ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

ความยุติธรรมเป็นแนวคิดที่ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนที่หมายถึงการกระทำที่ชอบธรรมหรือเหมาะสม การเป็นคนยุติธรรมถือเป็นคุณสมบัติพิเศษที่สร้างได้ยากในผู้นำและในความสัมพันธ์ด้วย แม้ว่าโลกอาจจะไม่ได้เป็นขาวกับดำหรือผิดกับถูกในทุกสถานการณ์ แต่คุณก็สามารถทำให้ตัวเองเป็นคนที่ยุติธรรมมากขึ้นได้ด้วยการให้เวลาและความเห็นอกเห็นใจที่ผู้อื่นควรได้รับ

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

เป็นเจ้านายที่ยุติธรรม

ดาวน์โหลดบทความ
  1. แน่นอนว่าการไม่มีคนโปรดในที่ทำงานเป็นเรื่องยาก เพราะอาจจะมีพนักงานคนนึงที่รับฟังคุณตลอด ชมคุณ หรือถึงขั้นเอาขนมมาฝากคุณ ในขณะที่อีกคนอาจจะเย็นชาและห่างเหินกับคุณเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการที่คุณให้พนักงานที่ทำตัวน่ารักกว่ากลับก่อนได้ 1 ชั่วโมงแต่ให้อีกคนที่เป็นมิตรน้อยกว่าเลิกดึกจะเป็นเรื่องที่ยุติธรรม ถ้าคุณอยากเป็นเจ้านายที่ยุติธรรม คุณจะต้องตรวจสอบอคติที่คุณมีต่อพนักงานแต่ละคนและแน่ใจว่าพนักงานทุกคนได้รับการปฏิบัติเหมือนกัน
    • ถามตัวเองว่าจริงๆ แล้วทำไมคุณถึงชอบพนักงานคนหนึ่งมากกว่าอีกคน ถ้ามันเป็นเพราะคุณรู้สึกว่าพนักงานคนที่คุณชอบน้อยกว่าไม่พยายามมากเท่าที่คุณคาดหวังให้เขาทำ คุณก็ควรคุยเรื่องนี้กับเขาอย่างเปิดใจแทนที่จะเข้มงวดกับเขามากกว่าอีกคน
    • ถ้าคุณมีคนโปรด พนักงานที่ไม่ใช่คนโปรดของคุณก็จะคิดว่าคุณไม่ยุติธรรมและจะรู้สึกขมขื่นที่ต้องทำงานกับคุณ ความยุติธรรมสร้างบรรยากาศการทำงานที่เป็นบวกและส่งเสริมซึ่งกันและกัน และการมีคนโปรดก็เป็นตัวขัดขวางไม่ให้สิ่งนี้เกิดขึ้น
  2. ถ้าคุณอยากเป็นเจ้านายที่ยุติธรรม คุณก็ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่พนักงาน คุณจะต้องทำหน้าที่เป็นแบบอย่างให้กับสิ่งที่คุณอยากเห็นจากพวกเขาในแง่ของการทำงานหนัก ความกระตือรือร้น และความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น ถ้าคุณบอกให้พนักงานทำอย่างหนึ่งแต่คุณกลับทำอีกอย่างที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาก็จะไม่เคารพคุณและคิดว่าคุณไม่ยุติธรรมกับพวกเขา ถ้าคุณอยากเป็นเจ้านายที่ยุติธรรม คุณก็ต้องไม่เข้มงวดกับพนักงานแต่สบายๆ กับตัวเอง
    • ถ้าคุณบอกพนักงานว่าต้องเข้างานตอน 9 โมงตรงแต่ตัวคุณเองมาสายอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงตลอด พวกเขาก็จะคิดว่ามันไม่ยุติธรรมเลยที่คุณเรียกพวกเขาไปว่าเรื่องมาสาย
    • ถ้าคุณเรียกพนักงานไปคุยเรื่องที่เขาทำงานเฉื่อยแต่ตัวคุณกลับไปคุยโทรศัพท์ส่วนตัวหรือคุยเล่นในห้องครัวตลอดทั้งบ่าย พวกเขาก็จะคิดว่าคุณไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย
    • ถ้าพนักงานคิดว่าคุณไม่ยุติธรรม พวกเขาก็จะไม่พอใจคุณ
  3. อีกวิธีที่จะช่วยให้คุณเป็นเจ้านายที่ยุติธรรมก็คือการกำหนดกฎระเบียบที่ชัดเจน บ่อยครั้งที่พนักงานคิดว่าเจ้านายไม่ยุติธรรมเนื่องจากพวกเขาไม่เข้าใจความคาดหวังของเจ้านายนั่นเอง ถ้าคุณมีโควตาที่แน่ชัดว่าคุณอยากให้พนักงานผลิตผลงานออกมาเท่าไหร่ ก็บอกความคาดหวังของคุณให้พวกเขารู้ไปเลยแทนที่จะโกรธหรือผิดหวังเวลาที่พวกเขาไม่สามารถทำตามความคาดหวังของคุณได้ ถ้าโปรเจ็กต์ใหม่มีวัตถุประสงค์เฉพาะเจาะจง ก็ให้เขียนออกมาเลยเพื่อที่พนักงานจะได้รู้ว่าพวกเขาต้องทำอะไรแทนที่จะมานั่งเดากันเอาเอง
    • ยิ่งคุณเขียนความคาดหวังลงไปได้มากเท่าไหร่ กฎระเบียบของคุณก็จะยิ่งชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น ถ้าคุณมีเอกสาร อีเมล รายงาน หรือกระดาษที่คุณสามารถชี้ให้พนักงานเห็นได้เวลาที่เขามีคำถามเกี่ยวกับความคาดหวังของคุณ กฎของคุณก็จะดูเลื่อนลอยน้อยลงและยุติธรรมมากขึ้น
    • ถ้าคุณเปลี่ยนกฎเกณฑ์และความคาดหวัง มันก็ยุติธรรมดีที่คุณจะบอกให้พนักงานรู้ล่วงหน้าแทนที่จะทำให้พวกเขาไม่ทันตั้งตัวกับการเปลี่ยนแปลงทีหลัง แล้วพวกเขาจะประทับใจในความซื่อสัตย์และรู้สึกว่าคุณเป็นคนยุติธรรมมากขึ้น
  4. ถ้าคุณอยากเป็นเจ้านายที่ยุติธรรม คุณก็ต้องเป็นกลางให้มากที่สุดเวลาจ้างพนักงานใหม่ ไล่พนักงานปัจจุบันออก แบ่งภาระงาน มอบหมายโปรเจ็กต์ให้พนักงาน หรือแค่ทำงานปกติในแต่ละวัน เวลาจ้างพนักงานคุณจะแค่เลือกคนที่เหมือนคุณที่สุดไม่ได้ แต่คุณต้องเลือกคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมมากที่สุด คุณจะไล่พนักงานออกแค่เพราะเขาบังเอิญทำให้คุณไม่พอใจไม่ได้ แต่คุณต้องไล่เขาออกเพราะเขาทำงานไม่ดี คุณต้องพิจารณาตัวเองและแน่ใจว่าคุณดำเนินธุรกิจด้วยความยุติธรรม [1]
    • แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะไม่อคติเลย แต่การตรวจสอบตัวเองตลอดกระบวนการตัดสินใจจนเป็นนิสัยก็ช่วยให้คุณเป็นคนยุติธรรมขึ้นได้ ถ้าคุณมีแนวโน้มที่จะจ้างคนที่มาสมัครงานคนใหม่มากกว่าอีกคนหนึ่ง ถามตัวเองว่าเป็นเพราะคุณคิดว่าเขาเหมาะสมที่สุดหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าเพราะเขาชมคุณมากที่สุด ถ้าคุณไม่พอใจรายงานที่พนักงานคนหนึ่งส่งมา ให้ถามตัวเองว่าจริงๆ แล้วมันเป็นเพราะคุณมีเรื่องกินแหนงแคลงใจกับเขาหรือเปล่า
  5. แม้ว่าการเป็นเจ้านายจะหมายถึงการกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ แต่ถ้าคุณอยากเป็นเจ้านายที่ยุติธรรม คุณก็ต้องให้พนักงานแสดงความคิดเห็นของเขากลับบ้าง แบ่งเวลาพูดคุยกับพวกเขาทีละคน ถามความเห็นของพวกเขาเมื่อจำเป็น และแสดงให้พวกเขาเห็นว่าคุณสนใจว่าพวกเขาคิดและรู้สึกอย่างไร แม้ว่าคุณจะไม่อยากเป็นคนหัวอ่อน แต่การรับฟังพนักงานช่วยสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ยุติธรรมมากขึ้น และมันก็ช่วยให้คุณบริหารการทำงานได้อย่างราบรื่นขึ้นด้วย
    • ถ้าคุณให้เวลากับพนักงาน พวกเขาก็จะคิดว่าคุณเป็นคนยุติธรรมมากขึ้น แทนที่จะทำเหมือนว่าตัวเองยุ่งเกินกว่าจะหาเวลาไปถามไถ่พวกเขาตลอดเวลา ให้พยายามหาโอกาสที่จะได้ยินความคิดของพวกเขาที่มีต่อการดำเนินงานของบริษัท เพราะมันทำให้พวกเขารู้สึกดีที่คุณรับฟังพวกเขา
    • ถ้าคุณกำหนดกฎเกณฑ์และออกคำสั่งโดยไม่คำนึงถึงความรู้และไอเดียของพนักงานเลย ก็เท่ากับว่าคุณกำลังสร้างชื่อเสียงในฐานะเจ้านายที่ไม่มีความยุติธรรม แน่นอนว่าบางครั้งก็มีแต่คุณเท่านั้นที่รู้ว่าอะไรดีกับบริษัทที่สุดและคุณก็ไม่สามารถปล่อยให้พนักงานบริหารบริษัทแทนคุณได้ แต่ถ้าคุณรู้ว่าพนักงานเข้าใจสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่งเป็นอย่างดี แต่คุณก็ยังเลือกที่จะไม่สนใจเขาหรือเธอ คุณก็อาจจะดูเป็นคนไม่ยุติธรรมได้
  6. แค่เพราะคุณเป็นเจ้านายก็ไม่ได้หมายความว่าคุณไม่เคยทำผิดพลาด ถ้าคุณทำไม่ดีใส่พนักงาน ทำผิดพลาดเพราะสะเพร่า หรือแค่ทำผิดทั่วไประหว่างทำงาน คุณก็ควรขอโทษ ถ้าคุณปัดความรับผิดชอบไว้ใต้พรม พนักงานก็จะคิดว่าคุณไม่ยุติธรรมที่ตั้งมาตรฐานไว้กับพวกเขาสูงแต่กลับไม่ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำผิดพลาด
    • ถ้าคุณทำผิดพลาดในเรื่องใหญ่ๆ ที่มีผลต่อพนักงานหลายคน คุณอาจจะต้องขอโทษต่อหน้าพนักงานเป็นกลุ่ม การที่คุณดูเป็นคนตระหนักในตนเองและต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงนั้นดีกว่าการทำเหมือนว่าคุณทำอะไรก็ไม่ผิด ถ้าพนักงานเห็นว่าคุณรู้ว่าอะไรถูกไม่ถูก พวกเขาก็จะคิดว่าคุณเป็นเจ้านายที่ยุติธรรม
  7. แม้ว่าการเป็นเจ้านายที่ยุติธรรมจะเป็นคุณสมบัติที่สำคัญต่อการทำให้พนักงานมีความสุขและบริหารบริษัทได้อย่างราบรื่น แต่ก็มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าการปฏิบัติตาม “ความยุติธรรมด้านกระบวนการ” ซึ่งก็คือการไม่เอาอคติส่วนตัวไปปะปนในสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับพนักงาน การรับฟังความคิดเห็นของพนักงาน หลีกเลี่ยงทางลัด และอื่นๆ จริงๆ แล้วสร้างความเหนื่อยล้าทางจิตใจให้กับผู้จัดการ แม้ว่าคุณจะควรเป็นคนยุติธรรม แต่คุณก็ต้องไม่ปล่อยให้ความต้องการที่จะเป็นคนยุติธรรมทำให้คุณรู้สึกอ่อนล้า ไม่อย่างนั้นคุณจะไม่สามารถตัดสินใจอย่างชาญฉลาดเพื่อบริษัทได้ การเป็นคนยุติธรรมเป็นสิ่งสำคัญก็จริง แต่การหาเวลาลดความกดดันลงก็เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน [2]
    • ในการป้องกันไม่ให้ตัวเองอ่อนล้าเกินไปนั้น คุณต้องพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารกลางวันที่ทำให้คุณรู้สึกกระปรี้กระเปร่า พักระหว่างวัน และพยายามอย่าคิดเรื่องงานหลัง 1 ทุ่ม วิธีนี้จะทำให้คุณรู้สึกมีพลังโดยที่ยังเป็นเจ้านายที่ยุติธรรมได้อยู่
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

เป็นครูที่ยุติธรรม

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ถ้าคุณอยากเป็นครูที่ยุติธรรม คุณก็ต้องแสดงออกอย่างชัดเจนว่าคุณเคารพความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ของนักเรียนทุกคน ถ้าคุณเรียกถามนักเรียนคนเดิมๆ อยู่ 3 คนหรือไม่สนใจความคิดของนักเรียนที่ต้องพยายามมากกว่าคนอื่น คุณก็อาจจะกำลังสร้างชื่อเสียงในฐานะครูที่ไม่ยุติธรรมได้ ถ้าคุณไม่ให้นักเรียนที่ขี้อายหรือมีปัญหาได้พูดบ้าง พวกเขาก็จะไม่อยากมีส่วนร่วมในชั้นเรียนเพราะพวกเขาคิดว่าคุณไม่ได้ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างยุติธรรม [3]
    • จำไว้ว่าการอนุญาตให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นที่หลากหลายในห้องเรียนก็ยังเป็นการสร้างประสบการณ์การเรียนที่ดีกว่าสำหรับนักเรียนทุกคนแม้แต่คนที่ไม่ค่อยแสดงความคิดเห็นเท่าไหร่ด้วย มันไม่ยุติธรรมเลยถ้าคุณจะให้นักเรียนคนโปรดของคุณได้แสดงความคิดเห็นอยู่แค่ไม่กี่คน
    • ฝึกเรียกนักเรียนคนที่ยังไม่ยกมือตอบและถามว่าเขาคิดอย่างไร แม้ว่าคุณอาจจะต้องระวังเวลาใช้วิธีนี้กับนักเรียนที่ไม่ค่อยพูดค่อยจา แต่การสร้างมาตรฐานแบบนี้จะทำให้นักเรียนรู้สึกมากขึ้นว่าตัวเองจะต้องตอบคำถามในห้องเรียน
  2. คุณอาจจะคิดว่าเวลาอยู่ในห้องเรียนคุณก็ยุติธรรมดีแล้ว แต่พอคุณถอยหลังกลับมามอง คุณอาจจะเห็นว่าตัวเองไม่ได้ปฏิบัติต่อนักเรียนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน โดยอุดมคติแล้วคุณควรจะรับฟังสิ่งที่นักเรียนทุกคนพูด หยุดรอฟังคำตอบจากนักเรียนแต่ละคน และให้คำแนะนำที่ดีและให้กำลังใจนักเรียนทุกคน เวลากลับไปบ้าน ให้ถามตัวเองว่าคุณปฏิบัติกับนักเรียนแต่ละคนอย่างไรและดูว่ามีอะไรที่คุณน่าจะทำเพื่อให้ตัวเองเป็นครูที่ยุติธรรมมากขึ้น
    • คุณอาจจะขอให้ครูอีกคนมาสังเกตการณ์คุณเพื่อให้คำติชมที่ตรงไปตรงมา คุณอาจจะพบว่าคุณให้เวลากับเด็กบางคนมากกว่าคนอื่นถึง 2 เท่าและไม่ได้สนใจเด็กคนอื่น แม้ว่านักเรียนบางคนอาจจะต้องการความช่วยเหลือมากกว่านักเรียนคนอื่นๆ แต่มันจะยุติธรรมกว่าถ้าคุณจะให้เวลาและความสนใจกับนักเรียนทุกคน
  3. ถ้าคุณอยากเป็นครูที่ยุติธรรมจริงๆ คุณก็ต้องเรียนรู้ที่จะหาข้อดีในตัวนักเรียนทุกคน คุณอาจจะมีนักเรียนที่เรียนไม่ได้เรื่องเลยจนคุณคิดว่าคุณไม่มีอะไรจะพูดนอกจากคำวิจารณ์ แต่คุณควรพยายามมากขึ้นเพื่อหาเรื่องที่คุณจะชมเขาได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใส่ใจรายละเอียดหรือความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น ถ้าคุณอยากเป็นครูที่ยุติธรรม คุณก็ต้องแสดงให้นักเรียนทุกคนเห็นว่าเขาหรือเธอสมควรได้รับสิ่งที่ดีที่สุด
    • หาเวลาพูดคุยกับนักเรียนแต่ละคน และบอกให้นักเรียนที่มีปัญหาในการเรียนรู้ว่าเขาเองก็มีจุดแข็งเหมือนกัน
    • การชื่นชมนักเรียนในห้องเรียนก็ทำให้นักเรียนรู้สึกดีกับตัวเองได้เช่นกันถ้าคุณพยายามหาจังหวะที่จะกล่าวชมนักเรียนทุกคน แต่การดูถูกนักเรียนต่อหน้าทุกคนนั้นเป็นอันตรายต่อความภาคภูมิใจในตัวเองของนักเรียน และก็ไม่ใช่พฤติกรรมที่แสดงถึงความยุติธรรมด้วย
  4. บางครั้งมันก็อยากที่จะตัดเกรดอย่างยุติธรรมเมื่อคุณมีความคาดหวังอยู่แล้วว่านักเรียนคนไหนที่ทำได้ดีและคนไหนที่อยู่ในกลุ่มเกรด “2” ตลอด แต่กระนั้นคุณก็ควรพยายามอ่านเรียงความของนักเรียนแต่ละคนเหมือนว่าคุณไม่รู้ว่าใครเขียน และทำเกณฑ์การให้คะแนนขึ้นมาเพื่อที่เกรดของคุณจะได้ไม่ขึ้นอยู่กับความคิดประหลาดๆ ชั่วขณะหรือ “ความรู้สึก” ที่คุณมี แต่จะขึ้นอยู่กับว่านักเรียนตอบคำถามได้ถึงเกณฑ์ที่ตั้งไว้หรือไม่ การตัดเกรดอย่างยุติธรรมถือเป็นด้านที่สำคัญที่สุดด้านหนึ่งของการเป็นครูที่ยุติธรรม
    • พยายามให้เวลากับเรียงความแต่ละชุดเท่าๆ กัน อย่าให้เวลากับนักเรียนที่เขียนเรียงความได้ดีมากกว่าคนที่จะได้ประโยชน์จากคำติชมของคุณจริงๆ
    • พยายามอย่าแปะป้ายนักเรียน นักเรียนที่เขียนเรียงความได้เกรด “3” ตลอดก็มีสิทธิ์ที่จะเขียนได้ “4” เท่ากับคนอื่นๆ คุณไม่ควรทำให้เขาคิดว่าเขาไม่มีวันพัฒนาได้ด้วยการไม่ตระหนักถึงความพยายามที่มากขึ้น
  5. รู้ว่าการปฏิบัติต่อนักเรียนอย่างยุติธรรมไม่ได้หมายถึงการปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกันเสมอไป. เด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน มีจุดแข็งและจุดที่ต้องพัฒนาไม่เหมือนกัน เวลาที่คุณบังคับใช้กฎในห้องเรียนและใช้กับเด็กแต่ละคน คุณควรรู้ว่าเด็กคนนั้นเป็นอย่างไรโดยที่คุณเองก็ยังต้องยุติธรรมในเวลาเดียวกัน แม้ว่ามันอาจจะต้องใช้ความพยายามมากขึ้นในการเรียนรู้เด็กทุกคนรวมถึงพ่อแม่ แต่ขั้นตอนที่เพิ่มมานี้เป็นสิ่งที่จะช่วยให้คุณเป็นครูที่ยุติธรรมและมีเหตุผลมากขึ้น [4]
    • เช่น ถ้ามีเด็กคนนึงลืมเอาการบ้านมาจากบ้านจริงๆ เป็นครั้งแรก ในขณะที่เด็กอีกคนมีปัญหานี้เป็นครั้งที่ 5 แล้ว เด็กสองคนนี้ก็ไม่ควรได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมกัน
    • แม้ว่าคุณจะไม่สามารถหาข้ออ้างให้คนอื่นได้ แต่เวลาที่นักเรียนประพฤติตัวไม่ดี พยายามมองหาสาเหตุที่ก่อให้เกิดพฤติกรรมนั้นๆ บางทีคุณอาจจะรู้ว่านักเรียนคนนั้นกำลังมีปัญหาเรื่องการหย่าร้างของพ่อแม่จึงทำให้แสดงพฤติกรรมที่ไม่ดีออกมา การที่คุณรู้เช่นนี้จะช่วยให้คุณทำงานร่วมกับเด็กเพื่อรับประกันความสำเร็จของเขาได้
  6. แม้ว่ามันอาจจะยากที่ครูจะไม่มีนักเรียนคนโปรด แต่คุณก็ต้องพยายามกำจัดอคติออกไปให้ได้มากที่สุดเวลาที่คุณเป็นผู้นำในห้องเรียน แม้ว่าจะมีนักเรียนคนหนึ่งที่ตั้งใจเรียนมากๆ และอาจจะน่ารักกับคุณมากๆ ด้วย แต่คุณไม่สามารถปล่อยให้ตัวเองเอาแต่ชมเด็กคนนั้นจนมองข้ามนักเรียนคนอื่นๆ ที่ต้องการความสนใจจากคุณเช่นเดียวกันได้ ถ้าคุณมีนักเรียนที่ชอบสร้างปัญหา คุณก็ควรจะคุยกับเขาหรือเธอเป็นรายบุคคล แต่คุณจะใจร้ายกับนักเรียนคนนั้นในห้องเรียนไม่ได้
    • ถ้าคุณมีนักเรียนคนโปรด ก็เท่ากับว่าคุณกำลังสร้างชื่อเสียงในฐานะครูที่ปฏิบัติต่อนักเรียนอย่างไม่ยุติธรรม และพวกเขาก็จะไม่เคารพคุณ
    • กลุ่มนักเรียนที่ไม่ใช่คนโปรดของคุณอาจจะรู้สึกถอดใจกับการพยายามในห้องเรียน เพราะพวกเขารู้สึกว่ายังไงเขาก็ไม่ชนะอยู่แล้ว
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

เป็นพ่อแม่ที่ยุติธรรม

ดาวน์โหลดบทความ
  1. หนึ่งในคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของพ่อแม่ที่ยุติธรรมก็คือการเต็มใจที่จะเข้าใจลูก ถ้าคุณอยากจะประสบความสำเร็จในฐานะพ่อแม่ คุณก็ต้องพยายามทำความเข้าใจจริงๆ ว่าลูกคิดอะไรอยู่ ชีวิตของเขาที่โรงเรียนเป็นอย่างไร และความสัมพันธ์ของเขากับเพื่อนๆ เป็นอย่างไร เพราะบ่อยครั้งที่ลูกๆ ของคุณอาจจะมีพฤติกรรมที่ไม่ดีหรือทำตัวไม่ดีจากสาเหตุที่ไม่ชัดเจนนัก และคุณก็อาจจะต้องพยายามเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ของลูกเพื่อให้เข้าใจว่าเขาต้องเจออะไรบ้าง
    • ก่อนที่คุณจะลงโทษหรือตั้งกฎใหม่ ค่อยๆ ใช้เวลาคิดว่ามันจะมีผลกับลูกอย่างไร มันยุติธรรมที่คุณจะพิจารณาว่าลูกจะรู้สึกอย่างไรก่อนออกคำสั่ง
  2. ถ้าคุณอยากเป็นพ่อแม่ที่ยุติธรรม คุณก็ต้องรับฟังลูก คุณอาจจะคิดว่าลูกก็แค่ทำตัวไม่น่ารักและอาจจะรู้สึกไม่พอใจลูก แต่หลายครั้งที่ปัญหามันหยั่งรากลึกกว่านั้น ถ้าคุณอยากจะยุติธรรมกับลูกจริงๆ คุณก็ควรจับเข่าคุยกับลูกว่าเกิดอะไรขึ้นและทำไมเขาถึงทำตัวไม่น่ารักที่โรงเรียนหรือที่บ้าน วิธีนี้จะช่วยให้คุณเป็นพ่อแม่ที่ยุติธรรมและเข้าถึงต้นตอของปัญหาได้
    • การรับฟังลูกๆ ยังช่วยให้เขาเห็นว่าคุณห่วงใยเขาแค่ไหน และยังทำให้เขาเห็นด้วยว่าคุณพยายามที่จะรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่แทนที่จะแค่ออกกฎขึ้นมาเฉยๆ
    • แน่นอนว่ามันอาจจะมีบางวันที่คุณเหนื่อยเกินกว่าจะรับฟังลูกได้ แต่คุณก็ต้องให้เวลาตามที่ลูกๆ สมควรได้รับและรับฟังเขาจริงๆ วางโทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์สำหรับทำงานไปก่อน และให้ความสนใจกับลูกๆ ทั้งหมดอย่างที่เขาควรได้รับ
  3. การเป็นพ่อแม่ที่ยุติธรรมไม่ใช่การปฏิบัติต่อลูกทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน แต่เป็นการปฏิบัติต่อลูกทุกคนอย่างยุติธรรม ลูกคนหนึ่งอาจจะชอบสังสรรค์มากกว่าอีกคน อีกคนก็อาจจะเจ้าอารมณ์มากกว่าอีกคน หรือคนนึงอาจจะมีปัญหาเรื่องเรียนมากกว่าคนอื่น ถ้าคุณอยากเป็นพ่อแม่ที่ยุติธรรมจริงๆ คุณก็ควรให้ความสนใจกับลูกแต่ละคนตามที่เขาต้องการ และตั้งกฎและแนวทางที่สมเหตุสมผลกับแต่ละคน
    • เด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นการปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกันจึงไม่ยุติธรรมเลย คุณควรใส่ใจว่าลูกต้องการอะไรจริงๆ และให้สิ่งนั้นแก่เขาจะดีกว่า
  4. แม้ว่าพ่อแม่หลายคนมักจะใช้คำพูดติดหูนี้เวลาที่รู้สึกไม่พอใจลูก แต่คุณก็ไม่ควรใช้คำพูดนี้กับลูก เพราะมันจะทำให้ลูกมีความคาดหวังกับโลกใบนี้ต่ำ และอาจทำให้เขาเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายได้ เวลาที่ลูกกรีดร้องว่า “ไม่ยุติธรรมเลย!” แทนที่จะบอกแค่ว่า “ชีวิตมันไม่ยุติธรรมหรอก” ให้ลองอธิบายเหตุผลเบื้องหลังการตัดสินใจของคุณหรือให้ลูกพูดความรู้สึกของเขาออกมาถ้ามันเหมาะสม [5]
    • คุณควรเลี่ยงคำพูดที่ว่า “ชีวิตมันไม่ยุติธรรมหรอก” แต่ขณะเดียวกันก็บอกลูกๆ อย่างชัดเจนว่าโลกไม่ได้หมุนรอบตัวพวกเขา คุณต้องทำให้เขารู้สึกว่าเขามีความสามารถที่จะไปถึงศักยภาพที่เขามีในโลกที่ค่อนข้างสบายพอสมควร แต่คุณก็ต้องไม่ตามใจเขาจนเสียคนและคิดว่าตัวเองต้องได้ทุกอย่างที่อยากได้เช่นกัน
  5. ถ้าคุณอยากจะเป็นพ่อแม่ที่ยุติธรรม คุณก็ต้องบอกลูกๆ ให้ชัดเจนว่าคุณคาดหวังอะไรจากเขา บอกให้เขารู้ว่าต้องกลับบ้านไม่เกินกี่ทุ่ม ดูทีวีได้เท่าไหร่ คุณคาดหวังให้เขาทำอะไรที่โรงเรียน และงานบ้านอะไรที่เขาต้องทำให้เสร็จในแต่ละวัน ถ้าคุณตั้งกฎขึ้นมา คุณก็ต้องสม่ำเสมอและยึดตามกฎเพื่อให้แน่ใจว่าลูกๆ ทุกคนทำตามมาตรฐานที่ตั้งไว้ ถ้าคุณเปลี่ยนกฎ ก็ต้องอธิบายเหตุผลเพื่อที่ลูกๆ จะได้ไม่รู้สึกตกใจจนรับมือไม่ถูก
    • หนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุดของการเป็นพ่อแม่ที่ยุติธรรมก็คือย้ำกฎระเบียบในบ้านกับลูกบ่อยๆ ถ้าพวกเขาโดนลงโทษในสิ่งที่พวกเขาคิดว่าเขาทำได้ เขาก็จะกรีดร้องออกมาว่า “ไม่ยุติธรรมเลย!”
    • ถ้าลูกๆ อายุห่างกันหลายปี ก็เป็นธรรมดาที่คนที่โตกว่าจะได้สิทธิพิเศษมากกว่าคนที่ยังเด็กอยู่ คุณต้องอธิบายเรื่องนี้ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่ลูกคนเล็กกว่าจะได้ไม่รู้สึกว่าคุณตั้งกฎตามอำเภอใจหรือมีลูกคนโปรด
  6. ในการที่จะเป็นพ่อแม่ที่ยุติธรรมนั้น คุณจะต้องทำอย่างที่พูดเพื่อที่ลูกๆ จะได้เห็นว่ากฎของคุณนั้นควรค่าแก่การรับฟัง แน่นอนว่ากฎที่คุณตั้งบางข้อก็อาจจะไม่ได้ใช้กับคุณ เช่น เข้านอนแต่หัวค่ำ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณคาดหวังพฤติกรรมใดพฤติกรรมหนึ่งจากลูก คุณก็ควรทำพฤติกรรมเดียวกันนั้นให้เขาเห็นถ้าคุณอยากเป็นพ่อแม่ที่ยุติธรรม
    • ถ้าคุณบอกลูกว่าให้มีเมตตาต่อคนอื่นแต่คุณกับไม่ให้เกียรติเพื่อนบ้านหรือคนแปลกหน้า บอกลูกๆ ให้ทำความสะอาดแต่คุณเองกลับทิ้งห้องครัวไว้เลอะเทอะ และอื่นๆ ลูกๆ ก็จะสับสนและคิดว่าคุณกำลังสื่อความตรงข้ามกัน
    • คุณต้องไม่ทำให้ลูกๆ คิดว่าคุณเป็นพวกมือถือสากปากถือศีลที่ตั้งกฎแต่ตัวเองไม่ยอมทำตาม
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • ถ้าคุณพยายามที่จะเป็นเจ้านายที่ยุติธรรมในที่ทำงาน ให้อ่านกฎหมายแรงงานเยอะๆ เพราะกฎหมายแรงงานพยายามที่จะเพิ่มความยุติธรรมและกำจัดการกีดกันทางเชื้อชาติ เพศ หรือปัจจัยอื่นๆ การปฏิบัติตามกฎหมายเหล่านี้จะช่วยให้การตัดสินใจของคุณตรงไปตรงมามากขึ้น และการปฏิเสธไม่ทำตามก็มักจะเข้าข่ายผิดกฎหมาย
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 2,185 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา