ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

ไฟล์คอมพิวเตอร์ที่มีสกุล ".exe" ต่อท้ายนั้น เรียกว่า executables หรือไฟล์ EXE ไฟล์ชนิดนี้เป็นหนึ่งในไฟล์ที่แพร่หลายมากที่สุดในระบบปฏิบัติการ Windows ซึ่งใช้ในการติดตั้งหรือดำเนินการกับซอฟต์แวร์ต่างๆ นั่นเอง ไฟล์ EXE ยังช่วยบีบอัดหรือแตกสคริปท์หรือมาโครได้อีกด้วย เพื่อที่ผู้ใช้จะได้บีบไฟล์เป็นไฟล์เดียวซึ่งลดขนาดของงานลงได้ การดำเนินการกับไฟล์ EXE ใน Windows นั้นค่อนข้างจะเป็นอะไรที่ง่ายและตรงไปตรงมา แต่มันจะซับซ้อนขึ้นน่ะสิถ้าหากว่าจะเปิด EXE ในเครื่อง Mac นอกจากนี้คุณยังสามารถแตกไฟล์จากไฟล์ EXE ได้อีกด้วย

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

เปิดไฟล์ EXE (Windows)

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ไฟล์ EXE คือไฟล์ปฏิบัติการของ Windows และออกแบบมาเพื่อดำเนินการในลักษณะของโปรแกรม แค่ดับเบิลคลิกที่ไฟล์ EXE ใดๆ มันก็จะเริ่มทำงานทั้งนั้น
    • ถ้าไฟล์ EXE นั้นผ่านการดาวน์โหลดมาจากอินเทอร์เน็ต คุณจะถูกถามให้ยืนยันก่อนเริ่มการทำงานกับไฟล์นั้น ขอให้ระมัดระวังขณะที่จะเปิดไฟล์ EXE จากแหล่งที่ไม่รู้จัก เพราะมันเป็นวิธีที่ทำให้ไวรัสติดเครื่องได้ง่ายที่สุดเลยล่ะ อย่าเปิดไฟล์ EXE ที่ดาวน์โหลดมาจากไฟล์แนบของอีเมลล์ แม้ว่าคุณจะรู้ว่าผู้ส่งเป็นใครก็ตาม
    • ไฟล์ EXE อาจไม่ทำงานในกรณีที่มันถูกสร้างขึ้นมาจากระบบ Windows ที่ไม่ได้อัพเดต คุณสามารถแก้ส่วนของความเข้ากันได้ด้วยการคลิกขวาที่ไฟล์ เลือก "Properties" จากนั้นก็คลิกแถบเมนู Compatibility คุณสามารถตั้งค่าได้ว่าต้องการให้ระบบ Windows เวอร์ชั่นไหนที่จะทำงานกับไฟล์ EXE นั้น แต่ก็ไม่รับประกันนะว่ามันจะแก้ผลได้เสมอไป
  2. ถ้าคุณเจอข้อความระบุความผิดพลาดขณะที่จะเปิดไฟล์ EXE หรือว่าเปิดแล้วไม่มีอะไรขึ้นเลย มันอาจเป็นปัญหาในส่วนของตัวตั้งค่า Registry ของ Windows ก็ได้ การแก้ไข registry อาจดูยุ่งยาก แต่จริงๆ แล้วก็ใช้เวลาไม่กี่นาทีเท่านั้นแหละ [1]
    • ในการจะเปิด Registry Editor นั้น ให้กดปุ่ม Windows + R และพิมพ์ regedit เข้าไป
  3. HKEY_CLASSES_ROOT\.exe . ใช้ navigation tree ทางด้านซ้ายในการเปิด directory ตัวนี้
  4. มันจะเปิดหน้าต่างใหม่ขึ้นมา
  5. exefile ในช่อง "Value data". คลิก OK เพื่อบันทึกการเปลี่ยนแปลง
  6. HKEY_CLASSES_ROOT\exefile . ใช้ navigation tree ด้านซ้ายเพื่อเปิด directory ตัวนี้
  7. มันจะเปิดหน้าต่างใหม่ขึ้นมา
  8. "%1" %* เข้าไปในช่อง "Value data". คลิก OK เพื่อบันทึกการเปลี่ยนแปลง
  9. KEY_CLASSES_ROOT\exefile\shell\open . ใช้ navigation tree ด้านซ้ายเพื่อเปิด directory ตัวนี้
  10. มันจะเปิดหน้าต่างใหม่ขึ้นมา
  11. "%1" %* ในช่อง "Value data". คลิก OK เพื่อบันทึกการเปลี่ยนแปลง
  12. หลังจากที่แก้สามหัวข้อด้านบนเสร็จสิ้น ให้ปิด Registry Editor แล้วรีสตาร์ทเครื่องใหม่ จากนั้นก็จะสามารถเปิดไฟล์ EXE ได้แล้วคราวนี้ เราแนะนำเป็นอย่างยิ่งว่าให้ลองหาสาเหตุดูว่าทำไมตอนแรกถึงมีปัญหาเปิดไม่ได้ บางทีคอมพิวเตอร์ของคุณอาจมีไวรัสหรือมัลแวร์อยู่ ที่อาจทำให้เกิดปัญหาแบบเดิมในอนาคตได้ คลิกที่นี่เพื่อคำแนะนำในการหาและกำจัดไวรัส
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

เปิดไฟล์ EXE (OS X)

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ไฟล์ EXE ไม่ได้ถูกออกแบบมาสำหรับระบบปฏิบัติการ OS X ฉะนั้นคุณต้องใช้ซอฟต์แวร์พิเศษในการทำให้มันทำงาน คุณจะต้องติดตั้งโอเพนซอร์สอรรถประโยชน์ที่ชื่อ "wine" ที่จะสร้าง "wrapper" ของโปรแกรมใน Windows ไปเป็นไฟล์ EXE นั่นเอง ซึ่งนั่นก็ทำให้เข้าถึงไฟล์ Windows ที่จำเป็นได้ตามต้องการ โปรแกรม wine นั้นไม่ได้ทำงานกับไฟล์ EXE ของ Windows ได้ทุกรุ่น และบางโปรแกรมก็ใช้งานได้ดีกว่าโปรแกรมอื่นๆ ด้วย คุณไม่จำเป็นต้องใช้แผ่น Windows disc ในการติดตั้ง wine เลย
  2. มันเป็นเครื่องมือพัฒนามาให้ใช้ฟรีที่ต้องใช้คำสั่งในการรวบรวมโค้ดซอฟต์แวร์ คุณไม่ได้ใช้มันโดยตรงหรอก แต่เครื่องมือที่คุณกำลังจะติดตั้งเพื่อเปิดไฟล์ EXE จะต้องใช้มันนั่นเอง
    • หลังดาวน์โหลด Xcode เรียบร้อยก็เปิดมันซะ แล้วคลิกที่เมนู "Xcode" เลือก "Preferences" จากนั้นก็คลิกที่แถบ "Downloads" คลิกปุ่ม Install ที่อยู่ข้างๆ "Command Line Tools"
  3. มันคือโปรแกรมอรรถประโยชน์ฟรีที่ช่วยลดความซับซ้อนของกระบวนการรวบรวบข้อมูล ซึ่งจะใช้เพื่อสร้างเวอร์ชั่นของ wine โดยคุณสามารถดาวน์โหลด MacPorts ได้จาก macports.org/install.php คลิกที่ลิงก์เพื่อเข้าไปโหลดแบบเวอร์ชั่นของ OS X ที่คุณใช้อยู่ จากนั้นก็ดับเบิลคลิกไฟล์สกุล .pkg ที่ดาวน์โหลดมาเพื่อติดตั้ง MacPorts ลงในคอมฯได้เลย
  4. คุณต้องใช้ Terminal เพื่อปรับเปลี่ยนการตั้งค่าของ MacPorts สักเล็กน้อย โดยสามารถเปิด Terminal ได้จากโฟลเดอร์ Utilities นั่นเอง
  5. วางคำสั่งนี้ลงในหน้าต่าง Terminal และกด Return
    echo export PATH=/opt/local/bin:/opt/local/sbin:\$PATH$'\n'export MANPATH=/opt/local/man:\$MANPATH | sudo tee -a /etc/profile
  6. มันจะขึ้นให้คุณใส่พาสเวิร์ดของแอดมินก่อนที่จะดำเนินคำสั่งได้ ซึ่งคุณจะไม่เห็นอะไรทั้งนั้นตอนที่คุณพิมพ์พาสเวิร์ดลงไป หลังจากที่พิมพ์พาสเวิร์ดเสร็จแล้วก็กด Return ได้เลย ถ้าคุณไม่มีพาสเวิร์ดที่เป็นของบัญชีแอดมินอันนี้ ขั้นตอนนี้ก็จะไม่สำเร็จไปเลย
  7. คำสั่งนี้จะบอก MacPorts ว่าคุณมีระบบ 64-บิต หรือไม่ วางคำสั่งด้านล่างนี้แล้วกด Return:
    if [ `sysctl -n hw.cpu64bit_capable` -eq 1 ] ; then echo "+universal" | sudo tee -a /opt/local/etc/macports/variants.conf; else echo "n/a"; fi
  8. ใส่คำสั่งลงไปเพื่อยอมรับข้อตกลงด้านลิขสิทธิ์ของ Xcode. คำสั่งลัดนี้จะช่วยบอก Xcode ว่าคุณยอมรับข้อตกลงด้านลิขสิทธิ์แล้ว ซึ่งจะทำให้คุณรวบรวมโค้ดได้ จากนั้นก็ปิดและเปิดหน้าต่าง Terminal ใหม่หลังจากที่ดำเนินคำสั่งนี้ไปแล้ว:
    • sudo xcodebuild -license
  9. เมื่อคุณเปิดหน้าต่าง Terminal ใหม่อีกครั้ง ก็จะเริ่มติดตั้ง wine ได้แล้วล่ะ คุณอาจถูกถามถึงพาสเวิร์ดของแอดมินอีกครั้ง ส่วนของการติดตั้งนั้นอาจต้องใช้เวลาสักหน่อยถึงจะสำเร็จ เมื่อมันติดตั้งสำเร็จแล้ว ก็จะกลับไปยังหน้า Terminal ให้เอง
    • sudo port install wine
  10. ใช้คำสั่ง cd ในการนำทางไปยังที่ที่คุณเก็บไฟล์ EXE ไว้ในเครื่อง Mac โดยต้องทำผ่าน Terminal
  11. ใส่คำสั่งด้านล่างเพื่อเปิดไฟล์ EXE ที่อยู่ในไดเรกทอรีปัจจุบันของคุณ โดยให้ใส่ชื่อไฟล์ของจริงแทนคำว่า fileName ในคำสั่ง
    • wine fileName.exe
  12. ถ้าไฟล์ EXE เป็นโปรแกรมที่เปิดใช้งานได้ด้วยตัวมันเอง ก็จะสามารถใช้ได้โดยทันที แต่ถ้าเป็นตัวติดตั้งโปรแกรม คุณก็จะสามารถดำเนินการติดตั้งไปได้เหมือนตอนที่ทำในระบบ Windows เลย
    • ใช่ว่า wine จะใช้งานได้กับทุกโปรแกรม สำหรับรายชื่อโปรแกรมที่ใช้งานได้ทั้งหมดนั้น ให้เข้าไปดูใน appdb.winehq.org ได้เลย
  13. ถ้าคุณใช้ไฟล์ EXE ในการติดตั้งโปรแกรม คุณก็ต้องใช้ wine ในการเปิดโปรแกรมที่ติดตั้งแล้วนั่นด้วย
    • พิมพ์ cd ~/.wine/drive_c/Program\ Files/ เพื่อเปิดไดเรกทอรี Program Files ที่โปรแกรม wine ติดตั้งไว้
    • พิมพ์ ls เพื่อดูรายชื่อทั้งหมดของโปรแกรมที่ติดตั้งแล้ว. พิมพ์ cd programName เพื่อเปิดไดเรกทอรีของโปรแกรม ถ้าไดเรกทอรีของโปรแกรมมีเว้นวรรค คุณก็ต้องใส่ \ ไว้ก่อนวรรคนั้นด้วย อย่างเช่น Microsoft Office ก็จะเป็น cd Microsoft\ Office
    • พิมพ์ ls อีกครั้งในไดเรกทอรีของโปรแกรมเพื่อหาไฟล์ EXE
    • พิมพ์ wine fileName.exe เพื่อเริ่มการทำงานของโปรแกรม
  14. . NET คือซอฟต์แวร์ library สำหรับโปรแกรมของระบบ Windows หลายตัว และ Mono ก็คือโปรแกรมโอเพนซอร์สตัวแทนที่ wine จะดึงมาใช้ได้ สำหรับโปรแกรมนี้คุณจะต้องการมันก็ต่อเมื่อโปรแกรมของคุณต้องการใช้ .NET. ก็เท่านั้น [2]
    • พิมพ์ sudo port install winetricks แล้วกด Return
    • พิมพ์ winetricks mono210 แล้วกด Return เพื่อติดตั้ง Mono
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

แตกไฟล์ EXE

ดาวน์โหลดบทความ
  1. 7-Zip เป็นโปรแกรมเก็บข้อมูลซึ่งเป็นโอเพนซอร์สเปิดให้ใช้ฟรี ที่ใช้เปิดไฟล์ EXE ไดด้ ถ้าหากว่ามันถูกเก็บเอาไว้เป็นไฟล์เหมือน ZIP หรือ RAR มันใช้ได้ผลกับไฟล์ EXE หลายตัวเลยล่ะ แต่ก็ไม่ทุกตัวหรอกนะ
    • คุณสามารถดาวน์โหลด 7-Zip ได้จาก 7-zip.org
  2. มันจะเปิดไฟล์ EXE ในตัวเก็บของ 7-Zip ให้ ถ้ามันไม่ขึ้นตัวเลือก 7-Zip ตอนคลิกขวาที่ไฟล์ ก็ให้เปิด 7-Zip จากเมนูเริ่มต้น แล้วค่อยหาไฟล์ EXE ที่ต้องการเปิดด้วยการ browse แทน
    • 7-Zip ไม่สามารถเปิดไฟล์ EXE ได้ทุกตัวเสมอไป มันอาจขึ้นข้อความระบุความผิดพลาดขณะพยายามเปิดไฟล์ EXE บางไฟล์ด้วย คุณจะลองใช้โปรแกรมเก็บข้อมูลตัวอื่นอย่าง WinRAR ก็ได้เช่นกัน แต่โอกาสที่คุณจะเปิดไฟล์ไม่ได้นั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าตอนที่รวมไฟล์มานั้นรวมมาอย่างไรมากกว่า
  3. เมื่อเปิดไฟล์ EXE ใน 7-Zip คุณก็จะเห็นรายชื่อไฟล์และโฟลเดอร์ที่มีไฟล์ EXE อยู่ในนั้น คุณสามารถดับเบิลคลิกที่โฟลเดอร์เพื่อดูไฟล์ด้านในได้ และสามารถเลือกไฟล์หลายๆ ไฟล์พร้อมกันได้ด้วยการกดปุ่ม Ctrl ค้างไว้และคลิกที่ไฟล์แต่ละไฟล์
  4. มันก็จะขึ้นให้เลือกที่ที่จะแตกไฟล์ไปไว้ที่นั่น โดยตอนแรกจะตั้งค่าให้อยู่ที่เดียวกับที่ไฟล์ EXE นั้นอยู่ในปัจจุบัน
    โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 33,046 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา