ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

คุณเคยสนิทกับใครมานานมากๆ หรือเปล่า แน่นอนว่าต้องเคยอยู่แล้ว แล้วจู่ๆ คุณก็มารู้ว่าตัวเองหลงรักคนที่เคยเป็นแค่เพื่อนจริงๆ เข้าให้แล้ว เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นค่อนข้างบ่อย เพราะฉะนั้นอย่าไปคิดว่ามีคุณคนเดียวเท่านั้นที่จมจ่อมอยู่กับอารมณ์แบบนี้ และมันก็เจ็บกว่า "รักข้างเดียว" ทั่วไปมากๆ เพราะคุณสองคนรู้จักกันและคอยช่วยเหลือกันและกันมานานแสนนาน ซึ่งทำให้คุณเสี่ยงที่จะเสียทั้งมิตรภาพและความรักอันลึกซึ้งของคุณไป และอาจจะสร้างความปวดใจให้แก่ทั้งสองฝ่ายด้วย

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 3:

หาพื้นที่ให้ตัวเอง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. คุณต้องรักษามารยาทและคิดให้ดีว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ คุณอาจจะไม่อยากทิ้งความสัมพันธ์ที่ดีที่คุณสองคนร่วมสร้างกันมา แต่คุณก็ต้องรักษาความรู้สึกของตัวเองด้วย อย่าพยายามไปเจอหน้าเขาให้ได้ทุกวัน
    • มีวิธีต่างๆ มากมายที่จะช่วยสร้างกำแพงที่ปลอดภัยและให้เกียรติกันและกันระหว่างคุณกับเพื่อนคนนี้ [1] ถ้าคุณต้องเจอคนๆ นี้ ก็พูดคุยอย่างจริงใจไปตามปกติแต่ไม่ต้องสนใจเขาแค่คนเดียว ปกป้องหัวใจตัวเองโดยที่ไม่แสดงท่าทีเหินห่างจากเขา
    • เตรียมข้ออ้างดีๆ ว่าทำไมคุณถึงไปเจอเขาไม่ได้ คุณอาจจะรู้สึกเหมือนกำลังหลอกเพื่อนอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าที่ผ่านมาคุณพูดความจริงกับเขามาตลอด แต่คุณต้องรู้ว่าที่คุณทำแบบนี้ก็เพราะคุณแค่ต้องการเวลาตัดใจจากเขาให้ได้เท่านั้น [2]
    • ปัญหาที่เกี่ยวกับเรื่องเงินก็เป็นเหตุผลที่เข้าใจได้ในเกือบทุกกรณี โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามันเกี่ยวข้องกับการที่คุณต้องทำงานล่วงเวลา ถ้าคุณทำงานล่วงเวลา คุณก็จะเหนื่อยมากกว่าเดิม และความเหนื่อยล้าก็เป็นข้ออ้างที่ใช้ได้เสมอ
  2. ก่อนที่จะสร้างระยะห่างไกลแสนไกลระหว่างคุณกับเขา คุณต้องแน่ใจจริงๆ ว่าคุณรักเขาเข้าแล้ว สถานการณ์แบบนี้มีความกดดันต่างๆ ประดังประเดเข้ามามากมาย เพราะคุณกำลังเสี่ยงที่จะทำลายมิตรภาพไปตลอดกาล
    • เวลาที่คุณมีความรัก ระดับโดปามีนกลางในสมองจะเพิ่มขึ้น ทำให้คุณหันเหความสนใจทั้งหมดและจดจ่อไปที่คนที่คุณหลงรักเท่านั้น [3] คนที่คุณรักจะกินพื้นที่ความคิดในแต่ละวันของคุณเยอะมาก เพราะฉะนั้นมันอาจจะเหมือนว่าคุณกำลังหมกมุ่นเรื่องของเขาอยู่
    • เวลาที่คุณหลงรักใครสักคนจริงๆ คุณจะไม่ค่อยคิดถึงคนอื่นเท่าไหร่ คุณจะมองเขาในแง่ดีเกินจริง เพราะเมื่อคุณหลงรักเขาเข้าแล้ว คุณจะมองข้ามลักษณะนิสัยที่ไม่ดีของเขาไป
    • ถ้าคุณเกิดความรู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่งที่ว่านี้หรือทั้งหมด ก็แปลว่าคุณอาจจะหลงรักเพื่อนสนิทแล้วจริงๆ
    • คุณต้องแน่ใจว่าคุณไม่ได้รู้สึกแบบนี้เพราะคุณเหงาและมีความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนที่เหนียวแน่นกับคนๆ นี้ เพราะถ้าคุณพิจารณาจากความรักที่คุณมีต่อเพื่อนสนิท คุณก็อาจเสี่ยงที่จะตีความผิดไปว่า ความสัมพันธ์ที่ต่างฝ่ายต่างดูแลกันคือความสัมพันธ์ฉันท์คนรัก [4] คุณต้องแน่ใจว่าคุณไม่ได้เข้าหาคนๆ นี้เพราะคุณอยากมีแฟน และมองว่าเขานี่แหละที่น่าจะเหมาะ
  3. หลังจากผ่านสถานการณ์ทางอารมณ์ที่ยากลำบากอย่างการถูกปฏิเสธแล้ว ก็ไม่มีอะไรแย่ไปกว่าการบอกปัดความรู้สึกและเก็บมันไว้ และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือการหลอกตัวเองให้เชื่อว่าไม่ควรมีอารมณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นกับคุณ [5]
    • ถ้าคุณตัดสินอารมณ์ของตัวเองหรือบอกตัวเองว่าอย่ารู้สึกแบบนั้น ก็เท่ากับว่าคุณกำลังหลีกหนีความเป็นจริงของความเจ็บปวด
    • แม้ว่าการรับมือกับอารมณ์อกหักจะเป็นสิ่งที่ยากลำบากมากๆ แต่ระหว่างนั้นคุณก็จะเข้มแข็งขึ้น นอกจากนี้คุณเองก็จะเสียเวลาจมดิ่งไปกับความทุกข์น้อยลงด้วยถ้าคุณยอมรับอารมณ์ของตัวเองและพยายามอยู่กับปัจจุบัน
  4. ถ้าคุณปล่อยให้การถูกปฏิเสธในครั้งนี้ทำลายความเป็นอยู่ที่ดีของคุณไปอย่างสิ้นเชิง คุณก็จะไม่มีโอกาสเยียวยาหัวใจที่แตกสลายได้เลย แม้ว่ามันจะต้องอาศัยความพยายามเพิ่มเติมสักเล็กน้อย แต่คุณก็ต้องพยายามดึงคุณค่าของตัวเองขึ้นมาให้ได้ [6]
    • จำไว้ว่าการปฏิเสธในครั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวกับตัวคุณไปเสียทั้งหมด เพื่อนสนิทของคุณเขาอาจจะกำลังรับมือกับปัญหาที่ใหญ่มากๆ เกี่ยวกับอัตลักษณ์ของตัวเขาเอง หรือเขาอาจจะไม่กล้าผูกมัดกับคุณเพราะว่าความกลัวและความรู้สึกไม่มั่นคงก็เป็นได้
    • การอยู่คนเดียวจะช่วยให้คุณเติบโต และแม้ว่ามันจะเจ็บปวดแสนสาหัสขนาดไหน สุดท้ายแล้วมันจะทำให้คุณเข้มแข็งขึ้น
    • พยายามมองว่านี่คือโอกาสที่คุณจะได้ปรับปรุงตัวหรือใช้เวลาค่อยๆ บรรลุเป้าหมายของตัวเองให้ได้ การถูกปฏิเสธมีพลังที่ช่วยเติมเชื้อไฟขับเคลื่อนในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง เพราะคุณสามารถใช้ความรู้สึกแย่ๆ เหล่านี้ในการกำหนดทิศทางจะที่พัฒนาตัวเองต่อไปได้ [7] แต่ถ้าคุณยังวนเวียนอยู่กับความคิดที่ว่าตัวเองต่ำต้อย คุณก็จะไม่สามารถข้ามผ่านความเจ็บปวดไปได้ การระลึกอยู่เสมอว่าการถูกปฏิเสธเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จะทำให้การถูกปฏิเสธในครั้งนี้ดูเล็กลง
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 3:

เยียวยาหัวใจหลังจากอกหัก

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ถึงมันจะฟังดูขัดกับความเชื่อของคุณ แต่จริงๆ แล้วคุณไม่อยากกำจัดคนๆ นี้ออกไปจากสมองเสียทีเดียวหรอก เพราะเวลาที่คุณพยายามที่จะไม่นึกถึงคนๆ นี้ คุณก็จะกลับไปนึกถึงเขาทั้งที่คุณไม่อยากนึกถึงแน่ๆ ซึ่งจริงๆ แล้วมันจะยิ่งทำให้คุณตัดใจจากเขาได้ยากกว่าเดิมมาก
    • การพยายามที่จะไม่นึกถึงหมีขาวจะทำให้ภาพหมีขาวเข้ามาอยู่ในหัวคุณแน่ๆ ปรากฏการณ์ในลักษณะนี้เรียกว่า "ปรากฏการณ์หมีขาว" [8] ซึ่งเป็นกรณีที่รวมการเสพติดและความหมกมุ่นไว้ทั้งหมด
    • เวลาที่ภาพคนที่คุณรักแล่นเข้ามาในหัว คุณต้องยอมรับการมีอยู่ของความคิดนั้นแม้ว่ามันจะทำให้คุณเจ็บก็ตาม คุณไม่ต้องตระหนกและไม่ต้องไปคิดว่ามันเป็นสัญญาณที่บอกว่าคุณไม่มีวันตัดใจจากเขาได้แน่ๆ
  2. เวลาที่คุณถูกคนที่คุณรักปฏิเสธ คุณจะรู้สึกเกลียดตัวเองและรู้สึกไม่มั่นคงอย่างมากทันที คุณเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปแขวนไว้กับเรื่องนี้ คุณก็เลยอาจจะรู้สึกเหมือนตัวเองล้มเหลวกลายๆ [9] การกลับมามั่นใจในตัวเองอีกครั้งคือสิ่งสำคัญในการเอาชนะความทุกข์ต่างๆ ไปได้
    • คุณต้องเรียนรู้ที่จะเชื่อมโยงกับอารมณ์ในปัจจุบันแทนที่จะไปคิดถึงความผิดพลาดในอดีตที่ผ่านมา การนั่งสมาธิจะช่วยปรับศูนย์กลางสมองให้จดจ่อกับปัจจุบันมากขึ้น
    • การทำสมาธิแบบนั่งสมาธิธรรมดาๆ ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี นั่งหลังตรงและนำมือมาไว้ที่กลางหัวใจ ประสานฝ่ามือให้นิ้วโป้งกับนิ้วก้อยแต่ละข้างอยู่ในแนวเดียวกัน กำหนดจิตไปที่ปลายจมูกแล้วหายใจ
    • เมื่อคุณปลดปล่อยความกลัวและความวิตกกังวลเกี่ยวกับอดีตไปได้แล้ว คุณก็จะสามารถนำพลังที่ได้มาก้าวไปข้างหน้าได้อย่างเข้มแข็ง
  3. ในการก้าวข้ามอาการอกหักนั้น คุณจะต้องพึ่งพิงคนรอบข้าง จำไว้ว่ามิตรภาพเหล่านี้สำคัญต่อความเป็นอยู่ที่ดีของคุณอย่างไร และคนเหล่านี้เคยทำดีกับคุณมากแค่ไหน [10] เพื่อนที่ดีคือเพื่อนที่คุณสามารถเป็นตัวของตัวเองได้เวลาที่คุณอยู่กับเขา
    • คุณอาจจะรู้สึกเหินห่างจากมิตรภาพอื่นๆ สักพักด้วย แล้วแต่ว่าความรักที่คุณมีต่อเพื่อนสนิทมันลึกซึ้งแค่ไหน และเนื่องจากว่าคุณไม่สามารถเพ้อรำพันถึงคนๆ นี้ได้อีกแล้ว คุณจึงสามารถใช้พลังทั้งหมดไปกับความสัมพันธ์อื่นๆ ที่ดีกว่าในชีวิตได้
  4. เตือนตัวเองว่าความรู้สึกของคุณไม่ใช่ข้อเท็จจริง. ในช่วงควันหลงของอาการอกหักอย่างแสนสาหัส คุณจะถูกห่อหุ้มอยู่ในอารมณ์ต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นความวิตกกังวล ความโกรธ ความเศร้าใจอย่างสุดซึ้ง และอารมณ์อื่นๆ แต่คุณต้องจำไว้ว่าแม้ว่าความรู้สึกเหล่านี้จะมีอยู่จริง แต่มันก็ไม่ใช่ความจริงแท้ [11]
    • คำพูดว่าที่ว่า "จริงแต่ไม่แท้" ของพระอาจารย์ Tsoknyi Rinpoche นักบวชในศาสนาพุทธนิกายธิเบต เป็นสิ่งที่คุณต้องจำไว้ให้ขึ้นใจเวลาที่พยายามทำความเข้าใจกับอารมณ์เหล่านี้ คุณสามารถหาเหตุผลมาพิสูจน์ได้ว่าคุณรู้สึกแบบนั้นจริงโดยที่ไม่ต้องยอมสยบให้กับอำนาจของอารมณ์
  5. แม้ว่าคุณเองจะเป็นฝ่ายที่ต้องฝืนใจสักหน่อย แต่การไปเดตกับคนอื่นในระหว่างเยียวยาหัวใจตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด [12] แม้ว่าคุณจะไม่ควรเอาใครมาแทนที่หัวใจที่แตกสลาย แต่การใช้เวลาฉันท์หนุ่มสาวกับคนอื่นแบบไม่จริงจังก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร
    • อย่าเอาแต่เล่าเรื่องเศร้าให้คนที่ไปเดตด้วยฟัง เพราะเขาไม่ควรต้องมารับภาระในสิ่งที่คุณกำลังพยายามข้ามผ่านไปให้ได้
    • แม้ว่าคุณจะไม่ได้อะไรจากการเดต แต่คุณก็จะสบายใจที่ได้เชื่อมโยงกับคนอีกคนหนึ่งแน่นอน
    • หรือไม่ว่าจะอย่างไรการสร้างโปรไฟล์ใน OKcupid หรือเว็บหาคู่อื่นๆ ก็จะทำให้คุณได้คำปลอบใจดีๆ จากคนแปลกหน้า [13] มันไม่ได้แก้ปัญหาให้คุณได้หรอก แต่คำพูดดีๆ จากคนรอบข้างจะช่วยให้คุณเยียวยาตัวเองได้
  6. ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนสำคัญในการเยียวยาหัวใจจากการอกหัก แต่มันจะยิ่งสำคัญมากขึ้นไปอีกหากคนที่คุณรักได้ยึดพื้นที่แห่งความรักในหัวใจของคุณในฐานะเพื่อนที่รู้จักกันมานานด้วย [14] ความมุ่งร้ายใดๆ ที่คุณส่งไปหาคนๆ นี้จะยิ่งทำให้ปัญหามันแย่ลง
    • แม้ว่ามันอาจจะดูเหมือนไม่ได้ช่วยให้คุณหายจากอาการอกหักเร็วขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคนๆ นี้เพิ่งจะหักอกคุณไปสดๆ ร้อนๆ แต่การแผ่ขยายความรักไปหาคนๆ นี้จะยิ่งช่วยให้คุณตัดใจจากเขาได้จริงๆ ทำให้ใจของคุณสงบและมั่นคง และช่วยให้คุณยั้งปากไม่พูดจากระทบกระเทียบได้มากเลยทีเดียว
    • แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณควรแผ่ขยายความรักไปให้คนๆ นี้ในแบบที่จับต้องได้ อย่าแสดงความสนใจในตัวเขาผ่านทางอินเทอร์เน็ตหรือส่งข้อความไปหา แต่คุณสามารถอวยพรให้เขามีแต่ความรู้สึกดีๆ ได้เวลาที่คุณอยู่คนเดียว
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 3:

รื้อฟื้นมิตรภาพขึ้นมาใหม่

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เป็นไปได้ว่าความสับสนของสถานการณ์อาจพัดพาให้คุณทั้งสองต้องแยกจากกันไปตลอดกาล ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่จะเกิดขึ้นได้ในเรื่องแบบนี้ [15] และเป็นไปได้มากๆ ว่าคุณจะเป็นฝ่ายที่ไม่สามารถข้ามผ่านความหนักหนาของสถานการณ์ไปได้ เพราะคุณไม่ได้รับความรู้สึกในแบบเดียวกันกลับมา
    • ถ้าคุณใช้เวลาอยู่กับตัวเองสักพักและพยายามปรับตัวปรับใจให้เข้าที่เข้าทาง คุณก็จะสามารถตัดสินใจได้ว่าคุณพร้อมจะกลับไปเป็นเพื่อนกันอีกครั้งแล้วหรือยัง
    • อย่ากดดันตัวเองถ้าคุณไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ เพราะมันอาจจะต้องใช้เวลานานกว่าที่คุณคาดไว้แต่แรก
    • พอห่างกันสักพัก ความรู้สึกใหม่ๆ ที่คุณมีต่อคนอื่นก็อาจจะเข้าหัวคุณบ้าง ซึ่งมันก็อาจจะช่วยหรือไม่ช่วยให้คุณตัดใจจากคนรักเก่าของคุณก็ได้
  2. คุณจะสามารถจัดการกับมิตรภาพได้ง่ายขึ้นหากคุณไม่ได้ใช้เวลาสองต่อสองกับเพื่อนสนิทมากนัก แต่คุณก็ยังต้องรักษาขอบเขตกับคนๆ นี้อยู่แม้ว่ามันจะยากก็ตาม คุณอาจจะรู้สึกอยากทำทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนตอนที่ยังเป็นเพื่อนสนิทกันเหมือนเดิม แต่ในตอนนี้คุณต้องเลี่ยงกิจกรรมอะไรก็แล้วแต่ที่ต้องใกล้ชิดหรือเป็นส่วนตัวมากเกินไป
    • ดูว่าคุณสามารถมีความสัมพันธ์แบบไหนกับคนๆ นี้ได้บ้าง คุณอาจจะไม่สามารถนั่งดูทีวีด้วยกันสองต่อสองได้ แต่คุณอาจจะไปดื่มเบียร์หรือกาแฟแล้วนั่งคุยกันได้
  3. จำไว้ว่าถ้าเพื่อนมีความสุข คุณก็ควรมีความสุขด้วยเหมือนกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องใช้วุฒิภาวะ คุณรักเพื่อน และคุณก็อยากให้เพื่อนมีความสุข ไม่ว่าเพื่อนจะตัดสินใจอย่างไรก็ตาม
    • คุณต้องแน่ใจว่าตัวเองพยายามกำจัดความกระอักกระอ่วนออกไป กำหนดขอบเขตใหม่ในฐานะเพื่อน
    • คุณทั้งคู่ต้องเปลี่ยนความคาดหวังที่มีและประเมินว่าใครทำอะไรได้บ้าง เพราะฉะนั้นมันควรจะเริ่มต้นด้วยการยอมรับสถานการณ์ในปัจจุบันเสียก่อน
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • การมีเพื่อนรักไปตลอดชีวิตย่อมดีกว่าการมีความสัมพันธ์สั้นๆ ชั่วครู่ชั่วยาม เพราะฉะนั้นคุณต้องเข้าใจว่าความสัมพันธ์แบบใกล้ชิดกันมากกว่าเดิมอาจทำให้เกิดความกระอักกระอ่วนระหว่างคุณทั้งคู่ เหมือนที่เขาพูดกันว่า "ฉันยอมฆ่าเพื่อให้ได้สาวงามอย่างเธอ แต่ฉันคงตายหากไร้ซึ่งเพื่อนที่ดี"
  • ให้เวลาสักพัก คุณไม่มีทางรู้ว่าเพื่อนสนิทของคุณจะเปลี่ยนใจหรือเปล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณยังรักษาความสัมพันธ์ทางอารมณ์ในมิตรภาพของคุณไว้ได้ สถานการณ์ที่แย่ที่สุดที่อาจเกิดขึ้นได้คือการที่คุณข้ามผ่านข้ามเจ็บปวดนี้ไปได้และพยายามจะกลับไปเป็นเพื่อนสนิทกันอีกครั้ง
  • มันยากที่จะมองข้ามการถูกปฏิเสธ ถ้าอีกฝ่ายไม่อยากเป็นเพื่อนสนิทกับคุณอีกต่อไปแล้ว คุณก็ต้องยอมรับมันให้ได้
  • การถูกปฏิเสธเป็นหนึ่งในสิ่งที่แย่ที่สุดที่อาจเกิดขึ้นกับคุณ และบางครั้งเราก็ทำเหมือนว่าทุกอย่างปกติ...ทั้งที่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ เพราะฉะนั้นให้หาคนคุยด้วย ถ้าคุณไม่อยากให้เพื่อนรู้ว่าคนๆ นั้นเป็นใครหรือว่าจริงๆ แล้วเป็นตัวเขาเอง ก็ไม่ต้องพูดชื่อ เล่าได้ ไม่เป็นไรหรอก
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 12,279 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา