ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

ยิ่งเราเสพติดสื่อสังคมออนไลน์มากเท่าไหร่ ชีวิตเราก็จะยิ่งหมกมุ่นกับกระเป๋าราคาแพง รถหรู และใบหน้าสวยใสของคนอื่นจนทำให้ยากที่จะหันกลับมารักตัวเอง เราเริ่มไม่มั่นใจในตัวเองและสิ่งที่มีจนลืมความจริงที่ว่าเราก็ไม่เห็นต่างจากคนอื่นเลย อย่างไรก็ตาม ความไม่มั่นใจอาจเป็นแรงผลักดันให้คุณกลายเป็นคนที่ดีขึ้นได้ ดังนั้น เก็บความรู้สึกนี้ไว้ อย่าหลงลืมไปและยอมรับมันซะแล้วคุณก็จะสามารถรับความเป็นตัวเองได้และหันมารักตัวเองในที่สุด

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

เปลี่ยนวิธีคิด

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ความจริงมีสองด้านเสมอในเวลาเดียวกันซึ่งก็คือ “ความจริงที่เป็นไป” และ “สิ่งที่มโนไปว่าเป็นจริง” บางครั้ง การถอยห่างออกมาเป็นเรื่องจำเป็นเพื่อที่คุณจะได้เห็นว่าบางสิ่งที่คุณมโนไว้ในใจนั้นมีเศษเสี้ยวความเป็นจริงน้อยมาก จริง ๆ แล้วคุณแค่กลัวและกังวลไปเอง ดังนั้น เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณรู้สึกกังวลใจ ทบทวนให้ดีก่อนว่าสิ่งที่คุณกลัวเป็นเรื่องจริงหรือเป็นเพียงสิ่งที่คุณปรุงแต่งขึ้นเอง [1]
    • ยกตัวอย่างเช่น แฟนหนุ่มของคุณอาจจะตอบข้อความกลับมาแค่ “โอเค” หลังจากที่คุณพร่ำเพ้อใหญ่โตว่างานครบรอบของคุณทั้งสองในคืนวันพรุ่งนี้จะวิเศษเพียงใด คุณอาจจะมโนไปว่า “ตายล่ะ เขาไม่สนเลย เค้าไม่สนใจฉันแล้ว ฉันทำบ้าอะไรอยู่เนี่ย? ตอบมาแค่นี้อ่ะนะ? นี่เขาอยากเลิกกับฉันใช่ไหม?” ใจเย็นก่อนแม่คุณ คำว่า “โอเค” ตีความได้ไกลขนาดนั้นเลยเหรอ? ไม่ซักหน่อย คุณมโนไปเองฝ่ายเดียว บางทีแฟนคุณอาจจะแค่ยุ่งหรืออารมณ์ไม่ดี ไม่ได้แปลว่าเขาอยากเลิกกับคุณซักหน่อย
    • คนที่ไม่มั่นใจในตัวเองมีโอกาสสูงที่จะมองโลกในแง่ลบและเห็นแต่ด้านที่เลวร้ายของสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งที่จริง ๆ แล้วไม่ได้มีอะไรเลย ลองมุ่งความสนใจไปที่ความคิดในหัวของตัวเองดูเพื่อที่คุณจะได้ลดความไม่มั่นใจที่ทำให้จินตนาการเฟื่องฟุ้งลงซะบ้าง
  2. รู้ว่าความไม่มั่นใจนั้นไม่อาจสังเกตเห็นได้ด้วยตา. ยกตัวอย่างเช่น คุณกำลังเดินเข้างานเลี้ยงที่คุณไม่รู้จักใครซักคนและรู้สึกกังวลใจมาก คุณรู้สึกไม่มั่นใจสุด ๆ และรำพึงรำพันไปเองว่าคุณจะมางานนี้ทำไม คุณแน่ใจว่าทุกคนที่จ้องคุณอยู่ต่างรู้ว่าคุณไม่มั่นใจแค่ไหน จริง ๆ แล้วคุณคิดผิดแล้วล่ะ ถึงคนอื่น ๆ จะสังเกตได้ว่าคุณประหม่า แต่ก็แค่นั้นแหละ ไม่มีใครมองคุณทะลุไปถึงข้างในหรอก อย่าให้สิ่งที่มองไม่เห็นมาจำกัดให้คุณไม่ได้เป็นตัวของตัวเองเลยนะ [2]
    • คนส่วนใหญ่มักชอบคิดไปเองว่าคนอื่นรู้ว่าเราคิดอย่างไรและไม่มั่นใจแค่ไหนจนทำให้สถานการณ์เลวร้าย โชคดีที่ความจริงแล้วไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดไปเอง ใครหน้าไหนจะมาหาว่าคุณไม่มั่นใจได้ล่ะในเมื่อความจริงแล้วไม่มีใครดูออกซักหน่อยว่าคุณไม่มั่นใจ
  3. เคยได้ยินเรื่องผู้หญิงที่หลอกคนอื่นกระทั่งเพื่อนสนิทและคนในครอบครัวว่าไปเที่ยวรอบโลกมาไหม? ผู้หญิงคนนี้โพสทุกอย่างลงเฟสบุ๊ก ลงรูปอวดว่าการท่องเที่ยวของเธอยอดเยี่ยมขนาดไหนทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วตัวเองนั่งปั้นน้ำเป็นตัวอยู่ที่บ้าน [3] พูดอีกอย่างก็คือ เราเห็นแค่สิ่งที่คนอื่นอยากให้เห็นเท่านั้น เบื้องหลังภาพอันสวยงามล้วนมีเรื่องที่ไม่น่าอิจฉาซุกซ่อนอยู่ ทุกสิ่งที่เห็นไม่ใช่ความจริงเสมอไปหรอก คนที่เราเห็นก็ไม่ได้เป็นอย่างที่แสดงออกเสมอไป ดังนั้น คุณไม่เห็นต้องเอาตัวเองไปเทียบกับใครเลย
    • อย่างที่สตีฟ เฟอร์ทิกว่าไว้ “สิ่งที่ทำให้เราไม่อาจหลุดพ้นความไม่มั่นใจคือการที่เรานำเบื้องหลังของชีวิตตัวเองไปเทียบกับเบื้องหน้าของชีวิตคนอื่น” [4] ในบทความนี้ เราจะพูดเรื่องการเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นไม่มากนัก แต่ถึงอย่างไรคุณก็ควรพยายามเข้าใจว่าชีวิตคนอื่นที่คุณเห็นน่ะก็แค่เบื้องหน้า ไม่ใช่ด้านที่ตีแผ่หน้าที่การงานของคน ๆ นั้นจริง ๆ หรอก
  4. หนึ่งในวิธีการต่อสู้กับความไม่มั่นใจคือการเลิกใส่ใจมันซะ ถึงความไม่มั่นใจจะบีบคั้นจนอาจทำให้คุณสติแตก แต่ความรู้สึกนี้ก็มีข้อดีตรงที่ช่วยย้ำเตือนให้คุณเห็นว่าสิ่งที่คุณรู้สึกไม่ใช่ความจริงเสมอไปและไม่โอเค เพราะเมื่อคุณรู้สึกไม่โอเคกับตัวเอง คุณก็จะยอมรับตัวเองไม่ได้ และเมื่อคุณยอมรับตัวเองไม่ได้ คุณก็จะไม่มั่นใจ ดังนั้น ยอมรับสิ่งที่ตัวเองรู้สึกและทำความเข้าใจซะ เมื่อคุณอ่านใจตัวเองขาด ความรู้สึกไม่มั่นใจก็จะหายไปเอง
    • อย่างไรก็ตาม ไม่ได้แปลว่าคุณต้องยอมรับว่าสิ่งที่คุณรู้สึกเป็นเรื่องจริงนะ เช่น คุณต้องยอมรับว่ากำลังคิดว่า “ฉันอ้วนและน่าเกลียด” แต่ไม่ใช่ว่าคุณต้องเชื่อตามนั้น ที่คุณต้องยอมรับว่าตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไรก็เพื่อที่จะได้ย้อนหาเหตุผลว่าทำไมถึงรู้สึกเช่นนั้นและเริ่มทำอะไรซักอย่างเพื่อแก้ปัญหาต่างหากล่ะ
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

ปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ของตัวเอง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ถ้าคุณอดเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นไม่ได้ ก็เปรียบเทียบตัวเองกับตัวเองในอดีตซะเลยสิ. อย่าลืมว่าเวลาคุณมองคนอื่น คุณจะเห็นแต่เบื้องหน้า คุณก็เหมือนกับกล้องที่ยังไม่ได้โฟกัส นักแสดงคนอื่นเมาหยำเป พอมีผู้ชายรูปหล่อเดินเข้าฉากมาคุณก็เลยหลงไปกับออร่าที่เปล่งประกาย ซึ่งไม่เห็นจะยุติธรรมกับคนอื่นเลย! ฉะนั้น อย่าทำแบบนั้นเลยนะ เมื่อรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังตัดสินคนจากภายนอก รีบหยุดคิดซะ เตือนตัวเองว่านั่นเป็นเพียงภาพมายาและสิ่งสวยงามน่ะไม่จีรังยั่งยืนหรอก
    • และถ้าคุณเกิดรู้สึกอยากเปรียบเทียบอะไรขึ้นมา เปรียบตัวเองกับตัวเองในอดีตแทนสิ ลองคิดดูว่าคุณเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง มีทักษะใดที่คุณมีตอนนี้แต่ไม่เคยมีในอดีตไหม? คุณเป็นคนดีกว่าแต่ก่อนยังไง? คุณได้เรียนรู้อะไรแล้วบ้าง? ตัวคุณเองคือคู่แข่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของคุณแล้วล่ะ
  2. เขียนแบบจริง ๆ จัง ๆ เลยนะ หยิบกระดาษและปากกาออกมา (หรือจะพิมพ์ในมือถือก็ได้) และเขียนข้อดีของตัวเองลงไปซะ คุณชอบอะไรเกี่ยวกับตัวเองบ้าง? อย่าหยุดเขียนจนกว่าจะเขียนได้อย่างน้อยห้าข้อ คุณมีพรสวรรค์อะไรไหม? มีรูปร่างหน้าตาส่วนไหนดูดี? หรือมีบุคลิกภาพอะไรน่าชื่นชมบ้าง?
    • ถ้าคุณคิดอะไรไม่ออก (ซึ่งไม่แปลกหรอกน่า) ลองถามเพื่อนสนิทซักสองสามคนหรือคนในครอบครัวดูว่าอะไรคือคุณสมบัติที่ดีที่สุดของคุณ มีผลการศึกษามากมายเลยนะที่ยืนยันว่าคนอื่นน่ะรู้จักเราดีกว่าที่เรารู้จักตัวเองซะอีก [5]
    • เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณรู้สึกแย่ หยิบโพยข้อดีนี้ขึ้นมาดูหรือหวนนึกถึงสิ่งที่เคยเขียนไว้ ซาบซึ้งดื่มด่ำไปกับสิ่งดี ๆ ที่คุณมีแล้วความรู้สึกไม่มั่นใจก็จะค่อย ๆ หายไปเอง
  3. ใจเราต้องมองเห็นสิ่งที่ชัดเจนถึงจะหันกลับมารักตัวเองได้ ถ้ามีใครทำไม่ดีกับเรา เราก็จะไม่เชื่อว่าเขารักเรา ก็เหมือนกับการที่เราต้องดูแลตัวเองดี ๆ เพื่อนพิสูจน์ว่าเรารักตัวเองนั่นแหละ คุณต้องจดจำสิ่งเหล่านี้ให้ขึ้นใจนะ:
    • ใส่ใจร่างกายของตัวเอง ออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ นอนให้เพียงพอ และพยายามทำทุกอย่างให้ครบ 100% ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพราะทุกขั้นตอนที่ว่ามาน่ะเป็นเรื่องพื้นฐานที่ควรทำอยู่แล้ว
    • ใส่ใจพื้นที่ส่วนตัว คุณจะพร้อมเผชิญโลกได้ยังไงถ้าห้องหับเกลื่อนไปด้วยซากถุงมันฝรั่งอบกรอบ นอกจากดูแลที่อยู่อาศัยแล้ว อย่าลืมดูแลพื้นที่จิตใจของตัวเองด้วย หัดทำสมาธิ เล่นโยคะ หรือทำกิจกรรมใดก็ได้ที่ทำให้ใจคุณปลอดโปร่งซะ
    • ใส่ใจเวลาส่วนตัว ซึ่งก็คือการหาเวลาผ่อนคลายและทำสิ่งที่รักบ้าง เมื่อคุณทำได้ทั้งสองอย่าง คุณก็จะมีความสุขและปลดเปลื้องอุปสรรคในการยอมรับตัวเองไปได้
  4. คุณอาจจะดีกับตัวเองและรู้ว่าควรจะดูแลตัวเองอย่างไร แต่คนอื่นล่ะ? คุณต้องสร้างเกราะป้องกันตัวเอง ซึ่งก็คือการตั้งหลักเกณฑ์ขึ้นมาว่าอะไรที่คุณยอมรับได้และไม่ได้ แค่ไหนถึงเรียกว่าเป็นการล้ำเส้น? และทำไมคุณถึงขีดเส้นไว้ตรงนั้น? คุณมีสิทธิ์ที่จะปกป้องตัวเองและควรได้รับการปฏิบัติตามที่ตัวเองเห็นสมควร โดยต้องเริ่มจากการรู้ว่าตัวเองสมควรการได้รับการปฏิบัติอย่างไรซะก่อน [6]
    • ตัวอย่างที่ชัดเจนก็เช่น คุณรอเพื่อนที่มาสายได้นานแค่ไหน? คุณควรจะตั้งกฎขึ้นมาว่าคุณจะไม่รอคนที่มาสายเกินสามสิบนาที ถ้าเพื่อนคุณเอาแต่นอนหง่าวไม่โผล่มาซักที คุณก็จะไม่รออีกต่อไป เวลาของคุณมีค่า ตัวคุณเองก็มีค่า ถ้าคนอื่นไม่เคารพเวลาของคุณก็แสดงว่าเขาไม่เคารพคุณ แต่ถ้าเขาเคารพคุณ เขาก็ควรจะมาตรงตามเวลานัด
  5. เมื่อรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง แกล้งทำเป็นมั่นใจซะ. แบบที่ฝรั่งเขาว่า "Fake it till you make it" หรือ “แกล้งทำจนถลำเป็น” นั่นแหละ คำแนะนำนี้ไม่ใช่แค่คำคมคล้องจองพูดเก๋ ๆ นะ เพราะได้มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ยืนยันแล้วว่าได้ผลจริง การแกล้งทำเป็นมั่นใจในตัวเองสามารถทำให้คนอื่นเชื่อว่าคุณมั่นใจได้และจะนำคุณไปสู่โอกาสและเรื่องราวดี ๆ มากมายเชียวล่ะ [7] ดังนั้น ถ้าคุณอยากมั่นใจขึ้นกว่าเดิมก็ใช้ทักษะการแสดงเข้าช่วยซะเลย คนอื่นจับไม่ได้หรอกน่า.
    • ไม่รู้จะเริ่มยังไงเหรอ? เริ่มจากการผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่เกร็งจากความเครียดซะก่อน เมื่อเรารู้สึกกังวล ร่างกายเราก็จะพลอยแสดงอาการเกร็งตามไปด้วย การคลายกล้ามเนื้อจะส่งผลให้จิตใจคลายกังวลจนทำให้คนรอบกายคุณรู้สึกว่าคุณสุขุมนุ่มลึกมากเลยล่ะ
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

ลงมือปฏิบัติ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เขียนทุกคำชมที่คุณเคยได้รับลงในสมุดเล่มเล็ก ๆ หรือจะพิมพ์ลงมือถือก็ได้ เขียนไปให้หมดเลยนะ หยิบสิ่งที่คุณเขียนไว้ขึ้นมาดูยามต้องการกำลังใจ แม้จะมีเวลาว่างเพียงไม่กี่นาที แล้วคุณก็จะรู้สึกดีเองแหละ [8]
    • ความรู้สึกแง่ลบนั้นเกิดขึ้นได้ง่ายมาก โดยเฉพาะเมื่อคุณเกิดรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองขึ้นมา เมื่อรู้สึกไม่มั่นใจ โลกทั้งโลกก็ดูไม่สดใส เวลานั้นแหละที่คำชมจะช่วยให้คุณหลุดพ้นความคิดอันหม่นหมองได้ จดคำชมลงไปเพื่อที่คุณจะได้จำขึ้นใจและหวนคิดถึงได้เสมอ แล้วคุณก็จะรักตัวเองเองแหละ
  2. ถึงจะแย่แต่ก็จริงที่ว่าความรู้สึกเกี่ยวกับตัวเองและเกี่ยวกับอย่างอื่นของเรานั้นมักขึ้นอยู่กับคนที่เราอยู่ด้วย ถ้าเราอยู่ใกล้คนที่มองโลกในแง่ร้าย เราก็จะมองโลกในแง่ร้าย เมื่อเราอยู่ใกล้คนที่มีความสุข เราก็มักจะมีความสุขขึ้นตามไปด้วย [9] ดังนั้น คุณควรใช้เวลากับผู้คนที่ทำให้คุณมีความสุขและรู้สึกดีกับตัวเอง เท่านี้คุณก็จะไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว
    • นอกจากอยู่กับคนที่ทำให้คุณมีความสุขแล้ว คุณต้องกำจัดคนที่ทำให้คุณทุกข์ออกไปจากชีวิตด้วย ถ้ามีใครที่อยู่รอบกายทำให้คุณไม่รู้สึกรักตัวเองก็ตัดคนพวกนั้นออกไปจากชีวิตซะ คุณมีค่าเกินกว่าจะไปคบคนพวกนั้น การตัดเพื่อนที่ทำร้ายใจออกจากชีวิตอาจจะยาก แต่ก็คุ้มค่ากับความรู้สึกดี ๆ ที่จะตามมานะ
  3. หน้าที่การงานนั้นกินเวลาในชีวิตเรามากเลยนะ ถ้าคุณติดแหงกอยู่กับงานที่ไม่ชอบและรู้สึกเศร้าใจ คุณก็จะพลอยคิดไปว่าคุณคงทำอะไรที่ดีไปกว่านี้ไม่ได้และไม่คู่ควรกับสิ่งดี ๆ ถ้าคุณกำลังตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ พยายามหลุดพ้นจากบ่วงนี้ให้ได้ ความสุขของคุณน่ะสำคัญที่สุดแล้วนะ
    • ยิ่งไปกว่านั้น งานที่คุณทำอยู่อาจทำให้คุณไม่มีโอกาสได้ทำตามความฝันที่แท้จริงก็ได้นะ ลองนึกดูสิว่าถ้าคุณมีเวลาทำสิ่งที่ทำให้คุณมีความสุขมากกว่านี้ คุณจะรู้สึกดีแค่ไหน? คงรู้สึกเหมือนได้ขึ้นสวรรค์เลยใช่ไหมล่ะ? เมื่อคุณมีเป้าหมายแล้ว เดี๋ยวคุณก็จะมั่นใจและรักตัวเองง่ายขึ้นเอง
  4. หลังจาก “ยอมรับความรู้สึกของตัวเอง” ได้แล้ว คุณก็จะสามารถเผชิญหน้ากับมันและคิดออกว่าอะไรที่ทำให้คุณรู้สึกอย่างนั้น อะไรที่ทำให้คุณไม่มีความสุขเกี่ยวกับตัวเองและสถานการณ์ที่เป็นอยู่? น้ำหนักของตัวเอง? รูปร่างหน้าตา? บุคลิกภาพ? สถานะในชีวิต? หรือการที่คุณได้รับการปฏิบัติอย่างไม่ดีในอดีต?
    • เมื่อคุณมองเห็นปัญหาแล้ว คุณก็จะสามารถแก้ปัญหาได้ ถ้าน้ำหนักตัวทำให้คุณรู้สึกไม่มั่นใจ ใช้ความรู้สึกแย่ ๆ นี้เป็นแรงบันดาลใจในการลดน้ำหนักตัวเองและทำให้ตัวเองรู้สึกสวยซะเลยสิ หากคุณไม่มีความสุขกับสถานะในชีวิต ก็ลองเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตดูเผื่อจะประสบความสำเร็จซักที ไม่ว่าความรู้สึกไม่ดีนี้จะเกิดจากอะไร เปลี่ยนมันเป็นแรงขับเคลื่อนชีวิตซะ ความรู้สึกในแง่ลบเหล่านี้อาจทำให้คุณอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นก็ได้ ใครจะไปนึกว่าความไม่มั่นใจจะมีประโยชน์กับเค้าเหมือนกัน?!
  5. คุณอาจเคยได้ยินที่คนบอกว่าให้ยอมรับสิ่งที่คุณเปลี่ยนไม่ได้ แต่ถ้าคิดให้ถี่ถ้วนคุณจะเข้าใจเองว่าจริง ๆ แล้วคุณควรเปลี่ยนสิ่งที่คุณยอมรับไม่ได้ต่างหาก คุณรับรูปร่างหน้าตาตัวเองไม่ได้? ก็ทำอะไรซักอย่างสิ มองไม่เห็นโอกาสทางหน้าที่การงานงั้นเหรอ? งั้นก็เปลี่ยนงานซะ ยอมรับสิ่งที่คนอื่นทำกับคุณไม่ได้? ก็จบความสัมพันธ์นั้นไป จริง ๆ แล้วคุณมีอำนาจในการตัดสินใจเต็มเปี่ยม คุณแค่ไม่ยอมลงมือเท่านั้นแหละ
    • แน่นอนว่าคุณต้องทุ่มเทอย่างหนักเพื่อเปลี่ยนแปลงอะไรซักอย่าง การลดน้ำหนักไม่ใช่เรื่องง่าย เปลี่ยนงานยิ่งยากใหญ่ การเลิกคบแฟนจอมเฮงซวยก็ใช่ว่าจะง่ายดาย แต่คุณสามารถทำทุกสิ่งได้ด้วยตัวเอง ถึงตอนแรก ๆ จะยากอยู่ซักหน่อย แต่ความเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อชีวิตของคุณในระยะยาว คุณจะมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความมั่นใจและรู้จักรักตัวเองซักที
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • ไม่ว่าอย่างไรก็รักษาความเป็นตัวเองไว้ ยิ้มเขาไว้และบอกรักตัวเองด้วย
  • การที่มีเพื่อนที่แตกต่างไปจากตัวเองไม่ได้แปลว่าคุณต้องทำตัวเหมือนเพื่อนนะ
  • บอกใจตัวเองให้สู้เข้าไว้
  • เพื่อที่จะก้าวพ้นช่วงเวลาอันเลวร้าย คุณต้องคิดถึงช่วงเวลาที่ดีที่สุดและนึกว่าตัวเองเคยสุขขนาดไหนในตอนนั้น
  • ยิ้มเข้าไว้! รอยยิ้มจะทำให้คุณดูน่าเข้าหาขึ้นและทำให้คุณรู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้นด้วย
  • ถ้าคุณมีสิ่งที่ไม่เหมือนใคร เช่น มีฟันหน้าห่าง อย่าซ่อนฟันไว้และไม่กล้ายิ้ม คิดซะว่าเป็นข้อดีสิ! คุณควรจะรักสิ่งที่ทำให้คุณไม่เหมือนใครนะ
  • ฝืนทำอะไรที่ทำให้อาย ยิ่งคุณรู้สึกคุ้นเคยกับสิ่งนั้นมากขึ้นเท่าไหร่ คุณก็จะรู้สึกมั่นใจมากขึ้นเท่านั้น
  • อยู่ใกล้ ๆ คนในครอบครัวและเพื่อนฝูงเข้าไว้
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 7,405 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา