ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

การพูดแบบบรรยายช่วยอธิบายบางอย่างที่คุณสนใจหรืออธิบายวิธีการทำบางสิ่งบางอย่าง เหล่านี้คือคำแนะนำในการเขียนเนื้อหาการพูดแบบบรรยาย

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 4:

การตัดสินใจเลือกหัวข้อ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เขียนรายการของหัวข้อที่ตรงกับความรู้และประสบการณ์ของคุณ. การพูดแบบบรรยายสามารถครอบคลุมกระบวนการ เหตุการณ์ แนวคิดหรือประเภทของวัตถุ เริ่มด้วยภาพรวมโดยการรวบรวมหัวข้อที่คุณคุ้นเคย เช่น เขียนหัวข้อที่คุณทำได้ดีในโรงเรียนและกิจกรรมที่คุณฝึกฝนมาหลายปี ยิ่งคุณเริ่มด้วยข้อมูลมากเท่าไหร่ การเขียนเนื้อหาการพูดแบบบรรยายก็จะง่ายขึ้นเท่านั้น
    • คุณจะต้องใช้เวลาจำนวนหนึ่งกับการพูดนี้และอาจจะต้องพูดหรือรับฟังมันต่อไปอีกหลายปี ใช้เวลารวบรวมหัวข้อเพื่อที่คุณจะมีตัวเลือกสำหรับการพูดที่คุณจะต้องชอบเขียนและส่งต่อ
    • เช่น ถ้าหากคุณชอบการล่าสัตว์ คุณน่าจะมีสิ่งที่น่าสนใจและไม่เป็นที่รู้จักมากมายเอาไว้พูดคุย คุณยังจะต้องค้นคว้ามากกว่าใช้แค่ประสบการณ์การล่าสัตว์ หัวข้อที่น่าสนใจ เช่น ธรรมเนียมการล่าสัตว์ กฎหมาย ประเภทของสัตว์ที่คุณล่า พฤติกรรมและถิ่นฐานของสัตว์ในระบบนิเวศน์จะได้มาจากการค้นคว้า
  2. พิจารณาหัวข้อโดยอ้างอิงจากสิ่งที่คุณยังไม่รู้จักแต่ต้องการรู้จัก. เพิ่มเติมหัวข้อเหล่านี้ลงในรายการ
    • ตัวอย่างเช่น คุณสนใจที่จะเป็นผู้กำกับภาพยนตร์แต่คุณไม่รู้ว่าคุณต้องทำอย่างไร มี 2-3 วิธีที่ดีกว่าในการเรียนรู้เกี่ยวกับมันนอกเหนือจากการค้นคว้าเกี่ยวกับการกำกับภาพยนตร์และจากนั้นอธิบายให้กับผู้คน
  3. คุณน่าจะสามารถพิจารณาได้ว่าคุณจะสามารถพูดหัวข้อของคุณได้ภายในเวลาที่จำกัดหรือไม่ เลือกจุดประสงค์ที่เฉพาะเจาะจงสำหรับการพูดเพื่อเป็นแนวทางการนำเสนอเช่นเดียวกับความสนใจของผู้ฟัง
    • พยายามทำให้การพูดน่าสนใจและไม่ใช่แค่สำคัญ การพูดเรื่องทั่วไปและสำคัญที่ทุกคนรู้อยู่แล้วอาจทำให้การพูดฟังดูน่าเบื่อและทำให้การพูดของคุณมีรายละเอียดที่มาที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการพูดของคุณ เช่น ลองจินตนาการการพูดแบบบรรยายเกี่ยวกับการสร้างวีดีโอเกมที่ลงรายละเอียดลึกซึ้งของการสร้าง การจัดเก็บข้อมูลและการออกแบบที่ทุกวิดีโอเกมใช้เหมือนกัน การพูดแบบนั้นมีระยะเวลายาวนานและอาจจะฟังได้ยากสำหรับคนทั่วไปที่ไม่เกี่ยวข้องกับการออกแบบวิดีโอเกม
    • ทำหัวข้อการบรรยายให้เฉพาะเจาะจง พยายามเจาะลึกถึงรายละเอียดที่น่าสนใจที่ผู้คนอาจจะยังไม่รู้ เช่น ธรรมเนียมการล่าสัตว์ของชนเผ่าพื้นเมืองแทนที่จะเป็นการล่าสัตว์โดยทั่วไป วิธีที่คนชอบเล่นวีดีโอเกมรวมตัวกันแทนที่จะเป็นการสร้างวิดีโอเกมโดยทั่วไป
    • ความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับรายละเอียดของหัวข้อคือสิ่งที่ทำให้การพูดของคุณเจ๋งและน่าสนใจ เช่น คุณชอบฟังบรรยายหัวข้อที่ว่าอาหารสำคัญอย่างไรหรือวิธีการทำอาหารประเภทต่างๆ เช่น ทาโก้รสกิมจิหรือเอแคลร์รสเบคอนช็อกโกแลตมากกว่ากัน? คุณอยากเรียนรู้เกี่ยวกับความสำคัญของการขับรถที่ดีหรือวิธีการทำให้ขับรถได้ดีขึ้น เช่น เคล็ดลับการขับรถแบบป้องกันตัวเองและการหมุนพวงมาลัยที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักมากกว่ากัน?
  4. จากรายการหัวข้อของคุณ เลือกเพียงหัวข้อเดียวเพื่อพัฒนาเนื้อหา. เนื้อหาของคุณคือคำที่อธิบายอย่างชัดเจนในประโยคเดียวว่าคุณจะทำอย่างไร
    • จดจ่อกับสิ่งที่คุณสามารถทำโดยไม่ลำบากเกินไป เช่น การพูดหัวข้อว่า “ฉันจะอธิบายวิธีการล่าสัตว์ ลอกหนังและเตรียมกวางตามธรรมเนียมของชนเผ่าพื้นเมือง” อาจเกิดปัญหาถ้าหากคุณพูดบรรยายโดยใช้กวางที่ตายแล้วในห้องเรียนหรือคุณไม่สามารถหากวางได้
  5. ทำให้เนื้อหาของคุณเฉพาะเจาะจงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้. เนื้อหาที่กว้าง เช่น “ฉันจะพูดเกี่ยวกับคาบูเรเตอร์” อาจนำไปสู่หัวข้อหลากหลาย ได้แก่ วิธีการที่คาบูเรเตอร์ทำงาน คาร์บูเรเตอร์ 2 ถังกับ 4 ถัง เป็นต้น เนื้อหาที่ชัดเจน เฉพาะเจาะจงและน่าสนใจสำหรับหัวข้อนี้อาจจะเป็น “ฉันจะอธิบายวิธีแยกชิ้นส่วนของคาร์บูเรเตอร์”
    • นึกถึงการสอนผู้คนให้ทำสิ่งต่างๆ หรือวิธีทำสิ่งต่างๆ ไม่เพียงแต่สอนผู้คนให้รู้จักสิ่งต่างๆ เท่านั้น เช่นเดียวกับคาบูเรเตอร์ “ในการบรรยายนี้ คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับซิป” ไม่ใช่เนื้อหาที่ดีที่สุดเพราะมันฟังดูกว้างและโจ่งแจ้ง ด้วยคำพูดนั้นคุณอาจจะคาดหวังอะไรก็ได้ตั้งแต่ใครบางคนนำเสนอการถอดกางเกงลงและดึงขึ้นเป็นเวลา 1 ชั่วโมงสำหรับประวัติของซิป มันยากที่จะบอกได้ คุณต้องใช้เนื้อหาที่ชัดเจนและเฉพาะเจาะจงมากกว่านี้ เช่น “ในการบรรยายนี้ คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการคิดค้นซิปเป็นครั้งแรก” หรือ “ฉันจะอธิบายว่าภาพยนตร์ซอมบี้เรื่องแรกถูกสร้างขึ้นได้อย่างไรและเทคโนโลยีของเอฟเฟคพิเศษถูกพัฒนาขึ้นตั้งแต่ตอนนั้นอย่างไร”
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 4:

การค้นคว้าเกี่ยวกับหัวข้อ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. กฎเกณฑ์ 1 ข้อเกี่ยวกับการเขียนเนื้อหาการพูดแบบบรรยายคือ รู้จักหัวข้อของตัวเอง ค้นคว้าด้วยความใส่ใจและศีลธรรมจรรยาโดยใช้แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือและจดโน้ต
    • ในการรวบรวมข้อมูลค้นคว้าและเริ่มอ่าน แยกข้อมูลที่คุณจะใช้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการพูดออกต่างหากแต่เปิดรับการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับหัวข้อที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของคุณโดยตรง คุณอาจจะต้องตอบคำถามเกี่ยวกับหัวข้อการพูด การเรียนรู้ข้อมูลเพิ่มเติมที่คุณไม่คิดว่าเกี่ยวข้องโดยตรงสามารถช่วยคุณตอบคำถามเหล่านี้ได้ เช่น ถ้าหากคุณพูดเกี่ยวกับการล่าสัตว์ของชนเผ่าพื้นเมืองและบางคนถามคุณเกี่ยวกับธรรมเนียมการล่าสัตว์อื่นๆ นอกเหนือจากธรรมเนียมพื้นเมือง คุณจะดูเป็นคนมีความรู้มากมายและคุณจะมีความรู้จริงๆ ถ้าหากคุณค้นคว้าข้อมูลรอบด้าน
  2. พิจารณาว่าการค้นคว้าสามารถเปลี่ยนหัวข้อของคุณได้อย่างไร. เมื่อคุณค้นคว้าเสร็จแล้ว คุณอาจจะพบข้อมูลใหม่ที่คุณอยากพูดถึงมากกว่า แทนที่จะละเลยสิ่งนั้น คุณสามารถวางแผนทำบางอย่างได้
    • เช่น สำหรับการพูดแบบบรรยายเกี่ยวกับการสร้างภาพยนตร์ซอมบี้ คุณอาจจะพบข้อมูลระหว่างการค้นคว้าว่าตำนานซอมบี้ดั้งเดิมน่าสนใจกว่าภาพยนตร์ อย่าต้านทานความต้องการในการเปลี่ยนหัวข้อการพูด คุณได้ทำการค้นคว้ามากมายแล้วและคุณจะพูดสิ่งที่น่าสนใจมากขึ้นถ้าหากหัวข้อที่คุณเพิ่งค้นพบนั้นน่าสนใจ
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 4:

การเขียนเนื้อหา

ดาวน์โหลดบทความ
  1. พิจารณาเกี่ยวกับผู้ฟังก่อนที่จะเขียนเนื้อหา. มันคือความคิดที่ดีในการสรุปว่าพวกเขาไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับหัวข้อ (ซึ่งเป็นเหตุผลที่คุณจะพูดแบบบรรยาย ถูกต้องไหม?) อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณตระหนักถึงเรื่องนี้ คุณยังอาจจะต้องให้ข้อมูลที่มาที่ไป ระมัดระวังเกี่ยวกับทางลัดที่คุณใช้ในการอธิบายหัวข้อ
    • อย่าอธิบายสิ่งที่ผู้ฟังรู้อยู่แล้วนอกเสียจากว่าคุณมีคำสั่งให้ทำเช่นนั้น ไม่มีใครต้องการฟังว่าพวงมาลัยรถยนต์หรือซิปคืออะไรและถ้าหากคุณจะพูดเรื่องของคาร์บูเรเตอร์ให้ช่างซ่อมเครื่องยนต์ฟัง คุณคงไม่ต้องให้ข้อมูลที่มาที่ไปมากมายเพราะพวกเขารู้หัวข้อดีอยู่แล้ว
  2. เขียนโครงร่าง . เขียนรายการของข้อมูลที่คุณคิดว่าควรจะใส่ลงในเนื้อหาและเรียงลำดับ
    • สำหรับการพูดแบบบรรยาย คุณต้องใส่เหตุผลสำหรับสิ่งที่คุณกำลังทำเช่นเดียวกับวิธีที่คุณทำ เช่น ถ้าหากคุณกำลังพูดถึงวิธีการทำทาโก้รสกิมจิ คุณควรอธิบายว่าทำไมบางขั้นตอนต้องเป็นไปตามขั้นตอนแบบนั้น คุณต้องใส่กิมจิเป็นลำดับสุดท้ายเพื่อไม่ให้ทาโก้ชุ่มน้ำหรือเปล่า? สำหรับการพูดเกี่ยวกับเรื่องคาร์บูเรเตอร์ ทำไมต้องขันน๊อตบางตัวให้แน่นและบางตัวหลวม? ข้อมูลนี้สำคัญสำหรับผู้ฟังในการเรียนรู้หัวข้อของคุณ
    • สำหรับการพูดแบบบรรยายซึ่งอธิบายบางอย่างแทนที่จะอธิบายวิธีการทำบางอย่าง คุณต้องใส่ข้อมูลเป็นลำดับที่เข้าใจได้ เช่น การพูดเกี่ยวกับการล่าสัตว์ของชนเผ่าพื้นเมืองต้องมีข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับชนเผ่าพื้นเมืองก่อนที่จะลงรายละเอียดของธรรมเนียมการล่าสัตว์
  3. ทำให้การพูดน่าสนใจและให้ความรู้โดยการเน้นใจความสำคัญ
    • เคล็ดลับที่พบบ่อยสำหรับการพูดแบบนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบบไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนคือการพูดถึงใจความสำคัญ 3 อย่างของการพูดและเรียงตามลำดับเวลา ตำแหน่งหรือความสำคัญ ขั้นตอนนี้ช่วยให้การพูดไหลลื่นและให้ความรู้ เช่น การพูดถึงชนเผ่าพื้นเมืองโดยเรียงตามลำดับเวลาอาจจะเริ่มต้นด้วยธรรมเนียมการล่าสัตว์ของชนเผ่าพื้นเมืองก่อนการล่าอาณานิคมของชาวยุโรป การเปลี่ยนแปลงของธรรมเนียมการล่าสัตว์ของชนเผ่าพื้นเมืองที่เป็นสาเหตุของประวัติศาสตร์ จากนั้นจึงสรุปด้วยการล่าสัตว์ของชนเผ่าพื้นเมืองสมัยใหม่
  4. บทเกริ่นนำของคุณควรดึงดูดความสนใจของผู้ฟังและทำให้พวกเขารู้ว่าคุณกำลังไปทิศทางไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากมันเป็นการพูดที่ยาวหรือซับซ้อน คุณต้องวางแผนใจความสำคัญที่คุณต้องการพูดถึง
    • คุณสามารถเริ่มการพูดด้วยประโยคที่น่าประหลาดใจหรือคำพูดที่น่าสนใจซึ่งเกี่ยวข้องกับหัวข้อของคุณ สิ่งนี้ได้ผลในการผูกมิตรกับผู้ฟังแต่สามารถเป็นผลเสียถ้าหากคุณเลือกคำพูดที่เชยหรือมุกตลกที่ไม่มีใครเข้าใจ เช่น การเริ่มพูดด้วยมุกตลก “ฉันเพิ่งบินมาจากนิวยอร์ก เมื่อยแขนไปหมดเลย” อาจจะเป็นความคิดที่แย่ (นอกจากว่าคุณกำลังจะพูดเกี่ยวกับมุกแย่ๆ)
  5. บทสรุปต้องสรุปใจความสำคัญของการพูดอย่างรวดเร็ว
    • จบการพูดด้วยใจความสำคัญ ผู้คนน่าจะจำสิ่งแรกและสิ่งสุดท้ายที่พวกเขาได้ยินได้ เพราะฉะนั้นเพื่อให้ทุกคนได้รับข้อความของคุณ คุณต้องใส่ข้อมูลสำคัญในตอนต้นและตอนจบของการพูด
    • ลองผูกบทสรุปเข้ากับบทเกริ่นนำ การปะติดปะต่อเรื่องราวเข้าด้วยกันจะช่วยให้การพูดของคุณชัดเจนมากยิ่งขึ้น เช่น การกลับไปสู่ตัวอย่างแรกที่คุณใช้หรือธีมหรือแม้แต่มุกตลกหรือข้อความที่คุณใช้ในตอนเริ่มการพูดสามารถให้ความรู้สึกเต็มเปี่ยมกับการพูด ถ้าหากการพูดถึงคาบูเรเตอร์ของคุณเริ่มด้วยเรื่องราวว่ารถของคุณทำงานผิดปกติในช่วงเวลาที่ร้ายแรงที่สุดซึ่งทำให้คาร์บูเรเตอร์แยกชิ้นส่วน คุณจะต้องสรุปการพูดของคุณโดยการบอกผู้ฟังว่าการซ่อมรถเป็นอย่างไร เป็นต้น
    โฆษณา
ส่วน 4
ส่วน 4 ของ 4:

การฝึกซ้อมพูด

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ฝึกพูดออกเสียงและจับเวลาตัวเอง เพิ่มหรือลดเนื้อหาหากจำเป็น ถึงแม้ว่าคุณไม่มีเวลากำหนดสำหรับการพูดแต่กำหนดเวลาของคุณคือนานเท่าที่คุณสามารถพูดจนกว่าผู้คนจะรู้สึกเบื่อหน่าย คุณจะไม่รู้ตัวในขณะที่ยุ่งกับการพูด เพราะฉะนั้นคุณต้องเตรียมตัวล่วงหน้า
    • ถ้าหากการพูดของคุณเกี่ยวข้องกับกระบวนการทางกฎหมายหรืองานสุนทรพจน์ คุณต้องพูดในเวลาที่จำกัดได้ คุณจะถูกตัดออกถ้าหากคุณพูดเกินเวลา เพราะฉะนั้นคุณต้องพูดให้พอดีกับเวลา ถ้าหากการพูดของคุณไม่ได้ถูกจับเวลาอย่างเคร่งครัด อย่ากังวลถ้าหากคุณพูดยาวกว่าที่คุณจับเวลาตอนซ้อมเอาไว้นิดหน่อย
  2. เมื่อคุณต้องพูดต่อหน้ากลุ่มคน คุณจะรู้สึกว่าคุณถูกเร่งถึงแม้ว่าคุณกำลังพูดอย่างรวดเร็วก็ตาม คุณต้องฝึกพูดให้ช้าลงกว่าการพูดตามธรรมชาติเพื่อให้ผู้ฟังได้รับข้อมูลสูงสุดจากการพูดของคุณ
    • ถ้าทำได้ คุณสามารถอัดวีดีโอตัวเองและดูว่าคุณพูดเร็วแค่ไหน มันอาจจะทำให้คุณตระหนักได้ว่าคุณกำลังพูดเร็วถึงแม้ว่าคุณคิดว่าคุณกำลังพูดช้าก็ตาม
    • เรียนรู้วิธีการเว้นวรรคการพูด การเว้นวรรคการพูดสามารถเน้นใจความสำคัญหรือให้เวลาผู้ฟังเพื่อนึกคิดตาม นักพูดที่ดีใช้การเว้นวรรคการพูดเป็นบางครั้งบางคราวแต่ได้ผลที่ดีเยี่ยม
    • ระวังเรื่องของข้อมูล ถ้าหากคุณต้องเขียนรายการของแนวคิดของข้อเท็จจริง คุณต้องให้เวลาตัวเองเพื่อเว้นวรรคหลังจากแนวคิดแต่ละข้อ [1]
  3. คุณอาจจะรู้สึกตื่นเต้นกว่าเดิมเมื่อคุณพูด เพราะฉะนั้นคุณต้องใจเย็นที่สุดเท่าที่จะทำได้
    • ซ้อมสิ่งที่จะเกิดขึ้นถ้าหากอุปกรณ์ของคุณทำงานผิดพลาด การรู้สึกตื่นเต้นจะทำให้คุณพลาดได้ง่าย เพราะฉะนั้นคุณต้องนำพาตัวเองไปสู่ความสำเร็จโดยการใช้อุปกรณ์ให้ชำนาญและง่ายดายที่สุดสำหรับตัวเอง จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากคุณพูดเกี่ยวกับคาบูเรเตอร์และคุณพูดติดอ่างหรือพูดผิดเกี่ยวกับขั้นตอนการแยกชิ้นส่วนหรือถ้าหากคุณใส่ส่วนประกอบสำคัญในระหว่างขั้นตอนการทําทาโก้ที่ละเอียดอ่อนและไม่สามารถทำต่อได้? วางแผนสำหรับการทำผิดพลาดและคุณจะสามารถกลับมาพูดได้อย่างไหลลื่นและดีเยี่ยม
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • ถึงแม้ว่าคุณเขียนเนื้อหาการพูดที่ดีแต่มันจะไม่เป็นประโยชน์ถ้าหากคุณพูดไม่ชัดเจนหรือพูดพึมพำ หยุดนิสัยชอบพูดแบบพึมพำและพูดออกมาให้ชัดเจนขึ้น มันคือทักษะที่ดีของชีวิตซึ่งหลายคนมักจะลืม
  • คุณพูดในที่สาธารณะ คุณอาจจะเผลอตัวพูดเร็ว คุณจะรู้สึกตื่นเต้นและเมื่อคนเรารู้สึกตื่นเต้นก็จะพูดเร็ว คนส่วนใหญ่จะไม่พูดช้าลง พิจารณาสิ่งนี้ไม่เพียงแต่เมื่อคุณซ้อมพูดแต่เมื่อคุณเขียนเนื้อหาเช่นกัน ถ้าหากคุณพูดช้าพอที่ผู้คนจะสามารถเข้าใจได้และดูเป็นมืออาชีพ คุณอาจจะไม่มีเวลาเพียงพอในการพูดรายละเอียดที่คุณเขียน
  • ถ้าหากคุณติดปัญหาในการนึกหัวข้อของการพูด คุณสามารถค้นคว้าหัวข้อในอินเตอร์เน็ต มีเว็บไซต์สำหรับหัวข้อเหล่านี้มากมายหรือพิจารณาสิ่งที่คุณมักจะพูดถึงในแต่ละวัน เช่น ถ้าหากคุณพูดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เสริมความงาม ลองพิจารณาการพูดวิธีทำผลิตภัณฑ์เสริมความงามด้วยตัวเองหรือการทำทรงผมต่างๆ
  • คุณอาจจะพูดแบบบรรยายได้เก่งกว่าที่คุณคิด ถ้าหากคุณเคยเล่าเรื่องโรงเรียนให้พ่อแม่ฟังหรืออธิบายวิธีการทำก๋วยเตี๋ยวไก่ให้เพื่อนฟังก็แปลว่าคุณเคยฝึกพูดแบบบรรยายแล้ว
  • โครงร่างเนื้อหาควรจะเป็นแนวทางเพื่อช่วยให้คุณจัดการกับการพูดแต่ไม่จำเป็นเสมอไป เมื่อคุณลงรายละเอียดเนื้อหาของการพูด คุณอาจจะพบบางจุดในโครงร่างที่ไม่จำเป็นหรือเรียงผิดที่ คุณสามารถเพิ่ม ลบและเรียงแต่ละจุดให้เข้าใจง่าย ตรวจทานเนื้อหาก่อนที่คุณจะพูดเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองดูเป็นคนไม่เรียบร้อย
    • ในขณะที่คุณพูด คุณอาจจะต้องการขยายหรือลดบางหัวข้อ เข้าถึงผู้ฟังแต่รับรู้ว่าการพูดมากเกินไปอาจทำให้คุณเสียสมาธิในการพูด พยายามทำตามแผนการ
  • จำไว้ว่าการพูดแบบบรรยายมีไว้เพื่อบอกเล่าผู้คน อย่าเลือกหัวข้อตามความคิดเห็นของตัวเองเพราะสิ่งนั้นคือการพูดแบบโน้มน้าว
    • คุณต้องเข้าใจความแตกต่างระหว่างการพูดแบบโน้มน้าวและการพูดแบบบรรยาย การพูดแบบบรรยาย เช่น “วิธีการแยกชิ้นส่วนคาร์บูเรเตอร์” จะกลายเป็นการพูดแบบโน้มน้าว “ทำไมการแยกชิ้นส่วนคาร์บูเรเตอร์จึงเป็นความคิดที่ไม่ดี” หรือ “ทำไมคาร์บูเรเตอร์ของ Holley จึงเป็นคาร์บูเรเตอร์ที่ดีที่สุด"
    • การพูดแบบโต้แย้งที่โน้มน้าวจนเกินไปอาจทำให้ผู้ฟังรู้สึกเบื่อหน่าย การพูดแบบนี้เรียกว่า การโต้เถียง ซึ่งแปลว่าเป็นการพูดที่โต้แย้งแบบไม่เหมาะสม การพูดแบบโต้เถียงต้องใช้เวลาและสถานที่ที่เหมาะสมซึ่งไม่เหมาะสมท่ามกลางการพูดแบบบรรยาย
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 14,175 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา