการพูดคุยกับเพื่อน หรือสมาชิกในครอบครัวที่คุณไว้ใจ การเขียน หรือให้พักเพื่อปรับแต่งอารมณ์ของคุณใหม่อีกครั้ง
    • มันสามารถทำให้คุณอารมณ์เสียหากใครบางคนบอกคุณว่า “ปล่อยมันไป” ในขณะที่คุณยังไปไม่ถึงระดับในการแก้ไขปัญหานี้ได้ ให้คุณหายใจลึกๆ และพูดว่า “ฉันกำลังพยายามที่จะปล่อยมันไป แต่ฉันยังไปไม่ถึงจุดนั้น”
  7. 7
    มีส่วนร่วมในกิจกรรมที่สนุกสนาน. คุณสามารถเรียนรู้ที่จะปล่อยวาง โดยการค้นหาด้านร่าเริงของคุณอีกครั้ง เมื่อคุณทำกิจกรรมเหล่านั้น ให้คุณปลดปล่อยตัวคุณจากความคิดเชิงลบของการเก็บความขัดแย้งเอาไว้ในใจ
    • ยกตัวอย่างเช่น คุณสามารถไปชายหาด และเล่นว่าว ซึ่งกิจกรรมนี้จะทำให้คุณต้องให้เพ่งความสนใจอย่างใกล้ชิด และจะทำให้คุณได้รับความรู้สึกสนุก และบรรลุผลเมื่อคุณได้ปล่อยว่าว และทำให้ว่าวลอยขึ้นไปบนอากาศได้ วิธีนี้จะรบกวนจิตใจได้อย่างดีเยี่ยม จนทำให้คุณมองไปที่สถานการณ์ได้อย่างแตกต่าง มีคนกล่าวว่า การหัวเราะเป็นยารักษาที่ดีที่สุด การเล่น และการหัวเราะจะช่วยคุณให้คงการคิดบวก และมองโลกในแง่ดีต่อสถานการณ์ที่ยุ่งยาก [12]
    • จัดตารางในปฏิทินของคุณอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งเพื่อเล่น และหาความสุข
  8. 8
    กระจายความโกรธของคุณ. การคงไว้ในอารมณ์โกรธ และไม่พอใจไม่เป็นสิ่งที่ดี การแปรเปลี่ยนความรู้สึกโกรธผ่านกิจกรรมที่ต้องใช้ร่างกาย หรือการแสดงออกทางศิลปะ เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการลดความโกรธ ความเครียด และความวิตกกังวล ความโกรธต้องถูกปลดปล่อยเพื่อนำคุณไปสู่ความรู้สึกของการให้อภัย
    • พิจารณาการวิ่ง การไต่เขา หรือการยกน้ำหนัก เพื่อถ่ายเทพลังงานที่คุณเก็บกดเอาไว้ การออกแรงทางกายของคุณจะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น และเพิ่มปริมาณเอนโดรฟิน ที่เพิ่มความรู้สึกของความสุข และลดความเจ็บปวด [13]
    • ทำสมาธิด้วยตัวเอง หรือเป็นกลุ่ม การนั่งสมาธิถูกใช้มาหลายศตวรรษโดยหลายวัฒนธรรมเพื่อเอาชนะความคิดเชิงลบ ที่อาจทำให้คุณโกรธ และพัฒนาความคิดเชิงบวก [14]
    • การสร้างสรรค์ภาพวาด รูปปั้น หรืองานศิลปะดิจิตอล อาจเป็นสิ่งที่ถูกต้องในการเปลี่ยนหันเหความสนใจของคุณให้อยู่ที่การสร้างงานศิลปะ ที่ช่วยให้คุณแปรเปลี่ยนความโกรธของคุณ [15]
  9. 9
    สร้างความเชื่อใจใหม่อีกครั้ง. เมื่อคุณยอมรับคนอื่นเข้ามาในชีวิต คุณต้องกล้าที่จะเสี่ยง ทั้งนี้คนเหล่านั้นสามารถทรยศความเชื่อใจที่คุณได้สร้างมาร่วมกัน ส่วนที่สำคัญของกระบวนการให้อภัยคือ การยินยอมให้ใครคนนั้นเรียกความเชื่อใจของคุณกลับมา
    • ยอมให้คนคนนั้นแสดงให้คุณเห็นว่า เขาหรือเธอไว้ใจได้ น่าเชื่อถือ และจริงใจ [16] เปิดโอกาสให้คนคนนั้นแสดงให้คุณเห็น เมื่อคุณยอมเพียงเล็กน้อย คุณอาจได้รับผลลัพธ์ที่ดีมากกลับคืนมา
    • ยกตัวอย่างเช่น พิจารณารับคำเชิญของเขา หรือเธอเพื่อไปดูหนัง วิธีนี้จะเปิดโอกาสให้คนคนนั้นมาตามนัดตรงเวลา ปฏิบัติต่อคุณด้วยความเคารพในตัวคุณ และมีช่วงเวลาที่ดีร่วมกัน หากคุณไม่เต็มใจที่จะรับคำเชิญของเขา หรือเธอ คุณจะไม่ได้เห็นความจริงใจในความพยายามที่จะเรียกความเชื่อใจของคุณกลับมา
    • หากการทรยศเกี่ยวข้องกับการโกหกว่าเขา หรือเธอไปไหน แนะนำว่าให้เขา หรือเธอบอกคุณผ่านข้อความ หรือโทรศัพท์เพื่อบอกให้คุณรู้ว่าอยู่ที่ไหน
    • ไม่ลืมที่จะบอกให้รู้เมื่อคนคนนั้นกำลังพยายามที่จะเรียกความเชื่อใจของคุณกลับมา พิจารณาที่จะบอกให้เขา หรือเธอรับรู้ว่าคุณชื่นชมในทุกความพยายามของเขา หรือเธอ
  10. 10
    ยินดีกับประสบการณ์การเรียนรู้ที่ได้รับ. คน หรือโอกาสเข้ามาในชีวิตของคุณเพื่อสอนให้คุณเรียนรู้บางสิ่งบางอย่าง แต่ละประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาสอนให้เราฉลาดขึ้น และชี้ให้เราเห็นสิ่งที่เราต้องการจากชีวิต เราเรียนรู้จากเรื่องดี และร้ายที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
    • นั่งลง และทำรายการของสิ่งที่คุณเรียนรู้จากสถานการณ์ที่คุณกำลังดำเนินการอยู่ บางทีคุณเรียนรู้ที่จะไม่ค้ำประกันการกู้เงินให้กับเพื่อนที่มีประวัติการเงินที่ไม่ดี คุณอาจเรียนรู้ว่าคนบางคนชอบที่จะออกไปสนุกสนาน มากกว่าที่จะจ่ายค่าเช่า หรือเพื่อนร่วมห้องสามาถกลายเป็นคนขี้เกียจ และทำลายโอกาสในการได้รับเงินประกันการทำความสะอาดคืนจากเจ้าของห้อง
    • อย่าลืมที่จะเขียนเกี่ยวกับสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้น มันเป็นเรื่องง่ายที่จะเห็นแค่เรื่องไม่ดี เมื่อเรากำลังอยู่ในความรู้สึกเจ็บปวดทั้งหมด แต่ไม่มีสถานการณ์ไหนที่จะมีแต่เรื่องร้ายๆ ไปเสียทั้งหมด บางทีคุณเรียนรู้ที่จะสัมภาษณ์คนที่อาจเป็นเพื่อนร่วมห้อง เพื่อให้แน่ใจว่าใครคนนั้นจะร่วมแบ่งปันนิสัยในการทบทวนวิชาที่เรียนเหมือนกัน และทักษะการทำงานบ้าน วิธีนี้จะช่วยให้คุณมีสภาวะการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขในอนาคต
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

หาความช่วยเหลือ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. 1
    พบนักบำบัด. หากคุณกำลังประสบความยากลำบากในการให้อภัยบางคน และมันกำลังกระทบต่อชีวิตของคุณในทางที่ไม่ดี บางทีมันถึงเวลาในการมองหามืออาชีพ เช่นที่ปรึกษา หรือนักบำบัด เพื่อให้ความช่วยเหลือคุณ นักบำบัดตั้งใจที่จะส่งเสริมให้การให้อภัยประสบผลสำเร็จในการช่วยให้คนเอาชนะความเจ็บปวดที่ผ่านมา และพบกับความสงบสุข และทางออกในการแก้ไขปัญหา [17]
    • รับการอ้างอิง หรือคำแนะนำจากแพทย์ของคุณ สมาชิกในครอบครัว หรือเพื่อนที่เชื่อใจได้ อย่างไรก็ตาม หากมันเป็นไปไม่ได้ ให้คุณติดต่อแผนกสุขภาพจิตในท้องถิ่นของคุณเพื่อเป็นทางเลือกในการขอคำปรึกษา
    • หากคุณรู้สึกว่านักบำบัดของคุณไม่เหมาะกับคุณ ให้มองหานักบำบัดท่านอื่น นักบำบัดแต่ละคนมีความแตกต่างกัน และการหานักบำบัดที่ทำให้คุณรู้สึกสบายใจเป็นสิ่งที่จำเป็น
    • หานักบำบัดที่ฝึกหลักสูตรความคิด และพฤติกรรมบำบัด [18] นักบำบัดของคุณจะช่วยวิเคราะห์ และกำจัดรูปแบบความคิดเชิงลบ ที่คุณได้พัฒนาขึ้น
    • พิจารณาการให้คำปรึกษาด้านจิตใจ คนส่วนใหญ่มีความสบายใจในการหาความช่วยเหลือจากผู้นำด้านจิตใจ คนที่สามารถชี้นำพวกเขาไปสู่การให้อภัย อำนาจของการสวดมนต์ประสบความสำเร็จในการรักษา และบรรเทาความรู้สึกผิด หรือละอายใจ ซึ่งเป็นสิ่งชักจูงใจให้แสวงหาการให้อภัยด้วยหลากหลายเหตุผล [19]
  2. 2
    กำหนดเป้าหมายการบำบัดสำหรับตัวคุณเอง. ตั้งมั่นในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคุณ ด้วยการบำบัดทางจิตใจ และการบำบัดทางร่างกาย คุณจะได้รับประโยชน์จากการกำหนดเป้าหมาย [20] การมีส่วนร่วมในกระบวนการ โดยการทำให้ตัวคุณเองเปิดรับ และอ่อนลง จงอย่าละทิ้งกระบวนการเพียงเพราะว่ามันยุ่งยาก การทำงานอย่างหนักของคุณจะประสบผล และทำให้คุณรู้สึกดีกับความสำเร็จที่คุณได้รับ
    • แยกแยะวัตถุประสงค์ของคุณ ยกตัวอย่างเช่น คุณอยากรู้สึกสงบสุขมากกว่ากับสมาชิกในครอบครัว ที่ทรยศคุณใช่ไหม? ให้บอกนักบำบัดว่า นี่เป็นหนึ่งในเป้าหมายของคุณ
    • ให้รางวัลตัวคุณเอง เมื่อคุณบรรลุเป้าหมายของคุณ แรงจูงใจของคุณจะเพิ่มขึ้น หากคุณให้รางวัลกับการประสบผลสำเร็จของคุณ [21]
    • ปรับเปลี่ยนวัตถุประสงค์ของคุณ มากกว่าที่จะล้มเลิก
    • อย่าหยุดยั้งที่จะกำหนดเป้าหมายใหม่ เนื่องจากมันจะช่วยให้คุณมีส่วนร่วมในชีวิต
  3. 3
    เพิ่มประสิทธิภาพระบบสนับสนุนของคุณ. ให้คุณอยู่ท่ามกลางคนที่เป็นห่วงคุณ นี่หมายรวมถึง ครอบครัว เพื่อน และเพื่อนร่วมงาน ให้แผ่ขยาย และพบปะกับคนใหม่ๆ เพื่อขยายขอบเขตของการสนับสนุนของคุณ คุณได้เรียนรู้เป็นอย่างมากจากกระบวนการบำบัด ที่คุณรู้สึกมั่นใจ และเต็มไปด้วยความคิดริเริ่ม และสามารถแก้ไขปัญหาได้ดี ระบบสนับสนุนที่ดีจะช่วยให้คุณลดความเครียด และเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันของคุณได้ [22]
    • การสำรวจความสนใจของคุณอาจนำไปสู่การเข้าร่วมกลุ่ม ที่เปิดโอกาสให้คุณได้พบเพื่อนใหม่ และมีประสบการณ์กับสถานการณ์ใหม่ๆ
  4. 4
    ให้อภัย และยอมรับในตัวคุณเอง. การกระเสือกกระสนส่วนตัวสามารถทำให้คุณรู้สึกแย่เกี่ยวกับตัวคุณเอง คุณอาจรู้สึกผิดที่ไม่ดูแลตัวคุณเองในสถานการณ์ หรือคุณตำหนิตัวคุณเองอย่างไม่ยุติธรรมในสิ่งที่เกิดขึ้น คุณสามารถเรียนรู้ในการจัดการความรู้สึกผิด และละอายใจ มากกว่าที่จะพยายามกำจัดพวกมันทิ้งไป
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • บางครั้งมันช่วยได้ในการคิดว่าคนอื่นให้อภัยภายใต้สถานการณ์ที่ไม่น่าเชื่อได้อย่างไร ถามเพื่อนถึงการสนับสนุน และตัวอย่างเพื่อจูงใจคุณไปสู่การให้อภัย
  • การศึกษาแสดงให้เห็นว่า การให้อภัยขึ้นอยู่ที่ว่าคนคนนั้นเชื่อว่าพวกเขาต้องมีการปฏิสัมพันธ์กับผู้กระทำผิดอีก หรือไม่ [24] คุณสามารถตัดสินใจหากนั้นเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับคุณในการบรรลุการให้อภัย
  • มันไม่มีคำว่าสายเกินไป หากคุณตั้งใจจริงในการเสาะหาความช่วยเหลือจากมืออาชีพสำหรับปัญหาของคุณ การเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มันเป็นไปได้ หากคุณตั้งใจที่จะพยายาม และหาวิธีทีจะรับมือกับความท้าทายของคุณ [25]
  • นักบำบัดที่มีใบอนุญาตถูกฝึกให้ช่วยเหลือผู้อื่นในการเรียนรู้ที่จะจัดการกับการดิ้นรนต่อสู้ ที่กำลังส่งผลกระทบกับชีวิตของพวกเขา
  • การมีความซื่อสัตย์ และจริงใจเมื่อกล่าวคำขอโทษ เพิ่มโอกาสที่ผู้ที่กล่าวคำขอโทษจะได้รับการให้อภัย [26]
  • หากคุณอยู่ในสงครามทางทหาร และเห็นการกระทำที่ไม่ตรงกับศีลธรรมของคุณ คุณจะได้รับประโยชน์จากการมีทักษะของการให้อภัยตัวเอง ผ่านการมีส่วนร่วมในการบำบัด [27]
  • ใส่พลังทางจิตที่ดีที่สุด (บางทีอาจเป็นสิ่งแรกในตอนเช้า) ในการจินตนาการชีวิตใหม่ที่คุณต้องการ คุณควรเห็นตัวคุณเองในอนาคตที่เป็นอิสระจากความเจ็บปวด และความทุกข์ทรมานนี้
โฆษณา

คำเตือน

  • การให้อภัยเป็นเรื่องยาก แต่การมีชีวิตอยู่ด้วยความบาดหมางมันกลับยากยิ่งกว่า การเก็บสะสมความบาดหมางไว้ในใจเป็นเรื่องที่อันตรายมากๆ และสามารถทำให้คนอื่นเจ็บปวดได้อย่างที่คุณคาดไม่ถึง
  • ความเจ็บป่วยทางจิตใจบางอย่างขัดขวางความสามารถของคนในการให้อภัย คนที่มีอาการป่วยทางจิตอาจไม่เคยรับรู้ความอับอาย หรือความรู้สึกผิดกับการกระทำความผิด ซึ่งเป็นสองปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การให้อภัย
  • การให้อภัยโดยไม่มีเงื่อนไขไม่ได้ถูกตั้งอยู่บนพื้นฐานของการกระทำ หรือการร้องขอใดๆ จากผู้กระทำความผิด หน้าที่ของการให้อภัยมีเป้าหมายที่จะปลดปล่อยคุณจากความเดือดดาล ความหดหู่ และความสิ้นหวังที่ช่วยเยียวยาสาเหตุของความขับข้องใจ


โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 8,082 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา