PDF download ดาวน์โหลดบทความ PDF download ดาวน์โหลดบทความ

ในยุคสมัยที่ทรัพย์สิน ชื่อเสียง และภาพลักษณ์ถูกทำให้เป็นเหมือนความฝันที่ทุกคนต้องไขว่คว้ามาให้ได้นั้น การที่จะรู้สึกพอใจกับชีวิตแต่จริงๆ คุณไม่ได้มีสิ่งของเหล่านั้นอาจจะทำได้ยาก การรู้สึกแย่กับชีวิตของตัวเองนั้นไม่ใช่สิ่งที่แย่ ในทางกลับกัน สิ่งนี้จะเป็นแรงขับเคลื่อนที่มีประโยชน์ที่จะช่วยให้คุณมีชีวิตดังที่ต้องการได้ อย่างไรก็ตาม คุณต้องเข้าใจว่าความพึงพอใจในชีวิตนั้นมักจะกำลังเข้ามาหา ไม่ได้หายจากไป ให้มองตัวเองจากภายในเพื่อเริ่มต้นมองเห็นความเป็นไปได้ในชีวิตของคุณ

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 3:

ปรับปรุงมุมมองของคุณ

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. เชื่อหรือไม่ว่า การทำตัวให้น่ารักนั้นเป็นเหมือนก้าวแรกที่จะรู้สึกถึงพลังในตัวคุณ ถ้าคุณไม่เห็นว่าตัวเองมีค่ามากพอ คุณอาจจะไม่รู้ถึงผลกระทบที่คุณมีต่อคนอื่น ความจริงก็คือ ไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็ตาม คุณมีพลังในการส่งผลดี (หรือผลเสีย) ต่อโลกได้ อย่างไรก็ตาม อารมณ์ที่ขุ่นมัวนั้นแพร่กระจายได้ง่าย ความสุขและความดีก็เช่นกัน มีงานวิจัยพบว่าการทำอะไรสักอย่างเพื่อคนอื่นจะช่วยเพิ่มสาร “รู้สึกดี” ในสมองของคุณหรือที่รู้จักกันคือฮอร์โมนเซโรโทนิน (Serotonin) ดังนั้น แม้ว่าคุณไม่รู้สึกดี ก็ขอให้ลองทำตัวให้คนอื่นเอ็นดู แล้วคนจะรู้สึกดีขึ้น [1] [2]
    • หาเวลาในการสื่อสารด้วยสายตา ลองถามคนอื่นๆ ดูว่าวันนี้เขาสบายดีไหม หรือลองชื่นชมเขาอย่างจริงใจ ให้พยายามจดจำชื่อของพวกเขา และคอยถามเพื่อนหรือเพื่อนร่วมงานเกี่ยวกับคนที่เขารัก
    • ยอมให้คนอื่นชนะบ้าง คุณไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของพวกเขามาบ้าง คุณอาจจะเป็นคนที่คุกคามพวกเขาเหมือนกับมนุษย์ทั่วไป คุณอาจจะนึกไม่ถึงว่าเพียงแค่คำพูดดีๆ หรือรอยยิ้มเล็กๆ (แม้จะได้มาจากคนแปลกหน้า) ก็ช่วยยกระดับจิตใจของคนได้
  2. การแสร้งว่าคุณรู้สึกมีความสุขและพอใจจะช่วยให้เกิดความสบายใจ แค่เพียงทำอะไรสักอย่างเพื่อคนอื่นก็ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นได้ นอกจากนี้ การแสร้งว่าเรากำลังอารมณ์ดีก็สามารถช่วยได้เช่นกัน [3]
    • ถ้าคุณตื่นขึ้นมาในเช้าวันหนึ่งแล้วรู้สึกแย่ ให้ลองหยุดวงจรนี้โดยการเรียกพลังด้านบวกของคุณ มองกระจกแล้วยิ้มให้ตัวเอง แม้ว่ามันจะดูงี่เง่า แต่ก็ได้ผลดี เมื่อคุณออกไปโลกภายนอกแล้วมีคนถามว่าคุณเป็นอย่างไรบ้าง ให้ตอบเหมือนกับว่าวันนี้เป็นวันที่ดีที่สุดในชีวิตของฉัน ให้พูดประมาณว่า “วันนี้เป็นวันที่ยอมเยี่ยมมาก” หรือ “วันเวลาผ่านไป ทุกอย่างมันดีขึ้นเรื่อยๆ เลย”
    • การแสดงความสุขออกมาสามารถให้ผลลัพธ์ในรูปแบบคำทำนายที่เป็นจริง (Self-Fulfilling Prophecy) ได้ หลังจากที่คุณใช้เวลาไปกับการยิ้มและชมเชยว่าคุณมีวันที่ดีมากแค่ไหน คุณจะค่อยๆ พบว่าคุณกำลังมีวันที่ดี จริงๆ แล้วนั้น มีงานวิจัยพบว่าเพียงแค่แสร้งยิ้มหรือจัดรูปแบบการแสดงออกทางสีหน้าให้ดูยิ้มสามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงให้เกิดรอยยิ้มอย่างจริงใจได้โดยอัตโนมัติ ยกตัวอย่างเช่น การกัดดินสอด้วยฟันจะกระตุ้นกล้ามเนื้อที่ทำให้ยิ้ม แล้วคุณจะพบว่าคุณรู้สึกสงบและมีความสุขมากขึ้น [4]
  3. บางครั้งคุณอาจจะไม่ได้ให้ค่ากับสิ่งที่ดีในชีวิตเพราะคุณกำลังสนใจอยู่กับสิ่งของภายนอก เช่น รถ รูปลักษณ์ หรือบ้าน สิ่งของเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืน เราอาจจะสูญเสียไปได้ในอนาคต แต่นิสัยใจคอ เช่น ความรัก ความภาคภูมิใจ ความซื่อสัตย์ และความจริงใจนั้นอยู่คงทน ดังนั้น ให้เรียนรู้ที่จะชื่นชมยินดีกับความงามตามธรรมชาติ บุคลิกที่ดี มิตรแท้และครอบครัว
    • สร้างรายการคำคุณศัพท์ด้านบวกที่ใช้อธิบายตัวเองและคนอื่นๆ รอบๆ ตัว เช่น ความน่าเชื่อถือ ความน่าไว้ใจ ความรัก คำเหล่านี้นั้นเป็นอุปนิสัยที่ยอดเยี่ยมที่คนเราอาจจะมองข้ามไป ให้ค้นหาว่าคุณค่าของตัวเองและคนอื่นๆ คืออะไร จากนั้นให้พยายามสังเกตเห็นเมื่ออุปนิสัยเหล่านี้แสดงออกมาทั้งจากตัวเองและผู้อื่น
    • ลองชื่นชมคุณค่าในตัวคนอื่นมากกว่ารูปลักษณ์หรือสิ่งของที่เขามี (คุณอาจจะยังทำอยู่ แต่ให้เพิ่มการชื่นชมคนโดยมองจากคุณค่าภายใน) ให้พูดกับเพื่อนว่า “ฉันชื่นชมคุณนะว่าฉันสามารถพึ่งพาคุณและคุณซื่อสัตย์กับฉันมากแค่ไหน แม้ว่าความเห็นของคุณจะไม่ตรงกับฉัน แต่ฉันก็สามารถเชื่อใจคุณเพื่อไปต่อได้ ขอบคุณมากนะ”
  4. คุณรู้สึกกับตัวเองอย่างไร ชีวิตของคุณก็จะเป็นอย่างนั้น การพูดกับตัวเองอาจจะสร้างหรือทำลายตัวคุณได้ ถ้าคุณพูดกับตัวเองในสิ่งที่ดีจะช่วยให้มีความมั่นใจ เพิ่มความสามารถในการรับรู้ความสามารถของตนเอง และช่วยให้มีอารมณ์ที่ดีขึ้น ในทางกลับกัน ถ้าคุณพูดกับตัวเองในเรื่องแย่ ผลที่ได้ก็จะทำให้เกิดวงจรแห่งความซึมเศร้า ความวิตกกังวล และมีความเคารพตนเอง (Self-esteem) ต่ำ ให้ทำตามขึ้นตอนดังต่อไปนี้เพื่อเปลี่ยนแปลงลักษณะการพูดกับตัวเอง [5] [6]
    • มีสติอยู่กับความคิดของคุณ ถามตัวเองว่าความคิดเหล่านั้นทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นหรือแย่ลง
    • เมื่อคุณพบว่าตัวเองมีความคิดด้านลบ ให้เปลี่ยนเป็นความคิดด้านบวก ยกตัวอย่างเช่น ให้พิจารณาความคิดเหล่านี้ “ฉันไม่มีค่าเลย ฉันคงหางานที่ชอบไม่ได้” ประโยคนี้เป็นประโยคด้านลบที่ชัดเจน ซึ่งจะปิดกั้นการเติบโตและโอกาสในอนาคต ให้เปลี่ยนประโยคแบบนี้เพื่อให้เป็นความคิดด้านบวกและมีความหวัง เช่น “ฉันมีความสามารถและพรสวรรค์มากมาย ฉันจะต้องหางานประจำหรืองานนอกเวลาที่ช่วยพัฒนาความสามารถและอนาคตของฉันได้”
    • พูดกับตัวเองว่าคุณควรจะพูดกับเพื่อนรักอย่างไร คุณไม่ควรจะดูถูกหรือวิจารณ์เพื่อนรักของคุณ แต่ควรที่จะแสดงความรักและพูดถึงข้อดีที่ตัวเขาไม่ได้คิดถึง ให้แสดงความรักแบบนี้กับตัวเองด้วย
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 3:

อย่าเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. เมื่อคุณเปรียบเทียบชีวิตของตัวเองกับคนอื่น คุณก็จะมองข้ามความสำเร็จของตัวเอง การเปรียบเทียบนั้นเป็นตัวขโมยความสุข และคุณจะไม่มีวันรู้สึกว่าชีวิตของคุณนั้นน่าอัศจรรย์ เพราะมาตรฐานความสำเร็จที่คุณตั้งนั้นเกิดจากความสำเร็จของผู้อื่น จำไว้เสมอว่าในโลกนี้มีคนที่ฉลาดกว่า เร็วกว่า และรวยกว่าเราเสมอ แต่ถึงอย่างนั้น “คุณ” ก็มีเพียงคนเดียวในโลก ให้ใช้เวลาในการระลึกสิ่งมหัศจรรย์ที่สร้างประโยชน์ให้กับชีวิตของคุณ
    • หลังจากพิจารณาความแข็งแกร่งของตัวเองแล้ว ให้เขียนลงในเศษกระดาษ แล้วติดเอาไว้หน้ากระจกในจุดที่คุณสังเกตเห็นได้ทุกๆ เช้า แล้วเก็บอีกอันไว้ในกระเป๋าเงินและในที่กันแดดบนรถของคุณ ให้คิดถึงข้อเตือนใจถึงสิ่งที่คุณต้องทำเอาไว้
    • ถ้าคุณพบว่าการค้นหาจุดแข็งในตัวเองนั้นยากเกินไป ให้ลองทำกิจกรรมสำรวจตัวเอง (Self-exploration activity) เพื่อค้นหา โดยการนำปากกาและกระดาษออกมา แล้วสะท้อนประสบการณ์ดีๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของคุณ ให้คิดถึงวิธีที่คุณจัดการกับประสบการณ์เหล่านี้และคิดถึงว่าคุณจัดการมันได้ยอดเยี่ยมขนาดไหน พิจารณาว่ากิจกรรมและโครงการอะไรที่คุณมีความสุขในการทำมากที่สุด สิ่งเหล่านี้จะช่วยแสดงให้คุณเห็นถึงจุดแข็งในตัวเอง [7]
  2. เมื่อคุณเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นๆ และวิถีชีวิตของคนเหล่านี้ คุณจะหมกมุ่นอยู่กับความคิดที่ว่าพวกเขามีชีวิตที่ดีกว่าคุณได้ง่าย สิ่งแรกที่ต้องทำคือจำไว้ว่าการเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผล ต่อมาคือ คุณไม่มีทางรู้ว่าชีวิตหลังความเฉิดฉายของพวกเขาจริงๆ แล้วนั้นเป็นอย่างไร รูปลักษณ์ภายนอกนั้นอาจจะปกปิดความเจ็บปวด หนี้สิน ความเศร้า ความโกรธ ความเหนื่อยล้า ความเบื่อหน่ายไว้มากมายมหาศาลก็ได้ใครจะไปรู้ อย่าไปหลงเชื่อเพียงแค่เปลือกนอก คนที่มีชื่อเสียงก็ยังเป็นคนปกติ ไม่ต่างจากพวกเรา [8]
  3. ตามที่กล่าวไปข้างต้น ทุกๆ คนมีอุปนิสัยที่พึงปรารถนาและไม่พึงปรารถนา เมื่อคุณพบว่าคุณหมกมุ่นอยู่กับข้อเสียของตัวเองและประเมินจุดแข็งคนอื่นสูงเกินไป คุณต้องหยุดและตรวจสอบโดยตั้งอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง การสังเกตการพูดกับตัวเองและคอยฟังอย่างใกล้ชิดว่าคุณพูดกับตัวเองว่าอะไรบ้าง ความคิดที่ไม่สมเหตุสมผลหรือเป็นความคิดด้านลบประมาณว่า “ทุกคนมีเสื้อผ้าดีๆ ใส่ ยกเว้นฉัน” ถ้าคุณมองรอบๆ ตัว คุณอาจจะพบว่าความคิดนั้นไม่ได้เป็นจริงเสมอไป
  4. อีกเหตุผลหนึ่งที่คุณอาจจะรู้สึกไม่ดีกับชีวิตก็คือคุณนั้นไม่ได้ใช้ทักษะและความสามารถอย่างเต็มที ค้นหาวิธีที่จะทำให้ชีวิตมีความหมาย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณชอบแต่งเพลง ก็ลองไปแต่งเพลงให้กับองกรณ์ทางศาสนาดู
    • ในทางตรงกันข้าม คุณอาจจะรู้สึกไม่พึงพอใจในชีวิตเพราะชีวิตไม่มีความท้าทาย ให้คิดถึงวิธีที่จะทำให้ชีวิตนั้นน่าตื่นเต้น ไม่ว่าจะเป็นการเรียนภาษาใหม่ๆ หางานอดิเรกใหม่ๆ หรือสอนทักษะที่คุณเชี่ยวชาญให้กับคนอื่น
    • อีกหนึ่งวิธีที่จะท้าทายคุณก็คืองานอดิเรก งานอดิเรกนั้นช่วยให้ความสัมพันธ์ทางสังคมนั้นแข็งแรงขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างความเคารพตัวเองและการรับรู้ถึงความสามารถของตัวเอง [9]
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 3:

เสริมสร้างความกตัญญูในใจ

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. ปลูกฝังหัวใจให้มีความกตัญญู . ความกตัญญูเป็นสิ่งหนึ่งที่คนที่รู้สึกว่าตัวเองด้อยค่านั้นขาดแคลน ถ้าคุณสามารถออกมามองโลกภายนอกและมองเห็นว่าคุณนั้นมีดีมากแค่ไหน คุณก็จะรู้สึกเหมือนกับว่าชีวิตของคุณนั้นมีค่ามากขึ้น ถ้าคุณไม่ได้มีโรคภัยร้ายแรงที่ถึงแก่ชีวิต ถ้าคุณยังมีอะไรให้ทาน ยังมีที่ซุกหัวนอน ยังมีคนให้คุย นั่นหมายความว่าคุณมีชีวิตที่ดีกว่าคนอื่นๆ กว่า 70% ของโลกใบนี้ [10] [11]
    • เริ่มต้นด้วยการบันทึกความกตัญญูหรือดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นบนมือถือเพื่อบันทึกสิ่งที่อยากจะขอบคุณ ให้ทำแบบนี้เป็นประจำเพื่อเริ่มต้นที่จะมองทุกสิ่งในโลกในด้านบวก
  2. สังเกตช่วงเวลาเล็กๆ แต่มีความหมายในชีวิตของคุณ. คิดย้อนไปเมื่อคุณรู้สึกว่าได้ใช้ชีวิตอย่างจริงจังและมีความหมาย อาจจะเป็นช่วงที่คุณคอยสนับสนุนเพื่อนให้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้ หรืออาจจะเป็นช่วงที่คุณได้ทำให้ใครคนนึงรู้สึกว่าตัวเขานั้นเป็นคนพิเศษหรือเป็นคนรัก ให้นึกถึงความรู้สึกที่คุณได้พบเจอในช่วงเวลาเหล่านั้น สังเกตว่าคุณนั้นมีสิ่งที่สำคัญเกิดขึ้นในชีวิตเป็นประจำซึ่งจะช่วยให้เห็นถึงคุณค่าในตัวคุณ
  3. ตระหนักว่าการเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ. คุณอาจจะไม่มีครอบครัว ในกรณีนี้คุณต้องพัฒนาความสัมพันธ์ที่คุณมีกับเพื่อนสนิทแทน ถ้าคุณมีลูก มีคู่ครอง มีพ่อแม่ พี่น้อง หรือเพื่อนรัก คุณนั้นเป็นคนที่โชคดีมาก นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าคนที่ไม่ค่อยมีความสัมพันธ์กับสังคนนั้นมีโอกาสที่จะเสียชีวิตก่อนวัยอันควรถึง 50% เลยทีเดียว [12]
    • ทั้งนี้เพราะการรักษาความสัมพันธ์ดีๆ ที่มีกับครอบครัวและเพื่อนฝูงนั้นมีผลต่อสุขภาพของคุณในระยะยาว ดังนั้น คุณควรทำสิ่งที่ช่วยให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ให้เพื่อนและครอบครัวรู้ว่าคุณชื่นชมพวกเขาและพวกเขามีบทบาทสำคัญต่อชีวิตของคุณ
  4. ไม่มีอะไรที่ทำให้คุณรู้สึกมีคุณค่า รู้สึกเป็นที่ต้องการ และรู้สึกว่าเป็นคนสำคัญไปมากกว่าการเป็นอาสาสมัครเพื่อช่วยเหลือและจุนเจือผู้อื่นที่ไม่ได้โชคดีอย่างคุณ ลองไปช่วยคนสูงวัย สอนเด็กๆ ที่ศูนย์เรียนรู้หลังเลิกเรียน เลี้ยงอาหารคนไร้บ้าน ช่วยคนสร้างบ้าน (มูลนิธิที่อยู่อาศัยเพื่อมนุษยชาติ) หรือแจกของเล่นให้เด็กกำพร้าในวันคริสมาสต์จะช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นได้
    • การเป็นอาสาสมัครนั้นช่วยลดความเครียด เสริมสร้างความมีประโยชน์ในตนเอง เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และสร้างความแตกต่างให้กับชุมชนของคุณ [13]
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • สำหรับบางคนนั้น คำแนะนำที่เขียนมานี้จะได้ผลถ้าคุณอยู่ในความเป็นจริงมากกว่าความเชื่อ อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณเป็นคนที่เลื่อมใสในความเชื่อใดๆ ก็ให้ความศรัทธาที่คุณมีช่วยคุณผ่านช่วงเวลานี้ไปให้ได้ ถ้าคุณไม่ศรัทธาในความเชื่อแต่อาจจะนับถือศาสนา ก็ให้ไปที่มัสยิด โบสถ์พระ โบสถ์คริสต์ หรือพูดคุยกับเพื่อนเกี่ยวกับศาสนาของเขาว่าคำสอนของศาสนานั้นช่วยให้เขาผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากได้อย่างไร แต่ถ้าคุณไม่เชื่อเรื่องศาสนาใดๆ เลย คุณอาจจะสงบจิตใจด้วยการทำสมาธิ
  • บางครั้งเราก็รู้สึกว่าชีวิตนั้นไม่น่าตื่นเต้นเพราะเราแค่ทำงานที่เราต้องทำเพื่อมีชีวิตต่อไป ให้ใช้เวลาในการทำงานอดิเรกใหม่ๆ หรืออาจจะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เช่น เรียนภาษาอื่นๆ การใช้เวลาทำสิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแค่ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ แต่ยังช่วยให้คุณมีความพึงพอใจในชีวิตเมื่อคุณเริ่มเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 15,808 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา