ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

เมื่อเราต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ยุ่งยาก ทำไมบางคนจึงเสียหลักและจบลงด้วยการร้ายตัวเอง ในขณะที่คนอื่นๆ สามารถเอาตัวรอดได้ หรือแม้กระทั่งเบ่งบานได้อีกด้วยหลังจากที่พายุได้ผ่านพ้นไปแล้ว แน่นอนว่าไม่มีใครที่มีภูมิคุ้มกันต่อความทุกข์ แต่คนบางคนก็ดูเหมือนว่าจะสามารถจัดกับกับมันได้ดีกว่า แล้วยังฟื้นตัวจากสถานการณ์ที่ต้องใช้ความพยายามมากนี้ได้ด้วย หากคุณต้องการพัฒนาความแข็งแรงทางด้านจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณแล้ว ทำตามคำแนะนำเหล่านี้เลย

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 3:

เป็นคนแข็งแกร่งทางด้านจิตใจ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ความแข็งแกร่งสื่อถึงพลังและยังสามารถส่งผลต่อชีวิตของคนๆ หนึ่งด้วย ในขณะที่ความอ่อนแอก็สื่อถึงการขาดพลังและทำอะไรไม่ได้ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสถานการณ์ไหนก็ตาม แน่นอนว่าจะต้องมีทั้งสิ่งที่คุณควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ทั้งนั้น จุดที่สำคัญคือการให้ความสนใจกับสิ่งที่คุณ “สามารถ” ควบคุมได้ ลองเขียนสิ่งที่รบกวนคุณอยู่ออกมา แล้วเขียนสิ่งมี่คุณทำได้เพื่อช่วยให้สถานการณ์เหล่านั้นดีขึ้นลงในอีกแผ่นหนึ่ง จากนั้นจึงยอมรับปัญหาต่างๆ ในรายการแรก แล้วหันมามุ่งมั่นกับรายการที่สอง
    • ในการวิจัยเกี่ยวกับคนที่มีความสามารถในการแก้ปัญหา (Adversity Quotient หรือ AQ) นั้น คนที่มีความยืดหยุ่นมากมักจะหาสิ่งที่เขาหรือเธอสามารถควบคุมได้เจอ อีกทั้งยังมองว่าตัวเองจะต้องรับผิดชอบและจัดการแก้ไขสถานการณ์นั้นๆ แม้ว่าความยากลำบากที่เกิดขึ้นจะมีต้นเหตุมาจากคนอื่นก็ตาม ในทางกลับกัน คนที่มี AQ ต่ำมักจะละเลยโอกาสที่จะลงมือแก้ปัญหาและไม่คิดว่าเป็นความรับผิดชอบของตน โดยมองว่าไม่ใช่ปัญหาที่เกิดจากตัวเอง จึงไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่แก้ไข
  2. บางครั้งนั้น เรามักจะเจอกับสถานการณ์ที่ไม่รู้จริงๆ ว่าจะต้องทำอะไรเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง แม้ว่าจะต้องใช้ความพยายามมาก แต่เชื่อไหมล่ะว่าคุณสามารถควบคุมมันได้ เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คุณก็จะสามารถควบคุมทัศนคติของตัวเองที่ต่อชีวิตของคุณได้ เหมือนกับที่ Victor Frankl ได้กล่าวเอาไว้ว่า “พวกเราที่อยู่ในค่ายกักกันต่างจำคนที่เดินไปตามบ้านต่างๆ เพื่อปลอบประโลมคนอื่นๆ ได้ดี แม้ว่าจะมีจำนวนไม่มาก แต่คนเหล่านี้ก็เป็นหลักฐานที่ยืนยันได้ดีว่ามีเพียงอย่างเดียวที่ไม่มีใครจะแย่งไปจากคนเราได้ สิ่งนั้นก็คืออิสรภาพในการเลือกว่าจะคิดอย่างไรต่อสถานการณ์ต่างๆ หรือเสรีภาพในการเลือกวิถีทางของตัวเอง” ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม มองโลกในแง่ดีเข้าไว้ล่ะ
    • ถ้ามีใครที่ทำให้ชีวิตคุณแย่อยู่ อย่าปล่อยให้พวกเขาทำร้ายจิตวิญญาณของคุณ ภูมิใจในตัวเอง มีความหวัง และจำไว้ว่าทัศนคติคือสิ่งที่ไม่มีใครจะแย่งไปจากเราได้ “ไม่มีใครทำให้คุณรู้สึกไร้ค่าโดยไม่ได้รับอนุญาต” Eleanor Roosevelt ได้กล่าวไว้
    • อย่าปล่อยให้วิกฤตหรือเรื่องแย่ๆ เรื่องหนึ่งส่งผลต่อด้านอื่นๆ ในชีวิตคุณ สมมุติว่าคุณกำลังเผชิญกับอุปสรรคเรื่องงาน อย่าไปโวยวายกับคนที่พยายามจะช่วยคุณ พยายามควบคุมทัศนคติของตัวเองเพื่อจัดการกับผลข้างเคียงต่างๆ คนที่มีความยืดหยุ่นมากจะไม่ทำให้ทุกความล้มเหลวกลายเป็นหายนะ และจะไม่ยอมปล่อยให้เหตุการณ์ไม่ดีเกิดผลกระทบแบบโดมิโนกับชีวิตของพวกเขาเลย
    • ลองท่องบทสวด Serenity prayer ถ้ามันจะช่วยให้คุณดีขึ้น ดังนี้ "Grant me the serenity to accept the things I cannot change, the courage to change the things I can, and wisdom to know the difference.” ซึ่งมีความหมายว่า “พระเจ้า ขอประธานจิตใจที่สงบพอ ที่จะยอมรับสิ่งที่ข้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ขอความกล้าหาญ ในการเปลี่ยนสิ่งที่ข้าเปลี่ยนได้ และขอสติปัญญา ที่จะทำให้ข้ารู้ความแตกต่างระหว่างทั้งสองอย่างนั้น”
  3. คนที่แข็งแกร่งทางด้านอารมณ์นั้นมักจะมองทุกวันเป็นเหมือนกับของขวัญ พวกเขาจึงพยายามสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ในแต่ละวันเพื่อใช้ของขวัญที่ว่านี้ให้มีค่าที่สุด จำตอนที่เป็นเด็กและความรู้สึกตื่นเต้นกับอะไรธรรมดาๆ ได้ไหม อย่างเช่นตอนเล่นกับใบไม้ร่วง วาดรูปสัตว์ในจินตนาการ หรือตอนกินขนมหวานอร่อยๆ สักชิ้น กลับไปหาความเป็นเด็กที่ว่านี้ เพราะคุณจะต้องพึ่งพาความรู้สึกเหล่านี้เพื่อที่จะได้มีสุขภาพจิตที่ดี [1]
  4. คุณอยู่มาได้ถึงขนาดนี้แล้ว แค่วันเดียวทำไมจะทำไม่ได้ล่ะ และถ้าคุณค่อยๆ จัดการไปทีละวัน หรือแม้แต่แค่ทีละช่วงเวลา คุณจะรอดพ้นจากอะไรก็ตามที่กำลังเผชิญอยู่ มันอาจจะไม่ง่ายหรอก และคุณก็ไม่ได้เป็นยอดมนุษย์ที่ไร้เทียมทาน ดังนั้นค่อยๆ เดินช้าๆ ดีกว่า ถ้ารู้สึกว่ากำลังจะล้มให้ หลับตาลง สูดหายใจเช้าลึกๆ แล้วนึกถึงสิ่งเหล่านี้ไว้
    • อย่าฟังคนที่ชอบมองโลกในแง่ลบ แน่นอนว่าจะมีคนที่ตั้งข้อสงสัยกับสิ่งที่คุณทำเสมอ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผมอะไรก็ตาม อย่าไปฟังคนเหล่านี้ อีกทั้งต้องแสดงให้พวกเขาเห็นด้วยว่าพวกเขากำลังคิดผิด อย่าปล่อยให้พวกเขาเข้ามาทำให้คุณสิ้นหวัง เพียงเพราะพวกเขาสิ้นหวังไปก่อนแล้ว โลกต้องการให้คนอย่างคุณมาสร้างความเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว จะมัวรออะไรอยู่ล่ะ
    • คิดถึงเวลาที่คุณทำอะไรสำเร็จ แล้วใช้มันมาเป็นแรงกระตุ้นในการทำสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการบ้านที่คุณทำได้ดีเยี่ยม คนๆ นั้นที่คุณคุยด้วย หรือตอนที่ลูกเกิด ใช้ความทรงจำเหล่านี้มาส่งเสริมให้ความต้องการของเราแข็งแกร่งขึ้น ให้เราก้าวเดินได้อย่างมั่นใจมากขึ้น สิ่งดีๆ ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นอยู่แล้วล่ะ!
    • พยายาม พยายาม และพยายามเรื่อยๆ แน่นอนว่าต้องมีบางเวลาที่คุณไม่แน่ใจในตัวเองเวลาที่พยายามแล้วไม่สำเร็จ แต่รู้อะไรไหม นั่นเป็นแค่ส่วนหนึ่งของการเดินทาง เป็นแค่ตอนเดียวในหนังสือเท่านั้น แทนที่จะล้มเลิกความตั้งใจเพราะล้มเหลวแล้วรู้สึกแย่ ลองมองผ่านมุมมองที่กว้างขึ้น แล้วพยายามใหม่อีกครั้ง คิดไว้เสมอว่าความสำเร็จนั้นสร้างจากบันไดแห่งความล้มเหลว
  5. สำหรับคุณแล้ว เรื่องเล็กน้อยอย่างคำถามของเพื่อนร่วมงาน หรือการที่มีรถมาตัดหน้าคุณนั้นกวนใจคุณหรือเปล่า ลองถามตัวเองว่าทำไมสิ่งเหล่านี้ถึงสำคัญกับคุณนัก แล้วลองเลือกดูว่าอะไรที่สำคัญกับคุณมากจริงๆ ที่เหลือก็ปล่อยวางให้หมด เหมือนกับที่ Sylvia Robinson เคยกล่าวไว้ว่า “บางคนก็เชื่อว่าการรั้งบางสิ่งไว้นั่นแหละที่จะทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น แต่บางทีสิ่งเราควรทำคือการปล่อยวางต่างหาก”
  6. ใช้เวลากับเพื่อนและครอบครัว หรือคนอื่นๆ ที่คอยให้กำลังใจและมีพลังในแง่บวก ถ้าไม่มีใครว่าง ก็หาเพื่อนใหม่ แต่ถ้าไม่มีใครเลย ก็หันไปช่วยคนที่ลำบากกว่าคุณ บางเวลาที่เราอาจไม่สามารถทำให้สถานการณ์ของเราดีขึ้นได้ เราก็ไปช่วยคนอื่นแทน นอกจากจะทำสิ่งดีๆ ให้คนอื่นแล้ว เราเองอาจได้มุมมองเกี่ยวกับชีวิตมากขึ้นด้วย
    • ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม งานวิจัยและการทดลองวิทยาศาสตร์ต่างๆ ล้วนกล่าวว่าคุณภาพชีวิตด้านของการเข้าสังคมนั้นเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อสุขภาพทางจิตและทางร่างกาย [2] ถ้าคุณรู้สึกติดขัดด้านการเข้าสังคมละก็ น่าจะต้องหาความช่วยเหลือแล้วล่ะ ลองเริ่มจากทำสิ่งเหล่านี้ดู
      • คุยเรื่องดีๆ กับใครสักคน
      • ก้าวข้ามความผิดพลาด อย่าปล่อยให้มันกลายเป็นชื่อเสียงเรียงนามของคุณล่ะ!
      • ฟื้นตัวหลังเลิกกับแฟน
      • ก้าวผ่านความขี้อายของตัวเอง
      • ทำตัวเองให้เป็นคนที่ชอบเข้าสังคม
  7. สร้างความพอดีระหว่างการทำงานกับงานอดิเรก และการพักผ่อนกับกิจกรรมต่างๆ. ฟังดูแล้วไม่น่าจะยากใช่ไหมล่ะ แต่ใครๆ ก็มักจะมองข้ามไปเพราะเข้าใจผิดคิดว่ายาก เรามักจะทำงานหนักเกินไปกับเดินทางบ่อย หรือเราอาจจะอู้งานมากเกินควรจนทำตัวสบายเหมือนฮิปโป ทำตัวว่างทั้งที่มีโอกาสอยู่แค่เอื้อม แต่ถ้าหากเราสามารถทำทุกอย่างได้อย่างพอดีๆ แล้ว มันจะทำให้คุณเข้าถึงและซาบซึ้งถึงความดีของแต่ละอย่างจริงๆ คุณจะไม่เห็นว่าสิ่งหนึ่งดีกว่าอีกสิ่ง เพราะคุณไม่ได้ลงมือทำแค่อย่างเดียวยังไงล่ะ
  8. ชีวิตนั้นยากลำบากอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณลองพิจารณาอย่างละเอียดแล้วละก็ คุณจะค้นพบว่ามีเรื่องราวที่น่ายินดีเกิดขึ้นมากมายนับไม่ถ้วนเลยล่ะ แม้ว่าสิ่งที่ทำให้คุณมีความสุขในอดีตจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ก็ยังมีอีกหลายอย่างให้ยินดีนะ ความเบิกบานใจที่คุณได้รับมาจากสิ่งต่างๆ รอบตัวของคุณจะเป็นเหมือนเชื้อเพลิงที่คอยผลักดันให้คุณผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก ดังนั้นเอาใจใส่สิ่งที่คุณมี และพอใจกับด้านดีของสิ่งเหล่านั้นดีกว่า แน่นอนว่าคุณอาจจะไม่ได้มีเสื้อตัวใหม่ หรือได้อะไรก็ตามที่คุณต้องการ แต่อย่างน้อยคุณก็ยังมีคอมพิวเตอร์เครื่องนี้ ที่สามารถเข้าอินเทอร์เน็ตได้ รวมทั้งความสามารถในการอ่าน บางคนอ่านหนังสือไม่ออก ไม่มีคอมพิวเตอร์ และไม่ได้อาศัยอยู่ในบ้านด้วยซ้ำ ลองคิดถึงคนเหล่านั้นดูสิ
  9. ลองดู Charlie Chaplin เป็นตัวอย่าง เขารู้ข้อดีของหนังตลกเป็นอย่างดีเลยล่ะ คำพูดที่โด่งดังของเขาคือ “ชีวิตเป็นเรื่องทุกข์หากเฝ้ามองเฉพาะช่วงใดช่วงหนึ่ง แต่มักจะเป็นเรื่องตลกหากเราได้มองเห็นทุกช่วงเวลาของมัน” มันง่ายมากที่จะจมอยู่กับเรื่องแย่ๆ ที่ทำให้เราแสดงออกและตอบสนองแค่ผิวเผิน แต่ถ้าเราลองก้าวออกมาแล้วมองชีวิตโดยใช้เหตุผลมากขึ้น ใช้เล่ห์เหลี่ยมมากขึ้น รวมทั้งโรแมนติกมากขึ้นแล้ว เราจะเห็นทั้งความพิศวง ความเป็นไปได้ที่ไร้ขีดจำกัด ความไร้สาระของมันทั้งหมด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คุณหัวเราะได้ว่าคุณโชคดีแค่ไหน
    • ยอมรับเถอะว่า ชีวิตของเรานั้นมักจะ “สนุก” กว่าเวลาที่ไม่เครียดจนเกินไป และแม้ว่าการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขจะไม่ใช่สิ่งเดียวที่เกิดขึ้นได้ในชีวิตเรา แต่ก็ยังเป็นส่วนสำคัญอยู่ดีนั่นแหละ คิดเหมือนกันไหม
  10. ถ้าคุณอยู่ในช่วงเวลาที่เศร้าเสียใจหรือหดหู่ ซึ่งคุณไม่สามารถจะควบคุมมันได้ละก็ ปล่อยให้มันเกิดขึ้นดีกว่า หรือถ้าคุณกำลังเผชิญกับความยากลำบากที่ยืดเยื้อ เตือนตัวเองว่า เดี๋ยวสิ่งนี้ก็ผ่านไปเหมือนกับสิ่งอื่นๆ
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 3:

เป็นคนแข็งแกร่งทางด้านสุขภาพ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. อุปสรรคที่ยุ่งยากมากอย่างหนึ่งที่เรามักจะเจอเมื่อต้องการทำให้ร่างกายแข็งแรงคือการกินอาหารที่มีสารอาหารครบในแต่ละวัน เคาน์เตอร์ฟาสฟู้ดมันเรียกร้องให้เราไปต่อแถวแม้ว่าเราจะบอกตัวเองไว้ว่าจะกินแต่บล็อกโคลี่กับปลาคืนนี้ก็ตาม ใครๆ ก็คงเจออะไรแบบนี้กันทั้งนั้น แต่ถ้าเกิดเราบอกกับตัวเองว่าชีวิตเราจะอยู่หรือจะไปก็ขึ้นอยู่กับการกินอาหารจริงๆ ล่ะ [3] [4] [5] เราจะยอมเปลี่ยนนิสัยการกินของเราไหม
    • เน้นกินผักกับผลไม้เป็นหลัก แล้วเสริมด้วยโปรตีนไขมันต่ำ เช่น เนื้อไก่ ปลา ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมวัว และถั่วชนิดต่างๆ
    • รู้ว่าคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนกับเชิงเดียวต่างกันอย่างไรบ้าง แล้วเลือกกินคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนมากกว่า เพราะจะใช้เวลาดูดซึมช้ากว่า อีกทั้งเราจะได้รับไฟเบอร์มากกว่าด้วย
    • ให้ความสำคัญกับไขมันดีมากกว่าไขมันไม่ดี เช่น กรดไขมันไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันมะกอก หรือกรดไขมันโอเมกา 3 ที่อยู่ในแซลมอนและเมล็ดแฟลกซ์นั้นดีต่อตัวเราเมื่อกินในปริมาณที่เหมาะสม [6] ควรหลีกเลี่ยงไขมันไม่ดี เช่น กรดไขมันอิ่มตัวและกรดไขมันชนิดทรานส์
    • กินอาหารหลากหลาย แน่นอนว่าใครๆ ก็อยากจะแข็งแรงขึ้น แต่ก็อยากกินอย่างมีความสุขด้วย อาหารไม่ได้มีไว้แค่เพื่อกินแล้วอิ่ม กินด้วยความเอร็ดอร่อยจะทำให้คุณเป็นคนที่มีสุขภาพสมบูรณ์ อีกทั้งยังทำให้สุขภาพดีขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
  2. การรักษาสุขภาพให้แข็งแรงนั้นไม่ได้หมายถึงการสร้างกล้ามอย่างเดียวนะ แต่คือการออกกำลังให้ทั้งร่างกายได้เผาผลาญไขมัน สร้างกล้ามเนื้อ และพัฒนาความแข็งแกร่งต่างหาก มีวิธีการออกกำลังกายมากมายที่คุณสามารถลองทำได้เพื่อให้ได้ใช้ร่างกายทุกส่วน แต่สิ่งที่สำคัญที่ต้องจำไว้ก็คือ ความสม่ำเสมอ ควรออกกำลังกายให้ได้อย่างน้อย 30 นาทีทุกวัน แม้ว่ามันอาจจะเป็นแค่การพาหมาของคุณไปเดินเล่น 20 นาที กับยืดเส้นอีก 10 นาทีก็ตาม!
  3. การสร้างกล้ามเนื้อจะช่วยทำให้คุณแข็งแรง แต่การลงมือทำจริงนั้นเป็นเรื่องที่ยากอยู่ บางขั้นตอนก็ทั้งเหนื่อยหน่ายและน่าเบื่อ (ล้อเล่นน่ะ!) เพราะการยกน้ำหนักก็คือการที่เราทำให้กล้ามเนื้อพัง จากนั้นร่างกายจะซ่อมแซมส่วนนั้นให้แข็งแรงมากขึ้นโดยอัตโนมัติ ถ้าอยากให้ร่างกายสมบูรณ์มากขึ้นก็เน้นสร้างกล้ามเนื้อทั้งตัวดีกว่า คุณคงไม่อยากให้คนมองว่าเป็นพวกกล้ามโตที่สร้างแต่กล้ามเนื้อส่วนบนอย่างเดียวหรอกนะ
    • สร้างกล้ามเนื้อที่บริเวณหน้าอก
    • สร้างกล้ามเนื้อบริเวณขาและหน้าแข้ง
    • สร้างกล้ามเนื้อบริเวณแขนและไหล่
    • สร้างกล้ามเนื้อบริเวณกลางลำตัว
  4. ร่างกายคนเรา สำหรับผู้ใหญ่นั้นต้องการการนอนพักผ่อนประมาณ 8-10 ชั่วโมงต่อคืนเพื่อให้ร่างกายสร้างกล้ามเนื้อขึ้นมาใหม่ ลดความเครียดลง รวมทั้งปรับสมดุลทางด้านอารมณ์ [7] การนอนเพียงแค่ 4 ชั่วโมงจะไม่ช่วยให้คุณแข็งแรงขึ้นหรอก อีกทั้งถ้านอนไม่หลับหรือนอนไม่พอในคืนนั้นแล้ว เตรียมตัวนอน “มากกว่าเดิม” ในคืนต่อไปได้เลย เพราะร่างกายของคุณจะเกิดภาวะขาดการนอนหลับ
  5. หลีกเลี่ยงการกระทำไม่ดี อย่างการสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนัก หรือการใช้ยาต่างๆ. ใครๆ ก็เข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อสุขภาพ พอถึงเวลาจริงๆ เราก็มักจะบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร หรือไม่ก็ลืมไปเลยเมื่อถึงเวลาที่ต้องควบคุมความอยาก ลองดูสถิติเหล่านี้เกี่ยวกับนิโคตินและแอลกอฮอล์เผื่อว่าจะช่วยลดความอยากของคุณลงได้บ้าง
    • คนเกือบ 500,000 คนในอเมริกาเสียชีวิตเพราะสูบบุหรี่ อีกทั้งคนที่สูบมักจะเสียชีวิตก่อนคนทั่วไปที่ไม่ได้สูบเฉลี่ย 13-14 ปีด้วย [8] ตัวเลขนี้เกือบจะเป็นสัดส่วน 1 ใน 4 ของชีวิต ซึ่งคุณได้โยนทิ้งมันไปอย่างไม่ใยดีแล้วนะ
    • 49% ของการฆาตกรรม 52% ของการข่มขืน 21% ของการฆ่าตัวตาย 60% ของการทำร้ายร่างกายเด็ก และอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่ร้ายแรงถึงชีวิตมากกว่า 50% นั้นล้วนมีส่วนมาจากแอลกอฮอล์ทั้งนั้น [9]
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 3:

เป็นคนแข็งแกร่งทางด้านจิตวิญญาณ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เอาตัวเองเข้าไปเชื่อมโยงกับพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวคุณ. ไม่ว่าพลังที่ว่านั้นจะเป็นศาสนาหรือเพียงแค่พลังงานในจักวาลก็ตาม ให้จำไว้ว่าเรื่องแบบนี้ขึ้นอยู่กับตัวคุณและความเชื่อของคุณเท่านั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องเชื่อในพระเจ้าเพื่อที่จะเชื่อในพลังที่ยิ่งใหญ่นี้ ลองสำรวจดูว่าตัวคุณเชื่อในอะไรบ้าง หรือสำรวจความเชื่อของคนอื่นๆ แล้วหากรอบความเชื่อของ “ตัวคุณเอง”
  2. การเป็นคนที่ “แข็งแรง” ทางจิตวิญญาณกับ “กระตือรือร้น” ด้านจิตวิญญาณไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งเดียวกัน คนที่สนใจเรื่องนี้มากๆ อาจเป็นคนที่รับเอาความเชื่อหรือเชื่อมั่นในบางอย่างแล้วหยุดอยู่แค่นั้น แต่ไม่เคยตั้งคำถามต่อเกี่ยวกับประโยชน์หรือทฤษฎีของความเชื่อนั้น คนที่แข็งแรงด้านนี้จริงๆ จะถามคำถามเกี่ยวกับข้อความศักดิ์สิทธิ์ พิจารณาการกระทำ และคอยมองหาคำตอบทั้งภายในและภายนอกของกรอบความเชื่อนั้น
    • เช่น คนที่ศรัทธาในศาสนาคริสต์มากนั้นมักจะไม่มีปัญหาในการคุยกับคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้า อีกทั้งยังพร้อมที่จะถกเถียงโดยยกประเด็นที่ละเอียดอ่อนมาจากคัมภีร์ไบเบิ้ล พวกเขาอาจจะมองประสบการณ์ว่าเป็นโอกาสที่จะได้เรียนรู้ เป็นการก้าวออกจากความเคยชินเดิมๆ ความศรัทธาของพวกเขาจึงมักจะแข็งแกร่งขึ้นจากความคิดเหล่านี้ แต่ถ้าเกิดมีข้อสงสัย พวกเขาก็จะไขความข้องใจเหล่านั้นอย่างรอบคอบและใจเย็น
  3. ลองคิดว่าถ้ามีเพื่อนบ้านหรือคนแปลกหน้าเดินเข้ามาหาคุณ แล้วบอกว่าความเชื่อของคุณมันผิด อีกทั้งบังคับให้คุณเชื่อสิ่งที่พวกเขาเชื่อแทนโดยที่คุณไม่อยากทำเลยสักนิด คุณจะรู้สึกยังไง น่าจะรู้สึกไม่ค่อยดี ใช่ไหมล่ะ นี่ก็เป็นความรู้สึกของคนอื่นเวลาถูกสอนหรือบังคับให้เชื่อบางอย่าง ดังนั้นควรจะสร้างความสมดุลระหว่างความเชื่อของคุณกับการใช้ชีวิตในฐานะสามัญชนคนหนึ่ง โดยทำอย่างสงบเสงี่ยมที่สุดเท่าที่จะทำได้
  4. ศาสนาและความเชื่อส่วนมากจะพูดถึงพรที่เราได้รับ ซึ่งเป็นความช่วยเหลือหรือความเห็นชอบจากพระเจ้าแห่งจักรวาล ลองดูสิว่ามีอะไรดีๆ ในชีวิตคุณบ้าง
    • ใน 7 วันข้างหน้า ดูว่ามีคนเหล่านี้ในชีวิตคุณบ้างไหม ฝึกตัวเองด้วยวิธีการนี้เพื่อสร้างความคิดดีๆ ให้กับตัวคุณเอง [10]
      • สมาชิกในครอบครัว
      • เพื่อนบ้าน
      • เพื่อนๆ
      • เพื่อนร่วมงาน
      • คนแปลกหน้า
      • ลูก
      • คนที่เราไม่ชอบหน้า
  5. ช่วยกันเผยแพร่ความรัก ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม. ความแข็งแกร่งทางจิตวิญญาณนั้นท้ายที่สุดแล้วก็เป็นรูปแบบของความเชื่อเกี่ยวกับจักรวาลซึ่งเป็นเรื่องลึกลับ แต่ความรักระหว่างคนเราด้วยกันต่างหากที่สัมผัสได้จริง เริ่มต้นที่ตัวเราเลย โดยเริ่มเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ รวมทั้งเป็นพลังให้กับสิ่งดีๆ ด้วยการเผยแพร่ความรัก ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งปันอาหารให้กับคนไร้บ้าน ยิ้มให้คนแปลกหน้า หรือสละความสุขสบายของตัวเองเพื่อแลกกับความสุขสบายของคนอื่น การเผยแพร่ความรักจะทำให้เราเข้าใจความลึกลับที่ผูกคนเราเข้าไว้ด้วยกันมากขึ้นไปอีกก้าวหนึ่ง
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • คุณอาจจะไม่ชนะทุกการแข่งขัน แต่คุณเลือกที่จะยืนหยัดที่จะต่อสู้ต่อไปได้ เมื่อผ่านไปอีกสองสามปีข้างหน้า การแข่งขันที่ผ่านมาก็ดูเหมือนจะมีความสำคัญน้อยลง คุณอาจจะหันกลับไปมองมันแล้วหัวเราะได้ด้วยซ้ำ แค่ใช้ชีวิตตามฝันและอย่าเก็บเอาคำวิพากษ์วิจารณ์มาใส่ใจ แต่ถ้าจำเป็นต้องสู้ก็ต้องทำนะ!
  • หาอะไรทำให้ไม่ว่างและใช้เวลากับสิ่งที่ตัวเองชอบ
  • นอนอย่างน้อย 10 ชั่วโมง พยายามออกกำลังกายอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงทุกวันเพื่อสร้างความแข็งแรง ถ้าวันไหนที่ออกกำลังกายหนัก ก็พักผ่อนวันต่อมา
โฆษณา

คำเตือน

  • เวลาที่อะไรก็แย่ไปหมด แน่นอนว่าคนเราจะอ่อนแอมากกว่าตอนไหนๆ และอาจทำให้เรารู้สึกอยากทำอะไรที่ไม่เคยคิดจะทำมาก่อน คุณอาจจะรู้สึกอยากหาทางหนีหรือต้องการความเห็นชอบจากใครบางคน แต่การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าแบบนี้มีแต่จะทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปอีก อย่าหันไปหาแอลกอฮอล์ ยาต่างๆ หรือความรื่นรมย์ที่ว่างเปล่าและชั่วคราวเลย ไม่ว่าจะในรูปแบบไหนก็ตาม ถ้าคุณอยากจะพาตัวเองหนีไปจากความจริง ก็ไปหาสิ่งที่มีความหมายกับคุณดีกว่า เช่น เพลง หนังสือ หรือศิลปะ
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 10,785 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา