ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

เนื้อหมูเป็นชื่อของเนื้อที่ได้มาจากหมู ถึงแม้คำว่าเนื้อหมูจะหมายถึงเนื้อที่ผ่านกระบวนการ การรมควัน หรือการถนอมอาหารก็ตาม แต่ในบทความนี้จะเน้นไปที่เนื้อหมูเท่านั้น เนื้อหมูสามารถรับประทานและปรุงได้หลายรูปแบบ เช่น รมควัน อบ ปิ้ง ย่าง นึ่ง รวน ผัด เคี่ยว ทอด และตุ๋น คำแนะนำนี้จะทำให้คุณรู้วิธีที่แตกต่างกันว่าจะดูแล ปรุง และเก็บรักษาเนื้อหมูอย่างไร

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 4:

การจัดเตรียมและการเก็บรักษาเนื้อหมู

ดาวน์โหลดบทความ
  1. . โดยทั่วไปแล้วชิ้นส่วนต่างๆ ของเนื้อหมูจะได้มาจากสี่ส่วนที่ได้รับความนิยมคือ เนื้อส่วนหัวไหล่และช่วงคอ ส่วนเนื้อสัน ส่วนหมูสามชั้นและซี่โครง ส่วนสะโพกถึงขาหลัง (อย่างไรก็ตาม ในหลายประเทศจะมีการตัดชิ้นเนื้อแตกต่างกัน และ/หรือมีชื่อเรียกเฉพาะของประเทศนั้น) กล้ามเนื้อที่อยู่รอบๆ กระดูกสันหลังจะนุ่มและไม่มีไขมัน (และปกติแล้วจะราคาแพงกว่าส่วนอื่นๆ) เพราะมันเป็นเนื้อส่วนที่ไม่ค่อยได้ถูกใช้งานและสัมผัสพื้นดินซึ่งจะเหนียวกว่าแต่ก็รสชาติดีกว่า
    • เนื้อส่วนหัวไหล่และช่วงคอ – มักจะแบ่งเป็นเนื้อส่วนล่างกับเนื้อส่วนบน ส่วนนี้ต้องปรุงด้วยความร้อนต่ำกับของเหลวเช่นน้ำมันนิดหน่อยเพื่อที่จะละลายไขมันและเนื้อเยื่อที่ติดกัน ผลลัพธ์คือจะทำให้เนื้อนุ่มและชุ่มฉ่ำ ใช้ทำเป็นเนื้อหัวไหล่ส่วนบนแบบธรรมดาและไร้กระดูก เนื้อชิ้นเล็กๆ สำหรับทำเคบับหรือตุ๋น และเนื้อหัวไหล่ส่วนล่าง
    • เนื้อสัน พวกเนื้อซี่โครง เนื้อซี่โครงอ่อน เนื้อสันใน และเนื้อซี่โครงติดกระดูกจะได้มาจากส่วนนี้ เนื้อส่วนนี้จะนุ่มและชุ่มฉ่ำแบบธรรมชาติ การปรุงแบบแห้งเป็นวิธีที่ดีที่สุด (อบ ย่าง ทอด ผัด) ใช้ทำเป็นเนื้อสันคอ เนื้อซี่โครงติดกระดูก เนื้อสันติดกระดูก เนื้อสันนอกติดกระดูก เนื้อสันนอก และเนื้อสันใน
    • ส่วนหมูสามชั้นและซี่โครง ซี่โครงสามารถนำไปย่างหรืออบ แต่ส่วนอื่นมักนำไปทำเป็นเบคอน ใช้ทำเป็นเบคอน เบคอนอิตาเลียน ซี่โครง
    • ส่วนสะโพกถึงขาหลัง ส่วนนี้มักจะผ่านกระบวนการรมควันหรือปรุงมาแล้ว ค่อยนำมาขาย แต่ถ้าคุณซื้อเนื้อสดมา คุณสามารถทาเนยแล้วก็นำไปอบได้ (ได้รับความนิยมสำหรับวันหยุดและโอกาสพิเศษ) ใช้ทำเป็นเนื้อแผ่นบางๆ แฮมรมควัน เนื้อสะโพกบน
    • อื่นๆ ถ้าคุณเป็นคนชอบลองอะไรใหม่ๆ ร่างกายหมูเกือบทุกส่วนสามารถนำมาใช้ได้ คุณสามารถนำหัวหมูมาต้ม นำหูหมูมาอบหรือทอดเพื่อเป็นอาหารแบบกรุบกรอบ นำหัวหมูมาเคี่ยวหรือตุ๋นเป็นน้ำซุป หางหมูก็ทานได้ เช่นเดียวกับเครื่องใน เอามาทำเป็นปาเต ไส้กรอกลำไส้เล็ก และพุดดิ้งดำ (ทางเดินอาหารที่เต็มไปด้วยเลือด)
  2. หมูในปัจจุบันถูกเลี้ยงโดยไม่ให้มีไขมัน ในเนื้อหมูจึงมีไขมันที่จะให้ความชุ่มฉ่ำในเวลาปรุงอาหารน้อยลง การหมักจึงเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ดี แต่มันก็ยังต้องมีการวางแผนล่วงหน้า เนื้อหมูที่หมักอยู่ในน้ำเกลือจะดูดซึมน้ำเข้าไปอย่างช้าๆ คุณสามารถทำน้ำซอสที่อร่อยสำหรับเนื้อหมูได้เช่นกัน โดยการผสมเครื่องเทศและรสชาติที่คุณชอบกับน้ำมันนิดหน่อย และนำเนื้อหมูไปหมักไว้หลายๆ ชั่วโมงหรือข้ามคืน
    • กฎทั่วไปในการทำน้ำซอส ใช้ซอส 1/4 ถ้วยต่อหมู 1 ปอนด์ หรือให้เพียงพอที่จะทาผิวด้านนอกของเนื้อหมูที่จะห่อถุงพลาสติกสำหรับแช่ตู้เย็น
    • เนื้อหมูชิ้นใหญ่ต้องใช้เวลาในการหมักมากกว่า โดยทั่วไป เนื้อสันและส่วนสามชั้นต้องใช้เวลาหมักหลายชั่วโมง (มากถึง 6 ชั่วโมงถ้าชิ้นใหญ่มาก) ส่วนคอหมูอาจต้องใช้เวลามากถึง 24 ชั่วโมงเพื่อให้น้ำหมักซึมได้เต็มที่ จะหมักนานแค่ไหนก็ได้ตามที่คุณต้องการ แต่อย่าหมักนานเกิน 1 หรือ 2 วันเพราะจะทำให้เนื้อหมูหมดความอร่อยได้
  3. อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยทำให้เนื้อมีรสชาติดีคือการหมักแบบแห้ง การหมักแบบนี้จะใช้เกลือ พริกไทย สมุนไพร เครื่องเทศ และส่วนผสมที่แห้งๆ อย่างอื่นมาผสมกัน สามารถใช้ส่วนผสมนี้ทาลงไปบนเนื้อหมูได้ทันที่ก่อนปรุงอาหารหรือที่ไหนก็ตามโดยทาไว้ก่อนสัก 2 ถึง 3 ชั่วโมงหรือ 1 วัน การหมักแบบแห้งไม่ได้ช่วยให้เนื้อหมูคงความชุ่มชื้น แต่จะ เพิ่ม รสชาติด้านนอกของเนื้อได้ดีเยี่ยม และถ้าปรุงได้อย่างชำนาญจะช่วยให้ ผิวด้านนอก อร่อยยิ่งขึ้น
    • ส่วนผสมทั่วไปในการหมักแบบแห้ง ประกอบด้วย เกลือ พริกไทย (ทั้งแดงและดำ) ผงกระเทียมและหอมใหญ่ ขิง โรสแมรี่ และสำหรับรสหวานเติมเกล็ดคาราเมล น้ำตาลทรายแดงหรือขาว ลองผสมกับส่วนผสมที่คุณชอบ
    • ปกติแล้ว ส่วนผสมสำหรับหมักแบบแห้งจะใช้ 1/4 ถ้วยต่อเนื้อหมูขนาดมาตรฐาน ถ้าคุณไม่แน่ใจ ก็ลองทาส่วนผสมลงไปว่ามันทาได้ทั่วชิ้นเนื้อหรือไม่
  4. คุณต้องปรุงให้นานพอที่จะฆ่าเชื้อโรคที่อันตราย แต่อย่านานเกินเพราะจะทำให้เนื้อแห้งจนเกินไป USDA แนะนำว่าให้ปรุงเนื้อหมูให้มีอุณหภูมิภายในชิ้นเนื้อ 70 องศาเซลเซียส (ใช้เครื่องวัดอุณหภูมิสำหรับวัดเนื้อวัดไปที่ตรงกลางส่วนที่หนาที่สุดของเนื้อ) แต่พ่อครัวบางคนจะใช้อุณหภูมิที่ 60 และ 66 องศาเซลเซียสเท่านั้น เพื่อคงความชุ่มฉ่ำให้กับเนื้อ เพราะเชื้อปรสิตหรือพยาธิตายที่อุณหภูมิ 58 องศาเซลเซียสแล้ว
    • จำไว้ว่าอุณหภูมิภายในของชิ้นเนื้อที่ใหญ่กว่าจะยังเพิ่มมากขึ้นหลังคุณยกออกจากเตา อย่าปล่อยให้ชิ้นเนื้อดีๆ ถูก ปรุงนานเกินไป หลังจากที่คุณปรุงเสร็จแล้ว
    • เนื้อหมูที่ปรุงด้วยอุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียส บางครั้งเนื้อตรงกลางอาจจะยังมีสีชมพูอยู่ ขึ้นอยู่กับวิธีการปรุงและส่วนผสม ดังนั้นอย่าด่วนสรุปว่าเนื้อยังไม่สุกและจะเป็นอันตรายเมื่อทานเข้าไป
  5. เมื่อคุณซื้อเนื้อหมูสดมา ให้แช่เย็นทันที่ที่จะทำได้ที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส ถ้าคุณไม่ปรุงมันภายใน 5 วัน คุณต้องแช่แข็งไว้ที่อุณหภูมิ -18 องศาเซลเซียส หรือทิ้งมันไปซะ ถ้าคุณปรุงมันแล้วก็ให้ทานภายใน 2 ชั่วโมง (หรือภายใน 1 ชั่วโมง ถ้าอุณหภูมิรอบๆ ยังอยู่ที่ 32 องศาเซลเซียส) หรือใส่กล่องมีฝาปิดเก็บไว้ในตู้เย็นได้ 4 วัน หรือแช่แข็งไปเลย เพื่อคุณภาพที่ดีที่สุด ให้ทานหมูที่แช่แข็งไว้ภายใน 3 เดือน และอย่านำกลับไปแช่แข็งอีก จำไว้ว่าการละลายน้ำแข็งจะทำให้เนื้อหมูแห้งได้
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 4:

การย่างเนื้อหมู

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การย่างคือวิธีการปรุงอาหารที่ใช้ความร้อนโดยตรงกับเนื้อที่อยู่บนตะแกรง การย่างเป็นตัวเลือกที่ดีที่จะทำให้ผิวด้านนอกของเนื้อแบบติดกระดูกหรือเนื้อสันในมีความกรอบอร่อยแบบธรรมชาติ รูปแบบการย่างที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือย่างด้วยถ่านไม้หรือแก๊ส ถ้าคุณย่างด้วยถ่าน (จะใช้เวลานานที่จะให้ได้อุณหภูมิที่จะทำอาหาร) ให้จุดถ่าน ขณะที่คุณรอถ่านติดไฟและมีขี้เถ้าปกคลุม ให้แบ่งเนื้อออกเป็นส่วนๆ ใส่ถาดไว้ พอถ่านได้ที่คุณก็พร้อมที่จะย่างได้ทันที
    • การย่างแบบใช้แก๊ส จะได้อุณหภูมิที่ พร้อม จะใช้ปรุงอาหารเร็วกว่าการใช้ถ่าน อย่างไรก็ตาม มันจะทำให้เนื้อมีรสชาติต่างกันเล็กน้อย บางคนชอบกลิ่นหอมของการย่างแบบถ่าน ขณะที่บางคนชอบความสะดวกของการย่างแบบใช้แก๊ส
    • ถ่านไม้แบบเนื้อแข็งเมื่อเปรียบเทียบกับถ่านหินกลมที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงแล้ว จะร้อนกว่าและเผาไหม้เร็วกว่า ซึ่งง่ายที่จะทำให้เนื้อแห้ง ถ่านไม้ธรรมชาติสามารถสร้างกลิ่นหอมน่าลิ้มลองให้กับเนื้อของคุณได้ในขณะย่าง
    • เนื้อหมูที่ชิ้นหนาจะต้องใช้เวลาย่างนานด้วยอุณหภูมิต่ำกว่าปกติ ในกรณีนี้ ถ่านหินกลมที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าถ่านไม้
  2. เพื่อไม่ให้เนื้อติดกับตะแกรง ให้ทาน้ำมันลงไปที่ตะแกรงโดยใช้น้ำมันที่มีจุดเกิดควันสูง (เช่น น้ำมันมะกอกหรือน้ำมันเมล็ดองุ่น) ทำแบบนี้โดยการใช้แปรงจุ่มลงไปในน้ำมันแล้วทาไปที่ตะแกรงโดยใช้คีมหรือเครื่องมือที่มีด้ามยาวช่วยจับ จากนั้นก็ใช้คีมหนีบชิ้นเนื้อวางลงไป
    • หลีกเลี่ยงสารปนเปื้อน อย่าใช้เครื่องมือที่คุณใช้วางเนื้อหมูบนเตามาหยิบจับอาหารประเภทอื่นโดยที่ยังไม่ได้ล้าง ล้างภาชนะที่ใส่เนื้อหมูก่อนที่จะใส่อาหารย่างอื่น และอย่านำเนื้อหมูที่ยังไม่ได้ปรุงไปสัมผัสกับเนื้อหมูที่ปรุงแล้ว
  3. ย่างเนื้อหมูบนตะแกรงตรงที่ที่มีความร้อนน้อย. มันอาจจะขัดกับความเชื่อทั่วไป ที่ว่าการย่างเนื้อให้แห้งอย่างรวดเร็วมันจะไม่ เก็บความชุ่มฉ่ำให้เนื้อ แต่ความเป็นจริงแล้ว การย่างเนื้อให้แห้งอย่างรวดเร็วจะยังคงมีความชื้นที่ น้อยกว่า ชิ้นเนื้อที่ค่อยๆ ย่าง การย่างแบบใช้ถ่านไม้ เริ่มโดยการเตรียมเนื้อหมูไว้รอบๆ ตะแกรงซึ่งจะเย็นกว่าตรงกลาง การย่างแบบใช้แก๊สควรใช้ความร้อนระดับปานกลาง
    • เรา จะ ย่างจนเนื้อหมูแห้งเกรียมในขั้นตอนสุดท้าย การที่รอให้เนื้อแห้งเกรียม เราจะได้เนื้อที่ยังมีความชุ่มฉ่ำ
    • พลิกชิ้นเนื้อทุกๆ 1 นาที มันจะทำให้เนื้อสุกเท่ากัน และจะช่วยให้ผิวด้านนอกกรอบหรือเป็นคล้ายๆเปลือก
  4. ใช้ฝาปิดสำหรับย่างบาร์บีคิวปิดเพื่อที่จะได้สุกเร็วขึ้น เนื้อหมูชิ้นบางๆ ใช้เวลาย่างแค่ 4 ถึง 5 นาที ขณะที่ชิ้นใหญ่ต้องใช้ความร้อนน้อยกว่าและเวลาย่างนานกว่า เนื้อหมูที่ "สุก" ดีแล้วข้างนอกจะต้องเป็นสีน้ำตาล และข้างในต้องเป็นสีขาวไม่ใช่สีชมพู และจะมีน้ำใสๆ ไหลออกมายังผิวข้างนอก เป็นน้ำใสถึงสีน้ำตาล (ต้องไม่เป็นน้ำสีแดงหรือสีชมพู)
    • ถ้าคุณไม่แน่ใจก็ใช้เครื่องวัดอุณหภูมิ USDA แนะนำว่าอุณหภูมิภายในของเนื้อหมูที่ปรุงควรอยู่ที่ 71-77 องศาเซลเซียส อย่างไรก็ตาม อุณหภูมิที่ที่ใช้โดยทั่วไปยังอยู่ที่ 60 องศาเซลเซียส เพื่อให้มีน้ำฉ่ำๆ และเนื้อไม่สุกเกินไป
  5. ก่อนที่จะนำเนื้อหมูออกจากตะแกรง ต้องทำให้เปลือกด้านนอกกรอบน่าอร่อยเสียก่อน การย่างแบบใช้ถ่านไม้ จะต้องย้ายเนื้อหมูไปส่วนที่ร้อนที่สุดของตะแกรง (มักจะเป็นตรงกลาง) การย่างแบบใช้แก๊ส ให้เพิ่มเป็นความร้อน "ระดับสูง" ย่างด้วยวิธีนี้ให้น้อยกว่า 1 นาทีในแต่ละด้านถ้าคุณไม่ต้องการให้มันแห้ง
    • กระบวนการทางเคมีที่จะทำให้เนื้อด้านนอกแห้งและมีรสชาติอร่อยเรียกว่า ปฏิกิริยาเมลลาร์ด การเผาชิ้นเนื้อด้านนอกจะทำให้กรดอะมิโนของเนื้อทำปฏิกิริยากับน้ำตาลและเกิดการผสมกันของรสชาติ ในทางปฏิบัติ กระบวนการนี้จะทำให้เปลือกหรือผิวด้านนอกที่แห้งเกรียมของเนื้อมีรสชาติที่ดีเยี่ยม
  6. นำเนื้อหมูที่สุกแล้วออกจากตะแกรงและใส่ถาดที่สะอาด ห่อเนื้อด้วยกระดาษฟอยล์เพื่อเก็บความร้อน และปล่อยทิ้งไว้สัก 5 ถึง 10 นาที ใช้เวลาที่รอนี้ตกแต่งจาน (หรือจัดโต๊ะ)
    • การพักเนื้อไว้สักครู่มี 2 เป้าหมาย เป้าหมายแรกคือ เนื้อส่วนใหญ่จะยังถูกปรุงอยู่ถึงแม่ว่าคุณจะเอามันออกมาจากตะแกรงแล้วก็ตาม เนื้อหมูของคุณก็เช่นกัน ถ้าคุณยังไม่แน่ใจว่าเนื้อหมูสุกหรือยัง การทิ้งไว้สักครู่ "ความร้อนที่ยังอยู่จะทำให้มันสุกไปเรื่อยๆ" เป้าหมายที่สองคือจะทำให้เนื้อหมูดูดซับความความชื้นกับมาอีกครั้งหลังจากที่เสียไปตอนปรุงอาหาร ชิ้นส่วนของเนื้อหมูมันจะหดและแน่นในระดับโมเลกุล การบิดคั้นความชื้นออกมาจากเนื้อ การพักเนื้อหมูไว้เพียงแค่สองสามนาทีจะช่วยให้เนื้อคลายตัวและเก็บความชุ่มฉ่ำ
  7. หลังจากที่เนื้อถูกพักไว้และดูดซับความชุ่มฉ่ำกลับมา ก็พร้อมที่จะรับประทานแล้ว ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย หรือเครื่องเทศที่คุณชอบอีกนิดหน่อย แล้วก็เสิร์ฟทั้งกระดูกหรือเอากระดูกออกก็ได้
    • หมูย่างสามารถทานคู่กับแผ่นแป้งมันสำปะหลังหรือเครื่องเคียงของบาร์บีคิวอย่างเช่นโคสลอว์ได้
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 4:

เนื้อหมูติดซี่โครงทอด

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เนื้อหมูติดซี่โครงเป็นอาหารที่น่ารับประทานอย่างยิ่ง ผิวด้านนอกที่เป็นสีน้ำตาลทองของมันที่เกิดจากการชุบเกล็ดขนมปังก่อนนำไปทอดนั้นมันช่วยดึงดูดสายตาได้พอๆ กับรสชาติที่แสนอร่อยของมัน วิธีที่จะเริ่มปรุงเมนูที่แสนอร่อยเช่นนี้ คือให้ทาหรือชุบเกล็ดขนมปัง (จำไว้ว่าเนื้อติดซี่โครงที่เป็นชิ้นบางๆ มันดีต่อคุณในเวลาที่รีบเร่ง) ทาเนื้อหมูด้วยแป้งให้ทั่วและกะเทาะผงแป้งรอบนอกออกเพื่อให้แป้งที่ติดอยู่บางลง จากนั้นนำไปชุบไข่ที่ตีไว้ นำชิ้นเนื้อขึ้นมาและให้ไข่มันไหลออกจากชิ้นเนื้อสักหน่อย จากนั้นก็นำไปชุบเกล็ดขนมปังที่คุณเตรียมไว้หรือซื้อมาจากร้านค้า
    • มีหลายวิธีในการเลือกซื้อเกล็ดขนมปัง ซุปเปอร์มาร์เก็ตหลายแห่งมักขายเกล็ดขนมปังสำเร็จรูป (เช่น Panko) คุณสามารถนำมันมาใช้ได้เลย หรือจะปรุงรสเพิ่มก็ได้โดยใส่เครื่องเทศ เกลือหรือพริกไทยตามที่คุณชอบ และคุณก็ยังสามารถทำเกล็ดขนมปังด้วยตัวคุณเองได้อีกด้วย
    • การชุบเกล็ดขนมปังไม่ใช่วิธีเดียวที่จะช่วยเพิ่มรสชาติ ส่วนผสมแบบแห้งอย่างเช่นพริกป่นและผงปาปริกาก็สามารถใส่เพิ่มลงไปในแป้งได้เช่นกัน
  2. สิ่งที่ดีที่สุดเวลาทอดคือการใส่ชิ้นเนื้อลงไปในกระทะที่ร้อน อย่าใส่ตอนที่กระทะยังเย็นอยู่ "ตั้งกระทะให้ร้อน"ใส่น้ำมันลงไปในกระทะครึ่งถ้วยโดยใช้น้ำมันที่มีจุดเกิดควันสูง (เช่นน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันเมล็ดองุ่น) เอียงกระทะไปรอบๆ เพื่อให้น้ำมันเคลือบกระทะให้ทั่ว จากนั้นหมุนหัวแก๊สไปที่ "ความร้อนสูง"เพื่อทำให้น้ำมันร้อนสัก 1 ถึง 2 นาที เติมเนยลงไปสัก 1 หรือ 2 ช้อนโต๊ะเพราะมันจะช่วยให้ผิวด้านนอกของเนื้อซี่โครงมีสีน้ำตาลและกรอบน่ารับประทาน
    • ถ้าน้ำมันร้อนพอจะได้ยินเสียงซู่ซ่าของเนื้อเมื่อสัมผัสกับกระทะ
  3. ใส่เนื้อหมูติดซี่โครงที่ชุบเกล็ดขนมปังแล้วลงไปในกระทะ. ระวังน้ำมันกระเด็นใส่เวลาที่ใส่เนื้อลงไปในกระทะ เสียงซู่ซ่ามันทำให้รู้สึกน่าพอใจอย่างยิ่งแต่มันมาพร้อมกันน้ำมันร้อนๆ ที่กระเด็นออกมา ใช้คีมหรือที่คีบเวลาขยับเนื้อเพื่อความปลอดภัย
  4. ทอดที่ความร้อนสูงปานกลางจนกระทั่งเนื้อเป็นสีน้ำตาลทอง. เวลาที่ใช้ในการปรุงอาหารจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับขนาดและความหนาของชิ้นเนื้อ ชิ้นเนื้อบางๆ จะใช้เวลาแค่ 2 ถึง 3 นาที่ในการทอดแต่ละด้าน แต่ชิ้นหนาๆ ต้องใช้เวลาถึง 5 นาทีหรือมากกว่านั้น ทอดให้แต่ละด้านมีสีออกน้ำตาลทอง เนื้อหมูติดซี่โครงที่ทอดได้อย่างดีจะต้องกรอบนอกนุ่มใน
    • กฎทั่วไปที่ตัดสินว่าเนื้อหมูสุกหรือยัง ใช้ส้อมหรือมีดกรีดที่ชิ้นเนื้อ ถ้ากรีดง่าย เห็นน้ำฉ่ำๆ สีน้ำตาลของเนื้อ และเนื้อมีสีขาวตลอดแสดงว่าสุกแล้ว
  5. เนื้อหมูจะยังสุกเรื่อยๆ หลังจากยกออกจากกระทะ นำเนื้อหมูไปวางใส่จานที่มีกระดาษแผ่นใหญ่วางอยู่ (กระดาษจะช่วยซับน้ำมันและช่วยไม่ให้เนื้อหมูอมน้ำมัน) พักเนื้อหมูไว้สักครู่ จากนั้นก็ถึงเวลาเสิร์ฟและรับประทาน
    • เพิ่มสลัดลงไปนิดหน่อยจะทำให้เนื้อหมูติดซี่โครงที่กำลังกรอบๆ ร้อนๆ น่าอร่อยมากขึ้น
  6. อย่าเทนำมันที่ทอดแล้วลงไปในท่อน้ำทิ้งเพราะมันจะอุดตันอ่างล้างจานได้ ควรรอให้น้ำมันเย็นก่อนและนำไปใส่ไว้ในเหยือกหรือภาชนะพลาสติก จากนั้นนำไปแช่ในตู้เย็น คุณสามารถใช้น้ำมันที่เก็บไว้สำหรับทำเมนูอื่นในคราวหน้าได้
    • ถ้าคุณสนใจพลังงานทางเลือก คุณสามารถทำน้ำมันไบโอดีเซลได้จากน้ำมันที่เหลืออยู่ด้วยเครื่องมือและส่วนผสมเพียงไม่กี่อย่าง
    โฆษณา
วิธีการ 4
วิธีการ 4 ของ 4:

การเคี่ยวซี่โครงหมู

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การเคี่ยวคือวิธีการปรุงอาหารที่ช้าและใช้เวลานานซึ่งจะช่วยให้เนื้อมีความฉ่ำน้ำและเปื่อยนุ่ม วิธีนี้เหมาะสำหรับเนื้อที่เหนียวๆ ในสูตรนี้เราจะใช้วิธีการเคี่ยวเพื่อจะทำให้เนื้อนุ่มๆ และซี่โครงหลุดออกจากกัน วิธีการปรุงอาหารแบบใช้เตา ให้เริ่มโดยการอุ่นเตาไว้ก่อน
  2. เทแป้ง 1 ถ้วยลงในจานแล้วปรุงด้วยเกลือกับพริกไทย นำซี่โครงลงไปชุบแป้งที่ผสมไว้ สลัดให้แป้งที่ไม่ได้เกาะอยู่กับเนื้อออกเพื่อไม่ให้มีแป้งมากเกินไป แป้งที่ผสมจะช่วยเพิ่มรสชาติความอร่อยให้กับซี่โครงและช่วยทำให้ผิวด้านนอกมีสีน้ำตาลและกรอบ
  3. ค่อยๆ ทำให้เนื้อซี่โครงในกระทะกลายเป็นสีน้ำตาล. ตั้งน้ำมันในกระทะ 2 ถึง 3 ช้อนโต๊ะให้ร้อน จากนั้นนำซี่โครงลงไปย่างให้แห้งที่ความร้อนสูงสักสองสามนาที อย่าทำให้ซี่โครงสุกเกินไป เพียงแค่ให้ผิวด้านนอกเป็นสีน้ำตาลก็พอแล้ว เนื้อด้านในจะค่อยๆ สุกเวลาที่ใช้เวลาเคี่ยวหลายชั่วโมง เมื่อซี่โครงเป็นสีน้ำตาลแล้วให้พักไว้ก่อน
    • คุณอาจจะไม่เห็นชัดเจนว่าเนื้อสุกแล้วเวลาที่เอาออกจากกระทะ ถ้าผิวด้านนอกมีสีน้ำตาลและกรอบแสดงว่ามันพร้อมที่จะถูกนำไปเคี่ยวแล้ว
  4. รวนหัวหอมกับกระเทียมในกระทะเดียวกันกับที่ทอดซี่โครง. การเพิ่มผักลงไปจะช่วยให้เมนูนี้มีความอร่อยมากขึ้น สับหอมใหญ่ขนาดกลางสัก 1 ลูกและกระเทียมสัก 2 ถึง 3 กลีบ นำไปรวนจนเนื้อมันเป็นสีใส
  5. การเคี่ยวเป็นวิธีการทำอาหารที่คล้ายกับการตุ๋น เมื่อเราเคี่ยวเนื้อ เราจะปรุงมันอย่างช้าๆ ในน้ำซุปซึ่งเหมือนกับการตุ๋น เราใช้น้ำซุปจากเนื้อวัวเป็นหลัก เริ่มโดยการใช้น้ำใส่น้ำซุปเนื้อวัว 2 ถ้วยลงในกระทะ อาจปรุงรสเพิ่มด้วยของเหลวอย่างอื่น เช่น น้ำส้มสายชูจากไวน์แดง จากนั้นเคี่ยวไปจนน้ำเริ่ม และให้เน้นที่รสชาติเป็นหลัก
    • มาถึงการปรุงรสของน้ำสำหรับการเคี่ยว มีหลายวิธีมากที่จะเพิ่มรสชาติให้กับน้ำซุปที่ใช้เคี่ยว เช่น ใช้เบียร์ ไวน์แดง และน้ำซอสมะเขือเทศ หรือแม้แต่ส่วนผสมแบบผง อย่างผงปาปริกาและผงกระเทียมก็เข้ากันได้ดี อย่ากลัวที่จะลองชิมน้ำซุปของคุณ ถ้าน้ำซุปรสชาติดี เนื้อก็จะรสชาติดีไปด้วย
  6. เติมน้ำที่ใช้สำหรับเคี่ยวลงไปให้ท่วมเนื้อซี่โครง ใช้ฟอยล์ปิดกระทะและนำไปเข้าเตาอบ
  7. กลับซี่โครงทุกๆ 1 ชั่วโมง เวลาในการทำจะแตกต่างกัน เนื้อที่เคี่ยวเสร็จแล้วจะแห้งเมื่อนำออกจากเตา หลังจากนั้น 1 ชั่วโมง คุณสามารถชิมเนื้อซี่โครงได้โดยใช้ส้อม เนื้อควรที่จะนุ่มและหลุดออกจากกระดูกได้ง่าย ด้านในอาจจะมีเส้นเอ็นบ้างเล็กน้อย
  8. นำซี่โครงที่เคี่ยวเสร็จใส่จานทันทีและนำไปเสิร์ฟ ถ้าคุณอยากให้เนื้อชุ่มฉ่ำ ก็สามารถที่จะใช้น้ำที่เหลือจากกระทะมาทำเป็นน้ำราดได้
    • เมนูนี้เข้ากันได้ดีเยี่ยมกับมันบด เพราะมันบดจะซับน้ำและรสชาติที่ไหลออกมาจากซี่โครงได้ดี
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • ปรุงในอุณหภูมิที่เหมาะสมและอย่าปรุงนานเกินไปเพราะจะทำให้เนื้อแห้งและเหนียว
  • ป้องกันไม่ให้เนื้อหมูแห้งโดยการห่อให้แน่น ถ้าเนื้อแห้งมันจะเหนียวเกินไปที่จะนำไปปรุงต่อ
  • พักเนื้อไว้ประมาน 10 ถึง 15 นาทีก่อนตัดรับประทาน เพื่อให้น้ำที่อยู่ด้านในซึมไปทั่วชิ้นเนื้อ
  • เวลาซื้อควรเลือกเนื้อหมูที่มีสีเทาหรือสีชมพู และควรเป็นสีอ่อน และควรหลีกเลี่ยงเนื้อที่ติดมันด้วย
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 20,006 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา