ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

คุณจะสามารถลดน้ำหนัก 6 กิโลกรัมใน 1 เดือนได้ ขอเพียงลดจำนวนแคลอรี่ที่บริโภคเข้าไปในแต่ละวัน และเพิ่มชั่วโมงการออกกำลังกายให้มากขึ้น ซึ่งการที่จะลด 6 กิโลกรัมใน 1 เดือน คุณก็ควรตั้งเป้าหมายย่อย หรือลดให้ได้สัก 1.5 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ เป็นเวลา 4 สัปดาห์ติดต่อกัน ทั้งนี้ ก่อนที่คุณจะวางแผนแต่ละขั้นตอน ลองปรึกษาแพทย์ดูก่อนว่า สุขภาพร่างกายคุณสมบูรณ์พอที่จะลดน้ำหนักได้ไหม หรือหากลดมากถึง 6 กิโลกรัม ร่างกายจะไหวหรือเปล่า

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 3:

ตั้งเป้าหมายไว้

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การที่จะลดน้ำหนักได้นั้น หลักง่ายๆ คือว่าคุณต้องผลาญแคลอรี่ในแต่ละวันให้มากกว่าที่คุณบริโภคเข้าไป ซึ่งสามารถทำได้สองทางคือ ลดจำนวนแคลอรี่ที่บริโภค และออกกำลังกายเพื่อผลาญมันออกไป
    • น้ำหนักประมาณครึ่งกิโล (0.45 กก.) เท่ากับ 3,500 แคลอรี่ ดังนั้นการจะลดน้ำหนัก 1.5 กิโลกรัมในแต่ละสัปดาห์ คุณจำเป็นต้องลดแคลอรี่ลงให้ได้สัปดาห์ละประมาณ 11,500 แคลอรี่ หรืออย่างน้อย 1,600แคลอรี่ต่อวันขึ้นไป
  2. การที่จะค้นหาหรือคำนวณออกมาว่า คุณต้องลดแคลอรี่เป็นจำนวนมากเท่าไร ก็ย่อมต้องรู้ตามความเป็นจริงก่อนว่า ในแต่ละวันคุณบริโภคอาหารเฉลี่ยวันละกี่แคลอรี่
    • คุณอาจประมาณเอาเองว่า คุณบริโภค 2,000 แคลอรี่ ทั้งๆ ที่ความจริงอาจจะเป็น 2,200 ก็ได้ ดังนั้นหากต้องการลดน้ำหนักให้ได้โดยเร็ว คุณต้องเริ่มหาจำนวนแคลอรี่ตามความเป็นจริงให้ได้เสียก่อน
    • คุณสามารถคำนวณหาแคลอรี่ในแต่ละวันได้ ขอเพียงกินไปตามปกติเหมือนเดิม แต่พยายามจดบันทึกไว้ว่า คุณกินอะไรเข้าไปบ้าง และกินปริมาณเท่าไร ตัวอย่างเช่น จดว่า: ถั่วโรยเกลือประมาณครึ่งจาน และกาแฟลาเต้เพิ่มครีม แก้ว 250 มิลลิลิตร จากนั้นก็แค่นำรายการทั้งหมดไปคำนวณในเว็บไซต์ต่างๆ ที่มีโปรแกรมคำนวณเพื่อหาปริมาณแคลอรี่ที่คุณบริโภคต่อวัน
  3. แม้ว่าอาจมีเว็บไซต์อื่นๆ อีก ที่ให้บริการคำนวณเป้าหมายลดน้ำหนัก (ซึ่งคุณอาจต้องสมัครรับข่าวสารทางอีเมล์เป็นการแลกเปลี่ยน) แต่ 2 เว็บไซต์ดังกล่าวนี้ จะมีให้บริการพร้อมกับคำแนะนำที่เชื่อถือได้ ในการวางแผนขั้นตอนการลดน้ำหนัก โดยพิจารณาจากน้ำหนัก ส่วนสูง และอาจรวมถึงขนาดเอวของคุณด้วย (หากเป็นเว็บไซต์ของคนไทยเอง คุณสามารถไปที่เว็บไซต์ KCAL.memo8 ซึ่งก็จะมีโปรแกรมคำนวณเป็นภาษาไทยให้คุณใช้อย่างสะดวกมากขึ้น)
  4. พิมพ์ข้อมูลต่างๆ ของร่างกาย และเป้าหมายน้ำหนักที่ต้องการลงในโปรแกรมคำนวณ. เมื่อคุณใส่ข้อมูลดัชนีมวลกาย (BMI) และน้ำหนักตัวลงไปแล้ว โปรแกรมจะคำนวณจำนวนแคลอรี่ออกมา รวมถึงจำนวนแคลอรี่ที่คุณต้องควบคุมหรือผลาญออกไปในแต่ละวัน เพื่อจะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายในการลดน้ำหนักได้อย่างไม่มีผลเสียต่อสุขภาพ [1]
  5. อันนี้ย่อมขึ้นอยู่กับน้ำหนักและส่วนสูงของคุณด้วย ตามมาตรฐานสากลแล้ว คุณควรจำกัดให้ไม่ต่ำกว่า 1500 แคลอรี่ จนกว่าน้ำหนักเริ่มต้น จะลดลงกว่าเดิมเสียก่อน มิฉะนั้นแล้ว จะเกิดปฏิกริยาบางอย่างทำให้ร่างกายสะสมไขมันแทนที่จะผลาญมันออกไป
    • โปรแกรมคำนวณส่วนใหญ่ถูกออกแบบมาโดยอ้างอิงจากมาตรฐานที่ว่า คนเราไม่ควรลดน้ำหนักเกิน 0.5 -1 กิโลกรัมโดยประมาณ ต่อสัปดาห์
    • อย่าตัดอาหารเช้าออกไป มื้อนี้เป็นมื้อที่เริ่มกระบวนการเผาผลาญในร่างกายคุณ การตัดอาหารเช้าทิ้ง จะทำให้ร่างกายเร่งสะสมแคลอรี่ แทนที่จะเผาผลาญมันระหว่างวัน
  6. ออกแบบแผนการลดน้ำหนักตามเงื่อนไขชีวิตประจำวัน. แต่ละคนมีชีวิตที่แตกต่างกัน ดังนั้นมันย่อมส่งผลให้แผนการลดน้ำหนักหรือโภชนาการของคนหนึ่ง ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณจำเป็นต้องคำนวณจากอัตราส่วนน้ำหนักและแคลอรี่สวนตัว เพื่อที่จะหาเป้าหมายในการลดน้ำหนักตามความเป็นจริง และต้องปลอดภัยต่อร่างกายด้วย ตัวอย่างเช่น:
    • หากคุณมีน้ำหนักเกินมากผิดปกติ และบริโภคเกิน 3,000 แคลอรี่ต่อวัน ดังนั้น การลดแคลอรี่ลง 1,500 หรือมากกว่านั้นในการบริโภคแต่ละวัน ก็ย่อมทำได้ง่ายกว่าคนอื่น
    • อย่างไรก็ตาม หากปกติคุณกินประมาณ 2000 แคลอรี่ มันก็ยากที่จะลดวันละ 1500 แคลอรี่โดยที่ร่างกายไม่รู้สึกเหนื่อยล้าหรือขาดพลังงาน
    • ในกรณีหลังนี้ คุณควรปรับลดปริมาณแคลอรี่ที่ต้องผลาญออก เหลือเพียง 1,050 – 1200 แคลอรี่ต่อวัน ซึ่งเป็นขั้นต่ำในการประคองพลังงานให้แก่ร่างกายอย่างพอเพียง ที่เหลือคุณควรใช้วิธีออกกำลังกายเพื่อผลาญแคลอรี่ออกไป [2]
  7. เมื่อคุณเริ่มต้นในการลงมือลดน้ำหนัก การมีสมุดบันทึกรายการและปริมาณอาหาร ที่คุณกินในแต่ละวัน จะเป็นประโยชน์ต่อคุณมาก [3]
    • อย่าลืมบันทึกให้ละเอียด อย่าให้พลาดแม้แต่ข้าวสวยเม็ดเดียว อย่าลืมแม้แต่ช็อกโกแลตเสี้ยวเล็กๆ นั้น หรือถั่วโรยเกลือที่คุณแบ่งจากเพื่อนมากิน แม้แค่หยิบมือเดียวด้วย หากคุณจดรายการอาหารคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง มันก็เหมือนกับการหลอกตัวเอง
    • การจดบันทึกสิ่งที่คุณกิน จะช่วยให้มีความซื่อสัตย์ต่อตนเองในระยะเวลาของการลดน้ำหนักด้วย ผลการวิจัยยังพบด้วยว่า ที่จริงแล้ว หากเราต้องคอยจดบันทึกทุกครั้งที่กินอะไรเข้าไป ก็จะช่วยให้เรากินน้อยลงโดยอัตโนมัติ เพราะขี้เกียจจดบันทึกนั่นเอง
    • นอกจากจะจดบันทึกว่ากินอะไรลงไปบ้างแล้ว คุณยังควรจดด้วยว่ากินไปแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง คุณหงุดหงิด โมโห เซ็ง หรือรู้สึกเหนื่อยล้าหรือไม่ การจดบันทึกอารมณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากกินอาหารแต่ละอย่าง จะช่วยให้คุณรู้ทันรูปแบบพฤติกรรมการกินของตัวเอง และเป็นก้าวแรกในการปรับเปลี่ยนมันด้วย
  8. การที่จะควบคุมตนเองให้ดำเนินตามแผนการลดน้ำหนัก จำเป็นจะต้องคอยสำรวจความคืบหน้าด้วย ซึ่งคุณสามารถทำได้ด้วยการชั่งน้ำหนักทุกสัปดาห์
    • คุณอาจเคยได้ยินคำแนะนำว่า ไม่ควรชั่งน้ำหนักทุกวัน เพราะว่าน้ำหนักคนเราสามารถกระเพื่อมขึ้นลงได้ในแต่ละวัน และการที่คุณเห็นน้ำหนักตัวเองคงที่ในวันถัดมา (หรืออาจจะเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ) สามารถส่งผลให้เกิดอาการท้อแท้และหมดแรงจูงใจได้
    • พยายามชั่งน้ำหนักวันเดียวกันของแต่ละสัปดาห์ โดยทำเป็นสิ่งแรกของวันนั้นๆ เลย เพราะจะเป็นช่วงเวลาที่น้ำหนักต่ำสุดของวัน
    • การมีใครสักคนมาช่วยเป็นพยานในแผนการลดน้ำหนัก ก็เป็นผลดี เพราะจะช่วยให้คุณมีแรงจูงใจ คุณย่อมเกรงว่าจะถูกตำหนิ หากว่าทำเป้าหมายไม่สำเร็จ
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 3:

ปรับเปลี่ยนโภชนาการ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักหลายคนมักทำเรื่องผิดพลาดร้ายแรงด้วยการตัดมื้ออาหารออก เพื่อต้องการลดแคลอรี่ ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดด้วยเหตุผลหลายประการ:
    • อันดับแรก การตัดมื้ออาหารใดๆ ออก จะทำให้ร่างกายคุณรู้สึกอดอยากและหิวอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้คุณมักต้องกินเพื่อชดเชยมากกว่าเดิมตอนท้ายวัน หรือไม่ก็ล้มเลิกกาลดน้ำหนักไปเลย
    • อีกอย่างหนึ่ง การตัดมื้ออาหารออกไป จะทำให้คุณเหนื่อยล้าและขาดพลังงาน ซึ่งไม่ดีต่อประสิทธิผลในการทำงาน รวมถึงระดับความเครียดและแรงจูงใจในการออกกำลังกายด้วย
    • เป็นเรื่องสำคัญที่คุณควรกินถี่ๆ ตลอดวัน เพื่อรักษาระดับน้ำตาลให้คงที่และมีพลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมื้อสำคัญอย่างมื้อเช้า (ซึ่งมักถูกตัดออกบ่อยๆ ) เพราะมันจะช่วยเริ่มกระบวนการเผาผลาญและทำให้คุณอยู่ตัวไปตลอดทั้งวัน
    • หากคุณต้องการกินอาหารวันละ 1200 แคลอรี่ ในแต่ละวัน ก็ควรแบ่งเป็นมื้อละ 400 แคลอรี่ แต่ในแง่ของปริมาณ คุณควรให้มื้อเช้าหนักท้องที่สุด กลางวันปานกลาง และมื้อค่ำเล็กสุด แค่การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ ก็ช่วยให้น้ำหนักคุณลดลงได้มากแล้ว
  2. คุณควรบริโภคลีนโปรตีนให้มากเข้าไว้ ซึ่งเป็นโปรตีนที่ได้จากเนื้อสัตว์ เช่น ไก่ ปลา เนื้อแดง เป็นต้น รวมถึงผักสีเขียว เช่น บร๊อคโคลี ผักโขม คะน้า หน่อไม้ฝรั่ง และกะหล่ำ ในช่วงที่ลดน้ำหนัก
    • หลีกเลี่ยงคาร์โบไฮเดรตทั่วไป ซึ่งอยู่ในอาหารประเภทขนมปัง พาสต้า เส้นก๋วยเตี๋ยว และข้าวสวย เพราะมันจะไปกระตุ้นความอยากอาหาร ทำให้คุณกินมากขึ้น
    • ตามหลักของผู้เชี่ยวชาญด้านการลดน้ำหนักนั้น คุณควรเน้นบริโภคลีนโปรตีนและผักสีเขียวในแต่ละมื้อ ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถลดน้ำหนักได้อย่างน้อยหนึ่งกิโลกว่าๆ ต่อสัปดาห์เลยทีเดียว [4]
  3. งดเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลมาก เช่น น้ำผลไม้หรือน้ำอัดลม และดื่มน้ำเปล่าแทน หากคุณต้องกาลดน้ำหนักได้เร็วๆ ทั้งนี้ คุณอาจจะไม่ได้ตระหนักเลยว่า คุณอาจกำลังเพิ่มแคลอรี่ให้ตัวเองมากถึง 250 แคลอรี่ จากการดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลในแต่ละวัน
    • หากคุณไม่ชอบดื่มน้ำเปล่า ลองดื่มน้ำแร่ธรรมชาติที่มีส่วนประกอบของเกลือ หรือชาประเภทที่ไม่มีรสหวานแทน ชาสมุนไพรก็เป็นทางเลือกที่ดี หากคุณต้องการจิบอะไรร้อนๆ ชาดำและกาแฟก็พอได้เหมือนกัน แต่ที่แน่ๆ จงหลีกเลี่ยงกาแฟลาเต้ คาปูชิโน่ และกาแฟชงต่างๆ เพราะเครื่องดื่มพวกนี้ก็เต็มไปด้วยแคลอรี่เหมือนกัน
    • คุณควรลดปริมาณเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย จำไว้ว่า ไวน์แดงในแก้วขนาด 180 มิลลิลิตร จะมีแคลอรี่ถึง 150 แคลอรี่ นอกจากนี้ การดื่มมากไป จะทำให้คุณขาดวิจารณญาณ และอาจส่งผลให้คุณคว้าเอาขนมถุงใหญ่ มากินชดเชยกับความอยากที่คุณเก็บกดมาตลอดสัปดาห์ [4]
  4. คุณไม่จำเป็นต้องอดอยากปากแห้งเพื่อลดน้ำหนัก คุณแค่ต้องรู้จักเลือกกินให้ดีกว่าเดิม
    • ชดเชยมันฝรั่งด้วยมันหวาน ซึ่งมีไฟเบอร์และวิตามินมากกว่า พยายามกินเนื้อไก่และปลา แทนที่เนื้อแดงติดมัน นอกจากนี้ ควรกินอาหารจำพวกถั่วและธัญพืช แทนประเภทข้าวและเส้นที่ทำจากแป้ง
    • แทนที่จะกินขนมเค้กหรือคุกกี้เป็นของหวาน คุณควรทานผลเบอร์รี่หรือแอปเปิ้ลฝานเล็กๆ เพราะผลไม้มีความหวานตามธรรมชาติอยู่แล้ว ซึ่งจะช่วยแก้ขัดให้คุณได้ดี โดยไม่มีแคลอรี่สะสมมากไป
  5. มีเทคนิคการหลอกล่อร่างกายตัวเองในช่วงลดน้ำหนัก ซึ่งคุณสามารถใช้เป็นตัวช่วย ในยามที่ต้องการลดการบริโภคอาหาร:
    • ดื่มน้ำหนึ่งแก้วก่อนเริ่มอาหารแต่ละมื้อ บางครั้งที่คุณคิดว่าตัวเองกำลังหิว ที่จริงคุณอาจจะแค่กระหายก็ได้ การดื่มน้ำสักแก้วก่อนเริ่มอาหารแต่ละมื้อ นอกจากจะช่วยให้หิวน้อยลงแล้ว ยังช่วยให้ร่างกายคุณไม่ขาดน้ำด้วย
    • กินอาหารจากจานที่เล็กลง แม้ว่ามันจะทำให้ดูเหมือนอาหารเต็มจาน แต่ที่จริงมันกลับมีปริมาณน้อยกว่าการที่คุณใช้จานใบใหญ่ๆ
    • กินทุกอย่างโดยใส่จานหรือชามก่อนเสมอ หากคุณหยิบขนมกินจากซองหรือจากกล่องของมันโดยตรง ก็มีแนวโน้มที่จะเพลิดเพลินจนกินมากไป เพราะคุณจะไม่สามารถบอกได้ว่าคุณกินเข้าไปมากเท่าไรแล้ว
    • อย่ากินหลังหกโมงเย็น การกินมื้อค่ำดึกเกินไป และการกินของว่างก่อนเข้านอน เป็นสาเหตุใหญ่ของการมีน้ำหนักเกิน เพราะว่าการเผาผลาญอาหารในช่วงท้ายของวันมักจะลดน้อยลง พยายามกินอาหารค่ำให้เร็วขึ้นหน่อย และอย่ากินอะไรอีกหลังหกโมงเย็น (หรืออย่างน้อยสี่ชั่วโมงก่อนเข้านอน) จะช่วยให้คุณสามารถบรรลุเป้าหมายในการลดน้ำหนักได้ดี
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 3:

การออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เพิ่มการออกกำลังกายหรือกิจกรรมทางกายในกิจวัตรประจำวัน. แม้ว่าการปรับเปลี่ยนโภชนาการจะมีส่วนสำคัญที่สุดในการลดน้ำหนัก การออกกำลังกายก็มีส่วนช่วยอย่างมีนัยยะสำคัญเช่นกัน
    • ด้วยความที่คุณตั้งเป้าลดน้ำหนักจำนวนมากในช่วงเวลาอันจำกัด ดังนั้น การพยายามลดแคลอรี่ผ่านการควบคุมอาหารอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ (หากไม่ต้องการให้ร่างกายอดอยากปากแห้ง) คุณจึงต้องใช้วิธีการออกกำลังกายจัดการส่วนที่เหลือ
    • จำนวนแคลอรี่ที่แน่นอน ที่คุณจำเป็นต้องออกกำลังเพื่อผลาญออกไปในแต่ละวัน ย่อมขึ้นอยู่กับว่า คุณสามารถลดจำนวนแคลอรี่ผ่านการควบคุมอาหารลงไปได้เท่าไรแล้ว เช่น หากคุณลดจาก 2200 เหลือ 1200 คุณก็จะต้องออกกำลังกายเพื่อผลาญมันอีกแค่ 500 แคลอรี่
    • ตัวเลขแคลอรี่ที่ลดลงจากการออกกำลังกาย ยังขึ้นอยู่กับระบบเผาผลาญและน้ำหนักของคุณด้วย โดยเฉลี่ยแล้ว การวิ่งประมาณ 15 กิโลเมตร จะช่วยผลาญแคลอรี่ประมาณ 730 แคลอรี่
  2. ออกกำลังกายแบบคาร์ดิโออย่างน้อย 4 ครั้งต่อสัปดาห์. นี่เป็นเทคนิคออกกำลังกายที่ดีที่สุดในการลดน้ำหนัก และช่วยปรับเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ [2]
    • การจะลดน้ำหนัก 6 กิโลกรัมในหนึ่งเดือน คุณจะต้องออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอประมาณ 30 นาทีถึงหนึ่งชั่วโมงต่อวัน ในระดับปานกลางถึงเข้มข้น
    • คำว่า “ระดับปานกลางถึงเข้มข้น” อาจแตกต่างกันไปตามระดับความฟิตของร่างกาย แต่กฎโดยทั่วไปคือ คุณควรออกกำลังกายให้เหงื่อแตกภายในสองสามนาทีแรก และจากนั้นก็ประคองให้ออกเหงื่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดเวลาของแต่ละครั้ง
    • การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอที่ดี มีอย่างเช่น การเดิน การวิ่งหรือวิ่งเหยาะ (ขึ้นอยู่กับความฟิต) การว่ายน้ำ พายเรือ และปั่นจักรยาน
    • อย่างไรก็ดี การเรียนเต้นนานเป็นชั่วโมง หรือการเล่นจานร่อนในช่วงเวลาว่าง ก็เป็นการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอที่ดีอีกทางเลือกหนึ่ง แถมสนุกและเพลิดเพลินดีด้วย
  3. การออกกำลังแบบสลับจังหวะ เป็นเทคนิคการออกกำลังกายแบบแบ่งช่วง คือ ช่วงที่เร่งการเคลื่อนไหวอย่างหนักหน่วง สลับกับการเคลื่อนไหวอย่างปานกลาง ซึ่งจะช่วยให้คุณได้ออกกำลังกายมากกว่าปกติ และผลาญแคลอรี่ได้มากขึ้นด้วย [2]
    • ตัวอย่างเช่น เริ่มด้วยการวิ่งอย่างเต็มความเร็วในช่วงนาทีแรก จากนั้นก็วิ่งให้ช้าลงอีกสองนาที ซึ่งจะช่วยในการผลาญแคลอรี่ได้มากกว่าการวิ่งด้วยความเร็วคงที่ หากเทียบจากระยะเวลาเท่าๆ กัน
    • คุณสามารถประยุกต์ใช้เทคนิคการออกกำลังสลับจังหวะ ร่วมกับการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอเกือบทุกชนิดเลย และสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ทางอินเตอร์เน็ต
  4. การเล่นเวทหรือเล่นกล้าม แม้ไม่ใช่วิธีที่ได้ผลที่สุดในการลดน้ำหนัก แต่ก็มีประโยชน์ในแบบของมันเอง
    • การเล่นกล้ามจะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และเพิ่มระดับการเผาผลาญพลังงาน ซึ่งจะช่วยให้คุณผลาญแคลอรี่ได้มากขึ้น แม้กระทั่งในช่วงที่พักจากการออกกำลังดังกล่าว นอกจากนี้ มันยังช่วยให้ร่างกายคุณเพรียวและเฟิร์มกระชับได้รูป ดูผอมลงได้แม้ว่าน้ำหนักอาจจะยังเท่าเดิมก็ตาม
    • การเล่นกล้ามในท่าสควอท ลังจ์ และเด้ดลิฟท์ เป็นท่าบริหารกายที่ดีทั้งต่อผู้ชายและผู้หญิง หากคุณไม่คุ้นเคยกับการบริการกล้ามเนื้อในท่าดังกล่าว ก็ควรที่จะลองใช้บริการเทรนเนอร์ส่วนตัวดูก่อน เพื่อให้เข้าใจหลักการบริหารกล้ามเนื้ออย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
    • พยายามสอดแทรกการบบริหารกล้ามเนื้อเช่นนี้เข้าไปประมาณ 3-4 ครั้ง ของตารางการออกกำลังกายทั้งหมดในแต่ละสัปดาห์ ซึ่งจะสามารถช่วยให้คุณได้พักเบรกจากการออกกำลังแบบคาร์ดิโอ ในขณะที่ยังมีผลดีต่อการลดน้ำหนักอยู่
  5. ยิ่งไปออกกำลังกายค่ำมากเท่าไร คุณก็จะรู้สึกอยากไปน้อยลง แน่นอนว่า การไปหลังจากเลิกงานแล้ว อาจเป็นไอเดียที่ดี แต่ในความเป็นจริงนั้น คุณจะรู้สึกเหนื่อยล้าและยังหิวง่ายอีกด้วย ส่งผลให้คุณไม่อยากไปเข้าฟิตเนสเลย
    • หากเป็นไปได้ คุณควรเข้ายิมหรือฟิตเนสตั้งแต่ช่วงเช้า ซึ่งเป็นช่วงที่คุณกำลังรู้สึกสดชื่นและมีกำลังใจ และช่วยให้ออกกำลังกายได้ตามที่วางแผนไว้ได้เร็วขึ้น แถมยังมีผลพลอยได้เป็นการหลั่งฮอร์โมนเอ็นดอร์ฟีนในร่างกาย ซึ่งเป็นสารที่จะช่วยให้คุณรู้สึกดีและสดชื่นไปตลอดทั้งวัน
    • หากคุณไม่ใช่คนที่ชอบตื่นเช้า ก็ลองออกกำลังกายในช่วงอาหารกลางวันแทนดู มันสามารถช่วยให้คุณปลอดโปร่งจากเรื่องเครียดๆ จากการทำงานช่วงเช้า และยังทำให้คุณรู้สึกกระปรี้กระเปร่าในการทำงานช่วงบ่ายด้วย
  6. นอกจากการออกกำลังกายตามแผนแล้ว พยายามปรับเปลี่ยนกิจกรรมบางอย่างในกิจวัตรประจำวัน ให้เพิ่มการออกกำลังหรือเคลื่อนไหวร่างกายมากขึ้น ตัวอย่างเช่น:
    • เดินขึ้นบันไดแทนที่จะใช้ลิฟท์ จอดรถไกลจากตัวตึกหน่อย จะได้เดินให้มากขึ้นกว่าเดิม หรือปั่นจักรยานไปทำงานแทนการขับรถ
    • การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเล็กน้อยเหล่านี้ จะสามารถช่วยให้คุณผลาญแคลอรี่เพิ่มได้มากมายในแต่ละสัปดาห์ ขอเพียงทำมันอย่างสม่ำเสมอ
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • ขอร้องให้เพื่อนบางคนร่วมกิจกรรมลดน้ำหนักนี้ไปกับคุณด้วย การลดการบริโภคและเพิ่มการออกกำลังกาย จะได้ทำได้ง่ายขึ้นหากมีคนทำเป็นเพื่อน แถมยังได้สร้างแรงจูงใจและแก่กัน และอาจมีการแข่งขันพอเป็นน้ำจิ้มให้รู้สึกคึกคัก แต่มันสามารถทำให้การลดน้ำหนักสนุกและได้ผลดียิ่งขึ้นมาก
  • ฟังเพลงโปรดของคุณไปด้วยในระหว่างออกกำลังกาย
  • พยายามหลีกเลี่ยงไลฟ์สไตล์แบบนั่งอยู่กับที่ให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะหากคุณเป็นคนทำงานในออฟฟิส ซึ่งรูปแบบการทำงานดังกล่าวเป็นสาเหตุหลักของการที่มีน้ำหนักเกิน
  • หาเครื่องวัดจำนวนก้าวเดินมาใช้ดู โดยให้แน่ใจว่าคุณเดินประมาณวันละ 10,000 ถึง 12,000 ก้าวต่อวัน ในกรณีที่ต้องการลดน้ำหนักอย่างจริงจัง แต่ห้ามนำไปรวมเป็นส่วนหนึ่งของการออกกำลังกายในแผนลดน้ำหนักทั้งหมด
  • พยายามออกกำลังกายในช่วง 20 นาทีแรกของแต่ละวัน หลายคนยืนยันว่า การออกกำลังกายช่วงเช้า จะช่วยให้มีพลังงานเพิ่มขึ้นและเป็นการจุดสตาร์ทระบบเผาผลาญในร่างกาย ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้น คุณควรบริโภคอาหารที่มีลีนโปรตีนหลังจากออกกำลังกายด้วย
  • เดินย่อยอาหารทุกครั้งหลังเสร็จแต่ละมื้อ พยายามเดินรอบออฟฟิศหรือตึกที่ทำงานสักสามสี่รอบก็ได้ ทั้งนี้ การเดินเป็นระยะทางกิโลครึ่ง ยังเทียบเท่าเพียง 2,000 ก้าวเดินเท่านั้น ซึ่งเท่ากับแค่ 1 ใน 5 ของจำนวนก้าวที่คุณควรเดินต่อวัน
  • ดูทีวีไปพร้อมๆ กับการออกกำลังกาย ไม่ว่าจะที่ฟิตเนสหรือที่บ้าน และลดระยะเวลาในการนั่งหรือกินบนโซฟาให้น้อยลง
  • ทำตัวให้กระตือรือร้นระหว่างวันและผ่อนคลายลงในช่วงค่ำ นอนให้ได้อย่างน้อยแปดชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูเร็วขึ้น ทั้งหมดนี้จะช่วยส่งผลให้ระบบเผาผลาญทำงานเร็วขึ้นและลดน้ำหนักได้เร็วขึ้นด้วย
โฆษณา

คำเตือน

  • อย่าพยายามอดอาหารเพื่อลดแคลอรี่หรือลดน้ำหนัก เพราะมันเป็นอันตรายต่อสุขภาพและไม่เกิดผลยั่งยืนในระยะยาว หลังจากที่คุณอดอาหารแล้ว คุณจะมีแนวโน้มน้ำหนักเพิ่มขึ้นมาเท่าเดิม การลดน้ำหนักอย่างยืนนั้น ความสำคัญอยู่ที่วิถีทางสายกลาง
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 17,408 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา