ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

คุณอาจต้องการแฝงตัวเข้าไปในฐานลับพร้อมกับเหล่านินจาคนอื่นๆ เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืน หรือแค่อยากขับรถกลับบ้านในยามค่ำคืนอย่างปลอดภัยหลังจากเลิกงาน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด การเพิ่มขีดความสามารถในการมองเห็นในเวลากลางคืนล้วนต้องอาศัยการฝึกฝน ต้องดูแลสุขภาพให้สมบูรณ์แข็งแรงอยู่เสมอ และต้องปกป้องดวงตาของคุณจากอันตรายต่างๆ

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 4:

เพิ่มขีดความสามารถในการมองเห็นในที่มืด

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เซลล์รูปแท่ง (Rod cells) ของคนเราต้องใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที ในการปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงของแสงสว่างรอบๆ ตัว เจ้าเซลล์ประสาทรูปแท่งนี้สามารถมองเห็นได้แค่สีดำกับสีขาว และภาพที่รับได้ก็ไม่ค่อยชัดอีกต่างหาก แต่เจ้าเซลล์ตัวนี้สามารถมองเห็นในเวลากลางคืนได้ไวแบบสุดๆ
    • สารรับสี (Photopigment) คือสารเคมีที่มีอยู่ทั้งในเซลล์รูปแท่งและเซลล์รูปกรวย ซึ่งเป็นเซลล์ที่ไวต่อแสงและทำหน้าที่ในการแปลงสิ่งที่คุณมองเห็นเป็นภาษาที่สมองของคุณสามารถเข้าใจได้ ในขณะที่สารโรดอปซิน (Rhodopsin) คือ สารรับสีที่พบในเซลล์รูปแท่งและมีความสำคัญต่อการมองเห็นในยามค่ำคืน
    • ความสามารถในการปรับตัวกับความมืดของคุณอาจขึ้นอยู่กับบางสิ่งบางอย่างที่อยู่เหนือการควบคุม เช่น อายุ อาการบาดเจ็บหรือความเสียหายที่เคยขึ้นกับดวงตา หรือสภาพดวงตาของคุณในตอนนี้
    • ถ้าต้องการมองเห็นในที่มืด คุณต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่จะช่วยให้คุณใช้ประโยชน์จากเจ้าเซลล์รูปแท่งได้มากยิ่งขึ้น รวมถึงวิธีการที่จะทำให้ดวงตาของคุณปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของแสงสว่างได้เร็วยิ่งขึ้น
    • ถ้าคุณกำลังพยายามมองไปยังแสงไฟสลัวๆ ต้องไม่มองไปที่แสงไฟนั้นตรงๆ เพื่อกระตุ้นให้เซลล์รูปแท่งออกมาทำหน้าที่แทนเซลล์รูปกรวย เพราะโดยปกติเซลล์รูปกรวยจะทำงานถ้าคุณจ้องไปที่แสงไฟสลัวตรงๆ และนี่ก็เป็นเทคนิคที่เหล่านักดาราศาสตร์มักใช้กัน
  2. เซลล์รูปแท่งไม่สามารถรับรู้แสงสีแดง เพราะฉะนั้น ถ้าคุณสวมแว่นตาสีแดงสัก 20-30 นาทีก่อนเข้าไปในที่มืด จะทำให้คุณสามารถรับรู้การเคลื่อนไหวรอบตัวคุณได้เร็วยิ่งขึ้น [1]
    • แว่นตาสีแดงจะปิดกั้นแสงทั้งหมดในช่วงคลื่นที่ตามองเห็น (visible spectrum) ยกเว้นแสงสีแดง จึงทำให้เซลล์รูปแท่งของคุณสามารถปรับตัวเข้ากับ “ความมืด” ในลักษณะต่างๆ ได้ก่อนที่คุณจะมุ่งหน้าไปยังพื้นที่เป้าหมาย
    • นี่เป็นเทคนิคที่เหล่านักบินใช้กันทั่วไปเมื่อไม่มีเวลานั่งในที่มืดสนิทเพื่อปรับตัวก่อนบินเที่ยวกลางคืน
  3. เพราะแสงสว่างจ้าจะบีบให้รูม่านตาของคุณหดเล็กลงและทำให้คุณมองเห็นได้ไม่ชัดในเวลากลางคืน [2]
    • รูม่านตาของคนเราจะทำงานเหมือนรูรับแสงของกล้อง มันจะหดตัวหรือขยายออกตามปริมาณแสงที่เข้าสู่นัยน์ตา ดังนั้น ยิ่งมีแสงมาก รูม่านตาก็จะยิ่งหดเล็กลง แต่ในยามที่มีแสงน้อย รูม่านตาของเราจะขยายออกเพื่อให้แสงผ่านเข้าตามากที่สุด
    • การมองไปที่แหล่งกำเนิดแสงตรงๆ จึงเป็นการเพิ่มเวลาที่ดวงตาของคุณต้องใช้ในการปรับตัวหรือปรับเปลี่ยนการรับแสงในที่ที่มีแสงน้อย
    • ในกรณีที่จำเป็นต้องมองไปที่แหล่งกำเนิดแสงตรงๆ ให้บังหรือปิดตาข้างหนึ่งไว้ หรือค่อยๆ เปลี่ยนทิศทางการมองจนกว่าคุณจะมองเลยผ่านแหล่งกำเนิดแสงไป
  4. เพิ่มความสามารถในการมองเห็นในเวลากลางคืนขณะขับรถ. ทำตามขั้นตอนต่างๆ ต่อไปนี้ก่อนที่จะเข้ารถ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการมองเห็นขณะขับรถในเวลากลางคืน [3]
    • อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าคุณควรหลีกเลี่ยงการมองไปที่แหล่งกำเนิดแสงที่ผ่านเข้ามาตรงๆ แต่ในกรณีที่มีรถเลี้ยวโค้งเข้ามาพร้อมเปิดไฟสูง ให้คุณปิดตาข้างหนึ่งเอาไว้เพื่อไม่ให้ดวงตาทั้ง 2 ข้างเกิดอาการ “ตาพร่า” ขึ้นพร้อมๆ กัน วิธีการนี้จะช่วยให้คุณปรับตัวเข้ากับความมืดได้อีกครั้งได้ง่ายขึ้น
    • มองไปที่เส้นสีขาวทางด้านขวาสุดของด้านในขอบถนน วิธีการนี้จะช่วยให้คุณยังขับขี่ได้อย่างปลอดภัย ยังคงมองเห็นการเคลื่อนไหวรอบตัวคุณโดยอาศัยกรอบสายตารอบนอก และสามารถหลีกเลี่ยงการมองไฟสูงของรถคันอื่นตรงๆ ได้ในขณะเดียวกัน
    • ลดความสว่างของแสงไฟบนแผงหน้าปัดโดยให้คงอยู่ในระดับที่ปลอดภัย เพื่อเพิ่มศักยภาพการมองเห็นขณะขับรถในเวลากลางคืน และปรับตั้งกระจกมองข้างให้เหมาะสำหรับเวลา “กลางคืน” เพื่อลดแสงจ้าจากรถคันหลัง
    • ทำความสะอาดไฟหน้า ใบปัดน้ำฝน และกระจกหน้าอย่างสม่ำเสมอ เพราะรอยด่างบนกระจกหน้าเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดแสงจ้าขณะขับรถในเวลากลางคืน
    • หมั่นตรวจตราซ่อมบำรุงรถของคุณเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นการปรับไฟหน้าหรือไฟตัดหมอก เพราะการปรับเพียงแค่องศาเดียวก็ช่วยป้องกันไม่ให้แสงสว่างจากรถของคุณสร้างแสงจ้ารบกวนรถคันอื่นได้แล้ว
  5. ให้ดวงตาของคุณปรับตัวเข้ากับความมืดเองตามธรรมชาติ. วิธีการที่ดีที่สุดในการมองเห็นในที่มืด คือการนั่งชิวๆ ในที่มืดสนิทสัก 20-30 นาที เพื่อให้ร่างกายของคุณค่อยๆ ปรับตัวให้ชินกับสภาพแวดล้อม [4]
    • ถ้าอยากให้ดวงตาปรับตัวเข้ากับความมืดได้เร็วขึ้น ให้ลองใส่ผ้าปิดตาหรือแค่ปิดหรือบังตาของคุณไว้ เพื่อให้ดวงตาของคุณมีเวลาปรับตัวก่อนที่จะเข้าสู่สมรภูมิมืด
    • ลองใช้ผ้าปิดตาแบบโจรสลัด เพราะการปิดตาข้างหนึ่งไม่ให้รับแสงสักประมาณ 20-30 นาทีจะทำให้ดวงตาข้างนั้นชินกับความมืดได้ก่อนที่คุณจะเข้าสู่ที่มืดจริงๆ [5]
  6. ดวงตาของคุณจะมีจุดบอดตามธรรมชาติ การเดินคลำทางในพื้นที่มืดสนิทจึงอาจเกิดปัญหาถ้าคุณพยายามจ้องไปที่กลางวัตถุตรงๆ [6]
    • ขณะที่คุณกำลังเดินฝ่าความมืดไปข้างหน้า ให้พยายามมองไปที่ด้านข้างของวัตถุที่คุณคิดว่ามีอยู่ตรงนั้นหรือมองเบี่ยงออกไปจากกึ่งกลางของเส้นทางที่คุณกำลังเดิน วิธีการนี้จะทำให้กรอบสายตารอบนอกของคุณสามารถจับการเคลื่อนไหวและรูปทรงของวัตถุได้ดีกว่าการพยายามมองไปที่วัตถุตรงๆ
    • การใช้กรอบสายตารอบนอกจะกระตุ้นการทำงานของเซลล์รูปแท่งได้มากกว่า ซึ่งถือเป็นกุญแจสำคัญในการค้นหาเส้นทางผ่านพื้นที่อันมืดมิด รวมถึงในการระบุรูปทรงของวัตถุและการตรวจจับการเคลื่อนไหว
  7. จำได้ใช่ไหมว่าเซลล์รูปแท่งของคุณไม่สามารถมองเห็นสีหรือรายละเอียดของสิ่งต่างๆ แต่มันก็เป็นผู้นำทางในความมืด [7]
    • ท้องฟ้ายามค่ำคืนยังพอมีแสงสว่าง การที่คุณลดตัวลงให้อยู่ในระดับต่ำมากที่สุดจะทำให้แสงจากท้องฟ้ากลางคืนหรือจากหน้าต่างสร้างสีที่ตัดกันมากพอให้เซลล์รูปแท่งในดวงตาของคุณทำงานได้ง่ายขึ้น
    • ในการฝึกศิลปะป้องกันตัวบางชนิด นักเรียนมักจะถูกสอนให้ก้มตัวลงต่ำให้มากที่สุด เพื่อให้แสงจากท้องฟ้าสะท้อนให้เห็นวัตถุและศัตรูผ่านการสร้างเงา
    • แม้เซลล์รูปแท่งในตาของคุณจะไวต่อการรับแสงมากกว่าเซลล์รูปกรวย แต่มันสามารถแยกแยะได้แค่สีดำกับสีขาว แถมยังให้ภาพคุณภาพต่ำโดยอาศัยการตัดกันของสีจากแหล่งกำเนิดแสงด้านหลังวัตถุ
  8. หลับตาให้สนิทแล้วใช้ฝ่ามือกดลงไปบนดวงตาเบาๆ [8]
    • หลังจากนวดได้ซัก 5-10 วินาที สีดำตามปกติจะเปลี่ยนเป็นสีขาวอยู่ประมาณ 2-3 วินาที เมื่อสีขาวจางไปและสีดำกลับเข้ามาแทนที่ ให้คุณลืมตาขึ้น จากนั้นคุณจะสามารถมองเห็นในที่มืดได้ดีขึ้น
    • มีการรายงานว่าหน่วยรบพิเศษ Special Forces ก็ใช้เทคนิคที่คล้ายๆ กันนี้ โดยการปิดตาให้แน่นสนิทประมาณ 5-10 วินาทีเมื่อต้องเข้าไปในที่มืด แม้ประสิทธิภาพของเทคนิคนี้ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ แต่ก็ถือว่าได้ผลสำหรับบางคน
  9. ใช้ประสาทสัมผัสทั้งหมดเพื่อให้คุณ “มองเห็น”. และต้องไม่ลืมเคลื่อนตัวด้วยความระมัดระวังถ้าคุณจะลองใช้เทคนิคนี้ก่อนที่ดวงตาของคุณจะปรับตัวเข้ากับความมืดได้ [9]
    • ให้เท้าทั้ง 2 ข้างอยู่บนพื้น กางแขนออก และค่อยๆ เคลื่อนตัวไปช้าๆ พร้อมเงี่ยหูฟังเสียงต่างๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจบอกได้ว่ามีประตู ห้องโถง หรือหน้าต่างอยู่ใกล้ๆ และอย่าลืมขยับมือขยับแขนไปด้วยเพื่อไม่ให้เดินชนต้นไม้หรือขอบประตูที่เปิดอยู่
  10. มีการวิจัยอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับการทำงานกับคนตาบอด แม้จะยังไม่เป็นผลแต่ก็มีความหวังให้เห็นลางๆ งานวิจัยเหล่านี้พยายามพัฒนาขีดความสามารถในการสร้างเสียงคลิกด้วยการใช้ลิ้น หรือที่เรียกว่า “แฟลช โซนาร์” (Flash Sonar) ซึ่งคล้ายกับคลื่นเสียงโซนาร์ที่พวกค้างคาวใช้
    • เมื่อใช้คลื่นแฟลช โซนาร์ เราจะสามารถค้นหาตำแหน่งของวัตถุต่างๆ ที่อยู่ด้านหน้าและรอบๆ ตัวได้อย่างเหลือเชื่อ ตัวอย่างเช่น มีคนๆ หนึ่งสาธิตการใช้วิธีการนี้ด้วยการใช้เสียงคลิกจากการเดาะลิ้นเพื่อ “สแกน” พื้นที่ด้านหน้าของเธอ จนกระทั่งเธอสามารถระบุตำแหน่งของหม้อที่อีกคนถืออยู่ได้สำเร็จ และด้วยการเดาะลิ้นอีกแค่ไม่กี่ครั้ง เธอก็สามารถระบุทั้งชนิดและรูปร่างของฝาหม้อได้แล้ว
    • ผู้พิสูจน์อีกท่านซึ่งเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านแฟลช โซนาร์ สามารถขี่จักรยานเสือภูเขาผ่านเส้นทางวิบากและหลบหลีกสิ่งกีดขวางโดยไม่เกิดอุบัติเหตุได้สำเร็จโดยอาศัยเทคนิคนี้
    • ผู้เชี่ยวชาญด้านแฟลช โซนาร์กล่าวว่าทักษะเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถพัฒนาขึ้นได้
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 4:

การปกป้องและเพิ่มความแข็งแรงให้กับสายตา

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เพราะการเจอแสงแดดจ้าและรังสีอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์เพียง 2-3 ชั่วโมงก็อาจทำให้ความสามารถในการปรับตัวเข้ากับความมืดลดลงได้ [10]
    • การปล่อยให้ดวงตาเจอแสงแดดจ้าในเวลากลางวันโดยไม่สวมแว่นกันแดดจะทำให้คุณปรับตัวเข้ากับความมืดได้ช้าลงประมาณ 10 นาที ในทุกๆ 2-3 ชั่วโมงที่เจอแดดจ้า
    • และไม่ใช่เท่านั้น นอกจากจะปรับตัวเข้ากับความมืดได้ช้าลงแล้ว ระดับการมองเห็นในเวลากลางคืนของคุณยังลดลงอีกด้วย เช่น ถ้าคุณเจอแสงแดดจ้าอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 10 วัน โดยไม่สวมอุปกรณ์ป้องกันดวงตา จะทำให้ความสามารถในการมองเห็นในเวลากลางคืนของคุณลดลงถึง 50% เลยทีเดียว
    • เมื่อเวลาผ่านไป ความสามารถของทั้งเซลล์รูปแท่ง เซลล์รูปกรวย และสารรับสีในดวงตาของคุณจะกลับคืนสู่ปกติ โดยแต่ละคนอาจได้รับผลกระทบเป็นเวลาต่างกันไป
    • แนะนำให้ใช้แว่นกันแดดที่มีเลนส์สีเทากลางๆ ซึ่งสามารถส่งผ่านแสงที่ดวงตามองเห็นได้ประมาณ 15%
  2. หากคุณทำงานในเวลากลางคืน ควรปรับความสว่างบนหน้าจอคอมให้ต่ำที่สุด [11]
    • เพราะการจ้องตรงๆ เข้าไปในหน้าจอคอมที่สว่างจ้าในขณะที่ห้องทั้งห้องมืดสุดๆ จะทำให้ความสามารถในการมองเห็นในเวลากลางคืนลดลงอย่างมาก และนี่ถือเป็นเทคนิคง่ายๆ ที่ทำได้เร็ว เพื่อให้คุณมองเห็นได้ชัดขึ้นในเวลากลางคืน
    • มีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ช่วยปรับความสว่างของหน้าจอตามเวลาของวันด้วยนะ
  3. โดยการพักจากการจ้องหน้าจอคอม การอ่านหนังสือ หรือการจ้องอะไรสักอย่างแบบไม่วางตานานขึ้นอีกสักนิด [12]
    • พักสายตาบ่อยๆ ทุกๆ 20 นาทีเมื่อต้องใช้สายตาอย่างหนัก โดยเฉพาะเมื่อต้องจ้องหน้าจอคอม โดยการพักจากงานและมองออกไปไกลๆ สัก 20 วินาที เพื่อให้ดวงตาของคุณได้มองภาพในมุมกว้างบ้าง
    • พักสายตาสัก 15 นาที ทุกๆ 2 ชั่วโมง เมื่อต้องจ้องหน้าจอคอมหรืออะไรก็ตามที่ต้องเพ่งมองอย่างต่อเนื่อง
    • ป้องกันไม่ให้ดวงตาเกิดอาการล้า โดยการพักงีบในระหว่างวันซัก 5 หรือ 10 นาที เพียงแค่หลับตาและค่อยๆ นวดเบาๆ โดยไม่จำเป็นต้องถึงขนาดนอนหลับเพื่อพักสายตา
  4. 4
    เลิกสูบบุหรี่. คนส่วนใหญ่ทราบกันดีว่าการสูบบุหรี่นั้นมาพร้อมความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งปอด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) ฯลฯ แต่หลายคนยังไม่รู้ว่าการสูบบุหรี่อาจนำไปสู่โรคทางสายตาที่ร้ายแรง หรืออาจถึงขั้นตาบอดได้เลยทีเดียว [13] เพราะสารนิโคตินอาจทำให้ดวงตาของคุณหยุดผลิตสารที่เรียกว่าโรดอปซิน ซึ่งเป็นสารสีที่มีความสำคัญต่อการมองเห็นในเวลากลางคืน
    • ถ้าคุณเลิกสูบบุหรี่ คุณอาจกลับมามองเห็นในเวลากลางคืนได้อีกครั้ง
  5. การใช้กรอบสายตารอบนอกมีความสำคัญต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการมองเห็นในสถานที่ที่มีแสงน้อย [14]
    • กรอบสายตารอบนอกของคุณหรือสิ่งที่คุณมองเห็นจากขอบตามักจะเป็นการเคลื่อนไหวเสียส่วนใหญ่ การมองในลักษณะนี้จะอาศัยเซลล์รูปแท่งในดวงตาของคุณ
    • คุณสามารถเรียนรู้วิธีการบริหารกรอบสายตารอบนอกเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการมองเห็นในที่ที่มีแสงน้อย แม้คนส่วนใหญ่จะต้องฝึกอย่างหนักหน่วงกว่าจะสำเร็จก็ตาม
    • การบริหารสายตาเพื่อเพิ่มศักยภาพในการมองเห็น รวมถึงการมองด้วยกรอบสายตารอบนอก ถือเป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการมองเห็นในที่มืด
  6. ลองบริหารสายตาเหมือนที่ทำในการฝึกกีฬาต่างๆ. การเพิ่มความแข็งแรงให้กับกรอบสายตารอบนอกมีความสำคัญในหลายๆ สถานการณ์ รวมถึงในการเล่นกีฬาต่างๆ [15]
    • การบริหารนี้สามารถทำได้โดยใช้หลอดดูดน้ำสีเข้มๆ ทั่วๆ ไป โดยให้วาดเส้นสีดำรอบกึ่งกลางหลอด
    • หาผู้ช่วยมาสัก 1 คน ให้ถือหลอดไว้ในแนวนอน ในขณะที่คุณจะต้องยืนห่างออกมาจากหลอดประมาณ 1-2 ฟุต (0.3-0.6 เมตร) พร้อมถือไม้จิ้มฟันไว้ในมือข้างละอัน
    • ให้คุณจ้องไปที่เส้นสีดำ พร้อมกับมองปลายหลอดไปด้วยผ่านกรอบสายตารอบนอก
    • โฟกัสสายตาไปที่เส้นสีดำเพียงอย่างเดียว และพยายามวางไม้จิ้มฟันไปที่ปลายหลอดด้านใดด้านหนึ่งโดยห้ามละสายตาไปจากเส้นสีดำโดยเด็ดขาด
    • เมื่อเริ่มทำได้สบายๆ แล้ว ให้ลองนำหลอด 2 อันมาต่อกันเพื่ออัพระดับการฝึกให้ยากขึ้นอีกสักหน่อย
  7. อีกหนึ่งวิธีการเพิ่มศักยภาพในการมองเห็นในที่สว่างน้อยผ่านกรอบสายตารอบนอก คือการโฟกัสไปที่กรอบสายตารอบนอกโดยตรงและพยายามใช้มันให้มากขึ้นในช่วงแสงสว่างปกติ [16]
    • หาที่นั่งเงียบๆ โดยควรเป็นสถานที่กลางแจ้งที่มีสิ่งใหม่ๆ ให้มองเห็นเยอะๆ จากนั้นให้คุณมองตรงไปที่สิ่งของหรือวัตถุ 1 อย่าง ซึ่งจะเป็นอะไรก็ได้ที่อยู่ตรงหน้าคุณ
    • จดรายการทุกสิ่งที่คุณมองเห็นรอบๆ ตัวไว้ในใจ ทั้งสิ่งที่เคลื่อนไหวและไม่เคลื่อนไหว แต่ในขณะเดียวกันก็ห้ามละสายตาไปจากวัตถุแกนกลางแม้แต่วินาทีเดียว จากนั้นให้คุณพักสายตาและมองไปรอบๆ เพื่อดูสิว่าคุณพลาดอะไรไปบ้าง พร้อมจดโน๊ตไว้ในใจคร่าวๆ ว่าคุณสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ที่อยู่ห่างออกไปจากแกนกลางเป็นระยะประมาณเท่าไร
    • ลองทดสอบอีกครั้งในสถานที่ใหม่ เพื่อดูว่าคุณสามารถเพิ่มระยะที่สามารถมองเห็นสิ่งรอบตัวได้บ้างหรือไม่
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 4:

ปรับอาหารการกิน

ดาวน์โหลดบทความ
  1. หนึ่งในสัญญาณบ่งชี้ว่าร่างกายของคุณกำลังขาดวิตามินเอคืออาการตาบอดตอนกลางคืน [17]
    • ในอียิปต์ยุคโบราณมีการค้นพบว่าอาการตาบอดตอนกลางคืนอาจรักษาได้ด้วยการรับประทานตับ ซึ่งเราค้นพบในภายหลังว่าเป็นแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ
    • นอกจากนี้ หากร่างกายได้รับวิตามินเอในระดับต่ำอาจทำให้กระจกตาแห้ง และทำให้ดวงตาชั้นนอกขุ่นมัว ทำให้กระจกตาอักเสบ และสูญเสียการมองเห็นได้ในที่สุด รวมถึงอาจทำให้จอประสาทตาเสียหายและเกิดปัญหาที่เยื่อบุตา
    • อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ ได้แก่ แครอท บร็อคโคลี่ พืชตระกูลน้ำเต้า แคนตาลูป ปลา ตับ ซีเรียลที่อุดมไปด้วยสารอาหาร ผลิตภัณฑ์จากนม ผักเคล บลูเบอร์รี่ และแอปริคอท
    • แม้การรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินมากขึ้นจะช่วยเรื่องการมองเห็น แต่งานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้เผยให้เห็นว่า ในกรณีของวิตามินเอนั้น การรับประทานอาหารเสริมวิตามินจะทำให้คุณได้รับสารอาหารมากกว่าการรับประทานอาหารทั่วไป นอกจากนี้ การรับประทานวิตามินเอมากเกินไปก็ไม่ได้ทำให้ดวงตาของคุณแข็งแรงขึ้นแต่อย่างใด
    • อาหารเสริมวิตามินเอมีหลายรูปแบบให้เลือกซื้อทาน เช่น ในรูปแบบเม็ดหรือแคปซูล โดยความเข้มข้นของผลิตภัณฑ์จะมีทั้งเป็นไมโครกรัม (mcg) หรือยูนิต (unit) โดยเฉลี่ยแล้ว สำหรับผู้ใหญ่จะแนะนำให้ทานวิตามินเอวันละ 800-1000 ไมโครกรัม หรือถ้าคิดเป็นยูนิตก็จะอยู่ที่ประมาณ 2600-3300 ยูนิตต่อวัน
    • โปรตีนโรดอปซินที่พบในดวงตาจะแตกตัวเป็นเรตินัลและออปซินเมื่อเจอแสงแดด และจับตัวกันอีกครั้งเมื่ออยู่ในที่มืด หากร่ายกายขาดวิตามินเออย่างรุนแรงอาจทำให้เกิดอาการตาบอดตอนกลางคืน แต่การทานวิตามินเอในปริมาณมากก็ไม่ได้ช่วยให้เรามองเห็นได้ดีไปกว่าปกติ
  2. หากใส่ใจผักที่เลือกรับประทาน คุณจะได้รับคุณประโยชน์จากอาหารในการเพิ่มขีดความสามารถการมองเห็นในเวลากลางคืนรวมถึงบำรุงสายตาโดยรวมได้มากที่สุด [18]
    • ผักจำพวกเคล ผักโขม และคอนลาร์ดกรีนล้วนอุดมไปด้วยสารอาหารที่ช่วยปกป้องดวงตาของคุณด้วยการกรองแสงที่มีความยาวคลื่นซึ่งอาจทำลายจอประสาทตา
    • นอกจากนี้ อาหารเหล่านี้ยังทำหน้าที่ปกป้องดวงตาของคุณจากการเสื่อมสภาพต่างๆ เช่น โรคจอประสาทตาเสื่อมตามอายุ
  3. โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรทานอาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 ให้มากขึ้น [19]
    • กรดไขมันโอเมก้า 3 พบได้ในปลา โดยเฉพาะปลาที่มีกรดไขมันจำเป็นสูงอย่างแซลมอนและทูน่า รวมถึงในผักเคล น้ำมันผัก ถั่ว (โดยเฉพาะวอลนัท) เมล็ดแฟลกซ์และน้ำมันจากเมล็ดแฟลกซ์ รวมถึงผักกินใบชนิดต่างๆ
    • กรดไขมันโอเมก้า 3 สามารถป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อมและบำรุงสายตา ทำให้คุณมองเห็นได้ดียิ่งขึ้น และยังช่วยป้องกันอาการตาแห้งได้อีกด้วย
    • งานวิจัยหนึ่งพบว่าผู้ป่วยที่ทานปลาที่มีกรดไขมันจำเป็นสูงสัปดาห์ละครั้งจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมเนื่องจากหลอดเลือดงอกใหม่น้อยกว่าผู้ที่ไม่ทานถึงครึ่งหนึ่ง และหากทานในระยะยาวประมาณ 12 ปีขึ้นไป ความเสี่ยงก็จะยิ่งลดลงเนื่องจากในร่างกายมีระดับโอเมก้า 3 สูงขึ้น
  4. บิลเบอร์รี่ (Bilberry) เป็นพืชที่นำมาใช้ทำตัวยาหลายชนิด
    • งานวิจัยเกี่ยวกับบิลเบอร์รี่พบว่าเจ้าผลไม้ชนิดนี้มีคุณสมบัติในการรักษาโรคทางสายตาที่เกี่ยวข้องกับจอประสาทตา
    • งานวิจัยที่ให้ความหวังเกี่ยวกับเจ้าผลไม้ชนิดนี้มากที่สุดสนับสนุนให้นำผลของบิลเบอร์รี่ไปใช้ในการรักษาอาการเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของจอประสาทตาเนื่องจากโรคต่างๆ เช่น โรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง
    • มีการทดสอบคุณสมบัติของบิลเบอร์รี่ในการเพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็นในเวลากลางคืนด้วยเช่นเดียวกัน แต่ผลการวิจัยยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ ในขณะที่งานวิจัยบางตัวชี้ว่าบิลเบอร์รี่อาจมีคุณสมบัติในการเพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็นในเวลากลางคืน แต่ก็มีงานวิจัยอื่นๆ ที่ขัดแย้งกับผลการวิจัยดังกล่าว
    • การสรุปผลล่าสุดชี้ว่าบิลเบอร์รี่ “อาจไม่มีคุณสมบัติ” ในการเพิ่มความสามารถการมองเห็นในเวลากลางคืน
    • ผลบิลเบอร์รี่สดๆ อาจจะหาทานยากสักหน่อย คุณสามารถหาซื้อบิลเบอร์รี่ในรูปแบบของสารสกัดหรือที่นำมาทำเป็นแยมและเยลลี่แทน และต้องไม่ลืมอ่านคำแนะนำบนฉลากเพื่อดูว่าควรรับประทานในปริมาณเท่าไรต่อวัน
  5. ผิวของดวงตามีน้ำเป็นส่วนประกอบถึง 98% ถ้าคุณมีอาการตาแห้ง จะทำให้คุณประสบปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็นในเวลากลางคืนอย่างไม่ต้องสงสัย และอาการนี้ยังเชื่อมโยงกับอาการร่างกายขาดน้ำอีกด้วย [20]
    • การดื่มน้ำให้เพียงพอมีความสำคัญต่อสุขภาพโดยรวม แต่ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าการดื่มน้ำกับการบำรุงสายตามีความเชื่อมโยงกันโดยตรงจริงๆ หรือไม่
    • ผู้เชี่ยวชาญด้านสายตาบางท่านกล่าวว่าพฤติกรรมบางอย่างที่ส่งผลเสียต่อระดับน้ำในร่างกายจะลดคุณภาพในการมองเห็นรวมถึงสุขภาพตาโดยรวมด้วยเช่นกัน
    • ตัวอย่างเช่น การอยู่ในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูง สภาพอากาศมีความชื้นต่ำ หรือที่ที่มีแสงแดดจ้าอาจทำให้แผ่นน้ำตาชั้นในสุดเกิดอาการขาดน้ำ ซึ่งส่งผลเสียต่อการมองเห็นของคุณ
    • ปฏิบัติตามคำแนะนำในการดื่มน้ำ โดยควรดื่มน้ำให้ได้วันละ 1.9 ลิตร (64 ออนซ์) เพื่อให้ดวงตาของคุณมีสุขภาพดี แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะงานและปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมด้วยเช่นกัน
    โฆษณา
ส่วน 4
ส่วน 4 ของ 4:

เข้ารับการรักษา

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การดูแลสายตาไม่ว่าจะเพื่อการมองเห็นในเวลากลางวันหรือกลางคืนล้วนต้องอาศัยการพบจักษุแพทย์และ/หรือผู้เชี่ยวชาญในการวัดสายตา จักษุแพทย์ส่วนใหญ่จะแนะนำให้คุณไปพบแพทย์เป็นประจำทุกปี เพื่อให้มั่นใจว่าสายตาของคุณจะไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนัก [21]
    • หากคุณมองเห็นไม่ชัดในเวลากลางวัน คุณก็จะมองเห็นไม่ชัดในเวลากลางคืนด้วยเช่นกัน ลองนัดพบเพื่อปรึกษาคุณหมอเกี่ยวกับการมองเห็นในเวลากลางคืนดูนะ
    • ต้องแน่ใจว่าเลนส์ปรับสายตาที่คุณใช้เหมาะกับค่าสายตาในปัจจุบันของคุณ โดยธรรมชาติแล้ว สายตาของคนเราจะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา คุณจึงอาจต้องเปลี่ยนเลนส์แว่นตาเป็นครั้งคราว
  2. ปรึกษาคุณหมอเพื่อตรวจหาปัญหาที่อาจเกิดเนื่องจากอาการตาแห้ง [22]
    • ดวงตาที่สุขภาพดี มีความชุ่มชื้น และไม่ตึงเตรียดจะมองเห็นได้ดีกว่าทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน ในขณะที่ดวงตาที่อ่อนล้าและแห้งจะจับการเคลื่อนไหวได้ยากในพื้นที่ที่มีแสงน้อย
    • ใส่ใจดูแลดวงตาของคุณให้ชุ่มชื้นและผ่อนคลายอยู่เสมอ พยายามกะพริบตาถี่ๆ โดยเฉพาะเมื่อต้องจ้องหน้าจอคอม โน้ตบุ๊ค สิ่งพิมพ์ หรือหน้าจอทีวีเป็นประจำ
    • หากคุณกำลังประสบปัญหาตาแห้ง ควรใช้ยาหยอดยาชนิดน้ำเกลือเป็นประจำเพื่อลดอาการตาแดงและเพื่อให้ดวงตาชุ่มชื้นเพียงพอ หรืออาจปรึกษาคุณหมอเพื่อขอสั่งจ่ายผลิตภัณฑ์ดูแลดวงตาเพื่อรักษาอาการตาแห้งก็ได้เช่นเดียวกัน
  3. ปรึกษาคุณหมอเกี่ยวกับปัญหาเฉพาะที่คุณกำลังประสบ. เพราะในการตรวจทั่วๆ ไป คุณหมออาจไม่สอบถามเกี่ยวกับการมองเห็นในเวลากลางคืน [23]
    • อย่าลืมอธิบายปัญหาที่คุณมีเกี่ยวกับการมองเห็นในเวลากลางคืน แม้การเปลี่ยนแปลงของสายตามักมีสาเหตุมาจากความเสื่อมสภาพตามวัย แต่ในบางกรณีอาจเกี่ยวข้องและมีสาเหตุมาจากโรคที่ซุกซ่อนอยู่
    • ตัวอย่างของโรคและอาการที่อาจทำให้การมองเห็นเปลี่ยนแปลงไป ได้แก่ โรคต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อม สายตาเอียง ต้อหิน ภาวะสายตายาวตามวัย และสายตาสั้น/ยาว
  4. ตรวจหาโรคที่ซุกซ่อนอยู่ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้การมองเห็นเปลี่ยนแปลงไป. นัดคุณหมอประจำตัวของคุณเพื่อตรวจหาโรค เพราะโรคหรือการทานยาบางชนิดอาจเป็นสาเหตุของปัญหาสายตาได้เช่นเดียวกัน [24]
    • ตัวอย่างอาการที่อาจทำให้การมองเห็นของคุณเปลี่ยนแปลงไป ได้แก่ โรคเบาหวาน ปวดหัวไมเกรน การติดเชื้อ ต้อหิน ลมแดด ความดันโลหิตเปลี่ยนแปลงฉับพลัน หรืออาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นเฉียบพลัน เช่น ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ [25]
  5. นอกจากโรคและอาการต่างๆ แล้ว ยังมียาอีกหลายชนิดที่มีผลข้างเคียงทำให้การมองเห็นเปลี่ยนแปลงไป [26]
    • ตัวอย่างยาทั่วๆ ไปที่อาจทำให้สายตาของคุณมีความเปลี่ยนแปลง ได้แก่ ยาหย่อนกล้ามเนื้อ เช่น ไซโคลเบนซาพรีน ฯลฯ ยาขับปัสสาวะ เช่น ไฮโดรคลอโรไทอะไซด์ ฯลฯ และยาที่ใช้รักษาอาการชัก ปวดหัว และอารมณ์เปลี่ยนแปลงที่เรียกว่าโทพิราเมท
    • อย่าเปลี่ยนตัวยาเองโดยเด็ดขาด หากพบปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสายตาซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากยาที่คุณทาน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อปรับขนาดยาหรือหาตัวเลือกอื่นที่รักษาอาการของคุณได้เหมือนกันโดยไม่มีผลข้างเคียงด้านการมองเห็น
    โฆษณา
  1. http://www.aoa.org/optometrists/tools-and-resources/clinical-care-publications/aviation-vision/the-eye-and-night-vision
  2. http://www.aoa.org/patients-and-public/caring-for-your-vision/protecting-your-vision/computer-vision-syndrome?sso=y
  3. http://www.aoa.org/patients-and-public/caring-for-your-vision/protecting-your-vision/computer-vision-syndrome?sso=y
  4. http://www.cdc.gov/features/smoking-eyesight/
  5. http://www.aoa.org/optometrists/tools-and-resources/clinical-care-publications/aviation-vision/the-eye-and-night-vision?sso=y
  6. http://www.stack.com/2011/07/19/exercise-your-eyes-to-increase-peripheral-vision-for-athletics/
  7. http://www.stack.com/2011/07/19/exercise-your-eyes-to-increase-peripheral-vision-for-athletics/
  8. http://www.scientificamerican.com/article/fact-or-fiction-carrots-improve-your-vision/
  9. http://www.scientificamerican.com/article/fact-or-fiction-carrots-improve-your-vision/
  10. http://www.allaboutvision.com/nutrition/fatty_acid_1.htm
  11. http://www.optometricmanagement.com/articleviewer.aspx?articleID=106128
  12. http://www.mayoclinic.org/symptom-checker/vision-problems-adult/related-factors/itt-20009075
  13. http://www.mayoclinic.org/symptom-checker/vision-problems-adult/related-factors/itt-20009075
  14. http://www.mayoclinic.org/symptom-checker/vision-problems-adult/related-factors/itt-20009075
  15. https://nei.nih.gov/diabetes/content/english/protecting
  16. http://www.drugs.com/cg/blurred-vision-ambulatory-care.html
  17. http://www.drugs.com/search.php?searchterm=drugs+that+cause+vision+changes

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 30,075 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา