ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

ท่อนหนึ่งของบทเพลงคันทรีร้องว่า “เป็นเรื่องยากที่จะถ่อมตนเมื่อคุณสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง” และแน่นอนว่ามีคนส่วนหนึ่งคิดว่าตัวเองสมบูรณ์แบบไปเสียทุกสิ่งอย่างจริงๆ อย่างไรก็ดี มันเป็นเรื่องค่อนข้างยากที่จะถ่อมตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณอยู่ในสังคมที่สนับสนุนให้คนแข่งขันกันและสนับสนุนสภาวะปัจเจกบุคคล

ไม่ว่าวัฒนธรรมใด ความอ่อนน้อมถ่อมตนถือเป็นคุณงามความดีที่สำคัญ การเรียนรู้ที่จะถ่อมตนจึงเป็นเรื่องสำคัญทางจิตใจที่มีค่าสูงล้ำในแทบทุกจารีต ความถ่อมตนจะช่วยให้คุณพัฒนาความสัมพันธ์กับผู้อื่นได้อย่างเต็มเปี่ยมและอิ่มเอม อีกทั้งยังเป็นโอกาสสร้างตัวเองให้เป็นที่เคารพนับถือ

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 3:

ยอมรับข้อจำกัดของตัวเอง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. จงยอมรับว่าคุณไม่ได้ดีเลิศไปเสียทุกสิ่ง หรือแม้แต่เรื่องในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง. ไม่ว่าคุณจะปราดเปรื่องแค่ไหน จะมีคนที่ทำบางสิ่งได้ดีกว่าคุณเสมอ จงดูคนเก่งกว่าคุณ และหาหนทางพัฒนาศักยภาพของตัวเอง จำไว้ว่าไม่มีใครที่เก่งเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่สุดหรอก
    • แม้ว่าคุณจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ “ดีที่สุดในโลก” แต่แน่นอนว่ามีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่คุณทำไม่ได้ และอาจจะไม่มีทางทำได้เลยตลอดชีวิต
    • การมองเห็นข้อจำกัดของตัวเองไม่ได้หมายถึงการละทิ้งความฝัน และไม่ได้หมายความว่าคุณต้องยอมแพ้ที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ หรือหยุดพัฒนาความสามารถที่คุณมีอยู่แล้ว จริงๆ แล้วมันหมายถึงการยอมรับว่า ในฐานะมนุษย์ ไม่มีใครสมบูรณ์แบบและไม่มีใครสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง
  2. เราตัดสินผู้อื่นก็เพราะมันง่ายกว่าย้อนมองดูตัวเอง น่าเสียดายที่สิ่งนี้มันไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แต่อย่างใด บ่อยครั้งก็เป็นอันตรายเสียด้วยซ้ำ การตัดสินผู้อื่นนำมาซึ่งความขัดแย้งทางความสัมพันธ์อย่างรุนแรง และขัดขวางไม่ให้มิตรภาพใหม่ๆ ได้งอกงาม หรือในกรณีร้ายแรงกว่านั้น มันขัดขวางไม่ให้เราเจริญก้าวหน้า จำไว้ว่าทุกคนต่างผิดพลาดได้ทั้งนั้น
    • เราตัดสินผู้อื่นตลอดเวลาและมักจะทำโดยไม่รู้ตัว ให้ฝึกทำดังต่อไปนี้ ลองจับผิดตัวเองเมื่อคุณพยายามตัดสินผู้คนหรือใครก็ตาม และเมื่อไหร่ที่คุณเริ่มตัดสินพวกเขา ให้เปลี่ยนมาตัดสินตัวเองแทน ลองย้อนกลับมาพิจารณาหาหนทางที่จะพัฒนาตัวเอง แทนที่จะไปคิดแทนคนอื่นว่าพวกเขาควรทำตัวอย่างไร เพราะท้ายที่สุดแล้ว คุณไม่สามารถควบคุมความคิดของและนิสัยใจคอของคนอื่นได้ แต่คุณสามารถควบคุมของตัวเองได้
    • เรียนรู้เพื่อมองหาข้อบกพร่องของตัวเอง จดจำไว้ว่าการเติบโตและการพัฒนาเป็นกระบวนการเรียนรู้ตลอดชีวิต แม้ว่าคุณจะทำบางสิ่งบางอย่างได้ดีแค่ไหนก็ตาม
  3. ลองคิดดูว่าคุณจบจากมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุด ในลำดับต้นๆ ของคณะ แน่นอนว่าคุณสมควรได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่าสำหรับการเรียนอย่างหนักและความมานะอุตสาหะ แต่ในอีกแง่หนึ่ง หากมีใครอีกคนที่ฉลาดและทำงานหนักพอๆ กับคุณ แต่เพียงเพราะเขาไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเพียงพอจากครอบครัว เติบโตในที่ที่ต่างจากคุณ หรือเพียงแค่ตัดสินใจเลือกทางชีวิตผิดเพียงหนเดียว คุณอาจตกอยู่ในสภาพเช่นเดียวกับเขาก็เป็นได้
    • จดจำไว้เสมอว่า ทางเลือกที่ผิดพลาดของเมื่อวานอาจเปลี่ยนชีวิตของคุณในวันนี้ไปทั้งหมด และยิ่งไปกว่านั้น วันนี้อาจเป็นวันที่ทางเลือกที่ถูกต้องเปลี่ยนชีวิตของคุณก็เป็นได้
    • แม้คุณจะมีอย่างทุกวันนี้จากการทุ่มเททำงานหนักอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย คุณก็ไม่สามารถประสบความสำเร็จได้หากไม่มีแรงสนับสนุนจากผู้อื่น ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำคือผลลัพธ์จากการที่ผู้คนทั้งหลายคอยมอบแรงสนับสนุนแก่เราทั้งสิ้น เราเป็นเราได้ก็เพราะคนรอบตัวคอยขัดเกลาให้เรากลายเป็นคนที่ดีขึ้น จนถึงจุดที่เราประสบความสำเร็จในที่สุด
  4. ส่วนหนึ่งของการถ่อมตนคือการเข้าใจว่าคุณทำผิดพลาดได้ คุณต้องเข้าใจส่วนนี้ และต้องเข้าใจด้วยว่าคนทุกคนต่างทำผิดพลาดได้ด้วยเช่นกัน เมื่อเข้าใจทั้งสองส่วนนี้คุณก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้หมายความว่าคุณควรทำตัวเป็นคนขี้ระแวง ที่คอยแต่จะหลีกเลี่ยงการทำผิดพลาด จงอย่ากลัวที่จะลองวิธีการหรือเส้นทางใหม่ๆ ที่จะทำให้คุณไปถึงเป้าหมายของตัวเอง
    • ชีวิตของคนแต่ละคนนั้นแสนสั้น โลกนี้มีคนที่อาวุโสและฉลาดกว่าคุณเสมอ ความคิดเห็นของคนเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การรับฟัง แม้ว่าสุดท้ายแล้วการตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับตัวคุณเองก็ตาม
  5. ถึงคุณจะกลัวคนอื่นโกรธและโมโหมากแค่ไหน แต่มันเป็นการดีกว่าที่คุณจะยอมรับความผิดแทนที่จะปกปิดมันเอาไว้ แม้คุณจะผิดพลาดไปบ้าง ไม่ว่าในฐานะหัวหน้า พ่อแม่ หรือเพื่อน ทุกคนต่างยินดีที่จะรับรู้ความจริงที่ว่าคุณต้องการยอมรับว่าตัวเองไม่ได้ดีเลิศ และกำลังพยายามอย่างหนักที่จะพัฒนาตัวเองรวมถึงแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้น การยอมรับความผิดพลาดของตัวเองแสดงให้เห็นว่าคุณไม่ใช่คนหัวดื้อ เห็นแก่ตัว หรือกลัวเสียภาพลักษณ์
    • การยอมรับข้อผิดพลาดของตัวเองจะทำให้คนนับถือคุณมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นลูกๆ หรือเพื่อนร่วมงานของคุณก็ตาม
  6. เป็นเรื่องดีที่คุณรู้จักนับถือตัวเองและภูมิใจในสิ่งที่คุณทำสำเร็จ แต่ไม่มีใครชอบคนที่เอาแต่เรียกร้องความสนใจและโอ้อวดความสำเร็จของตัวเอง ถ้าคุณรู้สึกว่าตัวคุณทำบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ แน่นอนว่ามีโอกาสที่คนจะรับรู้ถึงสิ่งที่คุณทำ แต่พวกเขาก็จะนับถือคุณมากขึ้นหากคุณมีความอ้อมน้อมถ่อมตนอยู่ในที
    • นี่ไม่ได้หมายความว่าคุณควรโกหกเมื่อสำอะไรบางอย่างสำเร็จ หากมีใครถามว่าคุณได้ไปวิ่งมาราธอนมาหรือไม่ คุณก็ควรตอบอย่างภาคภูมิใจว่า “ใช่” แต่อย่าคุยโวต่อไปว่าคุณวิ่งเข้าเส้นชัยอย่างสวยงามแค่ไหน หรือแม้แต่ในการประสบความสำเร็จเรื่องอื่นๆ ก็ตาม
  7. คนอ่อนน้อมถ่อมตนไม่จำเป็นต้องทำตัวหงอ เพราะการถ่อมตนไม่ใช่การไม่นับถือตนเอง อย่างไรก็ตาม คนที่อ่อนน้อมถ่อมตนควรใส่ใจในการต่อบทสนทนา และระวังไม่พูดดูหมิ่นหรือพูดให้เกิดความแตกแยก ในฐานะผู้ที่ถ่อมตน คุณควรระลึกไว้เสมอว่าทุกๆ คน รวมถึงตัวคุณเอง ต่างมีเป้าหมายและความฝันที่ต่างฝ่ายต่างอยากจะร่วมพูดคุยแบ่งปัน รวมถึงความสำเร็จและความคิดเห็นมากมายเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ
  8. เราทุกคนในฐานะมนุษย์ที่เป็นอยู่เช่นนี้ได้ก็เพราะแรงสนับสนุนและการชี้แนะจากผู้อื่น ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนสนับสนุนและช่วยเหลือให้คุณกลายเป็นคนที่สามารถก้าวเดินไปถึงความฝันได้อย่างทุกวันนี้ เป็นเรื่องปกติที่คุณจะภูมิใจในความสำเร็จของตัวเอง แต่จงจำให้ขึ้นใจว่าไม่มีใครทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง ในฐานะมนุษย์ เราทุกคนต่างช่วยเหลือซึ่งกันและกันให้ต่างคนต่างเดินไปถึงเป้าหมายของตัวเอง
    • แบ่งปันความรักและความปรารถนาดี จดจำคนที่ช่วยให้คุณได้เดินบนเส้นทางของตัวเองจนประสบความสำเร็จ
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 3:

เห็นคุณค่าซึ่งกันและกัน

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ท้าทายตัวเองให้มองผู้อื่นและชื่นชมในสิ่งที่พวกเขาทำได้ หรือพูดอย่างง่ายๆ ก็คือ ชื่นชมในสิ่งที่พวกเขาเป็น คุณต้องเข้าใจว่าทุกคนแตกต่างกัน และใช้โอกาสนี้เพลิดเพลินไปกับการเรียนรู้ผู้คนหลากหลายประเภท แน่นอนว่าคุณยังมีรสนิยมส่วนตัวว่าคุณชอบหรือไม่ชอบอะไร แต่ลองฝึกตัวเองให้แยกแยะความคิดเห็นออกจากความกลัวของตัวเอง แล้วคุณจะพบว่าตัวคุณเองเห็นคุณค่าของผู้อื่นมากขึ้น และอ่อนน้อมถ่อมตนมากขึ้นด้วยเช่นกัน
    • การสามารถชื่นชมพรสวรรค์และความสามารถของผู้อื่นได้ จะทำให้คุณตระหนักได้ว่าคุณเองก็อยากจะพัฒนาหรือบรรลุเป้าหมายที่อยู่ภายในตัวเองเช่นกัน
  2. เมื่อการแข่งขันมาถึงจุดที่ดุเดือด แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่คนจะนอบน้อมต่อกัน ในเมื่อต่างฝ่ายต่างสู้รบกันอย่างไม่รามือ เพื่อที่จะเป็น “ที่สุด” หรือพยายามจะเหนือกว่าอีกฝ่าย แทนที่จะปล่อยให้เป็นเช่นนั้น ลองมองย้อนกลับมาดูตัวเองให้มากขึ้น จดจำไว้ว่า เป้าหมายสูงสุดไม่ใช่การเหนือผู้อื่น แต่คือการเป็นคนที่ดีกว่าที่ตัวเองเคยเป็น เมื่อคุณมุ่งเป้าพัฒนาตัวเองแทนที่จะมัวเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นๆ คุณจะพบว่ามันง่ายกว่ามากคุณจะเป็นคนที่ดีขึ้น เพราะคุณไม่จำเป็นจะต้องกังวลว่าคุณจะดีหรือเลวร้ายกว่าคนอื่นๆ
    • ทุกคนต่างมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง ชื่นชมในสิ่งที่เขาเป็น ในฐานะมนุษย์ ไม่ใช่ในทักษะหรือรูปร่างหน้าตาภายนอกที่คุณมีส่วนได้ส่วนเสียด้วยเท่านั้น
  3. แม้การตัดสินใจว่าตัวเองถูกหรือผิดจะเป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับคุณ แต่มันเป็นคนละเรื่องกับการยอมรับว่าคุณทำผิดพลาดและคุณก็ไม่ได้ถูกเสมอไป อย่างไรก็ตาม มันเป็นเรื่องค่อนข้างยากที่จะยอมรับว่า ในหลายครั้ง คนอื่นๆ โดยเฉพาะคนที่ไม่เห็นด้วยกับคุณอาจเป็นฝ่ายถูก การรับฟังความต้องการของคู่ชีวิต กฏหมายที่คุณไม่เห็นด้วย หรือแม้แต่ในบางครั้งก็คือความคิดเห็นของลูกๆ จะทลายอคติทั้งปวงและพาคุณก้าวขึ้นสู่อีกระดับ
    • แทนที่จะพูดส่งๆ ว่าคุณเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน และในฐานะคนๆ หนึ่งคุณทำผิดพลาดได้ คุณควรมุ่งยึดถือให้เป็นคติประจำใจไปเลยว่า การอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นหนทางในการดำเนินชีวิตอย่างหนึ่ง ไม่ใช่การกระทำเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น
  4. นี่เป็นอีกวิธีที่จะชื่นชมผู้อื่น พินิจพิเคราะห์สุภาษิตคำพังเพยต่างๆ เกี่ยวกับความอ่อนน้อมถ่อมตน ทุ่มเทเวลาและครุ่นคิดเกี่ยวกับมันให้มากๆ หรือทำอะไรก็ได้ที่ทำให้คุณเลิกสนใจแต่ตัวเอง (โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น) คุณสามารถอ่านงานเขียนประเภทชีวประวัติ บันทึก คัมภีร์ทางศาสนา สารคดี และนวนิยายที่สร้างแรงบันดาลใจในการพัฒนาชีวิต หรืออะไรก็ได้ที่ทำให้คุณเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนมากขึ้นกว่าเดิม และทำให้คุณชื่นชมต่อความคิดเบื้องหลังอันลึกซึ้งในการกระทำที่ผู้อื่นแสดงออกมา
    • หากคุณไม่ค่อยถูกกับเนื้อหาที่เป็นนามธรรม ลองหันหน้าหาวิทยาศาสตร์ดู สำหรับวิทยาศาสตร์ความอ่อนน้อมถ่อมตนก็จำเป็นเช่นกัน วิทยาศาสตร์เรียกร้องให้คุณปล่อยวางอคติและการตัดสินทั้งปวง เพื่อเข้าใจว่าจริงๆ แล้วคุณไม่ได้รู้มากเท่าที่คุณคิดว่าตัวเองรู้หรอก
  5. ไม่มีใครเพียบพร้อมและดีเลิศไม่ว่าในสิ่งใดก็ตาม ทุกเรื่องย่อมมีคนที่เจ๋งกว่าคุณ และนี่คือโอกาสที่คุณจะเรียนรู้จากพวกเขา มองหาคนที่คุณปรารถนาจะยึดเป็นต้นแบบในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง และขอร้องให้เขาชี้แนะคุณ ภายใต้การชี้แนะสิ่งที่จำเป็นต้องมีคือคือความสัมพันธ์อันดีงาม การรู้จักรักษาความลับ และเข้าใจซึ่งกันและกัน ทันทีที่คุณก้าวข้ามการเป็น “น้ำเต็มแก้ว” นั่นคือคุณตื่นจากความฝันสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง เพราะการทำตัวเป็นน้ำไม่เต็มแก้วหมายถึงตัวคุณยอมรับว่ามีเรื่องราวอีกมากมายที่คุณต้องเรียนรู้ไปตลอดชีวิต
    • คุณสามารถเป็นคนถ่อมตนมากกว่าเดิมได้โดยการลงเรียนวิชาที่คุณไม่เคยรู้มาก่อน เช่น การเขียนบทกวี หรือการเขียนบทภาพยนตร์ เป็นต้น เพื่อที่จะให้คนอื่นได้มีโอกาสสอนและชี้แนวทางให้แก่คุณ วิธีนี้จะทำให้คุณตระหนักได้ว่าแต่ละคนต่างมีความถนัดในเรื่องที่ต่างกัน และพวกเราต่างต้องการความช่วยเหลือซึ่งกันและกันเพื่อทำให้ตัวเองเป็นคนที่ดีขึ้น
  6. ส่วนสำคัญที่สุดของการเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนคือการรู้จักเคารพผู้อื่น และการเคารพผู้อื่นส่วนหนึ่งคือการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จงปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเท่าเทียมและช่วยเหลือพวกเขาเพราะมันคือสิ่งที่ถูกต้อง มีคำกล่าวว่า หากคุณช่วยเหลือคนซึ่งไม่สามารถช่วยคุณตอบได้ นั่นหมายถึงคุณได้เรียนรู้ที่จะถ่อมตนแล้ว การช่วยเหลือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือจริงๆ จะทำให้คุณชื่นชมในสิ่งที่คุณมีมากขึ้น
    • สุภาษิตกล่าวว่า “พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง” อย่าคุยโวโอ้อวดความดีที่คุณได้ทำลงไป มันเป็นเรื่องดีที่คุณจะชื่นชมในสิ่งที่ตัวเองทำ แต่จงจำไว้ว่า ในงานอาสาคุณไม่ใช่พระเอก แต่คือผู้คนที่คุณได้ช่วยเหลือไว้ต่างหาก
  7. หากคุณเป็นคนที่เร่งทุกฝีก้าวเพื่อเป็นหัวแถว ลองท้าทายตัวเองด้วยการให้โอกาสผู้อื่นได้ไปก่อน ตัวอย่างเช่น ผู้อาวุโส คนพิการ เด็ก หรือคนที่กำลังรีบจริงๆ
    • ถามตัวเองว่า “นี่ฉันจำเป็นต้องทำสิ่งนี้ก่อนจริงๆ หรือ?” เกือบทุกครั้งคำตอบคือไม่
  8. เช่นคนที่คุณรัก หรือแม้แต่คนที่คุณแทบไม่รู้จักเลย ลองบอกคนรักของคุณว่า “วันนี้คุณดูดีจัง” กล่าวชมทรงผมใหม่ของเพื่อนร่วมงาน หรือบอกพนักงานคิดเงินในร้านค้าว่าคุณชอบต่างหูของเธอ หรือให้มากกว่านั้น คือสรรเสริญแง่มุมที่ดีงามในนิสัยใจคอของผู้คน ลองกล่าวชมใครซักคนอย่างน้อยวันละหนึ่งประโยค แล้วคุณจะพบว่าผู้คนต่างมีเรื่องราวดีๆ มากมายที่ร่วมแบ่งปันให้กับโลกใบนี้
    • มุ่งประเด็นไปที่ข้อดีของผู้อื่นแทนที่จะคอยจับผิดข้อเสียของพวกเขา
  9. หากคุณทำผิด ให้สารภาพและยอมรับว่าคุณผิด แม้ว่าการพูดว่าขอโทษแก่ใครสักคนจะเป็นเรื่องยาก คุณต้องกลืนศักดิ์ศรีที่ค้ำคอลงไปให้ได้แล้วบอกกับอีกฝ่ายว่าคุณเสียใจในสิ่งเลวร้ายที่คุณได้ทำลงไป ในที่สุดแล้วความลำบากใจจะค่อยๆ จางหายไป และแทนที่ด้วยความรู้สึกโล่งอก เพราะคุณรู้ว่าคุณได้ทำสิ่งที่ถูกที่ควร การขอโทษเป็นการแสดงให้คนอื่นเห็นว่าคุณให้ค่าแก่เขาหรือเธอเป็นอย่างมาก และคุณก็ยอมรับว่าคุณผิดพลาดไปแล้วจริงๆ
    • สบตาเมื่อพูดขอโทษ เพื่อเป็นการแสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่าคุณรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ
    • อย่าเป็นคนทำผิดซ้ำซาก การขอโทษไม่ใช่ใบเบิกทางให้ทำผิดซ้ำสอง การทำผิดซ้ำซากเป็นการลดความน่าเชื่อถือในตัวคุณและในคำพูดของคุณด้วย
  10. นี่เป็นอีกวิธีที่จะชื่นชมผู้อื่นและทำให้คุณเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนมากขึ้น ครั้งต่อไปเมื่อคุณเริ่มบทสนทนา ปล่อยให้อีกฝ่ายมีโอกาสได้พูด อย่าพูดแทรก และหมั่นยิงคำถามเพื่อให้อีกฝ่ายได้มีโอกาสพูดและแบ่งปันเรื่องราวมากขึ้น คุณควรทำตัวเป็นฝ่ายสนับสนุนการสนทนา จงปล่อยให้ผู้อื่นได้แสดงออกถึงตัวตนของเขามากกว่าเอาแต่เล่าเรื่องราวของตัวเอง ทำเช่นนี้ให้เป็นนิสัย อย่าทำตัวเหมือนกับว่าคุณสนใจแต่เรื่องของตัวเองเท่านั้น
    • ถามคำถามเพื่อแสดงให้เห็นว่าคุณเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังพูดอะไรอยู่ อย่ารอให้อีกฝ่ายต้องหยุดพูดเพื่อที่คุณจะได้พูดบ้าง จำไว้ว่าถ้าคุณมัวแต่วุ่นวายกับการคิดว่าคุณจะพูดอะไรต่อดี คุณจะไม่รู้เรื่องว่าอีกฝ่ายกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 3:

กลับมาเป็นคนช่างสงสัยอีกครั้ง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เราในฐานะปัจเจกบุคคลรู้เรื่องราวเกี่ยวกับโลกใบนี้เพียงขี้ปะติ๋ว เห็นจากที่คนเรานั้นประหม่ากลัวต่อสรรพสิ่งเกินกว่าที่ควร เด็กมีลักษณะช่างสงสัย และลักษณะดังกล่าวนี้เองที่จุดประกายให้เด็กๆ เกิดความใคร่รู้จนกลายเป็นนักสังเกตชั้นยอด และเป็นผู้เรียนที่มีศักยภาพในการเรียนรู้สูง คุณรู้จริงๆ หรือว่าไมโครเวฟทำงานอย่างไร? คุณประดิษฐ์มันขึ้นมาเองได้ไหมล่ะ? แล้วเรื่องรถของคุณ? คุณเข้าใจสมองของตัวเองหรือเปล่า? หรือแม้แต่ดอกกุหลาบเองก็เถอะ คุณรู้จักมันดีแค่ไหนเชียว
    • คนน่าเบื่อมักกล่าวว่า “ฉันเห็นมาหมดแล้วล่ะ” ทัศนคติทำให้เราสำคัญตัวเองมากกว่าที่เราเป็นจริงๆ ไม่มีใครเห็นทุกสิ่งหรือรู้ทุกอย่าง ความรู้สึกตื่นตาตื่นใจเหมือนเด็กๆ ไม่เพียงจะทำให้คุณอ่อนน้อมถ่อมตนเท่านั้น แต่จะทำให้คุณพร้อมที่จะเรียนรู้มากขึ้นอีกด้วย
  2. จิตใจที่อ่อนโยนเป็นหนทางสู่ความอ่อนน้อมถ่อมตน ใช้ศาสตร์ “ไอคิโดะ” เท่าที่เป็นไปได้เมื่อเผชิญหน้ากับความขัดแย้ง ศาสตร์ไอคิโดะคือการซึมซับพลังเชิงลบจากการโจมตีของอีกฝ่ายแล้วเปลี่ยนมันให้เป็นพลังเชิงบวกด้วยการพยายามเข้าใจว่า ทำไมพวกเขาจึงโกรธเกรี้ยวเช่นนั้น จากนั้นจึงตอบโต้ด้วยความอ่อนโยนและเคารพในที การฝึกตนให้อ่อนโยนจะช่วยให้คุณค้นพบพลังแห่งความสงสัยใคร่รู้อีกครั้ง ในขณะที่คุณมุ่งความสนใจไปที่แง่มุมเชิงบวกของชีวิต
  3. ออกไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ ไปยืนใกล้ๆ ตีนน้ำตก มองโลกจากยอดเขา ปีนเขา ว่ายน้ำในมหาสมุทร มองหาวิธีการอยู่ร่วมกับธรรมชาติในแบบฉบับของตัวเองและใช้เวลากับการซึมซับความสวยงามในแบบที่มันเป็น ปิดตาเพื่อรู้สึกถึงสัมผัสของสายลมอ่อนๆ ที่พัดมากระทบใบหน้าของคุณ คุณจะรู้สึกว่าตัวเองนั้นกระจ้อยร้อยเหลือเกินในธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ซึ่งมีพลังมหาศาลแฝงฝังอยู่อย่างลึกซึ้ง เมื่อคุณเริ่มครุ่นคิดและนอบน้อมให้กับสิ่งต่างๆ ที่ยืนหยัดอยู่มานานกว่าคุณและจะยืนยงต่อไปแม้คุณจะตายจากโลกนี้ไป คุณจะเริ่มตระหนักได้ว่าคุณตัวเล็กแค่ไหนในโลกใบนี้
    • การใช้เวลาอยู่กับธรรมชาติมากขึ้นจะทำให้คุณพบว่าโลกนี้กว้างใหญ่และซับซ้อนแค่ไหน และที่สุดแล้วคุณไม่ใช่ศูนย์กลางของโลกใบนี้
  4. โยคะเป็นศาสตร์ที่ฝึกให้รักและรู้สึกขอบคุณ มันจะช่วยให้คุณสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับลมหายใจและร่างกายของคุณเอง รวมถึงความรักและความเมตตาในโลกที่รายล้อมอยู่รอบๆ ตัวคุณ การเล่นโยคะจะทำให้คุณมองเห็นว่าการใช้เวลาโลดแล่นอยู่บนโลกนี้คืออะไร และยังทำให้คุณชื่นชมชีวิตมากขึ้นกว่าเดิม ฝึกโยคะอย่างน้อยอาทิตย์ละสองครั้งให้เป็นนิสัย เก็บเกี่ยวดอกผลทางอารมณ์ความรู้สึกให้มากพอๆ กับความแข็งแกร่งทางร่างกาย
    • โยคะคือวิถีแห่งการถ่อมตน ไม่มีสิ่งใดจะน่าปลื้มปริ่มเท่าการที่คุณเล่นโยคะท่าใหม่ๆ ได้ มันคือการที่คุณทำทุกอย่างด้วยวิถีของคุณเอง
  5. เด็กมีลักษณะของความช่างสงสัยในแบบที่ยากที่ผู้ใหญ่จะย้อนกลับไปมีเช่นนั้นได้ ใช้เวลาอยู่กับเด็กๆ ให้มากขึ้นเพื่อสังเกตว่าพวกเขาชื่นชมโลกนี้อย่างไร เด็กๆ ตั้งคำถามต่อโลกใบนี้อย่างไม่รู้จบ และพวกเขามักมีความสุขและอิ่มเอมกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ หรือแม้แต่สิ่งที่เป็นธรรมดาพื้นฐานที่สุด สำหรับเด็กๆ แล้ว จะดอกไม้หรือกระดาษชำระก็สามารถเป็นสิ่งที่น่าฉงนสนเท่ห์ได้ทั้งนั้น
    • การใช้เวลากับเด็กๆ มากขึ้นจะทำให้คุณจดจำได้ว่าโลกใบนี้นั้นมหัศจรรย์มากแค่ไหน
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • เรียนรู้ที่จะยอมรับความผิดพลาดและอย่ายอมให้ความทะนงตนทำให้คุณคิดว่าตัวเองถูกเสมอ
  • จดจำให้ขึ้นใจว่าการเป็นความอ่อนน้อมถ่อมตนมีประโยชน์มากมาย ความนอบน้อมจะช่วยให้ชีวิตของคุณมีแก่นสารมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้คุณผ่านพ้นช่วงเวลาที่เลวร้ายทั้งหลาย และยังช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับคนรอบข้างอีกด้วย การเป็นผู้เรียนที่มีประสิทธิภาพก็ถือเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าคุณคิดว่าตัวเองรู้ทุกอย่าง คุณก็จะไม่เปิดใจให้กับการพัฒนาตัวเอง สุดท้ายแล้ว เมื่อคุณคิดว่าคุณเก่งที่สุด คุณก็จะไม่มีแรงกระตุ้นที่จะพัฒนาตัวเองอีกต่อไป เหนือสิ่งอื่นใดแล้ว การอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นหนทางให้คุณซื่อสัตย์ต่อตัวเอง
  • จงรักและเมตตาอยู่เสมอ คุณไม่มีทางรู้ว่าเมื่อไหร่ที่คนต้องการความช่วยเหลือจากคุณ
  • อย่าโอ้อ้วดในสิ่งที่ตนมี จงให้เพื่อรับ
  • ไม่เป็นไรที่คุณจะพูดเกี่ยวกับตัวเองบ้าง แต่ต้องใส่ใจที่จะถามผู้อื่นเกี่ยวกับเรื่องราวของพวกเขาด้วย มันเป็นเรื่องดีที่จะเป็นฝ่ายรับฟังมากกว่าเมื่ออยู่ในบทสนทนา
  • จงเป็นคนใจดีและคิดถึงผู้อื่นอยู่เสมอ ช่วยเหลือพวกเขาและบอกกับพวกเขาว่าคุณอยู่ตรงนี้เพื่อพวกเขาเสมอ
  • ภูมิใจในความสามารถของตัวเอง การอ่อนน้อมถ่อมตนไม่ได้หมายความว่าคุณไม่สามารถภูมิใจในตัวเองได้ การนับถือตัวเองเป็นคนละเรื่องกับความโอหัง ทั้งคู่เกิดจากการตระหนักถึงความสามารถและศักยภาพของตนเอง แต่ความโอหังนั้นมีนัยยะแห่งความเย่อหยิ่ง มันฝังรากลึกอยู่ในความรู้สึกไม่มั่นคงในตัวเอง จงตระหนักและรู้สึกขอบคุณความสามารถที่คุณมี
  • ก่อนที่คุณจะคิดถึงตัวเองให้คิดถึงคนอื่นก่อน ให้คิดว่าคนอื่นต้องการอะไรจากคุณแทนที่จะคิดว่าคุณต้องการอะไรจากคนอื่น
  • อย่าปรารถนาอยากเป็นคนอื่นและอยากได้ในสิ่งที่เขามี พระเจ้าสร้างสรรค์คุณขึ้นมาอย่างประณีตบรรจงที่สุด จงภูมิใจในสิ่งที่คุณมีและสิ่งที่คุณเป็น
  • พอใจในความสามารถและสิ่งที่คุณมีแทนที่จะอยากได้อยากมีอีกเรื่อยๆ บ่อยครั้ง เราเห็นคนที่รวยที่สุดยังคงต้องการบางสิ่งบางอย่างไม่รู้จบ ทั้งเงินทอง ชื่อเสียง ฯลฯ หากคุณพอใจในสิ่งที่คุณมีแล้ว คุณก็จะมีความสุขและเป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตนยิ่งกว่าใครๆ
โฆษณา

คำเตือน

  • อย่าสับสนระหว่างการเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนกับคนขี้ประจบประแจง การประจบประแจงหมายถึงการแสดงความชื่นชมอย่างออกนอกหน้าเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ต่อตัวเอง ผู้คนมักจะสับสนระหว่างสองคำนี้ จริงๆ แล้วทัศนคติของทั้งสองสิ่งนี้ต่างกันโดยสิ้นเชิง
  • แม้ว่าความอ่อมน้อมถ่อมตนจะเป็นสิ่งที่ดี แต่อย่าหมกมุ่นกับมันมากเกินไป มิเช่นนั้นแล้วมันจะกลายเป็นเพียงสิ่งไร้ค่า จำไว้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างควรมีแต่พอดี ความอ่อนน้อมถ่อมตนไม่ใช่อีกร่างของความอ่อนแอ อันที่จริงแล้วความถ่อมตนนั้นแข็งแกร่งพอๆ กับจิตใจที่ดีงาม การยืนหยัดเพื่อตัวเองด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ขอเพียงแค่หมั่นฝึกฝน จงเตรียมตัวให้พร้อมรับการฝึกฝนนี้ และอย่าเพิ่งท้อใจหากไม่สามารถหาจุดพอดีได้ในช่วงแรก
  • การตั้งใจจะเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นคนละอย่างกับการเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนโดยนิสัย บ่อยครั้งคนเราแสร้งทำเป็นนอบน้อมเพื่อให้ได้รับการยกย่องสรรเสริญ ซึ่งคนอื่นก็มองออก และถึงแม้ว่าคุณจะหลอกคนบางคนสำเร็จ คุณก็จะไม่ได้รับประโยชน์อย่างแท้จริงเมื่อเทียบกับการที่คุณพยายามฝึกตัวเองให้เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนอย่างแท้จริง
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 20,971 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา