ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

เป็นเรื่องปกติที่เราจะเป็นหวัดจากเชื้อไวรัสเป็นบางครั้งบางคราว โรคหวัดนั้นจะเป็นและหายไปเองในเวลา 3-4 วัน แม้ว่าบางทีอาการบางอย่างอาจจะอยู่นานกว่านั้นเล็กน้อย อาการของโรคหวัดได้แก่ อาการน้ำมูกไหลหรือคัดจมูก เจ็บคอ ไอ ปวดร่างกาย จาม และเป็นไข้อ่อนๆ เมื่อคุณเป็นหวัดคุณก็จะรู้สึกไม่สบายและคุณก็คงอยากที่จะรู้สึกดีขึ้นมากที่สุดในทันที [1]

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 3:

บรรเทาอาการ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ชาร้อนๆ นั้นจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ ทำให้น้ำมูกและเสมหะไออกมาได้ง่าย ไอร้อนจากชาจะช่วยบรรเทาอาการอักเสบ ชาคาโมมายล์นั้นได้รับความนิยมมากเมื่อเป็นหวัดแต่ก็มีชาอื่นๆ อีกหลายอย่างที่ได้ผลดีเช่นกัน ชาดำและชาเขียวนั้นมีสารตามธรรมชาติที่สามารถจัดการกับหวัดได้ ชาเขียวนั้นสามารถทำให้ร่างกายของคุณกลับมาชุ่มชื้นอีกครั้งด้วย
    • ใส่น้ำผึ้งลงไปในชา น้ำผึ้งจะเคลือบที่ลำคอและระงับอาการไอของคุณ
    • ถ้าอาการหวัดนั้นทำให้คุณนอนไม่หลับ คุณสามารถเติมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชาและวิสกี้หรือเบอร์เบินวิสกี้ (Bourbon) 25 มิลลิลิตรลงไปในน้ำชาเพื่อช่วยให้คุณนอนหลับ ให้ดื่มแค่อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้นเพราะแอลกอฮอล์ที่มากเกินไปจะทำให้โรคหวัดแย่ลง [2]
  2. นี่จะช่วยทำให้คุณผ่อนคลาย ไอน้ำจะช่วยลดความเหนียวของน้ำมูก บรรเทาอาการอักเสบที่โพรงไซนัส และบรรเทาอาการแน่นจมูก คุณอาจจะต้องปิดประตูห้องน้ำไว้เพื่อกักไอน้ำให้อยู่ในห้อง สูดดมไอน้ำเป็นเวลา 10-15 นาที [3]
    • คุณสามารถเพิ่มน้ำมันหอมระเหยลงไปในน้ำก็ได้ เช่น น้ำมันยูคาลิปตัสหรือน้ำมันเปปเปอร์มินท์ เพื่อที่ไอน้ำจะได้ผลดีขึ้นในการจัดการกับอาการแน่นจมูก
  3. คุณไม่จำเป็นต้องอาบน้ำเพื่อที่จะได้รับประโยชน์จากไอน้ำ ให้ต้มน้ำ 1 หม้อ ลดความร้อนลงและยื่นหน้าให้ห่างจากหม้อน้ำที่ต้มอยู่ในระยะที่ปลอดภัย หายใจเอาไอน้ำช้าๆ ผ่านปากและจมูก ระวังไม่ให้น้ำลวกหรืออยู่ใกล้ไอน้ำร้อนๆ มากเกินไป
    • คุณสามารถเพิ่มน้ำมันหอมระเหยอย่างน้ำมันยูคาลิปตัสหรือน้ำมันเปปเปอร์มินท์ลงไป 2-3 หยด เพื่อให้การใช้ไอน้ำได้ผลดีมากยิ่งขึ้น
    • ถ้าคุณไม่สามารถต้มน้ำในเวลานั้นได้ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นและเอามาแปะคลุมหน้าไว้จนกระทั่งมันเย็น
  4. ทั้งยาพ่นและยาหยอดจมูกนั้นสามารถหาซื้อได้ที่ร้านขายยาหรือที่ร้านขายของชำ มันมีประสิทธิภาพอย่างมากในการบรรเทาอาการแห้งและแน่นจมูก นอกจากนี้ มันยังปลอดภัยและไม่ทำให้เยื่อบุโพรงจมูกระคายเคือง แม้แต่เด็กๆ ก็สามารถใช้ได้ ขอให้แน่ใจว่าได้ทำตามวิธีการใช้ที่อยู่บนฉลาก
    • ลองสั่งน้ำมูกเป็นเวลา 2-3 นาทีหลังจากที่ใช้สเปรย์น้ำเกลือหรือน้ำเกลือหยอดจมูก มันจะทำให้น้ำมูกออกมาง่ายขึ้น และจมูกของคุณจะโล่งไปสักพักหลังจากที่ใช้
    • สำหรับทารก คุณสามารถหยอดน้ำเกลือไปที่รูจมูกแต่ละข้างของทารกได้ ใช้ลูกสูบยางสูบเอาน้ำมูกออกโดยสอดเข้าไปในจมูก 1/4–1/2 นิ้ว [4]
    • คุณสามารถผสมน้ำเกลือเองก็ได้โดยผสมน้ำอุ่น 240 มิลลิลิตรกับเกลือ 1.5 ถ้วย โซดาไบคาร์โบเนต เพื่อความปลอดภัย คุณควรต้มน้ำและทิ้งไว้ให้เย็นก่อนหยอดไปที่จมูก หยดน้ำเกลือลงไปในรูจมูกหนึ่งขณะที่ปิดอีกข้างหนึ่งไว้ คุณสามารถทำซ้ำ 2–3 ครั้งก่อนที่จะทำที่จมูกอีกข้าง [5]
  5. หม้อล้างจมูก (Neti pot) นั้นจะช่วยล้างน้ำมูกออกไปและลดอาการแน่นจมูก อุปกรณ์หม้อล้างจมูกนั้นมีขายที่ร้านขายยาทั่วไป ร้านขายของชำ หรือร้านขายอาหารและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ มันจะช่วยทำให้คุณหายใจได้สะดวกขึ้นเมื่อคุณเป็นหวัด
    • ผสมน้ำอุ่น 1 ถ้วยและเกลือโคเชอร์ ½ ช้อนชา ต้มน้ำไว้ก่อนและทิ้งไว้ให้เย็นเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อโรคที่อาจจะมีอยู่ เติมน้ำและน้ำเกลือลงไปในหม้อล้างจมูก
    • คุณจำเป็นต้องยืนที่ริมอ่างน้ำหรือรูระบายน้ำ เอียงศีรษะไปที่ด้านหนึ่งและปลายหม้อล้างจมูกใส่เข้าไปในรูจมูกที่อยู่ด้านบน เทน้ำเกลือไปที่รูจมูกจนน้ำไหลออกมาที่รูจมูกอีกข้าง ให้ทำซ้ำกับรูจมูกอีกข้างหนึ่ง
  6. ขี้ผึ้งเย็นๆ เช่น วิคส์ วาโปรับนั้นนิยมนำมาใช้กับเด็กเพราะมันจะเย็นและบรรเทาอาการไอและแน่นจมูก ให้ถูที่บริเวณหน้าอกและที่หลัง คุณสามารถวิคส์ วาโปรับและครีมที่มีสารเมนทอลที่ใต้จมูกถ้าผิวบริเวณนั้นแดงเมื่อสั่งจมูกซ้ำๆ
    • ไม่แนะนำให้คุณทาครีมที่จมูกของเด็กโดยตรงเพราะว่าจะทำให้ระคายเคืองหรือมีปัญหาในการหายใจเนื่องจากน้ำหอมที่อยู่ในครีม
  7. คุณสามารถใช้ถุงร้อนหรือถุงเย็นประคบบริเวณที่คุณรู้สึกแน่น ในการทำถุงร้อนเอง ให้ใช้ผ้าเปียกหมาดๆ และนำมันไปอุ่นในไมโครเวฟประมาณ 55 วินาที หากจะประคบเย็น ใช้น้ำแข็ง 1 ถุงนำผ้ามาพันให้รอบถุง
  8. วิตามินซีจะช่วยย่นระยะเวลาที่คุณเป็นหวัด คุณควรทานวิตามินซีได้มากสุด 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน ให้บอกแพทย์เสมอเมื่อคุณเริ่มใช้อาหารเสริมหรือวิตามินตัวใหม่
    • ถ้าคุณทานวิตามินซีมากเกินไป คุณจะท้องเสียได้ อย่าทานเกินกว่าปริมาณที่แนะนำ [6]
  9. คุณสามารถดื่มชาเอ็กไคนาเซียหรือทานแบบแคปซูล เอ็กไคนาเซียทั้งสองแบบสามารถหาได้ที่ร้านขายของชำทั่วไป เช่นเดียวกันกับวิตามินซี สมุนไพรชนิดนี้จะลดระยะเวลาของอาการหวัด ถ้าคุณไม่มีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันหรือไม่ได้ใช้ยาอะไรอยู่ ให้ลองใช้สมุนไพรตัวนี้ดู หรือคุยกับแพทย์ก่อน
  10. สังกะสีนั้นได้ผลอย่างมากถ้าคุณทานมันทันทีเมื่อคุณเริ่มมีอาการแรกๆ ของหวัด มันได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามันมีประโยชน์ในการช่วยให้ร่างกายจัดการกับหวัด ถ้าคุณรู้สึกคลื่นไส้เมื่อทานสังกะสี ให้ทานมันขณะที่คุณทานอาหาร [7]
    • อย่าใช้เจลสังกะสีที่ใช้ในจมูก (Nasal zinc gel) หรือสังกะสีที่ต้องพ่นไปในจมูก มันอาจจะสร้างความเสียหายภายในจมูกคุณอาจจะต้องสูญเสียความสามารถในการได้กลิ่นได้
    • การทานสังกะสีในปริมาณมากจะทำให้รู้สึกคลื่นเหียนและอาเจียน
  11. ยาอมนั้นมีหลายรสชาติตั้งแต่รสน้ำผึ้ง เชอร์รี่ ไปจนถึงเมนทอล ยาอมบางอย่างนั้นมีสารอย่างเมนทอลที่มีคุณสมบัติในการทำให้คอเย็นซึ่งมันจะช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นเมื่อเจ็บคอ ยาอมนั้นจะค่อยๆ ละลายในปากเมื่อเวลาผ่านไปสักพักและจะบรรเทาอาการไอและเจ็บคอ
  12. เครื่องทำความชื้นจะเพิ่มความชื้นเหมือนไอน้ำไปยังอากาศ มันจะช่วยละลายน้ำมูกเพื่อที่จะได้ไม่เหนียวข้น นอกจากนี้ มันยังบรรเทาอาการแน่นจมูกและการไอเพื่อที่คุณจะได้นอนหลับได้ดีขึ้น ให้ทำตามวิธีการใช้ของผลิตภัณฑ์และทำความสะอาดมันอย่างเหมาะสมเพื่อที่จะได้ไม่มีแบคทีเรียหรือเชื้อราสะสมอยู่
  13. การกลั้วคอด้วยน้ำเกลืออุ่นๆ สามารถลดอาการอักเสบและบรรเทาอาการเจ็บและระคายคอได้ มันจะช่วยละลายน้ำมูกและทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น ถ้าคุณจะทำน้ำเกลือเพื่อใช้กลั้วคอเอง ขอให้แน่ใจว่าคุณได้ทิ้งน้ำเกลือให้เย็นก่อนที่จะใช้
    • การทำน้ำเกลือเพื่อใช้กลั้วคอสามารถทำได้โดยละลายเกลือ 1 ช้อนชาในน้ำอุ่นประมาณ 240 มิลลิลิตร
    • ถ้าคุณมีอาการคันคอที่น่ารำคาญ คุณอาจจะใช้น้ำชากลั้วคอดูก็ได้
    • คุณอาจจะลองทำน้ำกลั้วคอที่ข้นขึ้นโดยใช้น้ำผึ้ง 50 มิลลิลิตร ใบเสจที่แช่จนเปื่อย และพริกคาเยน ใส่ลงไปในน้ำ 100 มิลลิลิตร ต้มเป็นเวลา 10 นาที
  14. น้ำซุปอุ่นๆ จะช่วยให้อาการหวัดของคุณดีขึ้นได้ ไอร้อนจากซุปสามารถลดอาการแน่นที่โพรงไซนัสและบรรเทาอาการเจ็บคอ นอกจากนี้ ซุปจะช่วยให้ร่างกายของคุณชุ่มชื้น ที่น่าสนใจก็คือซุปไก่นั้นสามารถลดการอักเสบในบางคนและสามารถช่วยให้คุณจัดการกับโรคหวัดได้ [8]
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 3:

ใช้ยา

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ถ้าคุณเป็นแค่โรคหวัด คุณไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ ยาปฏิชีวนะนั้นใช้ในการรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียไม่ใช่การติดเชื้อไวรัสอย่างเช่น โรคหวัด นอกจากนี้ ยาปฏิชีวนะนั้นมีอาการข้างเคียงและการใช้ยาปฏิชีวนะโดยที่ไม่จำเป็นจะทำให้แบคทีเรียดื้อยาปฏิชีวนะได้
  2. ยาแก้ปวด เช่น อะเซตามิโนเฟน (Acetaminophen) นาพรอกเซน (Naproxen) และไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) สามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ ปวดหัว ปวดตามลำตัว และเป็นไข้ ยาเหล่านี้เป็นยาในกลุ่มยาต้านการอักเสบชนิดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAID) ซึ่งสามารถหาซื้อได้ที่ร้านค้าและร้านขายยาทั่วไป ขอให้แน่ใจว่าได้ทำตามวิธีการใช้ที่อยู่บนฉลากขณะที่จะทานยาแก้ปวด
    • ยาในกลุ่ม NSAID มีอาการข้างเคียงและสามารถทำให้มีปัญหาที่กระเพาะอาหารและเป็นอันตรายต่อตับได้ ดังนั้น อย่าใช้ยาในกลุ่ม NSAID ในระยะยาวหรือใช้ในปริมาณมากเกินที่แนะนำ ถ้าคุณจำเป็นต้องใช้ยาในกลุ่ม NSAID มากกว่า 4 ครั้งต่อวันและเป็นเวลามากกว่า 2-3 วัน คุณควรที่จะไปพบแพทย์ [9]
    • ยาในกลุ่ม NSAID นั้นไม่ได้รับการรับรองให้ใช้ในทารกที่มีอายุน้อยกว่า 3 เดือน ให้ตรวจสอบปริมาณการใช้ยาแก้ปวดที่คุณใช้กับทารกที่มีอายุมากกว่าและเด็กๆ ยาบางสูตรนั้นค่อนข้างเข้มข้น [10]
    • เด็กที่มีอายุน้อยกว่า 12 ปีไม่ควรทานยาแอสไพรินเพราะว่าจะมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรครายส์ซินโดรม (Reye's syndrome)
  3. การไอจะช่วยให้น้ำมูกที่อยู่ในปอดและคอออกมา อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณรู้สึกเจ็บมากเวลาไอหรืออาการไอทำให้คุณไม่สามารถนอนหลับได้ คุณอาจจะต้องลองใช้ยาระงับไอชั่วคราว อ่านฉลากยาเสมอและทำตามวิธีการใช้ก่อนที่จะทานยาระงับไอ
    • เด็กที่มีอายุน้อยกว่า 6 ขวบไม่ควรใช้ยาระงับไอ
  4. ใช้ยาที่ช่วยลดอาการบวมของเยื่อบุโพรงจมูก (Decongestant). อาการแน่นจมูกนั้นไม่ใช่เรื่องสนุกเลยและอาจจะทำให้รู้สึกเจ็บที่หูอีกด้วย ยาและยาพ่นที่ช่วยลดอาการบวมของเยื่อบุโพรงจมูกสามารถบรรเทาอาการบวมและแรงดันในโพรงไซนัส ปกติแล้วยาชนิดนี้มีขายที่ร้านขายยาหรือร้านค้าที่มีเคาน์เตอร์ยา
    • ควรใช้ยาชนิดนี้น้อยๆ และไม่ควรใช้เป็นเวลามากกว่า 3 วัน มิฉะนั้นแล้ว อาการของคุณจะแย่ลง
  5. ยาพ่นคอนั้นอาจจะหาซื้อได้ที่ร้านขายยาและร้านค้า มันจะช่วยทำให้ชาที่คอถ้ามีอาการเจ็บคอ ยาพ่นคอนั้นจะได้ผลชั่วคราวและจะบรรเทาอาการของคุณ อย่างไรก็ตาม มันอาจจะมีรสชาติที่รุนแรงและบางคนก็ไม่ชอบความรู้สึกชาที่คอที่เกิดจากยาพ่น
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 3:

ป้องกันอาการแทรกซ้อน

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ในการสั่งน้ำมูกนั้น ให้ปิดที่รูจมูกข้างหนึ่งไว้และสั่งน้ำมูกที่อยู่อีกรูหนึ่งออกมาใส่กระดาษทิชชู่ ให้ทำเบาๆ เมื่อคุณเป็นหวัด คุณจะเป็นต้องสั่งน้ำมูกออกมาเป็นประจำเพื่อขจัดน้ำมูกส่วนเกินออกจากร่างกาย
    • อย่าสั่งน้ำมูกแรงเพราะว่ามันจะดันให้น้ำมูกเคลื่อนที่ไปที่ทางเดินที่หูและลึกไปยังโพรงไซนัส [11]
  2. คุณไม่ควรไปทำงานหรือไปโรงเรียนเมื่อคุณเป็นหวัดเพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่เชื้อติดต่อให้คนอื่นๆ คุณสามารถถือเอาโอกาสนี้นอนขดตัวอยู่บนเตียงและสนใจอาการที่ดีขึ้น สวมชุดนอนและพักผ่อน ร่างกายของคุณต้องการการพักผ่อนเพื่อที่จะฟื้นตัวและคุณก็พักผ่อนเพื่อที่ร่างกายใช้พลังงานที่มีในการเยียวยาให้หายจากหวัด
  3. ถ้าคุณนอนน้อยกว่า 5-6 ชั่วโมง คุณมีความเสี่ยง 4 เท่าที่จะเป็นหวัดในตอนแรก [12] ร่างกายของคุณต้องการเวลาที่จะพักผ่อนและฟื้นฟูขณะที่คุณหลับโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อร่างกายกำลังต่อสู้กับโรคหวัดอยู่ ดังนั้นให้หาหมอนและผ้าห่มที่นุ่มสบาย หลับตาลง และผล็อยหลับไปในโลกความฝัน
    • ห่มผ้าหลายชั้นขณะนอนหลับถ้าอุณหภูมิแปรปรวนเพื่อที่คุณจะได้เอาผ้าห่มออกหรือเพิ่มผ้าห่มเข้ามาอีกขึ้นอยู่กับว่าคุณรู้สึกอย่างไร
    • คุณสามารถใช้หมอนเพื่อหนุนศีรษะให้สูง ซึ่งจะช่วยเรื่องอาการไอและน้ำมูกไหลลงคอ
    • เตรียมกล่องทิชชู่พร้อมด้วยถังขยะหรือถุงขยะไว้ข้างเตียง นี่จะช่วยให้คุณสั่งน้ำมูกและทิ้งทิชชู่ไปได้เมื่อไหร่ก็ตาม
  4. หลีกเลี่ยงการกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัวมากเกินไป. การเล่นคอมพิวเตอร์หรือเล่นวิดีโอเกมนั้นจะทำให้ร่างกายของคุณตื่นตัวจากแสง เสียง และข้อมูลต่างๆ ที่คุณต้องใช้กระบวนการทางความคิด อุปกรณ์เหล่านี้จะทำให้คุณตื่นและทำให้นอนหลับยากขึ้น การใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือแม้แต่การอ่านหนังสือนานเกินไปอาจจะทำให้ตาล้าหรือปวดหัว ซึ่งเป็นสิ่งสุดท้ายที่คุณอยากให้เกิดขึ้นเมื่อคุณป่วยอยู่
  5. ร่างกายของคุณผลิตน้ำมูกเป็นจำนวนมากเมื่อคุณเป็นหวัด น้ำมูกนั้นต้องใช้น้ำเยอะมาก เมื่อคุณดื่มน้ำเยอะขึ้นอีก มันก็จะช่วยลดความข้นของน้ำมูกและคุณก็จะสั่งมันออกมาได้ง่าย
    • จำกัดปริมาณคาเฟอีนที่ดื่มเข้าร่างกายเมื่อคุณเป็นหวัดเพราะมันจะทำให้ร่างกายของคุณขาดน้ำ
  6. กรดที่อยู่ในน้ำส้มหรือผลไม้ตระกูลส้มชนิดอื่นๆ จะทำให้อาการไอของคุณแย่ลง มันทำให้ลำคอที่อ่อนแออยู่นั้นระคายเคือง ให้หาเครื่องดื่มอื่นที่จะช่วยให้ร่างกายของคุณชุ่มชื้นและได้รับวิตามินซี [13]
  7. คุณควรให้ห้องมีอุณหภูมิอุ่นสบายไม่ใช่ร้อนจัด เมื่อร่างกายของคุณเย็นขึ้นหรือร้อนขึ้น ร่างกายของคุณจะถ่ายเทพลังงานเพื่อช่วยให้ร่างกายของคุณอุ่นขึ้นหรือเย็นลง ดังนั้นเมื่อคุณเป็นหวัด คุณไม่ควรที่จะรู้สึกหนาวเย็นหรือร้อนเกินไป ร่างกายของคุณจำเป็นต้องพุ่งความสนใจไปที่การจัดการกับการติดเชื้อไวรัสไม่ใช่การรักษาระดับอุณหภูมิของร่างกาย
  8. ผิวหนังที่จมูกนั้นจะระคายเคืองเมื่อคุณเป็นหวัด นี่เกิดขึ้นเพราะคุณสั่งน้ำมูกบ่อยๆ ใช้ปิโตรเลียมเจลลี่แตะที่ใต้จมูกหรือใช้กระดาษทิชชู่ที่มีมอยเจอร์ไรเซอร์ก็จะสามารถช่วยได้ [14]
  9. เมื่อคุณเป็นหวัด จะดีที่สุดถ้าไม่ขึ้นเครื่องบิน แรงกดอากาศที่เปลี่ยนแปลงสามารถเป็นอันตรายกับเยื่อแก้วหูเมื่อคุณแน่นจมูก ใช้ยาที่ช่วยลดอาการบวมของเยื่อบุโพรงจมูกและสเปรย์น้ำเกลือถ้าคุณไม่มีทางเลือกและต้องนั่งเครื่องบินจริงๆ เคี้ยวหมากฝรั่งขณะที่อยู่บนเครื่องบินบางครั้งก็สามารถช่วยได้
  10. ความเครียดจะทำให้คุณมีโอกาสที่จะเป็นหวัดและหายยากขึ้น ฮอร์โมนความเครียดจะทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำลงและมันก็ไม่สามารถสู้กับอาการป่วยได้ ให้หลีกหนีจากสถานการณ์ที่รบกวน ฝึกทำสมาธิ และหายใจเข้าลึกๆ
  11. แม้ว่าการดื่มแอลกอฮอล์เล็กน้อยจะทำให้คุณหลับ แต่การดื่มมากเกินไปจะทำให้ร่างกายของคุณขาดน้ำได้ มันจะทำให้อาการแน่นจมูกและอาการอื่นๆ แย่ลง แอลกอฮอล์นั้นไม่ดีต่อระบบภูมิคุ้มกันและอาจจะส่งผลเสียกับยาที่ใช้อยู่ [15]
  12. การสูบบุหรี่นั้นไม่ดีต่อระบบทางเดินหายใจ มันจะทำให้อาการแน่นจมูกและไอแย่ลงและเป็นนานขึ้นด้วย การสูบบุหรี่นั้นส่งผลเสียต่อปอด ดังนั้นก็จะหายจากหวัดได้ยากขึ้น
  13. แม้ว่าคุณจะป่วยอยู่ คุณก็ยังคงต้องการพลังงานและสารอาหารที่จะช่วยให้ร่างกายของคุณดีขึ้น ให้ทานอาหารที่มีไขมันต่ำและมีไฟเบอร์สูงและทานผักผลไม้ โฮลเกรน และโปรตีน ลองทานอาหารที่มีวิตามินซีสูงและอาหารที่ช่วยละลายน้ำมูกและทำให้โพรงไซนัสโล่งอย่าง พริกป่น มัสตาร์ด และฮอสแรดิช (Horseradish) [16]
  14. คุณรู้อยู่แล้วว่าการออกกำลังกายจะช่วยให้ร่างกายของคุณมีสุขภาพดี แต่มันก็จะช่วยให้หวัดหายไปเร็วอีกด้วย ถ้าคุณเป็นหวัด การออกกำลังกายนั้นสามารถทำได้ อย่างไรก็ตาม หากคุณมีไข้สูง รู้สึกปวด หรืออ่อนแอมาก คุณก็ควรจะพักผ่อนแทน [17]
    • ลดระดับการออกกำลังกายตามแผนหรือหยุดออกกำลังกายก่อนถ้ามันทำให้อาการหวัดของคุณแย่ลง
  15. ป้องกันการติดเชื้อใหม่และการแพร่กระจายของไวรัส. อยู่บ้านและพักผ่อนให้หวัดหายและพยายามไม่ไปอยู่ใกล้คนอื่น ขอให้แน่ใจว่าได้ปิดปากเมื่อคุณไอหรือจาม และพยายามใช้ข้อพับตรงข้อศอกแทนมือ ให้ล้างมือบ่อยๆ หรือใช้เจลล้างมือ
  16. อาการต่างๆ ของคุณล้วนเป็นวิธีที่ร่างกายพยายามกำจัดเชื้อไวรัสออกไป ตัวอย่างเช่น การเป็นไข้จะช่วยทำลายเชื้อไวรัสและทำให้โปรตีนที่มีหน้าที่สู้กับไวรัสที่อยู่ในเลือดเคลื่อนที่ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยเหตุผลนี้ การไม่ใช้ยาหรือวิธีอื่นๆ เพื่อลดไข้ในช่วง 2-3 วันก็จะหมายความว่าคุณจะหายเร็วขึ้น [18]
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • บางครั้งเมื่อคุณเป็นหวัด ลองโปะผ้าเช็ดตัวที่อุ่นหรือเย็นที่หน้าผาก ถ้าไข้ไม่หายไปก็ลองทานยาแอสไพรินหรือไอบูโพรเฟนเพื่อช่วยลดอุณหภูมิและให้คุณรู้สึกปวดน้อยลง
โฆษณา

คำเตือน

  • ถ้าคุณมีไข้สูงอย่างต่อเนื่อง (มากกว่า 38 องศาเซลเซียส) อาการไอที่เป็นนานกว่า 3 อาทิตย์ มีอาการป่วยเรื้อรังอื่นๆ หรืออาการไข้ดูไม่เหมือนจะหาย คุณควรที่จะไปปรึกษากับแพทย์
  • ติดตามกับแพทย์หากอาการของคุณไม่หายไปภายใน 7-10 วัน
  • ขอให้ตระหนักไว้ว่าการรักษาโรคหวัดด้วยวิธีบางอย่างสามารถทำให้เกิดอาการข้างเคียงได้ หรือคุณอาจจะมีอาการแพ้ วิธีการรักษาเหล่านี้อาจจะมีผลต่อยาที่ใช้อยู่ด้วย ดังนั้นควรถามแพทย์ก่อนทานอาหารเสริม สมุนไพร หรือยาใดๆ
  • ถ้าคุณหายใจลำบาก ควรไปขอความช่วยเหลืออย่างฉุกเฉิน
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 1,916 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา