ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

ผิวหน้าของคุณนั้นบอบบาง และแห้งได้รวดเร็วกว่าผิวส่วนอื่นๆ ในร่างกาย บทความวิกิฮาวนี้จะช่วยบอกเคล็ดลับและวิธีต่างๆ ที่จะทำให้ผิวแห้งแตกเป็นขุยสลายหายไปและได้ผลที่ดีกลับมา

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 4:

ทำตามวิถีชีวิตประจำวันสำหรับผิวที่แห้ง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. น้ำอุ่นจะทำให้รูขุมขนของคุณเปิด ซึ่งง่ายต่อการล้างหน้า แต่น้ำร้อนอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวหน้าคุณแห้งไวกว่าเดิมได้ [1]
    • อุณหภูมิน้ำที่เหมาะสมเมื่อใช้ในการล้างหน้า ควรเป็นน้ำอุ่นเล็กน้อย มากกว่าน้ำอุ่นระดับกลางๆ ความร้อนนั้นถือเป็นตัวขัดตามธรรมชาติ ฉะนั้นน้ำร้อนเป็นตัวเลือกที่ดีเมื่อจะกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วหรือน้ำมันออกจากผิว แต่ถ้าผิวหน้าของคุณกำลังเผชิญปัญหาผิวแห้ง ก็จำเป็นที่จะต้องหลีกเลี่ยงอุณหภูมิสูงๆ นั่นไว้
    • ถ้าคุณจำเป็นต้องใช้น้ำร้อนล้างหน้า ให้ล้างน้ำเย็นตามอย่างรวดเร็วเพื่อลดเวลาที่ความร้อนจะหลงเหลือบนใบหน้า
    • และเช่นเดียวกัน ในวันที่อากาศร้อนมากๆ คุณควรกลับมาในบ้านอย่างรวดเร็วและล้างหน้าด้วยน้ำเย็นเพื่อลดอุณหภูมิผิวหน้า ปกติแล้ว ความชื้นในอากาศจะช่วยรักษาความชุ่มชื้นตามธรรมชาติให้ผิวของคุณ แต่คุณก็จะเก็บความชุ่มชื้นไว้ได้มากกว่าเดิม ถ้าหากว่าคุณสามารถลดอุณหภูมิผิวลงได้อย่างสม่ำเสมอ
  2. สบู่ถูตัวนั้นจะแรงไปสำหรับผิวหน้าของคุณ ควรใช้คลีนเซอร์ที่สร้างขึ้นมาสำหรับใช้บนใบหน้าเท่านั้น
    • คลีนเซอร์ที่มีส่วนผสมของสบู่หลายๆ ตัว จะมีส่วนประกอบเป็นสาร SLS (ผงฟอง) อยู่ ซึ่งเป็นสารที่ใช้ลดแรงตึงผิว กำจัดความชุ่มชื้นออกไป สำหรับใบหน้าของคุณ คลีนเซอร์ที่ไม่มีส่วนผสมของสบู่จะปลอดภัยกว่า
    • คุณควรหลีกเลี่ยงคลีนเซอร์ที่มีส่วนผสมของน้ำหอม เพราะมันมักจะมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นตัวสมานน้ำหอมกับคลีนเซอร์เข้าด้วยกัน และจะทำให้ผิวของคุณแห้งยิ่งขึ้น
    • ลองใช้คลีนเซอร์ที่มีส่วนผสมของเซราไมด์ ซึ่งเป็นสารจำพวกไขมันที่มักพบบริเวณผิวชั้นนอกของคุณ เซราไมด์สังเคราะห์จะช่วยรักษาความชุ่มชื้นบนผิวของคุณเอาไว้มากขึ้น
  3. อย่าถูผ้าขนหนูแห้งไปทั่วผิวหลังจากที่ล้างหน้าเสร็จแล้ว แต่ให้ใช้ผ้าขนหนูนุ่มๆ ค่อยๆ ซับใบหน้าให้แห้งแทน
    • เพื่อลดการเกิดการระคายเคืองให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ให้ซับหน้าเพียงประมาณ 20 วินาทีหรือน้อยกว่านั้นแทน
    • ใช้ผ้าที่นุ่มแต่มั่นใจว่าทำมาจากเส้นใยที่ซึมซับน้ำได้ ผ้าเทอรี่ (ผ้าขนหนู) นั้นได้ผลดีเลยล่ะ
    • สิ่งสำคัญคือ คุณควรซับหน้าให้แห้งพอให้เหลือความชุ่มชื้นเล็กน้อย แต่ไม่ถึงขั้นชุ่มโชก อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณจะใช้ครีมบางชนิด (เช่น ไฮโดรคอร์ติโซน) ก็ต้องทำให้ผิวแห้ง 100% ก่อนที่จะทาครีมบริเวณที่ผิวแห้ง ครีมจะได้ไม่เหลวและประสิทธิภาพของยาจะได้ไม่ต่ำเกินไป
  4. ควรทาโลชั่นหรือครีมที่ให้ความชุ่มชื้นทั่วทั้งใบหน้าหลังจากที่ล้างหน้าแล้ว ผิวจะกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ได้เล็กน้อย ฉะนั้นการทามอยส์เจอไรเซอร์ลงบนผิวที่เปียกจะช่วยให้ความชุ่มชื้นถูกกักเก็บเอาไว้ในผิวได้ในระยะยาวกว่า
    • โลชั่นหรือครีมมอยส์เจอไรเซอร์ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อใช้กับใบหน้าถือเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่า ถ้าหากว่าคุณไม่รู้ว่าจะซื้อแบบไหนดี แต่ถ้าหากว่าคุณใช้มอยส์เจอไรเซอร์อยู่แล้ว และต้องการสิ่งที่ได้ผลมากขึ้นมาอีกนิดนึง ให้ลองหาสูตรที่มีเชียร์บัตเตอร์ เซราไมด์ กรดสเตียรอยด์ หรือกลีเซอรีนผสมอยู่ด้วยสิ สารเหล่านี้เป็นมอยส์เจอไรเซอร์ที่จะช่วยมาแทนที่ผิวหนังชั้นนอกของคุณเพื่อรักษาความชุ่มชื้นเอาไว้ภายใน
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 4:

การรักษาผิวแห้งแบบพิเศษ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. แทนที่จะใช้สครับแรงๆ ที่จะกำจัดน้ำมันและผิวกำพร้าออก ให้ใช้ผ้าเช็ดตัวเด็กนุ่มๆ ซึ่งทำความสะอาดหน้าได้โดยไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองอีกด้วย
    • ผิวหนังของคุณต้องการการขัดผิวเป็นครั้งๆ เพื่อให้เซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วได้หลุดร่วงออกไป แต่ถ้าหากว่าคุณขัดมันแรงเกินไป ก็จะยิ่งทำให้เกิดความเสียหายต่อผิวหนังชั้นนอก และยิ่งทำให้ผิวแห้งมากกว่าเก่า
    • ผ้าเช็ดตัวเด็กนั้นจะมีเนื้อที่นุ่มกว่าผ้าเช็ดตัวทั่วไป และบางยี่ห้อก็ทำมาจากวัสดุที่เรียบลื่นและนุ่มอย่างผ้าซาตินอีกด้วย ในการใช้ผ้าเช็ดตัวเด็กนี้ในการขัดผิว ให้ล้างหน้าด้วยน้ำเปล่า และค่อยๆ นวดใบหน้าโดยเคลื่อนที่เป็นวงกลมเล็กๆ
  2. ทาปิโตรเลียมเจลบางๆ ในปริมาณพอเหมาะให้ทั่วใบหน้าที่แห้งง่าย เพื่อกักเก็บความชุ่มชื้นตามธรรมชาติของผิวหนังเอาไว้
    • มันใช้ผลได้ดีในช่วงหน้าหนาวเลยล่ะ เมื่อผิวของคุณจำต้องเผชิญกับอากาศที่แห้งและโหดร้าย สำหรับการใช้ในฤดูหนาวนั้น ให้ทาปิโตรเลียมเจลก่อนจะออกไปข้างนอก โดยเฉพาะถ้าหากว่าคุณวางแผนจะออกไปข้างนอกค่อนข้างนานแล้วด้วย
    • สำหรับการใช้ตลอดทั้งปี ให้ทาปิโตรเลียมเจลให้ทั่วบริเวณที่สังเกตได้ว่าแห้ง ทิ้งเอาไว้ประมาณ 10 นาทีก่อนจะล้างออกอย่างอ่อนโยน โดยสามารถทำแบบนี้ได้สองครั้งต่อสัปดาห์ [2]
  3. อาจฟังดูแปลก แต่นมถือเป็นทั้งตัวทำความสะอาดและให้ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติเลยนะ [3]
    • จุ่มผ้าเช็ดตัวเด็กลงไปในน้ำเย็นใส่น้ำแข็ง บิดน้ำส่วนเกินออกเหนือผิวเพื่อกำจัดสิ่งสกปรกทั่วใบหน้า โปะผ้าไว้บนหน้าแล้วทิ้งเอาไว้สัก 10 นาที
    • กรดแลคติคในนมถือเป็นตัวทำความสะอาดตามธรรมชาติ มันจะช่วยลดรอยแดงและกำจัดผิวหนังที่ตายแล้วได้
    • ไขมันในน้ำนมจะช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิว ซึ่งจะทำให้ผิวของคุณดูมีน้ำมีนวลและอ่อนนุ่ม
    • นมพร่องมันเนยไม่ค่อยช่วยให้ผิวชุ่มชื้นนัก ฉะนั้นควรใช้นมที่มีไขมัน 2% หรือนมสดธรรมดา
    • ถ้าหากว่าคุณสงสัยว่าคลีนเซอร์ที่ใช้ทำความสะอาดใบหน้าตอนกลางคืนนั้นรุนแรงกับผิวเกินกว่าที่ควรจะเป็น ก็อย่าเพิ่งขว้างมันทิ้งเสียล่ะ ให้เปลี่ยนจากการใช้คลีนเซอร์เป็นนมสักสองสามครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อให้ผิวได้พักตามที่ควรจะเป็น
    • อย่างไรก็ตาม นมไม่สามารถใช้ล้างเครื่องสำอางได้ ฉะนั้นคุณควรล้างเครื่องสำอางบนใบหน้าออกไปก่อนจะใช้นมนะ
  4. ต้นว่านหางจระเข้มีคุณสมบัติที่สามารถบรรเทาผิวที่มีอาการแดง ระคายเคืองได้ และยังเติมเต็มความชุ่มชื้นให้กับผิวแห้งแตกได้อีกด้วย [4]
    • วิธีที่ดีที่สุดคือการใช้จากแหล่งที่มาของมันโดยตรง โดยหักใบว่านหางจระเข้สดๆ และค่อยๆ ใช้น้ำที่ไหลออกมาของมันถูบนใบหน้าหลังจากที่ล้างหน้าเสร็จแล้ว ทิ้งเอาไว้ประมาณ 15 นาทีก่อนจะล้างออก
    • มาส์กนี้สามารถใช้ได้สัปดาห์ละครั้ง
    • ถ้าคุณไม่สามารถหาต้นว่านหางจระเข้สดๆ ได้ ก็สามารถใช้ผลิตภัณฑ์เจลว่านหางจระเข้สกัด หรือมาสก์ที่มีว่านหางจระเข้เป็นส่วนประกอบได้
  5. ใช้ครีมไฮโดรคอร์ติโซนบนเปลือกตาในปริมาณเล็กน้อย. เปลือกตาเป็นส่วนผิวที่แห้งได้ง่ายเป็นพิเศษ ถ้าหากว่าผิวบริเวณนั้นเริ่มแห้งและรู้สึกคัน ให้ค่อยๆ ทาครีมไฮโดรคอร์ติโซนบางๆ บนเปลือกตาเพื่อลดอาการคัน และนำความชุ่มชื้นกลับมาสู่ผิว
    • เหตุผลที่ผิวบริเวณเปลือกตาแห้งง่าย เพราะมันบางมากเป็นพิเศษ แทบไม่มีกลุ่มเซลล์อยู่บริเวณนั้นเลย นั่นทำให้เปลือกตาเสี่ยงที่จะบางลงไปอีก ถ้าหากว่าใช้ครีมไฮโดรคอร์ติโซนมากเกินไป หรือใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานเกินไป [5]
    • ล้างเครื่องสำอางบริเวณดวงตาก่อนที่จะทาครีม และระวังอย่าให้ครีมไฮโดรคอร์ติโซนเข้าตา และระวังไว้ เพราะครีมอาจไหลไปสัมผัสกับผิวลูกตาได้ แม้ว่าจะระวังตอนทาแค่ไหนก็ตาม (มีแพทย์อย่างน้อยหนึ่งคนสันนิษฐานว่าการที่ครีมไฮโดรคอร์ติโซนสัมผัสกับลูกตานั้น อาจทำให้เกิดโรคต้อหินได้) [5]
    • สามารถใช้วิธีนี้ได้สองครั้งต่อวัน แต่ให้ระวังอย่าใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน [5]
  6. แยกไข่ขาวแดงออกจากกัน ตีไข่ขาว แล้วนำมาทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 10 นาที จากนั้นก็ล้างออก และให้ใช้ไข่แดงทำตามวิธีเดียวกับ ซับหน้าให้แห้ง ทาโลชั่นเพิ่มความชุ่มชื้น และเตรียมพร้อมรับใบหน้าเนียนนุ่มได้เลย
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 4:

หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้ระคายเคือง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. หลีกเลี่ยงการทำให้ใบหน้าระคายเคืองเมื่อกำจัดขนบนใบหน้า. ผู้ชายมีความน่าเป็นห่วงมากกว่าในเรื่องของผิวแห้ง นิสัยการโกนหนวดที่ไม่ดีจะยิ่งทำให้ผิวแห้งยิ่งขึ้น ฉะนั้นผู้ชายควรจำไว้และโกนหนวดอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้ผลออกมาแย่กว่าเดิม
    • การโกนหนวดนั้น จะทั้งกำจัดขนและน้ำมันออกจากผิวหนังของคุณ รวมถึงกำจัดน้ำมันตามธรรมชาติที่จะทำให้ผิวของคุณแห้งอีกด้วย
    • ในการลดไม่ให้เกิดความเสียหายจากการโกน ให้โกนหลังจากที่ล้างหน้าเสร็จใหม่ ขณะที่ขนยังอ่อนนุ่มและง่ายต่อการกำจัดออก ให้ใช้มีดโกนคมๆ ที่สามารถโกนขนได้ดีกว่ามีดทื่อๆ ทุกครั้ง
    • ใช้ครีมหรือเจลโกนหนวดทุกครั้งเพื่อป้องกันผิวหนังขณะโกนหนวด และลากใบมีดโกนไปตามทางที่ขนขึ้น
  2. หลีกเลี่ยงการทำให้เปลือกตาระคายเคืองจากมาสคาร่าที่เยอะเกินไป. สำหรับผู้หญิง เครื่องสำอางก็เป็นหนึ่งในอีกสาเหตุที่ควรกังวลเมื่อต้องการกำจัดผิวแห้งเสีย โดยเฉพาะมาสคาร่า ที่อาจส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อเปลือกตาได้
    • ใช้น้ำยาทำความสะอาดเครื่องสำอางแทนที่จะเป็นโฟมล้างหน้าธรรมดาเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด หลายครั้งด้วยกันที่โฟมล้างหน้าธรรมดาไม่สามารถกำจัดเครื่องสำอางออกได้หมดจด และเครื่องสำอางบางอย่างก็ยังติดอยู่บนใบหน้าแม้จะล้างออกแล้ว น้ำยาทำความสะอาดเครื่องสำอางใช้ได้ผลดีกว่ามากๆ
    • พักผิวจากมาสคาร่าและเครื่องสำอางชนิดอื่นๆ สักวันสองวันต่อสัปดาห์บ้าง
  3. ใช้ครีมกันแดดเพื่อป้องกันรังสียูวีเมื่อออกไปด้านนอก ในฤดูหนาว เมื่ออากาศเย็นและแห้ง ให้ใช้ผ้าพันคอคลุมใบหน้าส่วนล่างก่อนที่จะออกไปด้านนอก
    • แสงแดดเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับผิวหนังได้เลย นั่นรวมถึงการทำให้ผิวบนใบหน้าแห้งเสียอีกด้วย ให้ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปทุกครั้ง แต่ถ้าหากว่าคุณกลัวครีมกันแดดจะหนักหน้าเกินไป ก็ให้ใช้โลชั่นทาหน้าที่มีค่า SPF โดยใช้แทนครีมกันแดดทั่วไปได้เลย
    • ควรป้องกันผิวริมฝีปากด้วยลิปบาล์มที่มีค่า SPF อย่างน้อย 15 ขึ้นไป
    • ช่วงฤดูหนาว อากาศที่แห้งจะดูดซับความชุ่มชื้นจากผิวคุณไปโดยธรรมชาติ โดยเฉพาะผิวส่วนที่สัมผัสกับอากาศ จึงควรสวมผ้าพันคอหรือใส่หมวกที่สามารถปกคลุมใบหน้าของคุณมากสุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อป้องกันผิวจากอากาศหนาวเย็นที่รุนแรง
    โฆษณา
ส่วน 4
ส่วน 4 ของ 4:

เพิ่มความชุ่มชื้นในสภาพแวดล้อมที่คุณอาศัยอยู่

ดาวน์โหลดบทความ
  1. อากาศที่แห้งสามารถทำให้ผิวของคุณแห้งได้มากกว่าสาเหตุอื่นแล้วล่ะ การเปิดเครื่องทำความชื้นในห้องนอนของคุณในตอนกลางคืน จะช่วยป้องกันไม่ให้อากาศแห้งเกิดไป และยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นบนใบหน้าของคุณอีกด้วย [6]
    • พยายามควบคุมความชื้นในห้องคุณให้อยู่ระดับประมาณ 50%
    • เครื่องทำความชื้นยิ่งสำคัญในตอนกลางคืน เพราะในช่วงที่คุณพักผ่อนก็คือช่วงที่ร่างกายทำการซ่อมแซมผิวหนัง ความแห้งที่มีมากเกินไปในอากาศเป็นสาเหตุที่ทำให้เซลล์ผิวหนังผลัดออกเร็วเกินไป ซึ่งหมายความว่าคุณอาจตื่นขึ้นมาและพบว่าผิวบางส่วนบนใบหน้าเกิดแห้งแตก เว้นเสียว่าจะมีความชื้นในห้องมากพอ
    • ในขณะเดียวกัน คุณสามารถวางภาชนะใส่น้ำไว้ใกล้ๆ เครื่องทำความร้อน หรือวางไว้ใกล้ๆ ต้นไม้ที่สร้างความชื้นตามธรรมชาติ อย่างบอสตันปาล์ม เฟิร์นไม้ไผ่ หรือต้นไทรใบเล็กในห้องนอนของคุณ

เคล็ดลับ

  • ในการรักษาผิวให้ชุ่มชื้นสุขภาพดีทั่วร่างกาย รวมไปถึงใบหน้าด้วย คุณจำเป็นต้องรักษาความชุ่มชื้นไว้ทั้งภายในและภายนอก ดื่มน้ำหกถึงแปดแก้ว (250 มล.) ต่อวันเพื่อช่วยให้ร่างกายได้รับน้ำ และทำงานได้ครบถ้วนดีที่สุด หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่ทำให้สูญเสียความชุ่มชื้นอย่างแอลกอฮอล์หรือกาแฟ ที่จะทำให้น้ำถูกขับออกจากร่างกายมากกว่าได้รับเข้าไป
  • หลังอาบน้ำ ให้ทาครีมทันทีทุกครั้ง
  • อย่าใช้วาสลีนเป็นประจำ เพราะมันมีน้ำมันที่จะไม่ดีต่อสุขภาพผิว
โฆษณา

สิ่งของที่ใช้

  • คลีนเซอร์ล้างหน้าสูตรอ่อนโยน
  • ผ้าขนหนูนุ่มๆ
  • มอยส์เจอไรเซอร์
  • ใบมีดโกนคมๆ (ตามต้องการ)
  • ครีมหรือเจลโกนหนวด (ตามต้องการ)
  • น้ำยาทำความสะอาดเครื่องสำอาง (ตามต้องการ)
  • ครีมกันแดด
  • ผ้าพันคอ
  • เครื่องทำความชื้น
  • ผ้าเช็ดตัวเด็ก
  • ปิโตรเลียมเจล
  • น้ำนม
  • สารสกัดว่านหางจระเข้
  • ครีมไฮโดรคอร์ติโซน

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 4,912 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา