ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

เคยไหมที่คุณตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกว่าดวงตาหนักอึ้ง? ดวงตาของคุณอ่อนล้าหรือว่าทำงานหนักมากเกินไปใช่ไหม? มีวิธีง่ายๆ บางวิธีที่จะเพิ่มความตื่นตัวและบรรเทาดวงตาที่อ่อนล้า อย่างไรก็ตาม หากคุณมีคำถามหรือคิดว่าอาจจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนการรักษาด้วยยา จงปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพตาหรือผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 5:

บรรเทาความอ่อนล้าของดวงตา

ดาวน์โหลดบทความ
  1. จริงๆ แล้ว การล้างหน้าด้วยน้ำเย็นไม่ได้ปลุกให้คุณตื่นโดยตรง แต่ในทางกลับกัน การทำเช่นนี้ทำให้ในขั้นต้นนั้นหลอดเลือดแดงบนใบหน้าจะรัดหรือหดตัวลง คุณจึงกำลังลดการสูบฉีดโลหิตขึ้นสู่ใบหน้า การขาดเลือดมาหล่อเลี้ยงกระตุ้นให้เกิดการสะท้อนกลับของระบบประสาทที่ตื่นตัวมากขึ้นและต่อสู้เพื่อให้หลุดจากสภาพแวดล้อมนี้
    • การสูบฉีดโลหิตไปยังดวงตาที่ลดลงจะลดการติดเชื้อที่ดวงตา
    • ในตอนที่คุณหลับตาลงในช่วงนี้จะมีการผลิตน้ำตาตามธรรมชาติ เมื่อช่วงเวลาตื่นต้องยืดยาวออกไป ดวงตาก็อาจจะเริ่มแห้งและอ่อนล้า กลยุทธ์ต่างๆ ที่ทำให้คุณหลับตามากขึ้นจะช่วยลดความแห้งและทำให้แผ่นน้ำตา (Tear film) กระจายออกไป
    • ทดสอบอุณหภูมิของน้ำก่อนจะสาดใส่ใบหน้า น้ำสมควรจะเย็นแต่ไม่ได้เป็นน้ำแข็ง
    • สาดน้ำใส่หน้าสามครั้งเป็นอย่างน้อยเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ อย่างไรก็ตาม จงจำใส่ใจว่าการใช้วิธีนี้จะช่วยบรรเทาอาการได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และหากสาดน้ำใส่หน้าน้อยครั้งเกินไปก็อาจไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย
  2. เพิ่มความเข้มข้นของการใช้น้ำเย็นปลุกให้ตื่นตัว ใส่น้ำเย็นลงในชามใบหนึ่ง แล้วจุ่มหน้าลงในชามนาน 30 วินาที สูดหายใจลึกๆ หนึ่งครั้งก่อนจะจุ่มใบหน้าของคุณลงในน้ำ เงยหน้าขึ้นจากน้ำในทันทีที่จำเป็นต้องได้อากาศหายใจ
    • หากรู้สึกเจ็บหรือเกิดอาการอื่นใด จงรีบหยุดใช้วิธีนี้ในทันทีและปรึกษาแพทย์
  3. เพื่อฟื้นคืนความมีชีวิตชีวาให้กับดวงตา เพื่อช่วยบำบัดให้ดวงตาบรรเทาความอ่อนล้าลง การใช้วิธีนี้ยังจะช่วยให้มีโอกาสพักดวงตาโดยหลับตาลงสี่หรือห้านาทีด้วย
    • พับผ้าขนหนูผืนเล็กให้เท่ากับขนาดของแผ่นปิดตาที่ใช้ปิดดวงตาทั้งคู่
    • ราดน้ำเย็นลงบนผ้าขนหนู
    • บิดน้ำออกจากผ้าขนหนูให้หมด
    • นอนสบายๆ บนเตียงหรือโซฟา แล้ววางผ้าขนหนูคลุมดวงตาทั้งคู่
    • ดึงผ้าขนหนูออกหลังจาก 2-7 นาที
    • ทำซ้ำตามที่จำเป็น
  4. 4
    ใช้การประคบเปียกแบบอุ่น. การประคบอุ่นสามารถช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อรอบดวงตา การทำเช่นนี้อาจช่วยฟื้นฟูความรู้สึกอ่อนล้าดังกล่าวได้ คุณทำประคบแบบง่ายๆ ได้โดยใช้ผ้าขนหนูสะอาดๆ สักผืนหนึ่ง หรือกระดาษชำระอเนกประสงค์สะอาดๆ สักแผ่นหนึ่งที่ชุ่มน้ำอุ่น (ไม่ใช่น้ำร้อน) แล้ววางลงเหนือดวงตานานสี่หรือห้านาทีจนกระทั่งรู้สึกดีขึ้น [1]
    • คุณอาจทำประคบร้อนได้เช่นกันโดยใช้ถุงชา จุ่มถุงชาลงในน้ำอุ่น ก่อนจะคั้นน้ำส่วนที่มากเกินไปออกจากถุงชา แล้ววางถุงชาบนดวงตาที่อ่อนล้าของคุณ
  5. มียาหยอดตาหลากหลายประเภทที่อาจจะบรรเทาภาวะที่ดวงตาทำงานหนักเกินไป ซึ่งอาจมีส่วนประกอบของน้ำตาตามธรรมชาติที่ช่วยให้ตาชุ่มชื้นด้วย [2]
    • อาจจำเป็นต้องหยอดยาหยอดตาชนิดนี้บ่อยๆ โดยทำตามคำแนะนำบนบรรจุภัณฑ์เพื่อการใช้งานอย่างถูกต้อง
    • หากคุณมีอาการเรื้อรังที่อาจเป็นสาเหตุของดวงตาที่อ่อนล้า จงแจ้งให้จักษุแพทย์ทราบเพื่อการวินิจฉัยโรคที่ถูกต้องสำหรับอาการของคุณ
  6. ยาหยอดตาชนิดนี้จะขัดขวางการที่ร่างกายจะปล่อยฮีสตามีนเพื่อป้องกันตัวเองตามธรรมชาติจากสารที่ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ คุณสามารถหาซื้อยาต้านฮีสตามีนชนิดหยอดตาได้หลายขนานโดยไม่ต้องใช้ใบสั่งแพทย์
    • ยาต้านฮีสตามีนชนิดหยอดตาอาจทำให้ดวงตา ริมฝีปาก จมูก และลำคอแห้งผาก
    • ทำตามคำแนะนำบนบรรจุภัณฑ์เพื่อการใช้งานอย่างถูกต้อง
  7. ยาหยอดตาบางขนาน เช่น ไวซีน (Visine) ทำให้เส้นเลือดในดวงตาหดตัว ลดอาการตาแดง บางยี่ห้อมีน้ำยาหล่อลื่นด้วยเพื่อช่วยให้ดวงตายังคงชุ่มชื้น [3]
    • ยาหยอดตาเหล่านี้อาจทำให้ดวงตากลับมาแดง. เมื่อฤทธิ์ยาหยอดตาค่อยๆ จางลง หลอดเลือดอาจจะขยายออกมากกว่าที่เคย ทำให้อาการตาแดงเลวร้ายมากขึ้น
    • ทำตามคำแนะนำบนบรรจุภัณฑ์เพื่อการใช้งานอย่างถูกต้อง
  8. สอบถามแพทย์เรื่องยาไซโครสปอรินสำหรับหยอดตา (ยาหยอดตารีสตาซิส). ยาหยอดตารีสตาซิสช่วยรักษาอาการตาแห้งเรื้อรังที่เกิดจากเชื้อโรคที่มีชื่อว่าภาวะตาแห้ง (Keratoconjunctivitis sicca) โดยหยุดปัจจัยด้านภูมิคุ้มกันบางอย่าง จะซื้อยาหยอดยาขนานนี้ได้ต้องมีใบสั่งยาจากแพทย์เท่านั้น คุณจึงต้องปรึกษาแพทย์ว่าเป็นยาที่คุณสมควรใช้หรือไม่ [4]
    • ผลข้างเคียงของยารีสตาซิส ได้แก่ แสบร้อน คัน ตาแดง ตามัว หรือตาไวต่อแสง ยาอาจทำให้บางคนมีอาการภูมิแพ้
    • ปฏิบัติตามคำแนะนำบนบรรจุภัณฑ์เพื่อการใช้งานอย่างถูกต้อง
    • สตรีมีครรภ์ไม่สมควรใช้ยาหยอดตารีสตาซิส [5]
    • ยาหยอดตารีสตาซิสอาจใช้เวลามากถึง 6 สัปดาห์ (หรือนานกว่าในบางกรณี) เพื่อบรรเทาอาการตาแห้งของคุณ [6]
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 5:

เคลื่อนไหวดวงตาและร่างกายของคุณเพื่อให้ตื่นตัว

ดาวน์โหลดบทความ
  1. กล่าวคือในทุกๆ 20 นาที ให้เบนสายตาจากหน้าจอไปมองที่สิ่งใดก็ได้ที่อยู่ห่างออกไป 20 ฟุต เป็นเวลานาน 20 วินาที [7]
    • ตั้งนาฬิกาปลุกเพื่อเตือนให้คุณยืดหยุ่นหรือพักสายตา
  2. การออกกำลังบางอย่างถูกออกแบบมาสำหรับดวงตาโดยเฉพาะ เพื่อช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับตา การออกกำลังกายเช่นนี้อาจช่วยบรรเทาดวงตาที่อ่อนล้าได้ โดยอาจยับยั้งไม่ให้ดวงตาเหนื่อยเร็วเกินไปด้วย วาดภาพนาฬิกาในจินตนาการตรงหน้าคุณ แล้วมองหาจุดศูนย์กลางนาฬิกาด้วยการเหลือบตาขึ้นไปหาเวลา 12:00 น.โดยไม่ขยับศีรษะ หลังจากนั้น ให้ขยับตากลับไปยังจุดศูนย์กลาง ต่อไปคือการขยับดวงตาไปที่ 01:00 น. และถอยหลังไปทางจุดศูนย์กลาง
    • ออกกำลังเช่นนี้ต่อไปอีก 10 ครั้ง
    • การทำเช่นนี้จะช่วยให้ดวงตาที่อ่อนล้าเพ่งได้ดีมากขึ้น และยังเสริมความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อยึดเลนส์ตา (Ciliary eye muscles) ซึ่งจะช่วยในการเพ่งดวงตาของคุณ [8]
  3. ใช้ดวงตาของคุณเขียนตัวอักษรในจินตนาการ (Imaginary letters). วาดตัวอักษรต่างๆ บนกำแพงที่ตั้งอยู่ไกลออกไป และใช้ดวงตาของคุณวาดภาพตัวอักษรโดยไม่ต้องขยับศีรษะ [9]
    • จินตนาการภาพตัวเลขแปดในแนวตั้ง หรือสัญญลักษณ์อนันต์ (Infinity sign) ที่ด้านหน้าของคุณ แล้วไล่ไปตามแนวของเลขแปดโดยใช้เพียงแค่ดวงตา และไม่ขยับศีรษะ [10]
  4. ฝึกตัวเองให้กระพริบตาบ่อยมากขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้ตาแห้ง กระพริบหนึ่งครั้งทุกๆ สี่วินาทีเพื่อกระจายแผ่นน้ำตา และเพื่อป้องกันไม่ให้ดวงตาอ่อนล้า
  5. การนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ หรือจอมอนิเตอร์นานๆ อาจทำกล้ามเนื้อคอและหลังเกร็งได้ ซึ่งหากไม่ได้บำบัด กล้ามเนื้อเหล่านี้อาจเกิดอาการปวดระบมแทรกซ้อนหรือมีอาการคอแข็ง ปวดศีรษะ เพิ่มมาจากอาการตาอ่อนล้า การยืดเหยียดกล้ามเนื้อหรือการนั่งสมาธิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะหลับตา ช่วยลดอาการตาแห้งลงได้โดยหล่อลื่นดวงตาด้วยแผ่นน้ำตาตามธรรมชาติ เทคนิคนี้ยังช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อรอบๆ ดวงตาด้วย
    • การยืดเหยียดกล้ามเนื้อเพิ่มการไหลเวียนโลหิตและออกซิเจนไปยังกล้ามเนื้อดวงตาที่ตึงเครียด ช่วยให้ผ่อนคลาย
    • ร่างกายของคุณจะผ่อนคลายความเครียดได้ด้วย เมื่อจับคู่กับเทคนิคการหายใจในการนั่งสมาธิ [11]
    • การยืดเหยียดกล้ามเนื้อช่วยลดความหงุดหงิดฉุนเฉียว และช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นกับบรรเทาดวงตาที่อ่อนล้า
  6. ออกกำลังกายแบบพอประมาณเพื่อเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ ซึ่งในทางกลับกัน จะเพิ่มการหมุนเวียนออกซิเจนซึ่งสามารถเพิ่มการสูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงดวงตาของคุณ
    • การที่ปริมาณโลหิตที่มาเลี้ยงดวงตาเพิ่มมากขึ้น มีความสำคัญสำหรับการทำงานของกล้ามเนื้อตาและเนื้อเยื่อรอบๆ ดวงตา
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 5:

ทำให้สภาพแวดล้อมสะดวกสบายมากขึ้น

ดาวน์โหลดบทความ
  1. สร้างสภาพแวดล้อมที่สุขสบาย และลดความอ่อนล้าของดวงตาด้วยการลดการเพ่งมองของดวงตาที่ใช้งานมาอย่างหนัก แสงไฟที่แรงเกินหรือสว่างจ้ามากไปทำให้ดวงตาต้องทำงานหนักมากขึ้นเพื่อปรับให้เข้ากัน การเปิดรับแสงมากเกินไปนานๆ กระตุ้นดวงตากับร่างกายมากเกินไป ส่งผลให้หงุดหงิดฉุนเฉียว และเกิดอาการเหนื่อยล้าโดยรวม
  2. เริ่มโดยถอดหลอดฟลูออเรสเซนต์ออก เช่นเดียวกันกับหลอดไฟเสริมต่างๆ ที่ไม่จำเป็นเพื่อให้ได้แสงที่เหมาะสม. เปลี่ยนหลอดไฟเหล่านั้นเป็นหลอดไฟประเภทแสง “อ่อนนุ่ม/อบอุ่น”
  3. ติดตั้งสวิตช์หรี่แสงไฟกับไฟดวงต่างๆ ของคุณ. จะช่วยให้ควบคุมระดับของแสงไฟได้ ซึ่งอาจช่วยบรรเทาอาการต่างๆ ลงได้ . [12]
    • การทำเช่นนี้ยังช่วยให้สมาชิกครอบครัวคนอื่นๆ มีทางเลือกเกี่ยวกับไฟเพิ่มมากขึ้นด้วย
  4. อาจจำเป็นต้องมีการปรับจอมอนิเตอร์หากคุณทำงานเป็นเวลานานๆ เพื่อทำให้ง่ายขึ้นที่จะเพ่งสายตา คุณยังจะทำให้ดวงตาต้องทำงานหนักเกินไปน้อยครั้งลงด้วย
    • ให้แน่ใจว่าจอมอนิเตอร์อยู่ในระยะห่างออกไปมากพอ คือประมาณ 20-40 นิ้วจากดวงตาของคุณ หรืออยู่ในระดับต่ำกว่าดวงตาเล็กน้อย [13]
    • ลดแสงจ้าลงด้วยการปิดม่านบังตา เพราะแสงแดดอาจจะรบกวน
    • ปรับจอมอนิเตอร์เพื่อให้แสงสว่างที่สุดในห้อง ส่องทำมุม 90°กับจอมอนิเตอร์ของคุณ
    • ปรับระดับความสว่างและระดับความคมชัดของจอมอนิเตอร์
  5. ดนตรีโดยรวมมักทำให้คนมีอารมณ์ดีขึ้น ดนตรีหลากหลายรูปแบบสามารถ "ปลุกให้เราตื่น" ด้วยวิธีการของพวกมันเอง [14]
    • ลองใช้เพลงเต้นรำ. เพลงเต้นรำทำให้คุณสามารถจินตนาการตัวเองกำลังเต้นรำและทำให้ตัวคุณสนุกได้ ผลก็คือ คุณอาจขยับตามจังหวะเพลงอย่างไม่รู้ตัว ด้วยการใช้เท้าเคาะพื้น ดีดนิ้ว หรือเต้นไปตามจังหวะ
    • ฟังเพลงที่คุ้นเคย. บรรเทาดวงตาที่เหนื่อยล้าด้วยการหลับตาของคุณลงสี่ห้านาทีและฟังเพลงที่คุ้นเคย การทำเช่นนี้สามารถปลุกความทรงจำที่น่ารื่นรมย์
    • ฟังเพลงจังหวะเร็วๆ สนุกสนาน เพิ่มการตระหนักรู้ทางจิต รวมทั้งเพลงจังหวะเร็วๆ สนุกสนาน พร้อมกับเนื้อร้องที่เป็นแรงบันดาลใจ เพียงทำให้คุณมีความสุขมากขึ้นแบบง่ายๆ
    • เปิดเพลงให้เสียงดังมากขึ้น การเพิ่มระดับเสียงให้สูงขึ้นเล็กน้อยเหนือที่คุณตั้งไว้ตามปกติ อาจกระตุ้นสัมผัสต่างๆ ของคุณให้ตื่นตัว
    โฆษณา
วิธีการ 4
วิธีการ 4 ของ 5:

ปรึกษานักตรวจวัดสายตา (Optometrist) และแพทย์

ดาวน์โหลดบทความ
  1. คอยตรวจดวงตาให้ทันกับสถานการณ์อยู่เสมอโดยไปหานักตรวจวัดสายตา ผู้จะตรวจหาสัญญาณต่างๆ ของโรคตา และโรคภัยอื่นๆ
  2. ให้แน่ใจว่าแว่นตาและคอนแทคเลนส์ที่ใส่ตามใบสั่งแพทย์นั้น ตรงกับระดับสายตาปัจจุบัน. หากมีปัญหาดวงตาอ่อนล้า คุณอาจกำลังทำให้ดวงตาต้องทำงานหนักเกินไปเพราะใช้แว่นตาตามแพทย์สั่งซึ่งไม่ตรงกับขนาดสายตาปัจจุบัน ตรวจสอบกับนักตรวจวัดสายตาเพื่อปรับใบสั่งของแพทย์ให้ทันสมัย
  3. หากหลังจากพยายามใช้หลากหลายวิธีแล้ว คุณยังพบว่าดวงตามีอาการอ่อนล้าอยู่ ให้ไปพบแพทย์ คุณสมควรจัดการแม้กับอาการเฉียบพลันต่างๆ คุณอาจทุกข์ทรมานจากเชื้อโรคที่ซับซ้อนกว่าซึ่งทำให้หนึ่งในอาการป่วยคือดวงตาอ่อนล้า ขอแนะนำอย่างยิ่งให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ขณะที่เงื่อนไขทางการแพทย์ต่างๆ อาจรวมทั้ง:
    • กลุ่มอาการความล้าเรื้อรัง (Chronic Fatigue Syndrome) : อาการนี้ทำให้คนไข้เหนื่อยล้าเป็นนิจสิน ความเหนื่อยล้าอาจทำให้การมองเห็นมีปัญหา ซึ่งอาจเข้าใจผิดว่าเป็นดวงตาอ่อนล้า การเปลี่ยนเลนส์ให้ถูกต้องไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาการมองเห็นที่ผิดปกติไป เช่น สายตาพร่ามัว มีบ่อยครั้งที่มีการทดสอบต่างๆ เกี่ยวกับดวงตาเป็นเรื่องปกติ [15] อาการนี้จำเป็นต้องได้รับการดูแลทางการแพทย์ [16]
    • อาการทางตาจากโรคไทรอยด์ (Thyroid eye diseases) : อาจทำให้เกิดปัญหาต่างๆ กับดวงตาที่รู้สึกเหมือนกับดวงตาอ่อนล้า อาการนี้รวมทั้งปัญหาบางประการเกี่ยวกับโรคไทรอยด์ เช่น โรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษชนิดเกรฟส์ (Graves disease) ซึ่งร่างกายโจมตีเนื้อเยื่อของต่อมไทรอยด์กับเนื้อเยื่อดวงตาของตัวเอง ส่งผลให้ดวงตาบวม [17]
    • สายตาเอียง (Astigmatism): อาการนี้คือ กระจกตาโค้งผิดปกติทำให้การมองเห็นพร่ามัว [18]
    • อาการตาแห้งเรื้อรัง: อาการตาแห้งเรื้อรังอาจเกิดจากปัญหาอย่างเป็นระบบ เช่น เบาหวาน หรืออาการของโรคปากแห้งตาแห้ง (Sjogren's syndrome) ความผิดปกติของภูมิคุ้มกันที่ทำให้ดวงตาและปากแห้ง [19] [20]
    โฆษณา
วิธีการ 5
วิธีการ 5 ของ 5:

ปรับเปลี่ยนอาหารของคุณ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. กินผลไม้ตระกูลมะนาวและส้มให้มากขึ้น รสเปรี้ยวกระตุ้นสัมผัสและกล้ามเนื้อใบหน้าบริเวณรอบๆ ดวงตาของคุณ วิตามินซีในผลไม้เหล่านี้ให้สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ซึ่งช่วยป้องกันโรคต่างๆ ที่ทำให้อ่อนเพลีย
    • มะนาวกับส้มสามารถช่วยป้องกันโรคเกี่ยวกับดวงตาที่เกิดจากวัย เช่น โรคจอประสาทตาเสื่อม (Macular Degeneration) และโรคต้อกระจก (Cataracts) ได้เช่นกัน
  2. 2
    กินวิตามินเอเพิ่มมากขึ้น. [21] วิตามินเอเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของการมองเห็นของคุณ [22] แหล่งที่ดีของวิตามินเอ ได้แก่ ตับ น้ำมันปลา นม ไข่ และผักใบเขียว [23]
  3. นอกเหนือจากวิตามินเอ ผักใบเขียว เช่น ผักเคลหรือคะน้าใบหยิก และผักปวยเล้ง (Spinach) มีสารลูทีน (Lutein) และสารซีแทนทิน (Zeaxanthin) ซึ่งช่วยกรองแสงที่เป็นอันตราย ผักเหล่านี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) กับวิตามินบี 12 ซึ่งช่วยเรื่องการผลิตเม็ดเลือด การบริโภคผักใบเขียวเพิ่มมากขึ้นจะเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย ซึ่งจำเป็นสำหรับใช้ต่อสู้กับความเมื่อยล้าของดวงตา
    • ผักคะน้าใบหยิกและปวยเล้งสามารถช่วยป้องกันโรคต้อกระจกได้
  4. ปลาแซลมอน ปลาทูน่า และปลาชนิดอื่นๆ มีกรดไขมันโอเมกา 3 ซึ่งสามารถป้องกันโรคตาได้ แถมยังสามารถป้องกันผลกระทบจากความเสียหายต่อดวงตาที่เกี่ยวข้องกับวัยได้ด้วย
  5. ธาตุสังกะสีสามารถช่วยปกป้องผลกระทบที่สร้างความเสียหายจากแสงจ้า เพิ่มปริมาณธาตุสังกะสีของคุณโดยกินพืชพวกที่มีฝัก ผลิตภัณฑ์จากนม เนื้อวัวและเนื้อไก่เพิ่มมากขึ้น
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • บางคนมีความเสี่ยงมากกว่าคนอื่นที่ดวงตาจะแห้งและอ่อนล้า คุณมีความน่าจะเป็นเพิ่มมากขึ้นที่จะมีอาการป่วยต่างๆ หากว่าคุณสูงวัย เป็นเพศหญิง และอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสัมพัทธ์ต่ำ ใส่คอนแทคเลนส์ กินยาบางขนาน มีปัญหาการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน หรือมีปัญหาเรื่องขาดอาหาร


โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 4,799 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา