ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

สิว ลำพังแค่นี้ก็เป็นปัญหาพออยู่แล้ว ไม่ยุติธรรมเสียเลยเวลาที่รอยแดงจากสิวของคุณหายแล้วแต่กลับทิ้งร่องรอยของแผลเป็นไว้ให้คุณดูว่าเคยมีสิวขึ้นตรงนั้น แต่คุณไม่ต้องสิ้นหวังเพราะรอยแผลเป็นจากสิวจะไม่อยู่ถาวร คุณยังทำอะไรได้อีกหลายอย่างเพื่อเร่งการฟื้นฟูผิว อาทิ ใช้ครีมที่ซื้อเองโดยไม่ต้องมีใบสั่งยาจากหมอ ลองใช้ของในบ้านรักษาเอง หรือใช้ยารักษา ลองศึกษาเพิ่มเติมจากข้อมูลนี่ดูสิ

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

ใช้ของในบ้าน

ดาวน์โหลดบทความ
  1. น้ำผึ้งสามารถใช้รักษาไม่เพียงแต่รอยแผลเป็นจากสิว แต่ยังรวมถึงสิวอีกด้วย น้ำผึ้งอ่อนโยนต่อผิวของคุณและช่วยลดรอยแดงและอาการระคายเคือง น้ำผึ้งมีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียซึ่งช่วยให้รอยดำที่ดูน่ากลัวของสิวจางหายไป น้ำผึ้งยังเพิ่มความชุ่มชื้นและทำให้ผิวคุณนิ่มขึ้นด้วย แต้มน้ำผึ้งลงไปที่รอยแผลเป็นโดยตรงก่อนนอนแล้วล้างออกในตอนเช้า
  2. น้ำมันผลกุหลาบอุดมไปด้วยวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระจึงช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนและสุขภาพดี ขณะที่การใช้น้ำมันผลกุหลาบกับสิวที่ขึ้นอยู่นั้นยังไม่เห็นผลแน่ชัด แต่พิสูจน์ได้แล้วว่าน้ำมันผลกุหลาบใช้รักษารอยแผลเป็นจากสิวได้ผลดีเทียบเท่ากับการรักษารอยแผลและรอยแดงอื่นๆ เมื่อใช้เป็นประจำ รอยแผลเป็นจะเริ่มจางลงและหายไป เพียงแค่นวดน้ำมันลงบนรอยสิวเบาๆ วันละหนึ่งถึงสองครั้ง [1]
  3. ในน้ำมันมะพร้าวมีกรดลอริก กรดคาไพรลิก และกรดคาพริก จึงเป็นครีมช่วยลดเลือนรอยสิวเป็นอย่างดี น้ำมันมะพร้าวยังช่วยป้องกันไม่ให้เกิดรอยสิวใหม่ เพื่อให้รอยสิวดูจางลง นวดน้ำมันมะพร้าวตรงบริเวณที่มีรอยสิวอย่างน้อยหนึ่งครั้งต่อวัน สองถึงสี่ครั้งจะถือว่าดีมาก แต่น้ำมันมะพร้าวอาจมีความมันมากจึงควรใช้แต่พอดี น้ำมันมะพร้าวยังใช้ทำความสะอาดผิวได้ด้วย [2]
  4. ว่านหางจระเข้เป็นที่รู้จักในวงการเครื่องสำอางจากสรรพคุณด้านการรักษา และยังอ่อนโยนต่อผิวและใช้รักษารอยสิวได้ผลดีเมื่อใช้ไปสักระยะหนึ่ง ถึงแม้ว่าคุณสามารถหาซื้อเจลว่านวางจระเข้ตามท้องตลาดได้ แต่วิธีที่ดีที่สุดคือ ซื้อต้นว่านหางจระเข้เพื่อนำส่วนเนื้อเจลมาใช้เอง
    • วิธีใช้ว่านหางจระเข้จากใบโดยตรง หักใบว่านหางจระเข้แล้วนำเนื้อด้านในที่มีลักษณะเป็นเจลทาลงบนผิวได้โดยตรง ทิ้งไว้ให้แห้ง 30 นาทีแล้วล้างออกด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยน ลองทำแบบนี้ทุกๆ วัน
  5. วิธีรักษานี้ใช้ได้ผลดีสุดกับแผลเป็นที่เพิ่งเกิดหรือระบม เพราะน้ำแข็งจะช่วยลดการบวมและทำให้หลอดเลือดหดตัว เมื่อเวลาผ่านไป น้ำแข็งจะยังช่วยลดเลือนรอยแผลเป็นขนาดเล็กและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ [3]
    • ใช้ผ้าขนหนูหรือทิชชู่ห่อก้อนน้ำแข็งแล้วถูบริเวณที่บวมแดงเป็นเวลา 10-15 นาทีต่อวัน
  6. แอสไพรินมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและมีกรดซาลิซิลิก ซึ่งมักใช้ในการรักษาสิว หลังใช้มาสก์แอสไพรินผิวจะนุ่มขึ้นและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
    • วิธีทำมาสก์ บดเม็ดแอสไพริน 4-5 เม็ด ให้กลายเป็นผง จากนั้นผสมกับโยเกิร์ตธรรมชาติ หรือเจลว่านหางจระเข้อย่างเดียว ทามาสก์ลงหน้าแล้วทิ้งไว้ 15 นาที
    • ล้างออกด้วยน้ำอุ่น ซับหน้าให้แห้ง แล้วทามอยเจอร์ไรเซอร์ [4]
  7. น้ำมันมะกอกหรือที่รู้จักในฐานะน้ำมันทำความสะอาดผิวเป็นตัวเลือกในการทำความสะอาดผิวหน้าเพื่อชำระล้างสิ่งสกปรกและไขมันออกจากใบหน้า นวดเบาๆ แล้วใช้ผ้าขนหนูสะอาดเช็ดออก
  8. น้ำมันวิตามินอีมีสรรพคุณให้ความชุ่มชื้นอย่างมาก และรักษารอยแผลเป็นจากสิวได้ผลดีอีกด้วย ทาน้ำมันวิตามินอีบริสุทธิ์ลงบนผิววันละ 2-3 ครั้งต่อวัน แล้วคุณจะเห็นผลได้ในสองสัปดาห์ [5]
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

รักษาด้วยการใช้ยา

ดาวน์โหลดบทความ
  1. มีผลิตภัณฑ์รักษาแผลเป็นจำนวนมากที่หาซื้อได้โดยไม่ต้องใช้ใบสั่งยาจากแพทย์ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะช่วยลดรอยแดงจากสิวและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ครีมเหล่านี้มักติดฉลากว่าช่วยให้รอยแผลเป็นลดเลือนหรือทำให้ขาวขึ้น มองหาครีมที่มีสารออกฤทธิ์อย่างเช่น กรดโคจิก สารสกัดชะเอมเทศ อาร์บูติน สารสกัดจากมัลเบอรี่ และวิตามินซี วัตถุดิบเหล่านี้ขัดผิวและขจัดผิวชั้นที่ไม่สม่ำเสมอด้านนอกออก เผยให้เห็นผิวที่เนียนและกระชับ [6]
  2. ถ้าผลิตภัณฑ์ที่คุณหาซื้อมาใช้เองไม่ให้ผลดีพอ ลองไปพบแพทย์ผิวหนังที่สามารถสั่งจ่ายครีมรักษาที่ออกฤทธิ์แรงกว่าได้ คุณสามารถพูดคุยเกี่ยวกับทางเลือกอื่นๆ ในการทำให้รอยแผลเป็นจากสิวดูจางลง อย่างเช่น การรักษาด้วยเลเซอร์ หรือลอกผิว
  3. วิธีนี้มีขั้นตอนโดยลอกผิวชั้นนอกสุดออกจากรอยสิวซึ่งเป็นผิวที่ถูกทำลายและเป็นจุดด่างดำ ทำให้ผิวข้างใต้กระชับและเรียบเนียนขึ้น วิธีนี้ไม่จำเป็นต้องทำที่โรงพยาบาล แพทย์ผิวหนังสามารถทำเลเซอร์ลอกผิวที่ทำงานของพวกเขาได้เลย [7]
    • เลเซอร์อาจทำให้รู้สึกเจ็บเล็กน้อย แต่แพทย์มักทำให้ผิวชาด้วยยาชาเฉพาะที่ก่อน นั่นจึงไม่ใช่สิ่งเลวร้ายเสียทีเดียวT [7]
    • การรักษาด้วยเลเซอร์อาจใช้เวลาหนึ่งชั่วโมง และอาจมีหลายขั้นตอน ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของรอยแผลเป็น
  4. ถ้าแผลเป็นของคุณดูเหมือนรอยบากและตุ่มนูนแดง ฟีลเลอร์จะทำงานราวกับมีปาฏิหาริย์ช่วยให้ผิวคุณเต่งตึงและเรียบเนียนยิ่งขึ้น ฟีลเลอร์เช่น กรดไฮยาลูโรนิก ที่ฉีดเข้าใต้ผิวหนังโดยแพทย์ผิวหนังจะเห็นผลได้ทันที แต่ผลลัพธ์จากการฉีดฟีลเลอร์คงอยู่ได้แค่ชั่วคราว ดังนั้นถ้าคุณชอบวิธีนี้ คุณก็แค่คอยกลับมาทำทุกๆ สองถึงสามเดือนเพื่อคงสภาพเดิมไว้! [6]
    • ซิลิโคนขนาดเล็กเป็นฟีลเลอร์ประเภทใหม่ซึ่งช่วยกระตุ้นให้ผิวของคุณผลิตคอลลาเจนและสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นใสเอง คุณจะต้องฉีดฟีลเลอร์หลายรอบจึงจะเห็นผล แต่หลังคุณทำครบแล้วผลลัพธ์จะคงอยู่ถาวร [6]
  5. การลอกหน้าด้วยเคมีใช้กรดเข้มข้นซึ่งขัดผิวชั้นนอกออก เผยให้เห็นผิวที่เนียนนุ่มกว่าที่อยู่ข้างใต้ วิธีนี้ได้ผลดีในการลดเลือนรอยสิว และทำให้สีผิวสม่ำเสมอ ริ้วรอยบนใบหน้าจางลง และฟื้นฟูผิวที่ถูกแดดทำร้าย การลอกหน้าด้วยเคมีสามารถทำได้ที่ร้านผิวหนังใกล้บ้านคุณ หรือที่ร้านของศัลยแพทย์ [8]
  6. การขัดผิววิธีนี้จะลดเลือนรอยแผลเป็นด้วยการลอกผิวชั้นนอกออกโดยใช้แปรงลวดหมุน วิธีนี้ค่อนข้างระคายเคืองและอาจต้องใช้เวลานานถึงสามอาทิตย์ให้ผิวฟื้นตัวกลับมาเหมือนเดิม แต่เมื่อผิวคุณหายดีแล้ว คุณจะได้ผิวหนังชั้นใหม่ที่เรียบเรียนและเปล่งปลั่ง [7]
  7. ถ้าวิธีที่ผ่านมาทั้งหมดไม่ได้ผล ลองใช้การผ่าตัดแทน. ถ้าดูเหมือนการรักษาด้วยวิธีไหนๆ ก็ไม่ได้ผล ปรึกษาแพทย์ผิวหนังของคุณเกี่ยวกับการผ่าตัดเพื่อเอาแผลเป็นของคุณออก คุณควรรู้ว่าการผ่าตัดเป็นทางเลือกที่มีความเสี่ยงเพราะมักจะใช้ยาสลบและมีค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้นคุณควรพิจารณาทางเลือกนี้ต่อเมื่อรอยแผลเป็นของคุณลึกหรือกว้างมาก [6]
    • ส่วนใหญ่ในการผ่าตัดจะต้องตัดรอยแผลแต่ละอันแยกออก ถึงแม้บางครั้งศัลยแพทย์จำเป็นต้องสลายเนื้อเยื่อเส้นใยที่อยู่ใต้ผิวหนังซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดรอยแผลเป็น [6]
    • ต้องใช้เวลาสักพักให้ผิวของคุณฟื้นตัวหลังการผ่าตัด และคุณอาจจะต้องใช้วิธีผลัดเซลล์ผิวใหม่เพื่อทำให้ผิวชั้นนอกเรียบเนียน
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

การดูแลในแต่ละวัน

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การปล่อยให้รอยแผลเป็นถูกแสงแดดอาจทำให้แผลสีเข้มขึ้นและฟื้นตัวช้าลง นั่นเป็นเพราะรังสีอัลตร้าไวโอเลทกระตุ้นการสร้างเม็ดสีในผิวหนังคุณ ทำให้สีผิวไม่สม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้สิ่งนี้เกิดขึ้น คุณควรทาครีมกันแดดทุกวัน ไม่ว่าจะในฤดูร้อนหรือหนาว
    • ก่อนออกจากบ้าน ทาครีมกันแดดที่สามารถป้องกันได้ทั้งรังสี UVA และ UVB ที่มีค่า SPF อย่างน้อย 30 และมีส่วนผสมของซิงค์ออกไซด์ ทาครีมกันแดดซ้ำหลังว่ายน้ำ เหงื่อออก หรือตากแดดนานกว่า 2 ชั่วโมง [9]
  2. การขัดผิวเป็นประจำช่วยให้รอยสิวของคุณจางหายไปโดยธรรมชาติ โดยลอกชั้นผิวหนังเก่าและเป็นรอยแดงด้านนอกออก เผยให้เห็นผิวใหม่ข้างใต้
    • ลองตัวขัดผิวที่หาซื้อเองได้ที่มีส่วนผสมของ AHA หรือ BHA ซึ่งมีสรรพคุณต้านการอักเสบและช่วยเรื่องสีผิวไม่สม่ำเสมอ [10]
  3. คุณรู้สึกคันไม้คันมืออยากลองสครับที่มีเม็ดขนาดใหญ่และวิธีการรักษาที่ระคายเคืองผิวทั้งหลายแหล่ด้วยความพยายามอย่างสิ้นหวังที่จะกำจัดสีผิวไม่สม่ำเสมอ แต่การทำให้ผิวระคายเคืองมีแต่จะก่อให้เกิดโทษและขัดขวางกระบวนการฟื้นตัวของผิวคุณ ใช้สกินแคร์ที่ไม่ระคายเคือง อ่อนโยนต่อผิวของคุณ
  4. รอยแผลเป็นเกิดจากคอลลาเจนเป็นส่วนใหญ่ และเป็นวิธีที่ร่างกายใช้รักษาตัวเอง อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณไปบีบหรือแกะสิวจะเป็นสาเหตุของหนองและแบคทีเรียเข้าไปในผิวชั้นที่อยู่ลึกลงไป ทำร้ายคอลลาเจนที่มีอยู่ในผิวคุณ การแกะจะทำให้ผิวถูกทำร้ายและอักเสบซึ่งทำให้แผลหายช้าลง หลีกเลี่ยงการบีบหรือแกะสิว และในที่สุดแผลเป็นที่เกิดจากคอลลาเจนก็จะหายไปเอง [9]
  5. การดื่มน้ำไม่ช่วยกำจัดรอยสิวก็จริงอยู่ แต่การรักษาความชุ่มชื้นของร่างกายไว้เป็นกุญแจสำคัญของการมีผิวสุขภาพดีและจะช่วยเร่งกระบวนการผลัดเซลล์ผิวตามธรรมชาติ พยายามดื่มน้ำวันละ 1-2 ลิตร และรับประทานผักและผลไม้ให้มาก
    โฆษณา

คำเตือน

  • คอยทดสอบยาที่ใช้รักษาผิวตัวใหม่ลงบนผิวก่อนเพื่อดูว่าคุณแพ้หรือไม่ ก่อนจะนำมาทาบนหน้าคุณ
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 8,535 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา