ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

น้ำมูก คือน้ำใสๆ เหนียวๆ ที่คอยกรองเศษสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ในอากาศ ไม่ให้ผ่านจมูกเข้าไปสู่ร่างกายคุณ น้ำมูกเป็นกลไกการป้องกันร่างกายอย่างหนึ่งตามธรรมชาติ แต่จะเริ่มมีปัญหา ถ้าน้ำมูกเยอะกว่าปกติ บางคนน้ำมูกเยอะจนรำคาญ แก้ไม่ค่อยหาย บอกเลยว่าทางแก้น้ำมูกไหลได้ดีที่สุด คือหาสาเหตุหรือโรคที่ทำให้น้ำมูกไหลแต่แรก โรคที่มักมาพร้อมอาการน้ำมูกไหลก็เช่น ภูมิแพ้ โรคจมูกอักเสบชนิดไม่แพ้ การติดเชื้อ และความผิดปกติทางกายวิภาคในจมูก

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 4:

หาหมอ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ถ้ามีอาการน้ำมูกไหล คัดแน่นจมูก แน่นหน้าไซนัสเป็นประจำ เป็นไปได้ว่ามีแบคทีเรียแฝงตัวอยู่ในโพรงไซนัส จนพัฒนาไปเป็นอาการติดเชื้อ [1]
    • อาการของไซนัสอักเสบก็คือ เจ็บแน่นหน้านานๆ คัดจมูก ปวดหัว ปวดหน้า นานเกิน 7 วัน
    • ถ้ามีไข้ร่วมด้วย เป็นไปได้มากว่าไซนัสอักเสบ
  2. ถ้าน้ำมูกเปลี่ยนเป็นสีเขียวหรือเหลือง ไม่ใสตามปกติ แถมเริ่มมีกลิ่น แสดงว่ามีแบคทีเรียเจริญเติบโตอยู่ในโพรงไซนัส จนไซนัสอักเสบ
    • พอไซนัสอุดตันคัดจมูก ทั้งน้ำมูกและแบคทีเรียที่เกิดขึ้นก็ถูกกักไว้ ถ้ายังคัดจมูกและมีแรงดันภายในต่อไป แบคทีเรียก็จะทำให้ไซนัสอักเสบได้
    • ถ้าคัดจมูก แน่นหน้า เพราะเป็นหวัดหรือไข้หวัดใหญ่ ก็มีโอกาสเป็นไซนัสอักเสบเพราะไวรัสได้เช่นกัน
    • ถ้าไซนัสอักเสบเพราะไวรัส กินยาปฏิชีวนะไปก็ไม่ช่วยอะไร ถ้าเป็นหวัดหรือไข้หวัดใหญ่ ให้กิน zinc (สังกะสี), วิตามินซี และ/หรือ pseudoephedrine
  3. ถ้าคุณหมอวินิจฉัยแล้วว่าไซนัสอักเสบเพราะแบคทีเรีย ก็จะจ่ายยาปฏิชีวนะให้ ต้องกินตามที่คุณหมอสั่งอย่างเคร่งครัด จนครบตามระยะเวลาที่กำหนด [2]
    • ถึงจะรู้สึกดีขึ้นในเร็ววัน แต่ย้ำว่าต้องกินยาให้ครบตามที่คุณหมอสั่ง เพราะถ้าหยุดยาไปเองเมื่อรู้สึกดีขึ้น จะทำให้แบคทีเรียดื้อยาได้ [3] ที่สำคัญคือแบคทีเรียอาจหลงเหลือในโพรงไซนัสได้
    • ระวังหมอบางคนจ่ายยาปฏิชีวนะให้ก่อนจะทันทราบผลตรวจว่าเกิดไซนัสอักเสบจากอะไร [4] ถ้ากังวล อาจจะขอให้คุณหมอเพาะเชื้อก่อน จะได้แน่ใจว่าจ่ายยาปฏิชีวนะถูกโรค
    • ถ้ากินยาปฏิชีวนะจนครบตามที่คุณหมอสั่ง แต่ยังมีอาการต่อไป ต้องรีบกลับไปหาหมอ เพราะอาจต้องกินยาอีกชุดหรือกินยาปฏิชีวนะตัวอื่นแทน
    • ปรึกษาคุณหมอเรื่องทดสอบอาการแพ้ หรือวิธีป้องกันอื่นๆ กรณีที่ไซนัสอักเสบบ่อยๆ
  4. บางกรณี ก็มีอาการคัดจมูก แน่นหน้า น้ำมูกไหลเยอะและเรื้อรัง ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็ไม่ยอมหาย [5]
    • ถ้าคุณมีปัญหาเรื้อรังเรื่องจมูกอักเสบ หรือน้ำมูกไหลเยอะตลอด แนะนำให้ปรึกษาคุณหมอจะตรงจุดที่สุด
    • อาจต้องตรวจร่างกายหลายขั้นตอนกับคุณหมอ เพื่อหาต้นเหตุของอาการแพ้ ซึ่งอาจพบได้ทั้งที่บ้านและที่ทำงาน
    • แถมคุณอาจมีริดสีดวงจมูกหรือความผิดปกติทางโครงสร้างในโพรงไซนัสร่วมด้วย จนทำให้น้ำมูกไม่หยุดไหลซะที
  5. ความผิดปกติทางกายวิภาคของโพรงไซนัสที่มักเป็นสาเหตุของน้ำมูกไหลเยอะมากที่สุด ก็คือริดสีดวงจมูกนั่นเอง [6]
    • ริดสีดวงจมูกใหญ่ขึ้นได้ตามเวลาที่ผ่านไป ตอนแรกอาจจะแค่เล็กๆ ไม่ทันสังเกตเห็น ระยะนี้จะไม่ก่อปัญหาใดๆ
    • ถ้าริดสีดวงจมูกขนาดใหญ่ บางทีถึงขั้นอุดกั้นโพรงไซนัสจนหายใจลำบากได้เลย ทำให้เกิดอาการระคายเคือง จนน้ำมูกเยอะผิดปกติได้
    • ความผิดปกติทางกายวิภาคอื่นๆ ที่พบได้ ก็เช่น ผนังกั้นช่องจมูกคด และต่อมอะดีนอยด์โต แต่ปกติจะไม่ได้ทำให้น้ำมูกเยอะ
    • ความผิดปกติทางกายวิภาค เกิดจากอาการบาดเจ็บที่จมูกหรือบริเวณโดยรอบได้ด้วย และบางทีก็ส่งผลต่อการผลิตน้ำมูกด้วย ต้องลองปรึกษาคุณหมอ ถ้าเพิ่งได้รับบาดเจ็บบริเวณจมูกและใบหน้า
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 4:

ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ใช้ กาเนติ . กาเนติ (neti pot) เป็นอุปกรณ์หน้าตาเหมือนกาน้ำชาเล็กๆ ถ้าใช้ถูกวิธี จะช่วยชะเอาน้ำมูกและสิ่งตกค้างที่ก่อความระคายเคืองต่างๆ ออกไปได้ ช่วยให้โพรงไซนัสชุ่มชื้น [7]
    • วิธีใช้คือเทน้ำเกลือหรือน้ำกลั่นใส่รูจมูกข้างหนึ่ง แล้วปล่อยให้ไหลออกมาที่รูจมูกอีกข้าง พร้อมชะเอาสารก่อความระคายเคืองและเชื้อโรคออกมาด้วย
    • เทน้ำเกลือประมาณ 4 ออนซ์ใส่กาเนติ แล้วก้มตัวเหนืออ่างล้างหน้าหรืออ่างล้างจาน เอียงหน้าไปข้างๆ แล้วจ่อพวยกาที่รูจมูกข้างที่ตอนนี้อยู่ด้านบน
    • ยกกาเอียงขึ้น เพื่อให้น้ำไหลเข้ารูจมูก แล้วไหลออกมาที่รูจมูกอีกข้าง เสร็จแล้วสลับ ทำซ้ำตามขั้นตอนกับอีกข้าง
    • ขั้นตอนนี้เรียกว่าการสวนล้างจมูก เพราะเราใช้น้ำชะล้างน้ำมูกส่วนเกินและสารระคายเคืองในโพรงจมูกออกมา พวกนี้เป็นตัวการทำให้น้ำมูกไหลไม่หยุด แนะนำให้สวนล้างจมูกด้วยกาเนติวันละ 1 - 2 ครั้ง
    • กาเนติช่วยให้ไซนัสชุ่มชื้น ลดการระคายเคือง คุณหาซื้อกาเนติได้ตามร้านขายยาทั่วไปในราคาไม่แพง อย่าลืมล้างกาเนติให้สะอาดก่อนใช้ในแต่ละครั้ง
  2. ถ้าจะผสมน้ำเกลือสวนล้างจมูกเอง ให้ใช้น้ำกลั่นหรือน้ำกลั่นสเตอร์ไรล์ (ปลอดเชื้อ) [8] หรือใช้น้ำต้มสุกแล้วพักไว้จนเย็น ห้ามใช้น้ำก๊อกเด็ดขาด เพราะจะปนเปื้อนและมีสารก่อความระคายเคืองได้
    • ให้ใช้น้ำ 8 ออนซ์ จากนั้นเติมเกลือโคเชอร์ลงไป ¼ ช้อนชา และเบคกิ้งโซดา ¼ ช้อนชา ห้ามใช้เกลือปรุงอาหารตามปกติ ผสมให้เข้ากันแล้วเทใส่กาเนติได้เลย
    • คุณเก็บน้ำเกลือที่ผสมแล้วไว้ได้นาน 5 วัน ถ้าอยู่ในภาชนะปิดมิดชิด แนะนำให้แช่ตู้เย็นไว้ แต่ก่อนสวนล้างจมูก ต้องทิ้งไว้จนเท่าอุณหภูมิห้องก่อน
  3. การประคบร้อนช่วยบรรเทาอาการปวด แน่นไซนัสได้ รวมถึงทำให้น้ำมูกเหลวขึ้น สั่งง่าย ไม่อุดตันในไซนัส [9]
    • ให้ใช้ผ้าผืนเล็กชุบน้ำอุ่นจัด วางประคบบนใบหน้า ตรงส่วนที่แน่นไซนัสที่สุด
    • หรือหลักๆ คือใช้ประคบตา หน้าผากติดกับคิ้ว จมูก และแก้ม ส่วนที่ติดกับใต้ตา
    • ให้ชุบน้ำอุ่นเรื่อยๆ ทุก 2 - 3 นาที แล้วประคบต่อ เพื่อบรรเทาปวด แน่นไซนัส
  4. เพื่อระบายน้ำมูกในไซนัสในตอนกลางคืน น้ำมูกไม่อุดตันในโพรงจมูก [10]
    • พักผ่อนให้เพียงพอ ร่างกายจะได้แข็งแรง ต้านไซนัสอักเสบให้หายเร็วๆ และไม่มีน้ำมูกในโพรงไซนัสเยอะ
  5. อากาศแห้งไปก็ทำให้ระคายเคือง ไซนัสมีปัญหาได้ รวมถึงน้ำมูกไหล และคัดจมูก [11]
    • เครื่องทำความชื้นมีให้เลือกหลักๆ 2 แบบด้วยกัน คือไอเย็น (cool mist) กับไอร้อน (warm mist) ซึ่ง 2 แบบนี้ก็แยกย่อยออกไปอีกหลายแบบ ถ้าโพรงไซนัสแห้งจนแสบ ระคายเคือง น้ำมูกไหลอยู่เรื่อยๆ แนะนำให้หาเครื่องทำความชื้นมาติดตั้งในบ้าน [12]
    • การปลูกไม้กระถางในบ้านก็ช่วยให้อากาศในบ้านชื้นขึ้นได้ อาจจะปลูกต้นไม้แทนเครื่องทำความชื้น หรือใช้ควบคู่กันไปก็ได้
    • วิธีทำให้บ้านชื้นขึ้นได้เฉพาะหน้าแบบง่ายๆ ก็เช่น ต้มน้ำบนเตา (คอยดูไว้) เปิดประตูทิ้งไว้ตอนอาบน้ำหรือเปิดน้ำร้อนใส่อ่าง กระทั่งการตากผ้าในบ้าน
  6. ไอน้ำช่วยให้น้ำมูกในหน้าอก จมูก และคอเหลวขึ้น ไม่เหนียวข้น สั่งหรือขับออกจากร่างกายได้ง่าย [13]
    • ต้มน้ำในหม้อ เทใส่ชาม แล้วเอาหน้าอังเหนือชาม หายใจเอาไอน้ำเข้าไปหลายๆ นาที
    • เอาผ้าเช็ดตัวคลุมหัว กักไอน้ำไว้เหมือนกระโจมอบไอน้ำ
    • หรืออาบน้ำอุ่นจัดให้สั่งน้ำมูกง่ายก็ได้เหมือนกัน
  7. การสัมผัสกับสารก่อความระคายเคืองทุกชนิด อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว หรือกลิ่นสารเคมีฉุนๆ ต่างก็ทำให้มีน้ำมูกในไซนัสเพิ่มขึ้น แถมพอน้ำมูกเยอะๆ ก็ไหลลงไปในคอ เรียกว่า postnasal drip บางทีสารก่อความระคายเคืองก็ทำให้ปอดผลิตเสมหะ (phlegm) มากขึ้นด้วย จนทำให้เหมือนจะไอ เพื่อขับเสมหะที่สะสมออกมานั่นเอง [14]
    • เลิกบุหรี่ ถ้าปกติสูบ และหลีกเลี่ยงควันบุหรี่มือสอง ทั้งบุหรี่และซิการ์ก็อันตรายพอกัน
    • ถ้ารู้ว่าควันเป็นตัวกระตุ้นให้น้ำมูกไหลไม่หยุด ก็ต้องหลีกเลี่ยงสถานการณ์ภายนอก เช่น การเผาขยะที่มีทั้งควันและสะเก็ดไฟ หรือเวลาเข้าค่ายรอบกองไฟก็หลบไปซะ
    • มลภาวะต่างๆ ที่คุณหายใจเข้าไป ก็ทำให้ไซนัสมีปัญหาได้ ต้องระวังฝุ่น สะเก็ดผิวหนังของสัตว์เลี้ยง ยีสต์ และเชื้อรา ทั้งในบ้านและที่ทำงาน ถ้ามีเครื่องกรองอากาศหรือแอร์ ก็ต้องเปลี่ยนไส้กรองบ่อยๆ เพื่อลดการสัมผัสกับสารก่อความระคายเคืองในอากาศ
    • ควันท่อไอเสีย งานที่เกี่ยวข้องกับไอสารพิษ กระทั่งหมอกควัน ต่างก็กระตุ้นให้น้ำมูกเยอะเป็นพิเศษได้ นอกเหนือไปจากสารก่อภูมิแพ้ ศัพท์ทางการแพทย์เรียกว่าโรคจมูกอักเสบชนิดไม่แพ้ (nonallergic rhinitis)
  8. ปกป้องไซนัสจากอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงกะทันหัน. ถ้าต้องทำงานนอกสถานที่ในอากาศหนาวเย็น ก็ทำให้น้ำมูกสะสม แล้วค่อยมาไหลเยอะๆ ตอนอากาศร้อนได้ [15]
    • ถ้าต้องไปในที่อากาศหนาว กลางแจ้ง ให้ปิดหน้าและบริเวณจมูกให้อบอุ่นอยู่เสมอ
    • สวมหมวก ผ้าโพกหัว หรือหน้ากากที่ปิดบริเวณใบหน้า เช่น หน้ากากสกี
  9. สั่งน้ำมูกเบาๆ ให้ถูกวิธี ผู้เชี่ยวชาญบางท่านแนะนำว่าการสั่งน้ำมูก บางทีก็ทำให้แย่กว่าเดิมได้ [16]
    • สั่งน้ำมูกเบาๆ อย่าสั่งแรง และสั่งน้ำมูกออกจากรูจมูกทีละข้าง
    • ถ้าสั่งน้ำมูกแรงไป จะทำให้บริเวณไซนัสขยายออกเล็กน้อย ถ้ามีแบคทีเรียหรือสารก่อความระคายเคืองในจมูก ก็จะทำให้ยิ่งดันกลับเข้าไปในไซนัส มากกว่าจะสั่งออกมา
    • สั่งน้ำมูกกับผ้าหรือทิชชู่สะอาดเท่านั้น และล้างมือให้สะอาดหลังสั่งน้ำมูก เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคหรือแบคทีเรียแพร่กระจาย
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 4:

ซื้อยาใช้เอง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. คุณซื้อยาแก้แพ้กินเองได้เห็นผลดีมาก ช่วยบรรเทาอาการในไซนัส ที่เกิดจากสารก่อภูมิแพ้ หรือที่เรียกว่าโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ (allergic rhinitis) [17]
    • ยาแก้แพ้จะไปยับยั้งปฏิกิริยาที่เกิดจากสารก่อภูมิแพ้ หลังสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ ร่างกายจะหลั่ง histamine ซึ่งยาแก้แพ้ (antihistamine) จะไปลดปฏิกิริยาที่ร่างกายมีต่อสารก่อภูมิแพ้หรือสารก่อความระคายเคือง
    • ยาแก้แพ้เหมาะมากกับคนที่เคยแพ้มาก่อน จะแพ้เป็นฤดูไป หรือแพ้ตลอดปีก็ตาม
    • คนที่แพ้ตามฤดูกาล เกิดจากการสัมผัสสารบางอย่างที่พืชปล่อยออกมาในบรรยากาศ ตอนช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง เช่น พวกเกสรดอกไม้ที่ปลิวมาตามลม ถ้าเป็นปลายปี ก็จะพวกดอกหญ้าต่างๆ
    • คนที่แพ้ตลอดปี มักแพ้สิ่งต่างๆ ที่อยากจะหลีกเลี่ยงในสิ่งแวดล้อมรอบตัว ซึ่งมีหลายอย่างมาก ตั้งแต่ฝุ่น ไปจนถึงสะเก็ดผิวหนังของสัตว์เลี้ยง และแมลงสาบ รวมถึงแมลงต่างๆ ที่อยู่ในบ้านและรอบบ้าน
    • ยาแก้แพ้ช่วยได้ก็จริง แต่คนที่แพ้แบบหนักๆ ไม่ว่าจะเฉพาะฤดูหรือตลอดทั้งปี ต้องรับการรักษาโรคภูมิแพ้อย่างจริงจัง ยังไงให้ปรึกษาคุณหมอก่อน ทั้งเรื่องอาการและทางเลือก
  2. ยาแก้คัดจมูกมักมาในรูปของยากินและสเปรย์ฉีดพ่น ถ้าเป็นยากิน จะมี active ingredients หรือสารออกฤทธิ์ คือ phenylephrine และ pseudoephedrine ส่วนผลข้างเคียงที่พบบ่อย คือกระวนกระวาย วิงเวียน หัวใจเต้นเร็ว ความดันสูงขึ้นเล็กน้อย และนอนไม่ค่อยหลับ [18]
    • ยากินแก้คัดจมูก จะไปทำให้หลอดเลือดในโพรงจมูกหดตัว ทำให้เยื่อบุที่บวม หดตัวลง ตอนแรกที่กินยาจะน้ำมูกไหลเยอะมาก แต่เพราะช่วยลดแรงดัน ทำให้หายใจสะดวกในภายหลัง
    • ยาที่มีส่วนผสมเป็น pseudoephedrine จะจำหน่ายในชื่อยา Sudafed ในไทยไม่สามารถหาซื้อได้เองตามร้านขายยาทั่วไป ต้องให้คุณหมอสั่งให้ในโรงพยาบาลเท่านั้น เพราะจัดอยู่ในกลุ่มวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทในประเภทที่ 2 ตามพระราชบัญญัติวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 (เป็นสารตั้งต้นของเมทแอมเฟตามีน หรือยาบ้า) [19]
    • ผู้ที่ครอบครอง pseudoephedrine โดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งสูตรเดี่ยวและยาที่มี pseudoephedrine เป็นส่วนประกอบ โดยไม่มีหลักฐานที่แสดงว่าแพทย์สั่ง ถือเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย และมีบทลงโทษทั้งจำทั้งปรับ [20] ถ้าไม่อยากไปหาหมอ ลองปรึกษาเภสัชกรให้แนะนำยาแก้คัดจมูกชนิดอื่นแทน
    • ให้ปรึกษาคุณหมอก่อนกินยาแก้คัดจมูก ถ้าเป็นโรคหัวใจหรือความดันอยู่แล้ว
  3. ยาพ่นหรือยาหยดแก้คัดจมูก มีขายตามร้านขายยาทั่วไป แต่ต้องใช้อย่างระวัง ถึงยาพวกนี้จะช่วยให้โพรงไซนัสโล่ง ลดอาการแน่นหน้าแทบจะในทันที แต่ถ้าใช้ติดต่อกันนานเกิน 3 วัน อาจเกิดอาการตีกลับ อาการหนักกว่าเดิมได้ [21]
    • rebound effect ก็คือการที่ร่างกายปรับตามยา จนยาไม่ได้ผล กลับมาคัดจมูก แน่นหน้าตามเดิม หรือมากกว่าเดิมหลังพยายามหยุดยา แนะนำให้ใช้ยาติดต่อกันไม่เกิน 3 วัน เพื่อป้องกันอาการตีกลับนี้
  4. ยาสเตียรอยด์พ่นจมูก (nasal corticosteroids) เป็นสเปรย์พ่นจมูก ช่วยลดการอักเสบในโพรงไซนัส ทำให้น้ำมูกหยุดไหล แก้น้ำมูกเยอะจากสารก่อความระคายเคืองหรือสารก่อภูมิแพ้ [22] นิยมใช้รักษาอาการเรื้อรังในโพรงจมูกและโพรงไซนัส
    • บางตัวก็มีขายทั่วไปตามร้านขายยา แต่ส่วนใหญ่ต้องให้คุณหมอสั่งให้ อย่าง fluticasone และ triamcinolone นี่หาซื้อได้เองตามร้านขายยา ไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์
    • หลายคนที่ใช้ยาสเตียรอยด์พ่นจมูก พบว่าช่วยบรรเทาอาการในไซนัส ลดน้ำมูกได้ภายใน 2 - 3 วัน แต่ย้ำว่าต้องอ่านและทำตามคำแนะนำและข้อควรระวังอย่างเคร่งครัด
  5. น้ำเกลือสวนล้างจมูกช่วยให้โพรงจมูกโล่ง ชะน้ำมูก เพิ่มความชุ่มชื้นให้โพรงจมูก ให้ใช้สเปรย์ตามคำแนะนำและคำเตือน ที่สำคัญคือใจเย็นๆ แค่ครั้งสองครั้งช่วยได้ก็จริง แต่จะหายสนิทก็ต่อเมื่อพ่นซ้ำผ่านไปหลายๆ ครั้ง [23]
    • สเปรย์น้ำเกลือจะให้ผลแบบเดียวกันกับกาเนติ คือคืนความชุ่มชื้นให้เยื่อบุไซนัสที่ระคายเคืองและเสียหาย นอกจากนี้ยังช่วยกำจัดสารก่อภูมิแพ้และสารก่อความระคายเคืองอันไม่พึงประสงค์
    • สเปรย์น้ำเกลือช่วยลดน้ำมูกและเสมหะ อันเป็นสาเหตุของอาการคัดจมูกและ postnasal drip
    โฆษณา
วิธีการ 4
วิธีการ 4 ของ 4:

ใช้วิธีธรรมชาติ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ดื่มน้ำหรือเครื่องดื่มอื่นๆ เพื่อให้น้ำมูกและเสมหะเหลว สั่งง่าย ถึงจะอยากให้จมูกโล่ง น้ำมูกหยุดไหลทันที แต่อย่างน้อยดื่มน้ำก็ช่วยให้น้ำมูกเหลวขึ้นได้ น้ำช่วยให้ร่างกายขับน้ำมูก เสมหะ เพื่อให้ร่างกายกลับคืนสภาพปกติ [24]
    • ดื่มน้ำอุ่นช่วย 2 ทางด้วยกัน คือเป็นการเพิ่มของเหลวเข้าไปในร่างกาย และหายใจเอาความชื้นเข้าไปมากกว่าเดิม เพราะแนะนำให้ดื่มเครื่องดื่มอุ่นๆ หรือร้อน
    • คุณดื่มเครื่องดื่มร้อนอะไรก็ได้ เช่น กาแฟ ชา กระทั่งซุปหรือน้ำแกงสักถ้วย
  2. สูตรชง hot toddy คือใช้น้ำร้อน วิสกี้หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่นๆ 1 ช็อต มะนาวสด และน้ำผึ้ง 1 ช้อนพูน [25]
    • เขาวิจัยกันออกมาแล้ว ว่าเครื่องดื่ม hot toddy นี้ช่วยเรื่องคัดจมูก น้ำมูกแน่น แน่นหน้าไซนัส เจ็บคอ และอาการไซนัสอื่นๆ จากหวัด
    • ใส่แอลกอฮอล์แค่เล็กน้อย เพราะถ้าเยอะไป โพรงไซนัสจะบวมกว่าเดิม ทำให้จมูกตัน น้ำมูกแน่นมากขึ้น เวลาดื่มแอลกอฮอล์เยอะๆ หรือบ่อยๆ จะไม่ดีต่อสุขภาพโดยรวม เป็นพฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง
    • หรือชง hot toddy สูตรไม่ผสมแอลกอฮอล์ โดยใช้ชาที่ชอบ แทนน้ำผสมแอลกอฮอล์ แล้วแต่งรสด้วยมะนาวสดกับน้ำผึ้ง
  3. นอกจากประโยชน์เรื่องหายใจเอาความชื้นจากชาร้อนสักถ้วยเข้าไปแล้ว การผสมสมุนไพรเข้าไปยังช่วยบรรเทาอาการในไซนัสได้ด้วย [26]
    • ลองผสมเปปเปอร์มิ้นท์ในชาร้อนสักถ้วย เพราะเปปเปอร์มิ้นท์มีเมนทอล (menthol) ช่วยลดแน่นหน้าไซนัส คัดจมูก และน้ำมูก ถ้าได้สูดดมเข้าไป หรือดื่มชาสักถ้วยที่ผสมเปปเปอร์มิ้นท์
    • คนนิยมใช้เปปเปอร์มิ้นท์ลดน้ำมูกและอาการไซนัส ทั้งเปปเปอร์มิ้นและเมนทอลช่วยแก้ไอและเสมหะแน่นหน้าอกได้ด้วย
    • น้ำมันเปปเปอร์มิ้นท์ห้ามใช้กิน และห้ามใช้เปปเปอร์มิ้นท์หรือเมนทอลกับเด็กทารก
    • ชาเขียวและอาหารเสริมจากชาเขียว เขาพิสูจน์กันมาแล้วว่ามีสารที่มีประโยชน์ ดีต่อสุขภาพร่างกายโดยรวม เลยช่วยบรรเทาอาการไซนัสที่มักเกิดจากหวัดได้ ให้ค่อยๆ เพิ่มปริมาณชาเขียวที่ดื่มทีละนิด เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์ เช่น ปวดท้อง ท้องผูก [27]
    • นอกจากสารประกอบอื่นๆ แล้ว ชาเขียวยังมีคาเฟอีนด้วย ถ้าใครมีโรคประจำตัวหรือตั้งครรภ์ ต้องปรึกษาคุณหมอก่อนเริ่มใช้ชาเขียวบรรเทาอาการ
    • ชาเขียวอาจออกฤทธิ์ต้านกับยาที่ใช้อยู่ได้ เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาคุม ยามะเร็ง ยาหอบหืด และสารกระตุ้นต่างๆ แนะนำให้ปรึกษาคุณหมอก่อนทดลองรักษาตัวเองด้วยวิธีหรืออาหารการกินต่างๆ โดยเฉพาะถ้าใช้สมุนไพรในรูปของอาหารเสริม
  4. ต้องใช้สมุนไพรในทุกรูปแบบอย่างระวัง และปรึกษาคุณหมอเสมอ ก่อนปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตหรือรักษาตัวด้วยวิธีทางเลือก รวมถึงอาหารเสริมจากสมุนไพร [28]
    • บางงานวิจัยชี้ว่าการใช้สมุนไพรร่วมกันหลายๆ ชนิดก็ช่วยบรรเทาอาการไซนัสได้ ตามร้านขายยาก็มีสมุนไพรบางตัวที่ช่วยเรื่องไซนัส โดยผสมจากสมุนไพรต่างๆ
    • ให้เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีดอกขจร (cowslip), รากเหล่งตาเช้า (gentian root), ดอกเอลเดอร์ (elderflower), เวอร์บีนา (verbena) และซอเรล (sorrel) แต่ผลข้างเคียงที่พบได้จากการใช้หลายสมุนไพรผสมกัน คือปวดท้อง ท้องเสียได้
  5. อย่างในอเมริกาเหนือเองก็มีการวิจัยเรื่องรากโสมเกาหลี (ginseng) ว่ามีสรรพคุณอะไรที่ใช้บรรเทาอาการต่างๆ ได้ เช่น งานวิจัยที่ชี้ว่าช่วยเรื่องไซนัสและโพรงจมูก ที่ส่วนใหญ่เกิดจากการเป็นหวัด [29]
    • รากโสมเกาหลีถือว่า “ค่อนข้างเห็นผล” เมื่อใช้กับผู้ใหญ่ ในการลดความถี่ ความรุนแรง และระยะเวลาของอาการเมื่อเป็นหวัด รวมถึงอาการในโพรงไซนัส แต่ไม่พบงานวิจัยเรื่องการใช้รากโสมเกาหลีในเด็ก
    • ผลข้างเคียงจากการใช้รากโสมเกาหลีที่พบในงานวิจัย คือความดันเปลี่ยนแปลง ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (hypoglycemia) ความผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร (GI) เช่น ท้องเสีย ไปจนถึงอาการคัน ผื่นแพ้ ปัญหาการนอน ปวดหัว กระวนกระวาย และเลือดออกในช่องคลอด
    • โสมเกาหลีมีผลต่อยาแผนปัจจุบันที่ใช้อยู่ด้วย เช่น ยาโรคจิตเภท (schizophrenia) ยาเบาหวาน ซึมเศร้า และยาเจือจางเลือด เช่น warfarin ใครที่เตรียมตัวเข้ารับการผ่าตัด หรือทำคีโม ไม่แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์จากโสมเกาหลีหรือรากโสม [30]
  6. สมุนไพรพวกนี้คนนิยมใช้ลดน้ำมูกและแก้อาการไซนัส แต่ก็อาจมีผลต่อยาประจำตัวที่ใช้อยู่ แนะนำให้ปรึกษาคุณหมอก่อนใช้งาน
    • คนที่มีโรคประจำตัว ไม่ควรใช้สมุนไพรตามที่กล่าวมา แนะนำให้ปรึกษาคุณหมอก่อน โดยเฉพาะถ้าตั้งครรภ์หรือให้นมอยู่ เป็นเบาหวาน ความดันสูง โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคไต ตับ ระดับโพแทสเซียมต่ำ มะเร็งที่ตอบสนองต่อฮอร์โมน และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โรคหัวใจ ไปจนถึงโรคต่างๆ ที่ต้องใช้ยาแอสไพรินหรือยาเจือจางเลือดอย่าง warfarin เป็นประจำ
    • เอลเดอร์เบอร์รี่ (elderberry) ช่วยลดน้ำมูกและอาการไซนัสได้ ถ้าเป็นผลิตภัณฑ์สารสกัดจากเอลเดอร์เบอร์รี่ที่มีมาตรฐานรับรอง และมีวิตามินซี รวมถึงสมุนไพรอื่นๆ จะช่วยแก้คัดจมูกได้
    • น้ำมันยูคาลิปตัส เป็นยูคาลิปตัสแบบเข้มข้น กินไม่ได้ อันตราย โชคดีที่มีผลิตภัณฑ์ที่มียูคาลิปตัสผสมอยู่ โดยเฉพาะที่เน้นแก้ไอ ผลิตภัณฑ์ที่มียูคาลิปตัส มีทั้งแบบใช้ภายนอก เช่น ทาบริเวณหน้าอก และแบบเม็ดอมแก้เจ็บคอ ที่ผสมในปริมาณน้อย หรือใช้ยูคาลิปตัสในเครื่องทำความชื้น เป็นละอองสูดดมแก้คัดจมูกแทน
    • รากชะเอมเทศ (licorice root) คนก็นิยมใช้กัน แต่ไม่ค่อยมีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์มารองรับ เรื่องการใช้ชะเอมเทศลดน้ำมูกและแก้แน่นหน้าไซนัส
  7. หลายคนใช้ echinacea ในรูปของอาหารเสริมจากสมุนไพร ในการแก้คัดจมูก ลดน้ำมูก แก้แน่นหน้าไซนัส และอื่นๆ ที่เกิดจากหวัด [31]
    • แต่ยังไม่มีงานวิจัยมารับรองเท่าไหร่ เรื่องประโยชน์ของ echinacea ในการแก้คัดจมูก แน่นหน้าไซนัส หรือลดน้ำมูก และอาการอื่นๆ ในโพรงจมูกที่เกิดจากหวัด [32]
    • echinacea มีอยู่ในหลากหลายผลิตภัณฑ์ โดยทำจากส่วนต่างๆ ของพืชชนิดนี้ ซึ่งจริงๆ แล้วการผลิตจะไม่ค่อยตรงตามมาตรฐาน และไม่มีใบอนุญาตมารองรับ แถมไม่ชัดเจนว่าใช้ส่วนไหนของพืชชนิดนี้ ที่สำคัญคือยังไม่มีงานวิจัยมารับรองเรื่องผลที่ได้จากการใช้งาน [33]
    โฆษณา
  1. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/acute-sinusitis/basics/definition/con-20020609
  2. http://www.mayoclinic.org/symptoms/runny-nose/basics/definition/sym-20050640
  3. http://www.iallergy.com/default.php?cPath=11_86
  4. http://www.minahealth.com/how_do_i_get_rid_of_phlegm.htm
  5. http://www.mayoclinic.org/symptoms/runny-nose/basics/definition/sym-20050640
  6. http://www.mayoclinic.org/symptoms/runny-nose/basics/definition/sym-20050640
  7. http://www.wcvb.com/health/dont-blow-your-nose-too-hard/31883388
  8. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/hay-fever/basics/definition/con-20020827
  9. http://familydoctor.org/familydoctor/en/diseases-conditions/sinusitis.printerview.all.html
  10. http://www.fda.moph.go.th/sites/Narcotics/SitePages/ViewAcademic.aspx?IDitem=5
  11. http://www.fda.moph.go.th/sites/Narcotics/SitePages/ViewAcademic.aspx?IDitem=5
  12. http://familydoctor.org/familydoctor/en/drugs-procedures-devices/over-the-counter/decongestants-otc-relief-for-congestion.html
  13. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/hay-fever/basics/definition/con-20020827
  14. http://familydoctor.org/familydoctor/en/diseases-conditions/sinusitis.printerview.all.html
  15. http://www.mayoclinic.org/symptoms/runny-nose/basics/definition/sym-20050640
  16. http://www.healthline.com/health/cold-flu/natural-cold-remedies#15
  17. http://www.foxnews.com/health/2012/02/27/how-to-relieve-sinus-pressure-naturally/
  18. http://www.healthline.com/health/cold-flu/natural-cold-remedies#15
  19. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/acute-sinusitis/basics/definition/con-20020609
  20. http://www.healthline.com/health/cold-flu/natural-cold-remedies#15
  21. http://www.healthline.com/health/cold-flu/natural-cold-remedies#15
  22. https://nccih.nih.gov/health/tips/flucold.htm
  23. https://nccih.nih.gov/health/tips/flucold.htm
  24. https://nccih.nih.gov/health/tips/flucold.htm

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 157,853 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา