ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

ถ้าคนที่คุณรักหรือแม้กระทั่งตัวคุณเองเป็นออทิสติก คุณอาจจะพบว่าตัวเองจำเป็นต้องอธิบายอาการให้คนอื่นฟังเป็นครั้งคราว แต่ก่อนที่คุณจะสามารถอธิบายอาการได้อย่างถูกต้อง คุณต้องศึกษาเกี่ยวกับโรคออทิสติกให้ได้มากที่สุดก่อนจึงจะเกิดประโยชน์ จากนั้นคุณจะสามารถอธิบายได้ว่า โรคออทิสติกส่งผลต่อทักษะการเข้าสังคม ความสามารถในการเข้าอกเข้าใจผู้อื่น และพฤติกรรมทางกายภาพของคนๆ นั้นอย่างไร

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 5:

เข้าใจโรคออทิสติกเพื่อที่จะได้สอนคนอื่นได้

ดาวน์โหลดบทความ
  1. 1
    รู้ว่านิยามทั่วไปของโรคออทิสติกคืออะไร. โรคออทิสติกเป็นความบกพร่องด้านการพัฒนาที่โดยทั่วไปจะทำให้เกิดความแตกต่างในด้านการสื่อสารและทักษะทางสังคม เป็นความแตกต่างของระบบประสาทที่อาจดูเป็นความยากลำบาก แต่ก็มีข้อดีเช่นกัน [1]
  2. 2
    เรียนรู้ว่าคนที่เป็นโรคออทิสติกพูดถึงโรคออทิสติกอย่างไร. คนที่เป็นโรคออทิสติก ซึ่งเป็นผู้ที่ประสบกับความแตกต่างและแรงกระตุ้นต่างๆ ด้วยตัวเองสามารถให้ความเข้าใจว่าโรคออทิสติกเป็นอย่างไรได้ดีที่สุด นอกจากนี้ยังสามารถให้มุมมองที่กว้างขวางครอบคลุมกว่าองค์กรที่ดำเนินการโดยผู้ปกครองหลายๆ ที่อีกด้วย [2]
  3. 3
    เข้าใจว่าโรคออทิสติกเป็นอาการผิดปกติที่ครอบคลุมหลายมิติ. หมายความว่าอาการจะแตกต่างกันออกไปในแต่ละบุคคล คน 2 คนที่เป็นโรคออทิสติกจะไม่มีอาการเหมือนกันเป๊ะๆ คนหนึ่งอาจจะมีปัญหาเรื่องการรับรู้ความรู้สึกอย่างร้ายแรง แต่มีทักษะการเข้าสังคมและการทำงานของสมองด้านการจัดการที่แข็งแกร่งมาก ในขณะที่อีกคนอาจจะมีปัญหาด้านการรับรู้ความรู้สึกนิดหน่อย แต่ต้องเผชิญกับความยากลำบากด้านการมีปฏิสัมพันธ์ขั้นพื้นฐาน เนื่องจากอาการนั้นมีความแตกต่างกันไป จึงยากที่จะเหมารวมได้ว่า คนที่เป็นโรคนี้มีอาการอย่างไร
    • คำนึงถึงข้อเท็จจริงนี้เวลาอธิบายโรคออทิสติกให้คนอื่นฟัง คุณต้องอธิบายว่าคนที่เป็นโรคออทิสติกไม่ได้มีอาการเหมือนกันทุกคน เช่นเดียวกับการที่คนที่มีระบบประสาทแบบปกติก็ไม่ได้มีพฤติกรรมเหมือนกัน
    • เวลาที่พูดถึงคนที่เป็นโรคออทิสติก ให้เน้นความต้องการของคนๆ นั้นโดยเฉพาะ
  4. 4
    ตระหนักถึงความแตกต่างด้านการสื่อสาร. คนที่เป็นโรคออทิสติกบางคนรู้สึกว่าการสื่อสารกับผู้อื่นเป็นเรื่องยากมาก แม้ว่าความท้าทายด้านการสื่อสารจะพูดถึงอย่างละเอียดในวิธีการ 2 แต่ปัญหาด้านการสื่อสารทั่วไปที่เชื่อมโยงกับโรคออทิสติกนั้นได้แก่ :
    • น้ำเสียงแปลกๆ หรือเรียบไม่มีสูงต่ำ ทำให้จังหวะและระดับเสียงฟังดูแปลกๆ
    • พูดคำถามหรือวลีซ้ำ (อาการพูดเลียน)
    • ความยากลำบากในการแสดงความต้องการและความปรารถนา
    • ใช้เวลานานในการประมวลคำพูด ไม่สามารถตอบสนองคำสั่งได้อย่างรวดเร็ว หรือสับสนถ้ามีการพูดคำหลายคำเร็วเกินไป
    • การตีความภาษาตามตัวอักษร (สับสนเรื่องการพูดเสียดสี ประชดประชัน และภาพพจน์ต่างๆ)
  5. 5
    เข้าใจว่าคนที่เป็นออทิสติกนั้นมีปฏิสัมพันธ์กับโลกรอบตัวต่างออกไป. เวลาคุยกับคนที่เป็นออทิสติก คุณอาจจะสงสัยว่าพวกเขาสนใจคุณอยู่หรือเปล่า หรือแม้กระทั่งพวกเขาสังเกตไหมว่าคุณอยู่ตรงนั้น อย่าให้สิ่งนี้กวนใจคุณ จำไว้ว่า :
    • ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับคนเป็นออทิสติกที่ดูเหมือนจะไม่สนใจสิ่งรอบข้าง พวกเขาอาจจะแค่ไม่ได้ทันนึกหรือไม่ได้สนใจคนรอบข้าง ซึ่งทำให้การเชื่อมโยงกับผู้อื่นเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขา
    • คนที่เป็นออทิสติกอาจจะมีการฟังที่แตกต่างออกไป เช่น การสบตาอาจทำให้พวกเขารู้สึกอึดอัดมากๆ จนทำให้ไม่มีสมาธิในการฟัง และพวกเขาก็อาจจะต้องอยู่ไม่สุขเพื่อที่จะได้จดจ่ออยู่ได้ ดังนั้นสิ่งที่ดูเหมือนเป็นความไม่สนใจจริงๆ แล้วอาจจะเป็นการปรับตัวเพื่อที่พวกเขาจะได้ฟังได้ดีขึ้นก็ได้
    • คนที่เป็นออทิสติกอาจจะดูเหมือนว่าพวกเขาไม่ได้ยินสิ่งที่คนอื่นพูดด้วย ซึ่งอาจจะเป็นเพราะความช้าในด้านการประมวลผลการฟัง หรือในห้องอาจมีสิ่งรบกวนมากเกินไป อาจจะเสนอให้ย้ายไปที่ที่เงียบขึ้น และเว้นช่วงระหว่างการสนทนาเพื่อให้คนที่เป็นออทิสติกได้คิด
    • เด็กที่เป็นออทิสติกอาจจะพบว่าการเล่นกับคนอื่นค่อนข้างท้าทาย เนื่องจากมีกฎเกณฑ์ทางสังคมยากๆ มากมายและ/หรือต้องใช้ประสาทสัมผัสต่างๆ มากเกินไป พวกเขาก็อาจจะรู้สึกว่าการปลีกตัวออกมานั้นง่ายกว่า
  6. 6
    รู้ว่าโดยทั่วไปคนที่เป็นออทิสติกจะชอบโครงสร้างตายตัวมากเป็นพิเศษ. พวกเขาสามารถสร้างกิจวัตรประจำของตัวเองได้อย่างเป็นระบบระเบียบมากๆ ซึ่งเป็นเพราะว่าคนที่เป็นออทิสติกจะตกใจได้ง่ายเมื่อเจอกับสิ่งเร้าที่ไม่คุ้นเคย และความแน่นอนของตารางก็ทำให้รู้สึกสบายใจมากขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้จะกล่าวโดยละเอียดในวิธีการ 4 คนที่เป็นออทิสติกอาจจะ...
    • ทำตามกิจวัตรอย่างเคร่งครัด
    • พบว่าการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดมาก่อนเป็นเรื่องน่ากังวลใจมากๆ (เช่น การเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมของโรงเรียน)
    • ใช้ของประโลมจิตใจเพื่อช่วยบรรเทาความเครียด
    • วางของเป็นระบบ (เช่น เรียงของเล่นตามสีและขนาด)
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 5:

อธิบายทักษะการเข้าสังคมของคนที่เป็นออทิสติกให้ผู้ใหญ่ฟัง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. 1
    อธิบายว่าคนที่เป็นออทิสติกอาจแสดงท่าทางที่ต่างออกไปนิดหน่อย แต่ก็ไม่เป็นอะไร. คนที่เป็นออทิสติกต้องรับมือกับอุปสรรคและสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดความตึงเครียดที่คนที่มีระบบประสาทปกติไม่เคยเจอ [3] เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงมักจะแสดงท่าทางแปลกๆ หรือแสดงทักษะทางสังคมที่ต่างออกไป ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความจำเป็นและจุดแข็งของแต่ละคน
    • คนที่มีทักษะทางสังคมที่ดีหน่อยอาจจะแค่ดูแปลกๆ และงุ่มง่ามนิดหน่อย ในบางครั้งพวกเขาอาจจะแสดงความเห็นไม่เข้าท่าที่ไม่เข้ากับบทสนทนา
    • คนที่เป็นออทิสติกบางคนไม่สามารถมีปฏิสัมพันธ์ในสิ่งแวดล้อมทางสังคมแบบปกติได้
  2. 2
    บอกว่าคนที่เป็นออทิสติกอาจจะไม่สบตา. การสบตาอาจมากเกินกว่าที่คนเป็นออทิสติกจะรับไหวได้อย่างไม่น่าเชื่อ และคนที่เป็นออทิสติกก็อาจจะไม่สามารถสบตาและฟังคำพูดของอีกฝ่ายได้ในเวลาเดียวกัน [4] อธิบายว่าสำหรับคนที่เป็นออทิสติกแล้ว การหลบตาไม่ได้หมายความว่าไม่ได้ฟัง
    • อย่าบังคับให้สบตา เพราะคนที่เป็นออทิสติกอาจจะกลัว [5] ทักษะการสื่อสารของพวกเขาอาจลดลง และทำให้เกิดการรับความรู้สึกที่มากเกินไป
    • คนที่เป็นออทิสติกบางคนก็อาจจะสบตาได้โดยไม่ทำให้เขาอึดอัดมากนัก แต่ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนเช่นกัน
  3. 3
    อธิบายว่าคนที่เป็นออทิสติกไม่ได้ไม่สนใจพวกเขา. สอนพวกเขาว่าคนที่เป็นออทิสติกอาจต้องกระสับกระส่ายหรือหลบตาเพื่อที่จะเพ่งความสนใจ คนที่เป็นออทิสติกอาจมองไปที่ปาก มือ หรือเท้าของคู่สนทนา หรือแม้กระทั่งมองไปยังด้านตรงข้าม การโกรธคนที่เป็นออทิสติกมีแต่จะทำให้คนที่เป็นออทิสติกอยู่ห่างจากเขา
    • เตือนพวกเขาว่า เนื่องจากความแตกต่างด้านการรับรู้และการแสดงความสนใจ คนที่เป็นออทิสติกอาจจะจดจ่อกับบทสนทนาได้ยาก คนที่เป็นออทิสติกไม่ได้ไม่สนใจผู้อื่น เธออาจจะกำลังพยายามมีส่วนร่วมในบทสนทนาอย่างเต็มที่ก็ได้
    • สอนให้คนอื่นๆ แสดงออกอย่างชัดเจนเมื่อพวกเขาต้องการคุยกับคนที่เป็นออทิสติก คนๆ นั้นควรเอาตัวเข้าไปใกล้ เรียกชื่อคนที่เป็นออทิสติก และควรจะอยู่ในระดับสายตาของคนที่เป็นออทิสติก ถ้าเรียกแล้วแต่คนที่เป็นออทิสติกไม่ตอบสนอง ให้ลองใหม่ เพราะเขาอาจจะไม่ได้สังเกต
  4. 4
    อธิบายให้ชัดเจนว่า คนที่เป็นออทิสติกบางคนไม่สามารถพูดได้ (ไม่สามารถผลิตคำพูดได้). พวกเขาอาจจะสื่อสารผ่านภาษาใบ้ แผนภูมิรูปภาพ การพิมพ์ ภาษาท่าทาง หรือพฤติกรรม อธิบายว่าแค่เพราะเขาไม่พูดไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะไม่เข้าใจคำพูด หรือว่าพวกเขาไม่มีอะไรจะพูด
    • เตือนพวกเขาว่า "การดูหมิ่น" ถือเป็นการแสดงการยกตนข่มท่านเสมอ ผู้ป่วยออทิสติกที่ไม่สามารถพูดได้ควรได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ในวัยเดียวกัน
    • บอกให้พวกเขารู้ถึงผลงานของคนที่พูดไม่ได้ที่ยิ่งใหญ่ เช่น Amy Sequenzia ที่เป็นนักเขียนและนักเรียกร้องสิทธิมนุษยชนให้แก่ผู้ที่มีความผิดปกติด้านพัฒนาการ
  5. 5
    ย้ำว่าคนที่เป็นออทิสติกอาจไม่เข้าใจการพูดเสียดสี อารมณ์ขัน หรือน้ำเสียง. พวกเขาเข้าใจความแตกต่างระหว่างน้ำเสียงได้ยาก โดยเฉพาะเวลาที่สีหน้าของคนที่กำลังพูดไม่สัมพันธ์กับน้ำเสียงของเขา
    • เวลาที่อธิบายความยากลำบากนี้ คุณอาจจะเปรียบเทียบกับการใช้อิโมติคอนเวลาส่งข้อความ ถ้ามีคนส่งข้อความมาหาคุณว่า “อืม เยี่ยมเลย” คุณก็อาจจะคิดว่าคนๆ นั้นหมายความตามนั้นจริงๆ แต่ถ้าอีกคนใช้อิโมติคอนเช่น “:-P” กับข้อความนั้น ซึ่งแทนรูปหน้าคนแลบลิ้น คุณก็จะตีความว่าข้อความนั้นเป็นการประชดประชัน
    • คนที่เป็นออทิสติกสามารถเรียนรู้เพื่อที่จะเข้าใจความหมายของภาษาภาพพจน์ได้ บางคนเข้าใจความหมายที่ต่างกันเล็กน้อยของการประชดประชันและอารมณ์ขันได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 5:

อธิบายความแตกต่างด้านการสนทนาของคนที่เป็นออทิสติก

ดาวน์โหลดบทความ
  1. 1
    ช่วยให้อีกฝ่ายเข้าใจว่า คนที่เป็นออทิสติกอาจจะแสดงความเห็นอกเห็นใจต่างออกไป และนั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่มีความเห็นอกเห็นใจ. แต่พวกเขาก็อาจจะไม่ได้เข้าใจว่าคุณรู้สึกอย่างไร หรือรู้ว่าจะต้องแสดงท่าทีต่อความรู้สึกของคุณในแบบที่ดีที่สุดได้อย่างไร เตือนให้คนที่คุณกำลังอธิบายโรคออทิสติกรู้ว่า คนที่เป็นออทิสติกหลายคนแสดงความเห็นอกเห็นใจในแบบที่พวกเขาอาจจะไม่ได้ตระหนัก ซึ่งทำให้พวกเขาดูเหมือนคนไร้ความรู้สึกทั้งที่จริงๆ แล้วพวกเขาอาจจะแค่ไม่เข้าใจอารมณ์ที่คุณกำลังเผชิญอยู่
    • อธิบายว่า การอธิบายให้ชัดเจนว่าคุณรู้สึกอย่างไรนั้นดีที่สุด เช่น คนที่เป็นออทิสติกอาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมคุณถึงก้มหน้าก้มตา แต่ถ้าคุณบอกเขาว่า คุณรู้สึกไม่สบายใจเพราะพ่อโกรธคุณ เขาก็จะเข้าใจมากขึ้นว่าจะโต้ตอบคุณอย่างไร
  2. 2
    บอกให้อีกฝ่ายทราบถึงความหลงใหลอย่างแรงกล้าที่มาพร้อมกับโรคออทิสติก. คนที่เป็นออทิสติกหลายคนหลงใหลในเรื่องที่เฉพาะเจาะจง 2 – 3 เรื่องอย่างลึกซึ้ง และสามารถคุยเรื่องพวกนี้ได้นานมากๆ
    • คนทั่วไปอาจจะรู้สึกว่ามันหยาบคาย แต่โดยทั่วไปคนที่เป็นออทิสติกไม่ได้ตั้งใจจะเพิกเฉยความคิดและความรู้สึกของคุณ แต่พวกเขาอาจจะไม่ตระหนักว่าคู่สนทนาไม่ได้สนใจในสิ่งที่เขาต้องการจะพูด
    • คนที่เป็นออทิสติกบางคนจะระวังการพูดถึงสิ่งที่ตัวเองสนใจเป็นพิเศษมากเกินไป เพราะกลัวว่ามันจะหยาบคาย ถ้าเจอคนออทิสติกที่เป็นอย่างนี้ ให้บอกเขาว่าการพูดถึงความหลงใหลของตัวเองบ้างเป็นครั้งคราวนั้นไม่เป็นไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคู่สนทนาถามคำถามในเรื่องนั้น
  3. 3
    อธิบายให้อีกฝ่ายรู้ว่า คนที่เป็นออทิสติกอาจจะไม่ได้ตระหนักว่าคุณสนใจมากแค่ไหน. ถ้าคุณอยากจะเปลี่ยนเรื่องคุยหรือจบบทสนทนา พวกเขาอาจจะไม่รู้ว่าคุณกำลังบอกเป็นนัย เพราะฉะนั้นพูดตรงๆ ไปเลยจะดีที่สุด
    • การเตรียมเหตุผลที่จะขอตัวออกไปนั้นก็ช่วยได้เหมือนกัน เช่นบอกว่า "ฉันต้องไปแล้วล่ะ ไม่งั้นเดี๋ยวสาย" หรือ "ฉันคุยมาเยอะเกินไปแล้ว ฉันอยากอยู่เงียบๆ คนเดียวสักพักน่ะ" (ซึ่งเป็นสิ่งที่คนที่เป็นออทิสติกหลายคนสามารถเข้าใจได้)
  4. 4
    ช่วยให้อีกฝ่ายเข้าใจว่า คนที่เป็นออทิสติกก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกับคนอื่นๆ. คนอื่นต้องเข้าใจว่า คนที่เป็นออทิสติกก็รู้สึกถึงความรัก ความสุข และความเจ็บปวดไม่ต่างจากคนอื่นๆ แค่เพราะพวกเขาดูเหินห่างเป็นครั้งคราวไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไร้ความรู้สึก ที่จริงแล้วคนที่เป็นออทิสติกหลายคนรู้สึกถึงอารมณ์ต่างๆ ได้อย่างลึกซึ้งมากๆ
    โฆษณา
วิธีการ 4
วิธีการ 4 ของ 5:

อธิบายมารยาททางกาย

ดาวน์โหลดบทความ
  1. 1
    อธิบายว่า คนที่เป็นออทิสติกบางคนไม่สามารถรับมือกับการสัมผัสทางกายได้. ซึ่งเป็นเรื่องของปัญหาด้านการรับรู้ความรู้สึก คนที่เป็นออทิสติกแต่ละคนมีปฏิกิริยาต่อการสัมผัสแตกต่างกันออกไป เพราะฉะนั้นจึงต้องถามเขาก่อนว่าเขาอยากให้สัมผัสไหม
    • คนที่เป็นออทิสติกบางคนก็ชอบการสัมผัส คนที่เป็นออทิสติกหลายคนกอดเพื่อนสนิทและคนในครอบครัวได้อย่างมีความสุข
    • ถ้าไม่มั่นใจให้ถาม ลองถามว่า "อยากให้กอดไหม" หรือค่อยๆ เข้าไปใกล้ให้คนที่เป็นออทิสติกสามารถเห็นคุณและมีโอกาสที่จะขอให้คุณหยุดได้ อย่าเข้าสัมผัสจากด้านหลังเพราะอาจทำให้เขาตกใจจนถึงขั้นตื่นตระหนกได้
    • ความชอบเปลี่ยนไปในแต่ละวัน เช่น จู่ๆ เด็กชายที่เป็นออทิสติกที่ปกติแล้วชอบการกอดอาจจะบอกว่า "ไม่" เวลาที่คุณถามว่าอยากให้กอดไหม ซึ่งตามปกติแล้วเป็นเรื่องของความแตกต่างด้านการรับรู้ความรู้สึก คนๆ นั้นอาจจะแค่รู้สึกมีเรื่องให้รับมือมากเกินกว่าจะทนกับการกอดได้ เพราะฉะนั้นไม่ควรเก็บมาคิดเล็กคิดน้อย
  2. 2
    อธิบายว่า คนที่เป็นออทิสติกหลายคนไม่สามารถรับมือกับสิ่งเร้าทางความรู้สึกบางอย่างได้. คนที่เป็นออทิสติกอาจจะปวดหัวจากแสงจ้า หรือกระโดดแล้วเริ่มร้องไห้เมื่อคุณทำจานตกพื้น เตือนให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความอ่อนไหวของคนที่เป็นออทิสติก เพื่อที่พวกเขาจะได้ช่วยได้
    • อธิบายว่าพวกเขาสามารถถามความต้องการของคนที่เป็นออทิสติกได้เพื่อช่วยเหลือพวกเขา เช่น "ห้องนี้เสียงดังเกินไปไหม เราควรไปที่อื่นกันดีกว่าหรือเปล่า"
    • การหยอกล้อเรื่องความอ่อนไหวของคนอื่นเป็นสิ่งที่ไม่ดีเลย (เช่น ปิดประตูตู้วางของดังปังเพื่อดูคนที่เป็นออทิสติกกระโดด) สิ่งนี้อาจทำให้เกิดความเจ็บปวด ความกลัว หรือแม้กระทั่งอาการแพนิก และถือเป็นการรังแกผู้อื่น
  3. 3
    บอกอีกฝ่ายว่า คนที่เป็นออทิสติกจะรับมือกับสิ่งเร้าได้ง่ายกว่าถ้าได้รับสัญญาณเตือนให้เตรียมตัว. [6] โดยทั่วไปคนที่เป็นออทิสติกจะรับมือกับสถานการณ์ได้ดีกว่าถ้าพวกเขารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะฉะนั้นให้บอกอีกฝ่ายรู้ว่า พวกเขาควรถามก่อนที่จะทำอะไรที่อาจจะทำให้คนที่เป็นออทิสติกตกใจ
    • เช่น : "ฉันกำลังจะปิดประตูโรงรถแล้วนะ ถ้าคุณอยากจะออกจากห้องหรือเอามือปิดหูก็ตามสบายเลยนะ"
  4. 4
    บอกว่าคนที่เป็นออทิสติกอาจจะแสดงพฤติกรรมที่ดูแปลกๆ ในช่วงแรก. ซึ่งเรียกว่าพฤติกรรมกระตุ้นตนเอง เพราะเป็นพฤติกรรมที่กระตุ้นประสาทสัมผัส พฤติกรรมกระตุ้นตนเองสามารถช่วยในเรื่องของการสร้างความสงบให้ตนเอง การจดจ่อ [7] การสื่อสาร [8] และป้องกันอาการสติแตก อธิบายว่าถึงมันจะดูแปลกๆ แต่อย่าขัดจังหวะไม่ให้คนที่เป็นออทิสติกแสดงพฤติกรรมกระตุ้นตนเองเด็ดขาด [9] [10] ตัวอย่างพฤติกรรมกระตุ้นตนเองก็เช่น :
    • โยกหน้าโยกหลัง
    • พูดคำหรือทำเสียงซ้ำๆ (อาการพูดเลียน) [11]
    • สะบัดมือ
    • ดีดนิ้ว
    • เอาหัวโขก (แจ้งนักบำบัดหรือผู้ใหญ่ที่รับผิดชอบหากพฤติกรรมนี้กลายเป็นปัญหา เนื่องจากอาจก่อให้เกิดอาการบาดเจ็บทางร่างกายได้ เพราะฉะนั้นควรแสดงพฤติกรรมกระตุ้นตนเองอย่างอื่นแทน เช่น ส่ายหัวเร็วๆ นักบำบัดสามารถช่วยหาพฤติกรรมกระตุ้นตนเองอื่นๆ มาแทนได้)
    • กระโดดไปรอบๆ และปรบมือด้วยความตื่นเต้น
  5. 5
    อธิบายว่าพฤติกรรมกระตุ้นตนเองนั้นมักจะช่วยให้สงบ เพราะเป็นการสร้างข้อมูลรับเข้าทางความรู้สึกที่สามารถคาดเดาได้. เช่นเดียวกับการสร้างกิจวัตร พฤติกรรมกระตุ้นตนเองสร้างความรู้สึกถึงความปลอดภัยและการคาดเดาได้ เช่น คนที่เป็นออทิสติกอาจจะกระโดดอยู่กับที่ซ้ำไปซ้ำมา นอกจากนี้ก็อาจจะเล่นเพลงเดิมซ้ำไปซ้ำมา หรือวาดรูปเดิมๆ พฤติกรรมที่ทำซ้ำไปซ้ำมาสัมพันธ์กับระดับความสบายใจ
    • ถ้าคุณพยายามจะอธิบายโรคออทิสติกของลูกให้เพื่อนฟัง ให้เปรียบเทียบเรื่องการที่ลูกๆ ของพวกเขาเตรียมตัวไปโรงเรียน กิจวัตรพื้นฐานของการเตรียมตัวไปโรงเรียนก็คือ ทานอาหารเช้า แปรงฟัน แต่งตัว จัดประเป๋า และอื่นๆ ถึงจะเป็นกิจวัตรแบบเดียวกัน ในบางเช้ากิจกรรมเหล่านี้ก็อาจสลับกันได้ เด็กที่มีระบบประสาทแบบปกติจะไม่สนใจถ้าหากเช้าวันหนึ่งเขาต้องแต่งตัวก่อนค่อยทานอาหารเช้า ซึ่งผิดแปลกไปจากกิจวัตรปกติ แต่สำหรับเด็กที่เป็นออทิสติก การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจสร้างความสับสนได้เป็นอย่างมาก ถ้าพวกเขาเคยชินกับกิจวัตรแบบหนึ่งแล้ว ให้พยายามรักษากิจวัตรแบบนั้นไว้จะดีกว่า
    โฆษณา
วิธีการ 5
วิธีการ 5 ของ 5:

อธิบายโรคออทิสติกให้ลูกฟัง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. 1
    แน่ใจว่าลูกพร้อมจะคุยเรื่องนี้แล้ว. คุณต้องซื่อสัตย์กับลูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าลูกเป็นออทิสติกหรือมีความสงสัยเรื่องเพื่อนที่เป็นออทิสติก นอกจากนี้คุณก็ยังต้องแน่ใจด้วยว่าลูกของคุณโตพอที่จะเข้าใจว่าคุณกำลังพูดอะไรกับลูกและลูกจะไม่สับสนหรือได้รับข้อมูลมากเกินไป เด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นจึงไม่มีเกณฑ์อายุที่ตายตัวว่าเมื่อไหร่ควรพูดกับลูก คุณจะเกริ่นการสนทนาเรื่องนี้ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็สุดแท้แต่คุณ
    • ถ้าลูกของคุณเป็นออทิสติก ระวังอย่าพูดเรื่องนี้เร็วเกินไป เพราะความรู้สึกที่ว่าตัวเองไม่เหมือนคนอื่นโดยที่ไม่มีใครบอกได้ว่าทำไมอาจทำให้เครียดได้ กับเด็กเล็กคุณอาจจะพูดแค่ว่า "ลูกมีความบกพร่องที่เรียกว่าออทิสติก ซึ่งก็คือการที่สมองของลูกทำงานต่างจากของคนอื่นนิดหน่อย ลูกก็เลยต้องมีนักบำบัดคอยช่วยเหลือนะจ๊ะ"
  2. 2
    อธิบายให้ลูกฟังว่า โรคออกทิสติกไม่ใช่เรื่องที่น่าเสียใจอะไร. ให้เขารู้ว่าโรคออทิสติกเป็นความบกพร่อง ไม่ใช่โรคหรือภาระ และการเป็นออทิสติกก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร เด็กที่โตสักหน่อยอาจได้ประโยชน์จากการได้รับรู้แนวคิดเรื่องความหลากหลายทางระบบประสาทและการขับเคลื่อนสิทธิคนพิการ
    • ช่วยให้ลูกเข้าใจว่าความแตกต่างทำให้เขาไม่เหมือนใครและพิเศษ อธิบายข้อดีของโรคออทิสติก ซึ่งได้แก่ การรับรู้ด้านตรรกะและจริยศาสตร์ที่ดี ความเห็นอกเห็นใจ ความหลงใหลอย่างลึกซึ้ง การจดจ่อ ความซื่อสัตย์ และความปรารถนาที่จะช่วยเหลือ (ความรับผิดชอบต่อสังคม)
  3. 3
    สนับสนุนลูก. คุณต้องสนับสนุนลูก บอกลูกว่าการเป็นออทิสติกทำให้เขาแตกต่างก็จริง แต่ไม่ได้ทำให้เขาด้อยกว่าใคร ลูกของคุณสามารถไปโรงเรียนและทำกิจกรรมที่บ้านได้อย่างสบาย รวมถึงมีชีวิตที่มีความสุขด้วย
  4. 4
    คุณต้องแสดงความรักที่มีต่อลูก. บอกลูกเสมอว่าคุณรักและห่วงใยเขามากแค่ไหน การได้รับการสนับสนุนที่เหมาะสมโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องใช้ชีวิตอยู่กับความบกพร่องนั้นเป็นเรื่องสำคัญ และด้วยความช่วยเหลือต่างๆ ลูกของคุณก็จะมีชีวิตที่มีความสุขและทำสิ่งต่างๆ ได้มากมาย
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • อย่าหงุดหงิดถ้าคนที่คุณอธิบายเรื่องโรคออทิสติกให้ฟังดูจะไม่ ‘เข้าใจ’ ใจเย็นๆ และพยายามตอบคำถามที่คนนั้นมีขณะที่ช่วยให้เขาเข้าใจอาการของโรคออทิสติกมากขึ้น
  • แนะนำเว็บไซต์เกี่ยวกับโรคออกทิสติกให้อีกฝ่าย เช่น http://www.autisticthai.com/
โฆษณา

คำเตือน

  • อย่าห้ามไม่ให้คนที่เป็นออทิสติกแสดงพฤติกรรมกระตุ้นตนเองเด็ดขาด
  • ระมัดระวังเวลาแนะนำเว็บไซต์เกี่ยวกับออทิสติกให้คนอื่น บางองค์กร (โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กรที่มีพ่อแม่เป็นผู้ดำเนินการ) อธิบายว่าโรคออทิสติกเป็นสิ่งไม่ดีและเน้นไปที่ความยากลำบากมากกว่าจะเป็นความเคารพและรวมคนที่เป็นออทิสติกเข้ามาในชุมชน เน้นไปที่องค์กรที่มีคนที่เป็นออทิสติกเป็นผู้ดำเนินการหรือองค์กรที่มีคนออทิสติกเป็นคณะกรรมการสูงสุดหลายคนแทนจะดีกว่า
    • เว็บไซต์ที่พูดถึงความหลากหลายด้านระบบประสาท ใช้ภาษาของผู้ที่เป็นออทิสติก [12] ส่งเสริมการยอมรับ และพูดคุยถึงการให้ความช่วยเหลือแทนที่จะเป็นการรักษา โดยทั่วไปถือเป็นเว็บไซต์ที่เหมาะสม
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 4,106 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา