ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

ในโลกยุคใหม่ ผู้คนต่างหลงใหลในรูปลักษณ์ภายนอก ตั้งแต่เราเป็นทารกน้อย สังคมก็เริ่มส่งสารว่าการเป็นที่ชื่นชอบและคุณค่าของคนๆ หนึ่งมีความเชื่อมโยงกับรูปแบบที่ร่างกายของคนเราถูกประกอบสร้าง แม้ว่าการล้มล้างสารของสังคมอาจเป็นความท้าทายที่เราต้องเผชิญไปทั้งชีวิต หากแต่การเรียนรู้ที่จะพอใจในรูปร่างก็นับเป็นหนึ่งก้าวสำคัญในการสานสัมพันธ์อันดีกับตัวคุณเองและโลกทั้งใบ

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 3:

เขียนเรื่องเล่าในรูปโฉมใหม่

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การหยิบยกส่วนต่างๆ บนร่างกายของคุณเองขึ้นมาวิจารณ์อาจเป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย เพราะไม่ว่าคุณจะสวยหล่อแค่ไหน ทุกคนก็ล้วนมีบางอย่างในร่างกายที่เราไม่ชอบด้วยกันทั้งนั้น แต่แทนที่จะจับจ้องแต่ข้อเสีย เรามาท้าทายตัวเองด้วยการค้นหาข้อดีบนร่างกายกันดีกว่า
    • คุณอาจจะได้คางสวยๆ มาจากพ่อ มีแขนที่แข็งแรง หรือมีสายตาดีเลิศ สิ่งที่ดีที่สุดในตัวคุณอาจไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นจะสังเกตเห็น แต่มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้คุณเป็นคุณอย่างทุกวันนี้
    • คนเราชอบทำตัวเป็นนักวิจารณ์สุดโหด พ่นคำวิจารณ์ร้ายๆ แถมยังไร้เหตุผลใส่ตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรูปร่าง หน้าตา หรือความสามารถ อย่าปล่อยให้ตัวคุณพูดกับตัวเองในสิ่งที่คุณไม่มีวันพูดใส่เพื่อนเป็นอันขาด
  2. เขียนถ้อยคำยืนยันเกี่ยวกับข้อดีบนร่างกายคุณ. ถ้อยคำยืนยันนี้ควรเป็นข้อความสั้นๆ ที่คุณสามารถบอกกับตัวเองซ้ำๆ ได้ (พูดออกมาดังๆ หรือแค่ในหัว) ทุกครั้งที่คุณเกิดสงสัยในตัวเอง โดยถ้อยคำเหล่านี้ควรจะมีแต่คำเชิงบวกและสั้นกระชับ [1]
    • ลองยืนหน้ากระจกความยาวเท่าตัวโดยไม่สวมเสื้อผ้าสักชิ้น แล้วจดสิ่งต่างๆ ทั้งหมดที่คุณชอบบนร่างกายของคุณลงไป พร้อมทั้งเขียนประโยคอธิบายให้ชัดเจน
    • เมื่อพอใจกับถ้อยคำยืนยันถึงส่วนต่างๆ ที่คุณชอบแล้ว ให้จดรายชื่อส่วนต่างๆ บนร่างกายที่คุณชอบน้อยที่สุด โดยการเขียนว่า “_____ ของฉัน” เช่น ถ้าคุณไม่ชอบผิวหนังย้อยๆ บนแขนท่อนบน ก็อาจจะเขียนลงไปว่า “แขนของฉัน” จากนั้นให้มองหาสิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกขอบคุณอย่างน้อย 1 อย่างเกี่ยวกับอวัยวะที่หยิบยกมา และเขียนลงไปด้านข้างอวัยวะนั้นเพื่อสร้างข้อความยืนยันเชิงบวก เช่น คุณอาจจะเขียนว่า “แขนของฉันแข็งแรง แถมยังทำงานหนักเพื่อฉันมาตลอด” หรืออาจจะเขียนว่า “หน้าท้องของฉันได้มอบชีวิตและเป็นพื้นที่อุ่นๆ ให้ลูกๆ ได้โอบกอด”
  3. เมื่อพูดถึงความมั่นใจ หลายๆ คนมักพบว่านี่เป็นหนึ่งในความท้าทายที่เราต้องเผชิญไปตลอดชีวิต และไม่ใช่สิ่งที่สร้างได้ในชั่วข้ามคืน แต่รู้หรือไม่ว่า การเสแสร้งแกล้งแสดงว่าเรามีความมั่นใจ แม้ว่าความจริงเราก็ยังสงสัยในตัวเอง อาจทำให้เราเก็บเกี่ยวความมั่นใจจริงๆ เป็นของรางวัลติดมือมาได้บ้าง
    • ลองใช้เวลาเปลือยกายปล่อยใจในบ้านเพื่อปรับความสัมพันธ์ของคุณกับร่างกายให้เป็นปกติ เมื่อรู้สึกว่าทำได้แล้ว อาจจะลองขยับไปถ่ายแบบนู้ดเพื่อยกระดับความมั่นใจขึ้นไปอีกขั้น และเพื่อให้คุณรู้สึกดีกับผิวพรรณของตัวเองมากยิ่งขึ้น
    • แต่งตัวแต่งหน้าในแบบที่คิดว่าฉันจะทำถ้ามีความมั่นใจมากกว่านี้ จากนั้นลองฝึก การจัดวางบุคลิกท่าทาง ให้อกผายไหล่ผึ่งและเชิดหน้าเข้าไว้ พูดเสียงดังฟังชัดและสบตาผู้คน สิ่งเหล่านี้จะทำให้คนรอบตัวมองว่าคุณเป็นคนสบายๆ และมีความมั่นใจ และพวกเขาก็จะปฏิบัติต่อคุณเหมือนคุณเป็นคนมั่นใจในตัวเอง
    • คุณเองก็จะเริ่มเชื่อในสิ่งนี้ กระบวนการเปลี่ยนแปลงภาพที่คุณมองตัวเองอาจต้องใช้เวลาสักระยะ แต่ถ้าคุณทำตัวเหมือนคนมีความมั่นใจ และคนอื่นๆ ก็ปฏิบัติกับคุณเหมือนคุณมีความมั่นใจ บวกกับความสม่ำเสมอและใจเย็นอีกสักนิด ในท้ายที่สุด คุณจะพบว่าตัวเองไม่ได้แค่เสแสร้งแกล้งทำอีกต่อไป แต่ทุกอย่างจะเป็นไปโดยธรรมชาติ
  4. หยุดเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น. การเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น โดยเฉพาะเหล่าดาราคนดัง อาจกลายเป็นบ่อนทำลายความมั่นใจและความนับถือในตัวเอง เพราะไม่ว่าอย่างไร ก็ต้องมีใครสักคนที่มีคุณสมบัติบางอย่างที่คุณไม่มี และการเปรียบเทียบก็ไม่ได้ช่วยเปลี่ยนแปลงสิ่งใด รังแต่จะทำให้คุณสูญเสียพลังงานทางอารมณ์ สิ้นเปลืองเวลา และทำให้คุณตกไปอยู่ในที่นั่งซึ่งทำให้จิตใจอ่อนไหวง่าย
    • แท้จริงแล้ว การเปรียบเทียบเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการตัดสินคน แทนที่เราจะตัดสินผู้คนจากรูปลักษณ์ภายนอก ลองหันมามองพวกเขาแบบองค์รวม ลองคิดถึงเรื่องดีๆ เกี่ยวกับลักษณะนิสัยของเขา แทนที่จะตัดสินเขาจากภายนอกเท่านั้น
  5. ทุกวันนี้ ทัศนคติเกี่ยวกับรูปร่างถูกสร้างขึ้นในตัวเด็กเร็วขึ้นและเร็วขึ้นเรื่อยๆ ตามการเสพสื่อและกระบวนการเรียนรู้ทางสังคม เช่น ที่สถานรับเลี้ยงเด็ก เพื่อปกป้องไม่ให้ลูกของคุณมีความคิดแง่ลบต่อรูปร่างของตัวเองเมื่อเขาเติบโตขึ้นไป คุณจะต้องเริ่มสอนเขาเสียแต่เนิ่นๆ [2]
    • จำกัดเวลาการดูทีวี และคอยชี้แนะให้ลูกเห็นว่าเราไม่ควรให้ความสำคัญแต่เพียงลักษณะภายนอกตามอุดมคติชายหญิง แต่ควรหันมาใส่ใจขนาดตัวตลอดจนลักษณะนิสัยที่ส่งผลดีต่อสุขภาพ โดยไม่เชื่อมโยงเข้ากับเรื่องทางเพศมากเกินไป และไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องรูปลักษณ์เป็นหลัก [3]
    • พูดถึงรูปร่างในแง่บวกเมื่ออยู่ต่อหน้าลูกๆ อย่าวิจารณ์เรื่องรูปร่างต่อหน้าลูกๆ (ไม่ว่าจะเป็นของลูก ของคุณ หรือคนอื่นๆ) แม้ว่าคุณจะไดเอทหรือออกกำลังกาย ก็ต้องอธิบายให้พวกเขาฟังว่านี่เป็นสิ่งที่คุณเลือกทำเพื่อเสริมสร้างสุขภาพและความกระฉับกระเฉง ไม่ได้เป็นเพียงวิธีการควบคุมรูปร่างหรือแก้ไขจุดที่คุณไม่ชอบบนร่างกาย เพราะงานวิจัยชี้ให้เห็นแล้วว่า พฤติกรรมการไดเอทของผู้หญิงมีความเชื่อมโยงกับแนวโน้มที่ลูกสาวจะมีความผิดปกติทางการกินและไม่พอใจในรูปร่างของตัวเอง [4]
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 3:

ปรับจุดสนใจเสียใหม่

ดาวน์โหลดบทความ
  1. งามทั้งภายนอกและภายใน. แทนที่จะหมกมุ่นแต่รูปลักษณ์ภายนอก ลองหันมามุ่งมั่นบ่มเพาะความงามภายในกันดีกว่า เพราะความงามที่แท้จริงจากข้างในไม่มีวันเหี่ยวย่นหย่อนคล้อย ไม่เคยตกยุคตกสมัย และจะเป็นที่จดจำไปอีกนานแสนนานหลังจากคุณจากไป
    • ลองคิดถึงสิ่งที่คุณมองเห็นคุณค่าในตัวเพื่อน และสร้างคุณลักษณะเหล่านั้นขึ้นมาในตัวคุณเอง เช่น ถ้าคุณพยายามเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนน่าเชื่อถือ จริงใจ พึ่งพาได้ ซื่อสัตย์ เป็นผู้ฟังที่ดี และเป็นคนร่าเริง นอกจากคุณจะสร้างความงามจากภายในได้แล้ว คุณยังสามารถดึงดูดผู้คนที่คล้ายๆ กันให้เข้ามาเป็นเพื่อนได้อีกด้วย [5]
    • ลองให้อย่างใจกว้าง เวลาและทรัพย์สินที่คุณมีเป็นสิ่งมีค่า และการให้ก็ดีต่อใจทั้งต่อคุณและผู้ที่ได้รับน้ำใจจากคุณ [6] ลองคิดถึงการทำงานอาสา การอุปถัมภ์เด็กยากไร้ หรือการบริจาคของเล่นและเสื้อผ้าที่ใช้แล้ว เริ่มต้นรวบรวมสิ่งของให้กับธนาคารอาหารชุมชนหรือสถานสงเคราะห์เด็กอ่อนในจังหวัดของคุณ หรือโทรติดต่อโรงพยาบาลใกล้บ้านเพื่อสอบถามวิธีการเป็นอาสาสมัครในห้องเด็กอ่อนหรือหอผู้ป่วยสูงอายุ
  2. การหมกหมุ่นกับรูปร่างหน้าตาอาจแสดงให้เห็นว่าคุณมีเวลาว่างมากเกินไป และยังอาจแสดงให้เห็นว่า เพื่อนรอบๆ ตัวคุณตอนนี้ก็หมกมุ่นกับรูปลักษณ์ของตัวเองไม่แพ้กัน และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่อาจทำให้คุณไม่ชอบตัวเอง
    • ลองคิดถึงกีฬา งานศิลปะ หรือกิจกรรมทางสังคมที่อยากลองมีส่วนร่วมมานานแล้ว โดยอาจจะเป็นการเข้าร่วมทีมกีฬาในสถาบันใกล้บ้าน เข้าคอร์สถักนิตติ้ง หรือเป็นอาสาสมัครให้กับแคมเปญการเมืองหรือสถานสงเคราะห์สัตว์
    • อีกหนึ่งโบนัสของการค้นหางานอดิเรกหรือกิจกรรมยามว่างใหม่ๆ คือ คุณจะมีโอกาสได้พบเจอคนใหม่ๆ ที่สนใจเรื่องเดียวกัน และเขาคนนั้นก็อาจช่วยเบี่ยงเบนความสนใจของคุณจากเรื่องรูปร่างหน้าตามาอยู่ที่งานอดิเรกที่พวกคุณมีร่วมกันได้
  3. ลองพิจารณาว่ามีอะไรที่คุณสามารถเปลี่ยนแปลงได้บ้าง. หลายๆ สิ่งบนร่างกายเป็นสิ่งที่มาจากพันธุกรรม ซึ่งควรเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ เพราะมันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่ทำให้คุณเป็นคุณ ในขณะเดียวกัน ถ้าคุณสามารถควบคุมในสิ่งที่คุณสามารถเปลี่ยนแปลงได้ มันจะทำให้คุณเกิดความมั่นใจและรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ควบคุมโชคชะตา
    • ออกกำลังกาย แม้ร่างกายของคุณจะมีรูปทรงแตกต่างจากคนอื่น แต่คุณก็สามารถปรับแต่งและเสริมสร้างความแข็งแรงเพื่อให้มีสุขภาพดีและมีพลังงานเต็มเปี่ยม แม้สุดท้ายมันอาจจะไม่ทำให้น้ำหนักลด แต่การออกกำลังกายก็ยังส่งผลดีต่อสุขภาพจิต ช่วยลดความเครียด สร้างการมีวินัยในตนเอง แถมยังทำให้คุณมองตัวเองในแง่ดีขึ้น [7]
    • กินอาหารที่มีประโยชน์ การกินอาหารอย่างสมดุลจะช่วยเสริมสร้างสุขภาพและความฟิตของร่างกาย ซึ่งช่วยเติมพลังและความมั่นใจให้แก่คุณได้ในที่สุด ในขณะที่การลดปริมาณน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรต ควบคู่ไปกับการกินโปรตีนและไขมันดีในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยลดอาการซึมเศร้าและความวิตกกังวล อีกทั้งยังช่วยเรื่องความจำ น้ำหนัก และสุขภาพหัวใจ [8]
    • พักผ่อนให้เพียงพอ เพราะนอกจากจะทำให้ร่างกายทำงานได้ดียิ่งขึ้นแล้ว มันยังช่วยยกระดับสภาวะทางอารมณ์ ซึ่งอาจมีผลพลอยได้ทำให้คุณคอยจับผิดรูปร่างหน้าตาของตัวเองน้อยลงได้
    • จงเคารพตัวเอง ร่างกายของคุณถือเป็นของขวัญชิ้นหนึ่ง ลองคิดถึงสิ่งที่เขาทำให้คุณสิ ไม่ว่าคุณจะเคยผ่านการคลอด เคยไปปีนเขา หรือเมื่อคุณตื่นเช้าขึ้นมารับวันใหม่ ร่างกายก็ยังทำสิ่งดีๆ มากมายให้แก่คุณ
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 3:

ค้นหาที่มาของความรู้สึกไม่พอใจ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ตั้งคำถามกับความหมกมุ่นเรื่องรูปร่างหน้าตาของคนในสังคม. ถ้าอยากเรียนรู้ที่จะยอมรับในรูปร่างของคุณเอง คุณจะต้องตระหนักให้ได้ก่อนว่า ความรู้สึกไม่พอใจนั้นมีที่มาจากไหน เพราะความรู้สึกไม่พอใจไม่ได้เกิดขึ้นเองในหัวของคุณ แต่เป็นผลมาจากข้อความที่คุณได้รับตั้งแต่ในวัยเด็กและมีอยู่ทั่วทุกแห่งในสังคม
    • คนเราไม่ได้เกิดมาหมกมุ่นกับเรื่องรูปร่างเอง คุณจะเห็นว่าเด็กตัวเล็กๆ มักไม่ค่อยกังวลกับรูปร่างหน้าตาของตัวเอง เว้นแต่สื่อ ผู้ใหญ่ หรือเด็กคนอื่นๆ จะชี้เป้าให้เขาสนใจ
    • แต่เมื่อย่างเข้าวัย 5 ขวบ สังคมก็สอนให้เราเชื่อว่ารูปลักษณ์เป็นสิ่งสะท้อนถึงคุณค่าในตัวเรา เด็กหลายๆ คนจึงเริ่มแสดงให้เห็นสัญญาณของความไม่พอใจในรูปร่าง [9] หากแต่ข้อความทางสังคมเหล่านี้มีที่มาจากไหน?
  2. รู้เท่าทันว่าสารจากสื่อถูกสร้างขึ้นเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง. กลไกของระบบทุนนิยมทำงานด้วยการทำให้เราเชื่อว่าเรามีความจำเป็น ซึ่งสามารถเติมเต็มได้ผ่านการซื้อสินค้าและบริการต่างๆ
    • ลองคิดถึงผลิตภัณฑ์ทั้งหมดที่โฆษณาในทีวี วิทยุ อินเทอร์เน็ต หรือสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ นำเสนอให้แก่คุณในแต่ละวันสิ คุณตัวเหม็น! ซื้อผลิตภัณฑ์กำจัดกลิ่นตัวยี่ห้อนี้สิ กางเกงยีนส์ของคุณมันเชยแล้ว! ซื้อยีนส์สกินนี่ตัวใหม่ดีกว่า คุณมีฟันเก! ใช้เงินสักหมื่นไปหาหมอจัดฟันดูไหม คุณจะเห็นว่าสารหลักที่โฆษณาสินค้าและบริการเกือบทุกชนิดพยายามสื่อ คือ ตัวคุณขาดอะไรบางอย่าง เพราะคนที่พอใจกับรูปร่างตัวเองอยู่แล้วคงไม่ใช่ลูกค้าที่ดีเท่าไร
    • ความจริงก็คือ สื่อทั้งหมดกำลังพยายามขายภาพให้แก่คุณ ว่าเหล่าดารานางแบบต่างเกิดมาสวย ทรงเสน่ห์ และผอมเพรียวอย่างที่เราเห็นโดยธรรมชาติ ทั้งที่ความจริง รูปลักษณ์ที่ผ่านการเติมแต่งของพวกเธอล้วนฉาบไปด้วยแรงกายนับชั่วโมงไม่ถ้วนที่ต้องลงทุนเพื่อสร้างเรือนร่างอัน “สมบูรณ์แบบ” ไม่ว่าจะเป็นเวลาหลายชั่วโมงที่ต้องไปฟิตเนสทุกวัน หรือการใช้ทีมช่างแต่งหน้าเพื่อรักษาภาพลักษณ์ให้สมบูรณ์แบบอยู่เสมอ การเปรียบเทียบตัวเองกับมาตรฐานความงามที่ไม่มีอยู่จริงนี้จึงมีแต่จะทำให้คุณไม่พอใจตัวเอง เว้นแต่คุณจะมีเงินทองมหาศาลและเวลาว่างไม่จำกัด
    • วัฒนธรรมของเหล่าดาราคนดังมีอิทธิพลอย่างมากต่อการรักษาวัฒนธรรมของผู้บริโภค ลองคิดถึงวิธีการที่บทความในนิตยสารและอินเทอร์เน็ตใช้เพื่อกระตุ้นให้คุณ “ไขว่คว้ารูปลักษณ์อย่างดารา” ด้วยการซื้อผลิตภัณฑ์แต่งหน้าหรือเสื้อผ้านั้นๆ หรือด้วยการปรับเปลี่ยนกิจวัตรการออกกำลังกาย
  3. แม้อิทธิพลจากสื่อและสังคมโดยรวมจะมีผลต่อภาพที่คุณมองตัวเองจริง แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือการนำตัวเองไปอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนคิดบวก คนที่จะไม่ทำให้คุณรู้สึกอึดอัดกับรูปร่างของตัวเอง
    • ลองคิดถึงคนในชีวิตที่คุณให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของเขามากที่สุด คนเหล่านี้เอาแต่พูดเรื่องรูปร่างหน้าตาของตัวเอง กังวลเรื่องน้ำหนัก หรือเปลี่ยนทรงผม/เครื่องสำอางอยู่ตลอดเวลาหรือเปล่า การอยู่กับพวกเขาทำให้คุณรู้สึกสบายใจและมั่นใจในตัวเอง หรือทำให้คุณรู้สึกว่าตัวเองขาดอะไรบางอย่าง
    • ในกรณีที่คุณมีคนรัก คนรักของคุณล่ะเป็นอย่างไร เขาหรือเธอมักจะวิจารณ์รูปร่างหน้าตาของคุณ หรือคอยให้กำลังใจและชมคุณอยู่เสมอ เพราะคำวิจารณ์จากคนที่คุณแคร์อาจทำให้การสร้างความมั่นใจเป็นไปได้ยาก อีกทั้งยังเป็นสัญญาณเตือนว่าความสัมพันธ์นั้นอาจกำลังทำร้ายจิตใจของคุณ การตัดความสัมพันธ์อาบยาพิษออกไปจากชีวิตจึงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่น่าคิด หรืออย่างน้อยๆ ก็ควรหาคำปรึกษาว่าความสัมพันธ์นั้นควรค่าแก่การกอบกู้คืนมาหรือเปล่า
    • ถ้ามีเพื่อนสนิทที่คิดว่าเขามีอิทธิพลเชิงบวกต่อชีวิตล่ะก็ ลองขอให้เขาช่วยเสริมความมั่นใจให้กับคุณด้วยการไม่พุ่งเป้าไปที่ข้อด้อยของคุณ (หรือของพวกเขา) และช่วยกันย้ำเตือนถึงจุดที่คิดว่านี่ล่ะคือสิ่งที่มีค่าที่สุดในตัวคุณ และจำไว้ด้วยว่า สิ่งที่มีค่าที่สุดไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องรูปร่างหน้าตาเสมอไป!
  4. แม้สังคมจะอยากให้เราโฟกัสแต่เรื่องรูปร่างราวกับนี่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต แต่ความจริงก็คือ ในท้ายที่สุด ร่างกายของเราทุกคนก็ต้องแก่เฒ่าและโรยราไป แต่สำหรับตอนนี้ เขากำลังทำหน้าที่ตามวัตถุประสงค์เพื่อช่วยให้เราทำตามเป้าหมายในชีวิตได้สำเร็จ
    • อะไรคือสิ่งที่คุณอยากทำให้สำเร็จในชีวิตนี้ และร่างกายจะช่วยให้คุณไปถึงเป้าหมายนี้ได้อย่างไรบ้าง
    โฆษณา

คำเตือน

  • ในกรณีร้ายแรง ความรู้สึกไม่ชอบรูปร่างของตัวเองในระดับรุนแรงอาจเป็นสัญญาณของภาวะทางจิตที่เรียกว่า Body Dysmorphic Disorder หรือโรคคิดว่าตนเองมีรูปร่างหรืออวัยวะผิดปกติ เพราะฉะนั้น ถ้าคุณหมกมุ่นอยู่แต่กับสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ หรือพบว่ามันคอยตามรังควานชีวิต ขอให้รีบเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ด้านจิตเวช เนื่องจากมีแผนการรักษาที่สามารถช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของคุณได้ [10]
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 2,962 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา