ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

รอยแผลจากสิว เกิดได้เมื่อสิวหรือสิวซีสต์แตกเองตามธรรมชาติหรือคุณมือซนไปบีบเข้า เลยทิ้งชั้นผิวหนังที่เสียหายไว้ โชคดีที่คุณลดหรือกำจัดรอยแผลเป็นจากสิวนี้ได้เองด้วยหลายวิธี ส่วนใหญ่จะเป็นวิธีธรรมชาติที่ช่วยลดการอักเสบและช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว นอกจากนี้ก็ต้องรักษาความสะอาด กินอาหารดีมีประโยชน์ และหลีกเลี่ยงสารต่างๆ ที่อาจทำสิวเห่อหรืออักเสบกว่าเดิม

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 6:

ป้องกันสิวและรอยแผลเป็นจากสิว

ดาวน์โหลดบทความ
  1. รู้จักสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดแผลเป็นจากสิว. คุ้ยแคะแกะเกาหรือบีบสิวนี่แหละ ที่ทำให้สิวแตกหรือระเบิดจนกลายเป็นแผลเป็นถาวร เพราะงั้นถ้าสิวแตกน้อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งเสี่ยงเกิดแผลเป็นน้อยลงเท่านั้น เราจึงต้องรักษาสิวให้ถูกวิธี จะได้ป้องกันการเกิดแผลเป็น โดยเฉพาะสิวลักษณะต่อไปนี้ [1]
    • สิวตุ่มแดงก้อนลึกหรือซีสต์ที่มักเจ็บและอันตรายเป็นพิเศษ nodules ก็คือสิวก้อนใหญ่ แข็ง และอักเสบ ส่วน cysts ก็คือสิวซีสต์ เป็นสิวหนองที่เจ็บมาก ทั้ง 2 อย่างเป็นสิวที่เกิดลึกเข้าไปในผิวหนัง มักทำให้เกิดแผลเป็น เรียกว่า "cystic acne" หรือสิวซีสต์
    • สิวแรกรุ่น ในอีก 2 - 3 ปีข้างหน้า มักกลายเป็นสิวอักเสบอันตราย แพทย์ผิวหนังแนะนำให้พาเด็กวัยแรกรุ่นที่มีสิวไปตรวจรักษา เพราะถ้ารักษาแต่เนิ่นๆ จะช่วยลดความเสี่ยงการเกิดแผลเป็น
    • ปัจจัยทางพันธุกรรม ถ้ามีพ่อแม่พี่น้องหรือญาติที่มีแผลเป็นจากสิว ตัวคุณเองก็ถือว่ามีความเสี่ยงสูงกว่าคนอื่น
  2. ถ้าใครชอบเอามือไปจับหน้าบ่อยๆ สิ่งสกปรกและแบคทีเรียที่มือจะไปทำรูขุมขนอุดตันจนสิวขึ้นได้ ถ้ารู้สึกคันหรือระคายเคืองเวลาเป็นสิว ให้ใช้แผ่นเช็ดหน้าสูตรอ่อนโยนและไร้น้ำมัน เช็ดเพื่อกำจัดสิ่งสกปรกตกค้าง ช่วยลดอาการระคายเคืองได้ ที่สำคัญคือพยายามเบี่ยงเบนความสนใจตัวเอง ไม่ให้แตะหน้า [2]
    • มือต้องสะอาด โดยล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือถ้าอยู่ข้างนอกก็ใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือแทน
    • อย่าบีบสิวหรือคุ้ยแคะแกะเกา เพราะจะเกิดแผลเป็นง่ายขึ้นเท่านั้น ดีไม่ดีบีบสิวแล้วจะแพร่เชื้อแบคทีเรียไปทั่วหน้า
    • อย่าเอาผมปิดสิว ให้รวบผมเป็นระเบียบเรียบร้อย จะมัดหางม้า ใช้ผ้า/ที่คาดผม หรือติดกิ๊บก็ตามสะดวก
    • แพทย์ผิวหนังแนะนำว่า ให้สระผมบ่อยๆ ถ้าใครผมมัน เหนียวง่าย เพราะน้ำมันจะไหลลงมาที่หน้าผากและใบหน้า จนสิวเห่อได้ [3]
  3. จริงอยู่ว่าโดนแดดพอประมาณแล้วดีต่อระบบภูมิคุ้มกัน เพราะช่วยกระตุ้นการสร้างวิตามินดี แต่ถ้ารอยแผลจากสิวโดนแดดและรังสียูวีเยอะๆ ก็จะหายยาก อาจเป็นรอยแผลเป็นถาวร [4]
    • ตากแดดเยอะๆ ทำให้เกิดฝ้าหรือกระแดด (solar lentigines) ได้ด้วย โดยเริ่มก่อตัวจากใต้ชั้นผิวหนัง จนกลายเป็นจุดดำเล็กๆ บนใบหน้า เมื่ออายุเยอะขึ้น
    • วิธีกันแดดง่ายๆ ก็คือให้ทาครีมกันแดดที่มี SPF (sun protection factor) 30 ขึ้นไป
    • บางคนก็แพ้สารเคมีในครีมกันแดด ยังไงให้ลองปรึกษาคุณหมอผิวหนังก่อน จะได้รู้ว่าสภาพผิวแบบคุณควรใช้ครีมกันแดดตัวไหน
  4. เครื่องสำอางบางอย่างทำให้สิวเห่อหรืออักเสบกว่าเดิม จนยิ่งเสี่ยงเกิดแผลเป็น ต้องพยายามเลือกเครื่องสำอางที่ไม่มีสารพิษหรือสารเคมีแรงๆ และใช้แต่พอประมาณ
    • ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าที่ปราศจากพาราเบน (paraben) เพราะเป็นสารกันบูดที่ใส่ในเครื่องสำอางหลายชนิด ถ้าใครเป็นสิวแล้วมาใช้ ก็อาจทำให้ผิวระคายเคืองหรืออักเสบได้ บางคนก็เกิดอาการแพ้ โดย butyl paraben กับ propyl paraben จะอันตรายกว่า methylparaben กับ ethylparaben แต่อย่างหลังดูดซึมเข้าร่างกายง่ายกว่า [5]
    • อย่าใช้เครื่องสำอางที่ใช้สีย้อมสังเคราะห์ เพราะผิวหนังของคนเราจะดูดซึมสารต่างๆ ที่ทาลงไปได้มากถึง 60% นอกจากนี้ให้หลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่แต่งสีสังเคราะห์ โดยเฉพาะ E102, E129, E132, E133 และ E143 เพราะนอกจากไม่ดีต่อผิวแล้ว ยังเป็นพิษต่อระบบประสาท รวมถึงก่อมะเร็งด้วย [6]
    • ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผมและผิวแบบ oil-free
    • ล้างหน้าเสร็จอย่าแต่งหน้าตามทันที เพราะจะทำให้รูขุมขนอุดตันได้ สิวเห่อกว่าเดิม
  5. การสูบบุหรี่ก็ทำให้เกิดสิวได้ เป็นสภาวะที่ร่างกายต้านการอักเสบเพื่อดูแลรักษาสิวจากการสูบบุหรี่ไม่ทัน เพราะทำได้ไม่ง่ายเหมือนในกรณีสิวทั่วไป [7]
    • ใครสูบบุหรี่เท่ากับมีโอกาสเกิดสิวในวัยผู้ใหญ่มากกว่าคนอื่นถึง 4 เท่า โดยเฉพาะผู้หญิงอายุ 25 - 50 ปี [8]
    • ควันบุหรี่ก็ทำให้ผิวระคายเคืองได้ ถ้าใครผิวแพ้ง่าย
    • นอกจากสิวแล้ว การสูบบุหรี่ยังทำให้เกิดปัญหาผิวอื่นๆ ได้ง่าย เช่น ริ้วรอย แก่ก่อนวัย จากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นโมเลกุลที่จะทำปฏิกิริยากับสารเคมี ทำร้ายเซลล์ของเราได้
    • สูบบุหรี่แล้วทำให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนน้อยลง ลดโปรตีนผิว คอลลาเจนเป็นโปรตีนโครงสร้างที่มีสรรพคุณชะลอวัย ปกติช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์ และซ่อมแซมให้ผิวสวยสุขภาพดี แข็งแรงยิ่งขึ้น ถ้ามีคอลลาเจนไม่พอ สิวจะหายยาก หายช้า ไม่ต้องพูดถึงการรักษาแผลเป็นเลย
  6. มีหลายงานวิจัยที่ชี้ว่า เครียดแล้วทำให้สิวยิ่งเห่อ โดยเฉพาะสาวๆ ทั้งหลาย เพราะงั้นต้องจัดการความเครียดโดย
    • ฟังเพลง เขาว่าฟังเพลงเพราะๆ สบายๆ แล้วช่วยลดความดัน หัวใจเต้นคงที่ หายวิตกกังวล
    • หาเวลาทำกิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจ ถ้าทำงานหรืองานบ้านหนักแล้ว ต้องเปลี่ยนบรรยากาศหาอะไรสนุกๆ ทำ ถ้าอยู่บ้านแล้วเครียด ก็ไปเที่ยวซะเลย แค่ 1 - 2 ชั่วโมงต่ออาทิตย์ก็ยังดี
    • นั่งสมาธิ บอกเลยว่าช่วยลดความดัน อาการเจ็บปวดเรื้อรัง ความเครียด วิตกกังวล และลดคอเลสเตอรอลได้ด้วย เรียกว่าดีต่อทั้งร่างกายและจิตใจเลย
    • วิธีนั่งสมาธิง่ายๆ ให้นั่งขัดสมาธิในบรรยากาศเงียบสงบ แล้วหายใจเข้า-ออกช้าๆ ลึกๆ สัก 5 - 10 นาทีขึ้นไป ใครเพิ่งเริ่มต้นหรือไม่มีเวลา ขอให้นั่งได้วันละ 5 นาทีก็ยังดี รับรองว่าหายเครียดแน่นอน
    • อีกวิธีทำสมาธิคือรำไทเก๊ก เล่นโยคะ ฝีก biofeedback (การตระหนักรู้) และนวดคลายเส้น
  7. ถ้าหลับสนิทและเพียงพอ จะช่วยให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนและซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอได้รวดเร็ว มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ร่างกายต้องใช้เวลากว่าจะซ่อมแซมฟื้นฟูตัวเอง โดยเฉพาะลดรอยแผลเป็น
    • นอนให้เป็นเวลา จะหลับสนิทและยาวกว่า ตื่นมาก็สดชื่น
    • ก่อนนอน 4 - 6 ชั่วโมงต้องงดอะไรที่มีคาเฟอีน นิโคติน และแอลกอฮอล์ รวมถึงน้ำหวานน้ำอัดลม เพราะเป็นสารกระตุ้น ทำคุณตื่นตลอดคืนแน่นอน [9]
    • นอนในห้องมืดๆ เงียบๆ และเย็นสบาย จะหลับสนิทกว่า ถ้าไม่มีม่านหนาๆ ก็ต้องใช้ผ้าปิดตาแทน นอกจากนี้ให้ปรับแอร์ให้เย็นสบาย คือประมาณ 18 - 24 °C (65 - 75 °F) ถ้าอากาศเย็นจะเปิดหน้าต่างก็ได้ เพราะห้องนอนควรจะอากาศถ่ายเทดี [10]
  8. ออกกำลังกายแล้วช่วยลดฮอร์โมนเครียด เช่น อะดรีนาลีน และคอร์ติซอล นอกจากนี้ยังทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง ต้านแบคทีเรีย ไวรัส และอนุมูลอิสระได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการรักษาสิว
    • ทุกวันต้องออกกำลังกายปานกลางให้ได้อย่างน้อย 30 – 40 นาที หรือออกกำลังกายหนักๆ 10 - 15 นาที ออกกำลังกายปานกลางก็เช่น เดินเล่น หรือว่ายน้ำแบบเล่นน้ำ ส่วนการออกกำลังกายจริงจังแบบหนักๆ ก็เช่น บาสเกตบอล ฟุตบอล วอลเล่ย์บอล
  9. อย่าใส่เสื้อผ้าใยสังเคราะห์ที่แนบเนื้อ เพราะจะเสียดสีกับผิวหนัง และหมั่นซักปลอกหมอนให้สะอาดอยู่เสมอ [11]
    • หมวกกันน็อค หน้ากากนิรภัย/อนามัย ผ้า/ที่คาดผม และเสื้อผ้า/อุปกรณ์กีฬาต่างๆ ที่แนบเนื้อ จะถูไถกับใบหน้า ทำให้สิวเห่อหรืออักเสบได้ เพราะงั้นต้องรักษาความสะอาดให้ดี และอาบน้ำทันทีหลังออกกำลังกาย
    • ปลอกหมอนกับผ้าปูที่นอนนี่แหละตัวดักแบคทีเรีย สิ่งสกปรก และเซลล์ผิวที่ตายแล้วของคุณ พอนอนเลยเข้าไปอุดตันรูขุมขน ทำให้สิวขึ้นสิวเห่อ ถ้าไม่รักษาดีๆ ก็กลายเป็นแผลเป็น เพราะงั้นต้องซักและเปลี่ยนปลอกหมอน ผ้าปูที่นอนบ่อยๆ
    • ถ้าต้องทายาสิวทุกคืน ก็อาจจะปูผ้าขนหนูผืนใหม่บนหมอนแทน
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 6:

รักษาความสะอาด

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าสูตรอ่อนโยนที่ไม่ใช่สบู่. ดูแลรักษาความสะอาดผิวนี่แหละวิธีสู้สิว แต่ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าบางอย่างก็ทำให้สิวขึ้นกว่าเดิม ต้องเลือกใช้ที่ไม่ใช่สบู่ เพราะไม่มีสารเคมีระคายผิว ทำให้สิวกลายเป็นแผลเป็น [12]
    • เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าสูตรธรรมชาติ ไม่ใช้สารเคมี จะได้ป้องกันการระคายเคืองจนเกิดแผลเป็น เดี๋ยวนี้ตามร้านขายยาและ Boots หรือ Watsons ก็มีขายทั่วไป
    • คนที่ผิวแพ้ง่ายห้ามใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่มีสารฝาดสมาน (astringent) เพราะทำให้ผิวแห้ง ระคายเคืองได้
    • ใช้แผ่นเช็ดเครื่องสำอางแบบ oil-free และไม่มีสารขัดล้างแทนได้ เวลาไม่สะดวกล้างหน้าด้วยโฟมหรือเจล
    • ผสมน้ำยาล้างหน้าหรือโทนเนอร์ปรับสภาพผิวสูตรธรรมชาติใช้เองซะเลย โดยชงชาเขียว 1 ช้อนชาในน้ำอุ่น 1 ถ้วยตวง ประมาณ 3 - 5 นาที จากนั้นกรองชาใส่ชามสะอาด ทิ้งให้เย็นประมาณ 15 - 20 นาที แล้วชุบสำลีก้อน แผ่นล้างหน้า หรือผ้า microdermabrasion ใช้ทาบริเวณที่เป็นสิวได้เลย [13]
  2. ไม่ใช่แค่เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ให้ถูกต้องแล้วจะจบ วิธีการล้างหน้าก็สำคัญ แนะนำให้ [14]
    • ล้างมือก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า สิ่งสกปรกกับแบคทีเรียที่มือจะได้ไม่ทำรูขุมขนอุดตัน
    • ล้างหน้าอย่างเบามือด้วยน้ำอุ่นนิดๆ หรือน้ำเย็น ก่อนลงผลิตภัณฑ์ล้างหน้า
    • ใช้ปลายนิ้วนวดเบาๆ ให้โฟม เจล หรือน้ำยาซึมเข้าผิว ประมาณ 3 - 5 นาที
    • ล้างออกด้วยน้ำเย็น จากนั้นซับให้แห้งด้วยผ้าเช็ดตัวหรือผ้าขนหนูนุ่มๆ
    • แพทย์ผิวหนังแนะนำให้ล้างหน้าไม่เกินวันละ 2 ครั้ง (เช้าและก่อนนอน) อนุโลมให้มากกว่านั้นถ้าทำกิจกรรมต่างๆ แล้วเหงื่อออกเยอะ
    • ถ้าเหงื่อออกเยอะๆ โดยเฉพาะตอนใส่หมวกหรือหมวกกันน็อค ก็ทำให้ผิวระคายเคืองได้ หลังเสร็จกิจกรรมหรือมีโอกาสเมื่อไหร่ ให้รีบล้างหน้า
  3. นอกจากผลิตภัณฑ์ล้างหน้าสูตรธรรมชาติแล้ว จะลองใช้นมจืดแบบไม่พร่องมันเนยล้างหน้าแทนก็ได้ กรดแลคติกในนมจะช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วอย่างอ่อนโยน ทำให้ผิวเรียบเนียน ไม่กระดำกระด่าง เลยช่วยรักษาสิว แผลเป็นก็จางลงด้วย [15]
    • เอาสำลีก้อนชุบนมสด 1 ช้อนโต๊ะแล้วเอาไปทาหน้า นวดวนอย่างน้อย 3 - 5 นาที จะช่วยขจัดสิ่งสกปรกตกค้างในรูขุมขนได้ดียิ่งขึ้น ถ้าเป็นกะทิจะมีกรดไขมันสายกลางที่ฆ่าแบคทีเรียและไวรัสได้ แถมช่วยลดการเกิดสิวหัวหนองกับสิวซีสต์ เพราะงั้นจะใช้กะทิล้างหน้าแทนนมสดก็ได้ [16] .
    • ถ้ามีสิวอักเสบหรือเป็นคนหน้ามัน ให้ผสมแป้งข้าวเจ้าหรือแป้งกรัม (แป้งถั่วลูกไก่) 1 ช้อนชา กับนมสด 1 ช้อนโต๊ะจนเข้ากัน แล้วเอาไปนวดวนที่ใบหน้าโดยใช้ปลายนิ้ว
    • ล้างออกด้วยน้ำเย็น จากนั้นซับให้แห้งด้วยผ้าขนหนูนุ่มๆ
  4. ถ้าใครชอบผลิตภัณฑ์ล้างหน้าสูตรธรรมชาติ ก็ลองใช้เปลือกส้มแห้งดู เปลือกส้มแห้งมีวิตามินซีช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและซ่อมแซมเซลล์ผิวที่สึกหรอ ใช้แล้วสิวและรอยแผลจากสิวจะจางลงแน่นอน [17]
    • เปลือกส้มแห้งเหมาะกับคนหน้ามันเป็นพิเศษ เพราะช่วยชะล้างน้ำมันส่วนเกิน (sebum) จากใบหน้า แถมเปลือกส้มยังมีน้ำมันหอมระเหยที่ช่วยให้ผิวนุ่มชุ่มชื้น
    • เอาเปลือกส้มไปตากแห้ง แล้วบดเป็นผงละเอียด จากนั้นใช้ 1 ช้อนชา ผสมกับนม กะทิ หรือโยเกิร์ต 1 ช้อนชา ใช้นวดวนเบาๆ ที่หน้า ทิ้งไว้ 10 - 15 นาที สุดท้ายล้างออกด้วยน้ำเย็น
    • นมหรือโยเกิร์ตมีฤทธิ์เย็น ช่วยลดการอักเสบ และขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว
  5. โจโจ้บาออยล์ได้จากเมล็ดของต้นโจโจ้บา เป็นสารที่ใกล้เคียงกับน้ำมันผิวตามธรรมชาติ (sebum) ของคนเราที่สุดแล้ว แต่ที่ดีกว่าคือไม่อุดตันรูขุมขน (non-comedogenic) เหมือน sebum เลยช่วยลดสิวได้ [18]
    • ถ้าทาโจโจ้บาออยล์ที่ผิว จะหลอกให้ผิวนึกว่าผลิตน้ำมันพอแล้ว เลยไม่เกิดน้ำมันส่วนเกิน
    • ให้หยดโจโจ้บาออยล์ 1 - 3 หยดใส่สำลีก้อนแล้วใช้เช็ดทำความสะอาดผิว ถ้าหน้าแห้งเป็นพิเศษให้เพิ่มเป็น 5 - 6 หยดได้ เพราะเป็นมอยส์เจอไรเซอร์สูตรธรรมชาติ
    • โจโจ้บาออยล์ไม่มีสารก่อภูมิแพ้ ไม่ทำให้ระคายเคือง เลยใช้ล้างเครื่องสำอางได้ด้วย กระทั่งที่ดวงตา
    • คุณหาซื้อโจโจ้บาออยล์ได้ทั่วไปตามร้านขายยาและเครื่องสำอาง โดยเก็บรักษาในที่แห้งๆ เย็นๆ
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 6:

ผลัดผิวลดรอยแผลเป็น

ดาวน์โหลดบทความ
  1. exfoliation ก็คือการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ช่วยให้รอยแผลเป็นจากสิวและจุดด่างดำ (hyperpigmentation) หรือรอยแดงจางลงได้ ที่สำคัญคือผลัดผิวเพื่อไม่ให้เซลล์ผิวที่ตายแล้วไปอุดตันรูขุมขนจนสิวกลับมาบุกหน้า มีหลายผลิตภัณฑ์เลยที่คุณใช้ผลัดผิวได้ [19]
    • ก่อนผลัดผิวด้วยผลิตภัณฑ์ไหน ให้ปรึกษาคุณหมอผิวหนังก่อน ว่าสภาพผิวของคุณเหมาะกับผลิตภัณฑ์ไหน
    • คนที่หน้าแห้ง แพ้ง่าย ไม่ควรผลัดผิวเกินอาทิตย์ละ 1 - 2 ครั้ง แต่ถ้าหน้ามัน ผิวไม่บาง ก็ผลัดผิวได้ทุกวัน
    • ใช้ผ้าขัดผิว (microdermabrasion cloth) นุ่มๆ ผลัดเซลล์ผิวได้เลย เพราะเป็นเส้นใยไมโครไฟเบอร์ที่ชะสิ่งสกปรกตกค้างและน้ำมันส่วนเกินออกจากรูขุมขนได้ดี แบบไม่ต้องออกแรงกดหรือถูให้เจ็บตัว
    • พอล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่เลือกใช้แล้ว ก็ให้ซับหน้าด้วยผ้านุ่มๆ จนแห้ง แล้วเริ่มใช้ผ้าขัดหน้าเบาๆ 3 - 5 นาที เสร็จแล้วทุกครั้งต้องซักด้วยสบู่แล้วตากให้แห้ง
  2. คุณใช้น้ำตาลขัดผิวก็ได้ น้ำตาลนี่แหละหนึ่งในสุดยอดวัตถุดิบจากธรรมชาติสำหรับผลัดเซลล์ผิว สครับจากน้ำตาลนอกจากขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ยังช่วยฟื้นฟูผิวชั้นใน โดยชะสิ่งสกปรกตกค้างจากรูขุมขน [20]
    • น้ำตาลมีสรรพคุณชะลอวัยให้ผิวตามธรรมชาติด้วย โดยขจัดอนุมูลอิสระ ใช้แล้วหน้าแก่ช้าลง
    • จะทำสครับจากน้ำตาลทรายแดง น้ำตาลทรายขาว หรือน้ำตาลออร์แกนิกก็ตามสะดวก ถ้าเป็นน้ำตาลทรายแดงจะละเอียดที่สุด ใช้แล้วไม่ทำร้ายผิว ถ้าน้ำตาลทรายขาวก็จะหยาบขึ้นมาหน่อย ส่วนน้ำตาลทรายออร์แกนิกจะหยาบที่สุด
    • เวลาจะทำสครับจากน้ำตาล ให้ผสมน้ำตาลทรายแดง ½ ถ้วยตวงกับกลีเซอรีน 2 ช้อนโต๊ะ น้ำมันมะพร้าว ⅓ ถ้วยตวง และน้ำมันสวีทอัลมอนด์ 2 ช้อนโต๊ะ จะใส่น้ำเลมอน 2 - 3 หยด หรือน้ำมันหอมระเหยลาเวนเดอร์ด้วยก็ได้ ถ้าอยากให้หอมๆ [21] ผสมทุกอย่างให้เข้ากันในถ้วยหรือชามใบเล็ก แล้วเทลงขวดโหล
    • เวลาจะสครับหน้า ให้ใช้น้ำตาลเล็กน้อยนวดวนบริเวณที่มีแผลเป็นจากรอยสิว 3 - 5 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น
    • ให้เก็บสครับน้ำตาลที่ว่าในที่แห้งๆ เย็นๆ และอย่าเก็บไว้นานเกิน 2 - 3 อาทิตย์
  3. oatmeal หรือข้าวโอ๊ตมี saponins ที่เป็นสารทำความสะอาดจากพืชตามธรรมชาติ รวมถึงมี phenols ที่มีสรรพคุณต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ และช่วยกันแดด นอกจากนี้ข้าวโอ๊ตที่เป็นแป้งข้นๆ ยังช่วยให้หน้าชุ่มชื้น ใช้กับคนที่ผิวแพ้ง่ายได้เลย [22]
    • วิธีผสมข้าวโอ๊ตสำหรับผลัดผิว คือผสมข้าวโอ๊ตออร์แกนิก 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำ ¼ ถ้วยตวงแล้วต้มสุก พอเย็นตัวก็ใช้นวดหน้า แล้วทิ้งไว้ 10 – 15 นาที เสร็จแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น
  4. อนุภาคละเอียดของเบคกิ้งโซดาจะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่เสียหายและตายแล้วออกอย่างอ่อนโยน รวมถึงน้ำมันส่วนเกินด้วย เลยเหมาะกับคนผิวแพ้ง่าย เพราะค่อยๆ ละลายเข้าสู่ผิว [23]
    • ถ้าอยากได้สครับง่ายทันใจ ก็แค่ผสมเบคกิ้งโซดา 1 ช้อนชากับน้ำนิดหน่อย ใช้นวดหน้า 5 นาที
    • ถ้าคุณหน้ามัน ผิวไม่บาง ไม่แพ้ง่าย ให้หยดน้ำเลมอนใส่ไปสัก 2 - 3 หยด เพื่อเพิ่มฤทธิ์ฝาดสมาน ป้องกันไม่ให้สิวขึ้นอีก
    • ถ้าเป็นสิวซีสต์หรือสิวอักเสบ อย่าใช้เบคกิ้งโซดา
    • ผสมผงขมิ้นชัน ใบสะเดา และน้ำผึ้งให้เหนียวข้นเป็น paste ใช้พอกหน้า ทิ้งไว้ 15 - 20 นาทีแล้วล้างออก
    โฆษณา
วิธีการ 4
วิธีการ 4 ของ 6:

เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ถ้าปล่อยให้ผิวแห้ง ก็อาจเกิดการระคายเคือง ทำให้สิวและแผลเป็นแย่กว่าเดิม ต้องใช้มอยส์เจอไรเซอร์แบบ non-comedogenic คือไม่อุดตันรูขุมขน ผิวหน้าจะได้นุ่มชุ่มชื้น พยายามเลือกครีมหรือโลชั่นออร์แกนิกสูตรธรรมชาติ ที่มีสารสกัดจากพืชช่วยต้านอักเสบ ส่วนผสมที่แนะนำก็เช่น คาโมไมล์ ชาเขียว ว่านหางจระเข้ ดาวเรือง หรือข้าวโอ๊ต [24]
    • ต้องทามอยส์เจอไรเซอร์ทุกครั้งหลังล้างหน้าหรือผลัดผิว
    • มอยส์เจอไรเซอร์ที่มี AHA (alpha-hydroxy acids) จะช่วยให้แผลเป็น สิว และริ้วรอยจางลงได้ AHA ที่พบได้ก็เช่น กรดไกลโคลิก กรดแลคติก กรดมาลิก กรดซิตริก และกรดทาร์ทาริก เป็นต้น
    • กรดไฮยาลูรอนิค (hyaluronic acid) เป็น humectant ตามธรรมชาติ คือสารช่วยดูดซับน้ำและความชุ่มชื้นไว้ในผิว หลายผลิตภัณฑ์ตามร้านขายยาและเครื่องสำอางก็จะมีส่วนผสมนี้ เช่น โลชั่น โทนเนอร์ และ facial mist สำหรับฉีดพ่นใบหน้า
    • กรดไฮยาลูรอนิคเป็นส่วนผสมสำคัญที่ช่วยชะลอวัย โดยจะซ่อมแซมและรักษาผิวชั้นใน
  2. ว่านหางจระเข้มีสารสำคัญที่ช่วยลดการอักเสบ และกระตุ้นการซ่อมแซมและการเจริญเติบโตของเซลล์
    • เดี๋ยวนี้มอยส์เจอไรเซอร์ที่ขายกันก็มีเยอะที่ผสมสารสกัดจากว่านหางจระเข้ บางทีก็เป็นเจลใช้ทาได้เลย มีขายตามร้านขายยาและเครื่องสำอาง คุณใช้ทาลดรอยแผลเป็นได้ตลอด
  3. ดอกดาวเรือง (calendula หรือ marigold) ก็เป็นอีกส่วนผสมจากธรรมชาติที่เดี๋ยวนี้มอยส์เจอไรเซอร์สำเร็จรูปนิยมใช้ แบบที่เป็นสารสกัดเพียวๆ ก็มี คนนิยมใช้รักษาให้แผลเป็นจางลง เพราะกระตุ้นการซ่อมแซมและการเจริญเติบโตของเซลล์
    • ดอกดาวเรืองใช้เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวนุ่มเด้งด้วย โดยใช้ขี้ผึ้งแบบเข้มข้น 2 - 5%
    • ทาได้ 3 - 4 ครั้งต่อวัน จะช่วยให้สิวและรอยแผลเป็นจากสิวจางลง
    • หรือชงชาดอกดาวเรือง โดยใช้ดอกย่อย 2 - 3 กรัม กับน้ำอุ่น 1 ถ้วยตวง แล้วใช้ล้างหน้าเป็นประจำทุกวัน
    • ถ้าใครแพ้ดอกไม้ตระกูลเดซี่หรือแอสเตอร์ รวมถึงเบญจมาศและหญ้า ragweed ก็มีโอกาสแพ้ดอกดาวเรืองเช่นกัน
  4. น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์มีส่วนผสมของวิตามินอีกับกรดไขมัน ที่มีสรรพคุณต้านอักเสบและแบคทีเรีย อันเป็นสาเหตุทำผิวติดเชื้อ [25]
    • ให้ใช้น้ำมันมะพร้าว 1 - 2 หยดทาผิววันละ 2 ครั้ง จะช่วยให้ผิวนุ่มชุ่มชื้นขึ้นได้
    • น้ำมันมะพร้าวมีสรรพคุณช่วยฟื้นฟูผิว เลยซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอ และลดการเกิดแผลเป็น
    • ใครรู้ตัวว่าหน้ามัน ให้ใช้น้ำมันมะพร้าวแต่พอดี คือประมาณ 2 ครั้งต่ออาทิตย์ ถ้าใช้บ่อยกว่านี้ ระวังอุดตันรูขุมขน ทีนี้สิวจะบุกกว่าเดิม
    • บ้านเราโชคดีกว่าฝรั่ง เพราะหาซื้อน้ำมันมะพร้าวได้ง่ายมาก แต่ขอให้เลือกที่เป็นน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ สกัดเย็น และเป็นแบบออร์แกนิก แต่ใครแพ้ถั่วต้องระวัง ไม่แนะนำให้ใช้
  5. อะโวคาโดเป็นผลไม้ที่อุดมวิตามิน สารอาหาร และกรดไขมัน ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ คุณใช้อะโวคาโดมาสก์หน้ารักษาแผลเป็นจากสิวได้เลย [26]
    • วิตามินเอและซีมีสรรพคุณต้านอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ ส่วนวิตามินอีทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื้น รอยแผลเป็นเลยจางลง
    • เวลาจะมาสก์หน้าด้วยอะโวคาโด ให้ใช้เนื้ออะโวคาโด 1 ลูกพอกบริเวณที่มีแผลเป็นจากสิว ทิ้งไว้ 10 – 15 นาที เสร็จแล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น สุดท้ายซับหน้าให้แห้งด้วยผ้าขนหนูุนุ่มๆ
    • ถ้ารู้ตัวว่าผิวแห้ง แพ้ง่าย ให้มาสก์หน้าสูตรนี้ทุกวัน ส่วนคนหน้ามันแค่อาทิตย์ละ 2 ครั้งก็พอ
  6. น้ำผึ้งมีสรรพคุณต้านแบคทีเรียและการอักเสบ เลยช่วยให้แผลเป็นจางลง ลดสิวอักเสบ ทาจะใช้น้ำผึ้งทาโดยตรง ก็ให้ทาบางๆ บริเวณที่เป็น จากนั้นเอาผ้าพันแผลปิดไว้ [27] [28]
    • น้ำผึ้งมานูก้านี่แหละที่เข้มข้น ช่วยลดรอยแผลเป็นได้มากที่สุด
    • น้ำผึ้งช่วยบรรเทาหรือป้องกันอาการอักเสบที่เกิดจากแบคทีเรียได้ด้วย แต่ควรปรึกษาคุณหมอก่อน ถ้าจะใช้รักษาสิวโดยเฉพาะ
    โฆษณา
วิธีการ 5
วิธีการ 5 ของ 6:

ใช้สมุนไพร

ดาวน์โหลดบทความ
  1. มีสมุนไพรหลายอย่างเลยที่ใช้รักษารอยแผลเป็นจากสิวได้ อย่างกรดซาลิไซลิกก็เป็นกรดที่ได้จากพืชโดยธรรมชาติ ใช้รักษาได้ทั้งสิวและผิวด่างดำ ในคนที่ผิวคล้ำหน่อย [29]
    • แพทย์ผิวหนังจะเป็นผู้ลอกหน้าด้วยกรดซาลิไซลิกให้คุณที่คลินิก หรือแนะนำชุดอุปกรณ์ลอกหน้าด้วยตัวเองให้
    • กรดซาลิไซลิกมีผลข้างเคียงเล็กน้อย ถ้าใครแพ้ยาแอสไพรินไม่แนะนำให้ใช้
  2. AHA (alpha-hydroxy acids) เป็นกรดธรรมชาติในร่างกายที่ช่วยลดรอยแผลเป็น สิว และริ้วรอย โดยลอกผิวชั้นบนออกอย่างอ่อนโยน [30]
    • ตัวอย่างของ AHA ก็เช่น กรดแลคติก กรดมาลิก กรดซิตริก กรดทาร์ทาริก และ beta-hydroxy glycolic acids คุณหาซื้อเจลลดรอยแผลเป็นที่มีส่วนผสมของ AHA และ BHA ได้ตามร้านขายยาและเครื่องสำอาง
    • ให้ทาเจลบริเวณที่เป็นวันละ 2 ครั้ง
    • อย่าใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี AHA หรือกรดไกลโคลิกเข้มข้นเกิน 20% เพราะจะทำให้ผิวสูญเสียน้ำมันและความชุ่มชื้นตามธรรมชาติมากเกินไป
    • คุณหมอสามารถลอกหน้าด้วยกรดไกลโคลิกให้คุณได้ที่คลินิก
  3. apple cider vinegar หรือน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล มีสรรพคุณฆ่าเชื้อ ช่วยกำจัดแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว นอกจากนี้ยังมีกรดมาลิก กรดแลคติก และกรดอะซิติก ที่ช่วยให้ผิวสะอาดเรียบเนียนด้วย เพราะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอ และกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว [31]
    • เวลาเลือกน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล ให้เลือกที่ขุ่นและสีเข้มที่สุด เพราะยิ่งขุ่น มีตะกอนเยอะ ก็ยิ่งอุดมสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิว
    • ผสมน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลแบบออร์แกนิก ½ ถ้วยตวง กับเบคกิ้งโซดา ¼ ถ้วยตวง เกลือทะเล (sea salt) ¼ ถ้วยตวง น้ำผึ้ง ½ ถ้วยตวง และทีทรีออยล์หรือน้ำมันหอมระเหยจากดอกดาวเรือง 5 – 10 หยด คนผสมให้เข้ากันโดยใส่ในขวดโหล ถ้าเหลวไป ไม่เหนียวข้นเป็น paste ให้เพิ่มเบคกิ้งโซดาหรือเกลือ เพราะเวลาใช้ลอกหน้า ส่วนผสมไม่ควรเหลวจนไหลหยดจากหน้า
    • ทาทุกวันติดต่อกัน 1 อาทิตย์ โดยใช้ปลายนิ้วนวดวนเบาๆ ให้ทั่วทั้งหน้า เว้นรอบดวงตาไว้
    • ทาแล้วทิ้งไว้ 5 - 10 นาทีค่อยล้างออกด้วยน้ำเย็น
  4. มีหลายงานวิจัยพบว่าสารสกัดจากหัวหอมมีสรรพคุณลดรอยแผลเป็นและรอยไหม้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นั่นเพราะหัวหอมมี quercetin ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติ ทั้งยังลดการอักเสบ กระตุ้นการซ่อมแซมและการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อด้วย [32] [33]
    • หัวหอมอุดมซัลเฟอร์ต้านแบคทีเรีย ที่ช่วยลดการเกิดสิว แถมยังมีสรรพคุณที่ทำให้ผิวหน้ากระจ่างใส ลดสิวและรอยด่างดำด้วย
    • เจลผสมสารสกัดจากหัวหอมมีขายตามร้านขายยาและเครื่องสำอาง หรือทำเองก็ยังได้ วิธีทำ paste หัวหอม ก็คือใช้เครื่องขูดหัวหอมลูกเล็กๆ ให้ละเอียดจนเขละ ต่อมาแช่เย็นไว้ 20 นาที ให้หายกลิ่นฉุนเพราะอาจระคายเคืองได้ พอเอาออกจากตู้เย็นแล้วก็ใช้พอกบริเวณที่มีแผลเป็นได้เลย
    • ทิ้งไว้ 10 - 15 นาที เสร็จแล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น ทำซ้ำได้ทุกวันจนรอยแผลเป็นจางลง แต่กว่าจะเห็นผลก็นาน 4 – 10 อาทิตย์
    • ถ้าแสบร้อนหรือระคายเคืองมาก ให้หยุดใช้ทันที
  5. sea silt เป็นโคลนชนิดหนึ่งที่มีเกลือทะเล โดยตกตะกอนตามแถบชายฝั่ง เป็นโคลนที่อุดมไปด้วยสารที่มีประโยชน์ต่อผิว เช่น กรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว ซัลเฟอร์ และสาหร่าย (algae) ที่มีสรรพคุณต้านอักเสบและบรรเทาอาการระคายเคือง [34]
    • โคลนทะเลช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้น เพราะผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วไปพร้อมกับแบคทีเรีย รอยแผลเป็นเลยตื้นขึ้น จางลง
    • โคลนทะเลมีขายตามร้านขายยาและเครื่องสำอางทั่วไป
    • คุณมาสก์หน้าด้วยโคลนทะเลได้อาทิตย์ละ 2 ครั้ง หรือตามที่แพทย์ผิวหนังแนะนำ
    • ถ้าใครผิวแห้ง แพ้ง่าย หรือรอยแผลเป็นอักเสบ ซัลเฟอร์และเกลือทะเลอาจทำให้ระคายเคืองได้
    โฆษณา
วิธีการ 6
วิธีการ 6 ของ 6:

ปรับเปลี่ยนอาหารการกิน

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ขาดน้ำแล้วผิวแห้ง แถมระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เพราะไม่ได้ขับสารพิษออกทางเหงื่อและการขับถ่าย ร่างกายเลยไม่ค่อยฟื้นตัว แผลเป็นหายช้า
    • ถ้าร่างกายได้รับน้ำเพียงพอ ผิวจะนุ่มเด้ง แผลเป็นจากสิวและริ้วรอยก็ตื้นขึ้น จางลง
    • ควรดื่มน้ำอย่างน้อย 8 ออนซ์ทุก 2 ชั่วโมง ร่างกายจะได้ไม่ขาดน้ำ และดื่มให้ได้อย่างน้อย 2 - 4 ลิตรต่อวัน
    • ถ้าปกติดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนด้วย ก็ต้องดื่มน้ำอย่างน้อย 1 ลิตรต่อเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน 1 แก้ว
  2. 2 อย่างนี้ผสมกันแล้วส่งผลเสียต่อต่อมไขมันอย่างมาก จนสิวเห่อได้ มีหลายงานวิจัยชี้ว่าในหมู่ชนพื้นเมืองตามประเทศต่างๆ ของโลก เด็กวัยรุ่นจะไม่มีสิว เพราะไม่ได้บริโภคน้ำตาลและผลิตภัณฑ์นมกัน กินแต่อาหารพื้นเมือง แต่พอเริ่มเปิดรับวัฒนธรรมตะวันตก โดยเฉพาะอาหารการกิน ก็พบว่าสิวขึ้นเหมือนกับวัยรุ่นทั่วไปในโลก [35]
  3. ชาเขียวอุดมสารต้านอนุมูลอิสระชื่อ polyphenols ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและการซ่อมแซมเซลล์ผิวที่สึกหรอ ทำให้แผลเป็นจางลง นอกจากนี้ยังป้องกันรังสียูวีและช่วยลดริ้วรอย ที่สำคัญคือชาเขียวช่วยคลายเครียดได้ด้วย
    • วิธีชงชาเขียวง่ายๆ คือแช่ใบชา 2 - 3 กรัมในน้ำอุ่น 1 ถ้วยตวง ทิ้งไว้ประมาณ 3 - 5 นาที
    • คุณดื่มชาเขียวได้ 2 - 3 ครั้งต่อวันเลย
    • หรือใช้ทาหน้าก็ช่วยลดรอยแผลเป็นได้เช่นกัน
  4. มีงานวิจัยที่ชี้ว่า วิตามินเอ หรือ retinol ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน นอกจากนี้ยังช่วยต้านอนุมูลอิสระและรังสียูวีด้วย
    • อาหารที่อุดมวิตามินเอก็เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ไข่แดง แครอท ผักใบเขียว และผลไม้สีเหลืองหรือส้ม ปกติกินอาหารที่มีวิตามินเอตามธรรมชาติจะไม่มีผลข้างเคียง นอกจากนี้ก็มีอาหารเสริมเช่นกัน หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป
    • วิธีเพิ่มการดูดซึมวิตามินเอ คืออย่ากินอาหารที่มีไขมันเลว โดยเฉพาะมาการีน น้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจน (hydrogenated) รวมถึงอาหารแปรรูป
    • ปริมาณวิตามินเอที่แนะนำในแต่ละวันคือ 700 – 900 ไมโครกรัม (2,334 - 3,000 IU) ถ้าได้รับมากไป (มากกว่า 3,000 ไมโครกรัม หรือ 10,000 IU) จะเกิดผลข้างเคียงอันตรายได้ เช่น คลอดลูกแล้วพิการแต่กำเนิด หรือเป็นโรคซึมเศร้า ถ้าปรึกษาคุณหมอได้จะดีที่สุด
  5. วิตามินซีทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้นเยอะ แถมช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน นอกจากนี้ยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญด้วย [36]
    • จะกินวิตามินซีแบบอาหารเสริมก็ได้ ปริมาณที่แนะนำคือ 500 มก. โดยแบ่งกิน 2 - 3 ครั้งต่อวัน
    • หรือเพิ่มเข้าไปในอาหารประจำวัน อาหารที่เป็นแหล่งวิตามินซีตามธรรมชาติก็เช่น พริกหวานแดงหรือเขียว ผลไม้รสเปรี้ยว น้ำผลไม้รสเปรี้ยวคั้นสด ปวยเล้ง บร็อคโคลี่ กะหล่ำดาว สตรอว์เบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ อะโวคาโด และมะเขือเทศ
  6. วิตามินอีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการเกิดสิวจากแบคทีเรีย ไวรัส และอนุมูลอิสระ แถมยังปกป้องผิวจากรังสียูวี กระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ และทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื้นด้วย [37]
    • อาหารที่อุดมวิตามินอีก็เช่น น้ำมันพืช อัลมอนด์ ถั่วลิสง เฮเซิลนัท เมล็ดทานตะวัน ปวยเล้ง และบร็อคโคลี่
    • ปริมาณที่แนะนำในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ทั่วไป คือ 15 มก. (22.35 IU) แต่มีงานวิจัยใหม่ๆ ชี้ว่ามากถึง 268 มก. (400 IU) ต่อวันก็ยังได้ อันนี้ต้องปรึกษาคุณหมอประจำตัว จะได้พิจารณาจากสภาพร่างกายของคุณร่วมด้วย
    • วิตามินอีตามธรรมชาติในอาหาร กินแล้วจะไม่อันตรายหรือมีผลข้างเคียง แต่ถ้าเป็นอาหารเสริม ถ้าร่างกายได้รับในปริมาณมาก อาจเป็นอันตรายได้
  7. บางงานวิจัยชี้ว่า zinc หรือสังกะสี ช่วยลดรอยแผลเป็นได้ หรือจะใช้ทาผิวในรูปของครีมแทน ก็ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
    • สังกะสีเป็นแร่ธาตุที่พบได้น้อยแต่จำเป็น (essential trace mineral) มีอยู่ในอาหารหลายชนิด ซึ่งก็เป็นอาหารประจำวันของคุณนั่นแหละ สังกะสีมีสรรพคุณต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องเซลล์ต่างๆ ในร่างกายจากแบคทีเรียและไวรัส [38]
    • อาหารที่เป็นแหล่งของสังกะสีก็เช่น หอยนางรม สัตว์ทะเลที่มีเปลือกแข็ง เนื้อแดง สัตว์ปีก เนยแข็ง กุ้ง ปู ถั่วฝัก เมล็ดทานตะวัน ฟักทอง เต้าหู้ เต้าเจี้ยว (มิโสะ) เห็ด และผักใบเขียวปรุงสุก
    • สังกะสีในรูปของอาหารเสริมก็มี รวมถึงแคปซูลวิตามินรวม ที่ดูดซึมง่ายหน่อยก็คือ zinc picolinate, zinc citrate, zinc acetate, zinc glycerate และ zinc monomethionine
    • ปริมาณสังกะสีที่แนะนำในแต่ละวันคือ 10 - 15 มก. ถ้ากินอาหารดีมีประโยชน์ก็ได้รับเพียงพอแน่นอน ไม่ควรบริโภคสังกะสีมากเกินไป เพราะจะไปลดทองแดง (copper) ในร่างกายแทน ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอได้
    • ครีมสังกะสีก็มี แต่ควรใช้ต่อเมื่อแพทย์สั่งเท่านั้น
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • ถ้าทำตามขั้นตอนที่ว่ามาในบทความนี้แล้วยังไม่ดีขึ้น ให้ไปหาแพทย์ผิวหนัง เพราะบางทีเคสของคุณอาจต้องทำการผ่าตัดรักษา ฉีดสเตียรอยด์ หรือ cryotherapy อย่างหลังสุดคือการบำบัดด้วยความเย็นจัดนั่นเอง [39]
โฆษณา

คำเตือน

  • อย่าถูแรง เพราะจะทำให้สิวระคายเคือง อักเสบ เสี่ยงเป็นแผลเป็นกว่าเดิม
  • ก่อนจะเริ่มใช้อาหารเสริมใหม่ ควรปรึกษาคุณหมอก่อน เพราะบางตัวมีผลข้างเคียงอันตราย โดยเฉพาะถ้าใช้ในปริมาณมาก
  • หญิงมีครรภ์ไม่ควรใช้ยาเรตินอยด์ (retinoids) หรือบริโภควิตามินเอในปริมาณมาก เพราะเป็นพิษ อันตรายต่อทารกในครรภ์มาก ดีไม่ดีอาจเกิดมาพิการได้
  • อย่าใช้ยาสีฟันแต้มสิวหรือรอยแผลเป็นจากสิว ถือเป็นความเชื่อผิดๆ ว่าเป็นวิธีรักษาแบบธรรมชาติ เพราะจริงๆ แล้วส่วนผสมบางอย่างในยาสีฟัน เช่น SLS (sodium laureth sulfate) ไตรโคลซาน และเปปเปอร์มินต์ จะทำให้สิวระคายเคืองกว่าเดิม [40]
  • ยาเรตินอยด์ใช้ได้แต่ต้องระวัง ปกติจะนิยมใช้บรรเทาอาการต่างๆ จากสิว แต่ถ้าทาในปริมาณมากหรือติดต่อกันนานๆ อาจทำให้เป็นโรคซึมเศร้า วิตกกังวล หรือกระตุ้นให้อยากฆ่าตัวตาย ไม่ก็ใช้ความรุนแรงได้ ลองเปลี่ยนไปกินอาหารที่วิตามินเอเยอะๆ แทนจะดีกว่า เพื่อให้ได้เรตินอลที่ดีต่อระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยซ่อมแซมฟื้นฟูผิวหนังด้วย [41]
  • อย่าใช้ benzoyl peroxide คุณหมอบางท่านอาจแนะนำให้ใช้ benzoyl peroxide แทนยาปฏิชีวนะ แต่จริงๆ แล้วข้อเสียมีมากกว่าข้อดี ถ้าไม่เข้มข้นมากและนานๆ ใช้ทีก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าใช้บ่อยๆ ระวังผิวเสีย และมีผลข้างเคียงต่อสุขภาพร่างกายโดยรวม [42]
โฆษณา

ข้อมูลอ้างอิง

  1. http://www.aad.org/dermatology-a-to-z/diseases-and-treatments/a---d/acne-scars/tips-for-preventing
  2. https://www.aad.org/dermatology-a-to-z/diseases-and-treatments/a---d/acne/tips
  3. https://www.aad.org/dermatology-a-to-z/diseases-and-treatments/a---d/acne/tips
  4. Gabriel, J. (2012) The Acne Diet: Holistic Plan to Achieve Clear, Youthful, Acne-Free Skin with Natural Nutrition, Stress Relief and Organic Skincare, ISBN: 978-0-9563558-4-3
  5. Gabriel, J. (2012) The Acne Diet: Holistic Plan to Achieve Clear, Youthful, Acne-Free Skin with Natural Nutrition, Stress Relief and Organic Skincare, ISBN: 978-0-9563558-4-3
  6. Gabriel, J. (2012) The Acne Diet: Holistic Plan to Achieve Clear, Youthful, Acne-Free Skin with Natural Nutrition, Stress Relief and Organic Skincare, ISBN: 978-0-9563558-4-3
  7. http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2835905/
  8. Gabriel, J. (2012) The Acne Diet: Holistic Plan to Achieve Clear, Youthful, Acne-Free Skin with Natural Nutrition, Stress Relief and Organic Skincare, ISBN: 978-0-9563558-4-3
  9. http://healthysleep.med.harvard.edu/healthy/getting/overcoming/tips
  1. http://healthysleep.med.harvard.edu/healthy/getting/overcoming/tips
  2. Gabriel, J. (2012) The Acne Diet: Holistic Plan to Achieve Clear, Youthful, Acne-Free Skin with Natural Nutrition, Stress Relief and Organic Skincare, ISBN: 978-0-9563558-4-3
  3. Gabriel, J. (2012) The Acne Diet: Holistic Plan to Achieve Clear, Youthful, Acne-Free Skin with Natural Nutrition, Stress Relief and Organic Skincare, ISBN: 978-0-9563558-4-3
  4. Gabriel, J. (2012) The Acne Diet: Holistic Plan to Achieve Clear, Youthful, Acne-Free Skin with Natural Nutrition, Stress Relief and Organic Skincare, ISBN: 978-0-9563558-4-3
  5. Gabriel, J. (2012) The Acne Diet: Holistic Plan to Achieve Clear, Youthful, Acne-Free Skin with Natural Nutrition, Stress Relief and Organic Skincare, ISBN: 978-0-9563558-4-3
  6. Gabriel, J. (2012) The Acne Diet: Holistic Plan to Achieve Clear, Youthful, Acne-Free Skin with Natural Nutrition, Stress Relief and Organic Skincare, ISBN: 978-0-9563558-4-3
  7. Bruce Fife, C.N., N.D.: “The Coconut Oil Miracle”, 5th edition,2013, Penguin Books, NY 10014
  8. Gabriel, J. (2012) The Acne Diet: Holistic Plan to Achieve Clear, Youthful, Acne-Free Skin with Natural Nutrition, Stress Relief and Organic Skincare, ISBN: 978-0-9563558-4-3
  9. http://theacneproject.com/jojoba-oil-for-acne-uses-and-benefits/
  10. Gabriel, J. (2012) The Acne Diet: Holistic Plan to Achieve Clear, Youthful, Acne-Free Skin with Natural Nutrition, Stress Relief and Organic Skincare, ISBN: 978-0-9563558-4-3
  11. Buck, S., (2013) 200 Tips, Techniques, and Recipes for Natural Beauty, ISBN: 978-1-59233-654-8
  12. http://msue.anr.msu.edu/news/homemade_sugar_scrubs_for_skin_care
  13. Buck, S., (2013) 200 Tips, Techniques, and Recipes for Natural Beauty, ISBN: 978-1-59233-654-8
  14. Buck, S., (2013) 200 Tips, Techniques, and Recipes for Natural Beauty, ISBN: 978-1-59233-654-8
  15. Buck, S., (2013) 200 Tips, Techniques, and Recipes for Natural Beauty, ISBN: 978-1-59233-654-8
  16. http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/20523108
  17. Gabriel, J. (2012) The Acne Diet: Holistic Plan to Achieve Clear, Youthful, Acne-Free Skin with Natural Nutrition, Stress Relief and Organic Skincare, ISBN: 978-0-9563558-4-3
  18. Gabriel, J. (2012) The Acne Diet: Holistic Plan to Achieve Clear, Youthful, Acne-Free Skin with Natural Nutrition, Stress Relief and Organic Skincare, ISBN: 978-0-9563558-4-3
  19. http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/25742878
  20. Gabriel, J. (2012) The Acne Diet: Holistic Plan to Achieve Clear, Youthful, Acne-Free Skin with Natural Nutrition, Stress Relief and Organic Skincare, ISBN: 978-0-9563558-4-3
  21. Gabriel, J. (2012) The Acne Diet: Holistic Plan to Achieve Clear, Youthful, Acne-Free Skin with Natural Nutrition, Stress Relief and Organic Skincare, ISBN: 978-0-9563558-4-3
  22. Gabriel, J. (2012) The Acne Diet: Holistic Plan to Achieve Clear, Youthful, Acne-Free Skin with Natural Nutrition, Stress Relief and Organic Skincare, ISBN: 978-0-9563558-4-3
  23. Gabriel, J. (2012) The Acne Diet: Holistic Plan to Achieve Clear, Youthful, Acne-Free Skin with Natural Nutrition, Stress Relief and Organic Skincare, ISBN: 978-0-9563558-4-3
  24. http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3390235/
  25. http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/21597673
  26. http://www.askdrray.com/pimples-and-acne-can-be-caused-by-food/
  27. http://lpi.oregonstate.edu/mic/micronutrients-health/skin-health/nutrient-index/vitamin-C
  28. http://lpi.oregonstate.edu/mic/micronutrients-health/skin-health/nutrient-index/vitamin-E
  29. http://lpi.oregonstate.edu/mic/minerals/zinc
  30. https://www.aad.org/dermatology-a-to-z/diseases-and-treatments/a---d/acne-scars/treatment-and-outcome
  31. Gabriel, J. (2012) The Acne Diet: Holistic Plan to Achieve Clear, Youthful, Acne-Free Skin with Natural Nutrition, Stress Relief and Organic Skincare, ISBN: 978-0-9563558-4-3
  32. Gabriel, J. (2012) The Acne Diet: Holistic Plan to Achieve Clear, Youthful, Acne-Free Skin with Natural Nutrition, Stress Relief and Organic Skincare, ISBN: 978-0-9563558-4-3
  33. Gabriel, J. (2012) The Acne Diet: Holistic Plan to Achieve Clear, Youthful, Acne-Free Skin with Natural Nutrition, Stress Relief and Organic Skincare, ISBN: 978-0-9563558-4-3

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 3,452 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา