PDF download ดาวน์โหลดบทความ PDF download ดาวน์โหลดบทความ

บางครั้งเราก็อดไม่ได้ที่จะใช้ชีวิตอยู่แต่ในกรอบ ทำแต่เรื่องเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า กังวลว่าคนอื่นจะคิดกับเราและการกระทำของเราอย่างไร ถ้าคุณอยากใช้ชีวิตนอกกรอบที่สังคมกำหนดและเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า ก็ไปดูรายละเอียดของขั้นตอนที่ 1 กันเลย

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

กังวลให้น้อยลง

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. ให้คุณค่ากับสิ่งที่คนอื่นคิดเกี่ยวกับคุณให้น้อยลง. คนอื่นอยู่เหนือการควบคุมของคุณ และถ้าคุณไม่สามารถหยุดความกังวลเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของตัวเองได้ คุณจะไม่มีวันมีชีวิตที่เป็นอิสระเลย คุณไม่สามารถเอาใจใครได้ทุกคน เพราะฉะนั้นถ้าคุณคิดว่าคุณทำให้ทุกคนพอใจได้ คุณจะลงเอยด้วยรู้สึกโดดเดี่ยวและผิดหวัง
    • อย่าปล่อยให้ความคิดเห็นของคนอื่นกลายเป็นแม่พิมพ์ที่คุณใช้สร้างตัวตนของตัวเอง เมื่อไหร่ที่คุณถึงจุดที่บอกตัวเองและคนอื่นๆ ว่า คุณแค่กำลังพยายามทำในสิ่งที่ทุกคนต้องการ เมื่อนั้นคือคุณถึงจุดที่ตัวเองไม่สามารถเป็นอิสระได้แล้ว
    • อยู่ให้ห่างจากคนที่ "เป็นพิษ" ต่อชีวิตของคุณ คนพวกนี้คือคนที่พยายามดึงคุณให้ลงต่ำด้วยการบีบบังคับ การมองโลกในแง่ร้าย และการควบคุมด้วยวิธีการอื่นๆ คงดีกว่าถ้าหากคุณเรียนรู้วิธีที่จะปลดปล่อยตัวเองจากคนพวกนี้ด้วยการศึกษาเทคนิคการสื่อสารที่ไม่ใช้ความรุนแรง และยืนหยัดปกป้องตัวเองด้วยการตอบโต้ให้น้อยลงแต่แสดงออกในด้านบวกให้มากขึ้นและเป็นตัวของตัวเองให้มากกว่าเก่า คุณมีพลังที่จะปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากคนพวกนี้ รวมถึงจากความมุ่งร้ายจากพวกเขาด้วย เพื่อนที่ดีจะช่วยคุณหาสมดุลของคุณจนเจอ
  2. ใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระด้วยการสนใจในสิ่งที่คุณทำได้มากกว่าสิ่งที่คุณทำไม่ได้ เปลี่ยนความสนใจไปหาสิ่งที่คุณสามารถทำได้เพื่อให้สิ่งต่างๆ ดีขึ้นสำหรับตัวคุณเองและผู้อื่น การทำเช่นนี้จะทำให้คุณมีอิสระที่จะใช้ชีวิตในแบบที่คุณต้องการได้มากยิ่งขึ้น
    • นึกถึงความสำเร็จของตัวเองแทนการนึกถึงความล้มเหลว ถ้าเรื่องงานหรือเรื่องเรียนไม่ดีเท่าที่มันควรจะเป็น ให้นึกถึงครอบครัว ความสัมพันธ์ หรือนึกถึงว่าตัวเองเจ๋งแค่ไหนที่สามารถชู้ตลูกสามแต้มได้ นึกถึงแต่เรื่องดีๆ เข้าไว้
    • ระวังภาษาของตัวเอง หลีกเลี่ยงการใช้คำพูดที่เป็นลบ เช่น "ฉันทำไม่ได้" ภาษามีพลังมากทั้งในแง่ของการโน้มน้าวใจตัวเองและโน้มน้าวใจผู้อื่น การเปลี่ยนคำพูดที่เป็นลบเหล่านี้ไปเป็นคำพูดที่แสดงถึงสิ่งที่คุณสามารถทำได้จะปลดปล่อยคุณจากการไม่ทำอะไรเลยและการผัดวันประกันพรุ่ง ให้พูดว่า "ฉันต้องทำอันนี้" แทน
  3. คำโกหกสร้างโซ่ตรวนแห่งการหลอกลวงที่พันธนาการคุณไว้ไม่ให้มีอิสระ เรียนรู้ว่าอะไรคือคำโกหกที่คุณใช้หลอกตัวเองและผู้อื่น การเป็นคนจริงใจและซื่อสัตย์จะทำให้คุณเชื่อมโยงกับคนที่คุณไว้ใจได้มากขึ้น เพราะพวกเขาเข้าใจความเปราะบางของคุณดี
    • คำโกหกคือรูปแบบการตอบโต้เชิงป้องกันตัวรูปแบบหนึ่ง สำหรับเราหลายคนมันเป็นเรื่องปกติที่จะรู้สึกว่าเราต้องป้องกันตัวเองในสถานการณ์ที่มีความขัดแย้งเกิดขึ้น
    • การโกหกในระหว่างที่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นอาจจะฟังดูเป็นวิธีการป้องกันตัวที่ดีที่จะทำให้อีกคนยอมปล่อยคุณไป แต่มันกลับยิ่งผูกมัดคุณกับอีกคนให้แน่นขึ้นกว่าเดิมเพราะคุณไม่ได้ทำอะไรให้มันชัดเจน และเป็นการเลือกที่จะวิ่งหนีความต้องการที่แท้จริงของคุณมากกว่าจะยืนหยัดปกป้องตัวเอง
    • การตอบโต้ด้วยเมตตาจะช่วยให้คุณได้อิสระกลับคืนมาในความสัมพันธ์ เพราะคุณได้เรียนรู้ที่จะตระหนักถึงความเจ็บปวด ความเสียใจ และอารมณ์ด้านลบของคนอื่นโดยไม่ทำให้ความขัดแย้งเพิ่มมากขึ้น และยังทำให้อีกฝ่ายเห็นได้ชัดว่า คุณมีอำนาจที่จะตัดสินใจและเลือกสิ่งต่างๆ ด้วยตัวคุณเอง
  4. ยอมรับสถานภาพทางการเงิน (และทำใจหากไม่มีมัน). หลายคนเชื่อมโยง "การมีเงินมากพอ" กับอิสรภาพ แต่ทัศนคติที่คุณมีต่อเงินนั้นบอกอะไรเกี่ยวกับอิสรภาพได้มากกว่าตัวเงินจริงๆ มองว่าเงินเป็นเพียงเครื่องมือชนิดหนึ่งในชีวิต แต่ไม่ใช่สิ่งที่ขับเคลื่อนชีวิตของคุณ เรียนรู้ที่จะอดออม จำกัดงบ และเป็นผู้บริโภคที่ชาญฉลาด
    • สำรวจว่ามีอะไรที่คุณพอจะทำได้เพื่อดึงตัวเองออกมาจากวงจรการบริโภคที่คุณรู้สึกว่ามันเป็นภาระของคุณ เช่น ถ้าคุณเบื่อที่จะต้องจ่ายเงินแพงๆ เพื่อซื้ออาหารปลอดสารพิษ ก็เปลี่ยนมาขุดดินและลงมือปลูกผักและผลไม้สวยๆ ไว้ในสวนของตัวเองแทน ดูแลมันอย่างสม่ำเสมอและรู้ว่า ดอกผลของหยาดเหงื่อที่คุณสูญเสียไปนั้นจะตอบแทนกลับมาในรูปแบบการของการได้หลอมรวมกับธรรมชาติ ได้สุขภาพที่ดีจากอาหารคุณภาพดี และได้เป็นตัวอย่างพฤติกรรมที่ยั่งยืนให้แก่ลูกๆ เพื่อนบ้าน และเพื่อนฝูง
  5. เริ่มแลกเปลี่ยนทักษะของคุณกับคนอื่นที่มีทักษะในการทำสิ่งที่คุณทำไม่ได้หรือไม่ชอบทำ เพื่อให้เกิดเป็นวงจรแห่งการต่อยอด วิธีนี้ยังทำให้คุณได้มิตรภาพและคอนเน็กชั่นที่อาจทำให้คุณประหลาดใจก็ได้
    • ใช้ทรัพยากรออนไลน์ให้เป็นประโยชน์ด้วยการเชื่อมโยงกับกลุ่มคนที่มีความคิดคล้ายๆ กันเพื่อแลกเปลี่ยนสิ่งของและบริการ และเพื่อสนับสนุนให้คนอื่นๆ ได้มีส่วนร่วมในหนทางแห่งการใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระมากยิ่งขึ้น เว็บไซต์หนึ่งที่อาจจะมีประโยชน์กับคุณได้แก่เว็บไซต์ของร้านปันกันโดยมูลนิธิยุวพัฒน์ ที่จัดกิจกรรมให้คนมาซื้อของมือสองสภาพดีในราคาย่อมเยา เพื่อนำกำไรไปสร้างโอกาสทางการศึกษาให้เด็กที่ขาดแคลน ร้านปันกันจัดกิจกรรมในพื้นที่ต่างๆ มากมาย ซึ่งถือเป็นการเชื่อมโยงชุมชนท้องถิ่นกับชุมชนของคุณให้เข้ามามีส่วนร่วมในการแบ่งปันทรัพยากรและทักษะ เพื่อมอบโอกาสให้แก่ผู้ที่ขาดแคลนต่อไป นอกจากนี้ร้านปันกันยังรับอาสาสมัครเพื่อช่วยงานในร้านตามความสามารถอีกด้วย
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

ดูแลสุขภาพ

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. การออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายหลั่งสารเอนดอร์ฟินส์ที่เปลี่ยนอารมณ์ของคุณให้ดีขึ้นและรักษารูปร่างของคุณให้สมส่วนเพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่า คุณจะได้ทำในสิ่งที่คุณอยากทำ อย่าปล่อยให้ปัญหาสุขภาพมาทำให้คุณไม่มีอิสระที่จะทำในสิ่งที่คุณอยากทำ เลือกการออกกำลังกายสักประเภทที่คุณชื่นชอบ เพราะการออกกำลังกายควรเป็นเรื่องสนุกมากกว่าจะถูกมองว่าเป็นแค่เครื่องมือที่จะทำให้คุณได้สิ่งอื่นๆ [1]
    • ให้ร่างกายหลั่งสารเอนดอร์ฟินส์เพื่อปลดปล่อยจิตวิญญาณของคุณ สารเอนดอร์ฟินส์เป็นสารในร่างกายของคุณที่ทำให้คุณอารมณ์ดี เป็นสารทางชีวเคมีที่สมองผลิตขึ้นเพื่อตอบสนองต่อประสบการณ์ที่รื่นรมย์ สารเอนดอร์ฟินส์ช่วยให้คุณปลดปล่อยตัวเองจากอารมณ์เปล่าประโยชน์ที่อาจทำให้คุณติดกับอยู่ในวงจรการมองโลกในแง่ร้ายที่กำลังดำเนินอยู่ วิธีที่ช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเอนดอร์ฟินส์นั้นดีกับตัวคุณเอง ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย การเข้าสังคม และการหัวเราะ ทุกกิจกรรมที่ว่ามานี้ล้วนแต่ปลดปล่อยคุณให้หันเหความสนใจไปยังสิ่งที่มีความหมายในชีวิตของคุณอย่างแท้จริงเท่านั้น
  2. รอยยิ้มของคุณเปลี่ยนกรอบความคิดของคุณได้ พยายามหาเรื่องให้ตัวเองหัวเราะให้ได้ทุกวัน เริ่มจากหัวเราะนิสัยแปลกๆ หรือความคิดประหลาดๆ ของตัวเอง แล้วขยายไปสู่การดูภาพยนตร์ตลกๆ หรือไปดูโชว์ตลก หรือแค่ทำ อะไร ที่กระตุ้นให้คุณหัวเราะ การหัวเราะและการยิ้มเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันรวมถึงทำให้คุณรู้สึกดีมากยิ่งขึ้นโดยการหลั่งสารเอนดอร์ฟินส์ [2] การหัวเราะทำให้สมองของคุณรู้ว่า คุณกำลังมีความสุขและทำให้คุณอารมณ์ดีสุดๆ ในสภาวะทางจิตที่เหมาะสม
  3. ดวงอาทิตย์ทำให้วันและอารมณ์ของคุณสดใส ออกไปที่โล่งกว้าง ไปเดินป่า ดื่มด่ำกับธรรมชาติและใช้เวลาอยู่กับผู้คน และที่สำคัญอย่าลืมหาวิธีปกป้องตัวเองจากแสงอาทิตย์ในช่วงเดือนที่ร้อนที่สุดด้วย
  4. การได้อยู่กับเพื่อนๆ ทำให้คุณได้แสดงความเข้าอกเข้าใจ การเข้าใจผู้อื่นและการมีคนเข้าใจเราเพิ่มความรู้สึกของสภาวะอยู่ดีมีสุขที่มีส่วนช่วยในการหลั่งสารเอนดอร์ฟินส์ นอกจากนี้การใช้เวลากับเพื่อนๆ และการได้เข้าสังคมได้รับการพิสูจน์แล้วว่า สามารถเพิ่มระดับเซอโรโทนินที่สำคัญต่อการเพิ่มความรู้สึกอยู่ดีมีสุขจากภายในได้อีกด้วย
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

เปลี่ยนแปลงกิจวัตรประจำวัน

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. การเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ คือขุมทรัพย์แห่งอิสรภาพ เพราะคุณได้ต่อยอดขอบเขตความรู้ของตัวเอง ได้ค้นพบพรสวรรค์ใหม่ๆ ที่ซ่อนอยู่ และเปิดโอกาสให้ตัวเองได้เจอกับด้านดีๆ ของชีวิต
    • มองว่าประสบการณ์ใหม่ๆ คือโอกาสแทนที่จะมองว่ามันเป็นภาระหรือเป็นสิ่งที่ทำให้คุณต้องวิตกกังวล สมรภูมิส่วนใหญ่เกิดขึ้นในหัวของคุณ ก่อน ที่คุณจะได้ลองสิ่งใหม่ๆ ด้วยซ้ำ
    • แสดงความยินดีกับตัวเองทุกครั้งที่คุณได้ลองสิ่งใหม่ๆ และบอกคนอื่นด้วยว่าคุณทำอะไรเพื่อให้คนอื่นเห็นข้อดีของมัน เรื่องราวของคุณอาจช่วยให้คนอื่นได้ใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระมากขึ้นก็ได้
  2. แกล้งทำเป็นว่าคุณมีเสียงดนตรีประกอบอยู่ในชีวิตประจำวัน. ภาพยนตร์ทุกเรื่องมีเพลงประกอบภาพยนตร์ ตัวคุณเองก็เหมือนกัน ระหว่างเดินริมถนนในวันแย่ๆ ที่ฝนตก เลือกมาสักเพลงที่ทำให้เท้าของคุณเคลื่อนไหวและทำให้จิตใจของคุณเบิกบาน
  3. การทำอะไรโดยไม่ยั้งคิดมักหายไปขณะที่เราก้าวเท้าเข้าสู่โลกของผู้ใหญ่ที่เต็มไปด้วยการทำงาน การเป็นพ่อแม่ และภาระหน้าที่ทางสังคม การยอมจำนนต่อสิ่งที่สังคมคาดหวังในตัวผู้ใหญ่แต่ละคนมีแนวโน้มที่จะปิดกั้นโอกาสที่จะได้เป็นอิสระในบางครั้งหรือได้ทำอะไรผิดแผกไปจากที่เราเคยทำ การเรียกความหุนหันพลันแล่นและการทำอะไรโดยไม่ยั้งคิดกลับเข้ามาในชีวิตสักเล็กน้อยอาจทำให้เกิดความสมดุลมากขึ้นได้
    • ลองเข้าไปดูกิจกรรมสนุกๆ ที่ Improv Everywhere เคยจัด อย่างการรวมคน 200 กว่าคนมาเดินทั่วใจกลางเมืองพร้อมกับของเล่น "สุนัขล่องหน" ที่แสนจะโด่งดังแล้วแกล้งทำเหมือนว่ากำลังจูงสุนัขอยู่ด้วยจริงๆ การทำอะไรที่คนอื่นต้องจ้องมองมาที่คุณเป็นวิธียอดเยี่ยมที่จะทำให้คุณได้มีชีวิตที่เป็นอิสระและออกจากกล่องที่คุณเคยถูกขังเอาไว้
    • ค้นหาวิดีโอแฟลชม็อบออนไลน์เพื่อหากิจกรรมที่นำเสียงหัวเราะและความสนุกสนานมาสู่ชีวิตของผู้คน
  4. ออกไปข้างนอกและเริ่มออกไปเดินเล่น แค่เดินไปเรื่อยๆ ไม่ต้องมีทิศทางและอย่าหยุดจนกว่าจะต้องหยุด การออกไปเดินเล่นโดยไม่มีทิศทางและไม่มีจุดหมายนั้นเป็นเรื่องที่ดีมาก
  5. ในบางครั้งคุณก็สามารถทำอะไรตามใจอยากโดยไม่ต้องคิดหน้าคิดหลัง กินพายเป็นอาหารเช้าหรือโกนหัวแบบไม่ต้องคิดก็ได้ถ้าคุณอยากจะทำ โอบกอดความประหลาดใจและความหุนหันพลันแล่น การเปลี่ยนวิถีชีวิตประจำวันอาจจะช่วยให้คุณกระตือรือร้นที่จะเริ่มต้นวันใหม่มากขึ้นก็ได้ ใครจะไปรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น!
  6. คุณไม่จำเป็นต้อง เก่ง ในเรื่องอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้หัวใจของคุณพองโต คุณแค่ต้อง รัก มันเท่านั้นเอง อาจจะเป็นการเขียน อาจจะเป็นการวาดภาพ อาจจะเป็นการเล่นกีฬาบางประเภท ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ โอบกอดมันด้วยหัวใจทั้งดวงของคุณและปล่อยให้ตัวเองได้มีส่วนร่วมในสิ่งนั้นอย่างเต็มหัวใจ เล่าให้ครอบครัวของคุณฟัง บอกเพื่อนๆ ให้ลองทำดู คลั่งไคล้และปล่อยให้ชีวิตของคุณรายล้อมไปด้วยสิ่งที่คุณรัก
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • อย่าห้ามตัวเอง การแสดงความกระตือรือร้น ความปีติยินดี และความรู้สึกทึ่งเป็นสิ่งที่คุณควรภาคภูมิใจ ถ้ามีคนบอกให้คุณหุบปาก อย่าถอดใจ แต่ให้ฝึกทักษะการนำเสนองานแทนเพื่อที่คุณจะได้รู้วิธีปรับระดับความกระตือรือร้นให้เหมาะสมกับผู้ฟังทุกประเภทที่คุณจะต้องเจอ
  • หาวิธีที่จะเพิ่มระดับพลังงานให้ตัวเองอยู่เสมอ การเป็นคนมีพลังเหลือล้นคือวิธีที่จะช่วยให้คุณได้ใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระมากยิ่งขึ้นเพราะคุณจะไม่รู้สึกเฉื่อยชาหรือลังเล คนที่เหนื่อยล้ามักจะเลือก "อะไรเดิมๆ" เพราะการต่อต้านต้องใช้พลังงาน และการใช้ชีวิตในแบบที่เป็นอยู่คือวิธีที่จะทำให้พวกเขาสามารถอยู่เฉยๆ ได้ แต่ความเฉื่อยชาไม่ใช่อิสรภาพ ที่จริงแล้วมันคือการถูกจองจำ เพราะฉะนั้นรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เน้นอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกายได้มากที่สุด ออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อเพิ่มพลังงานและความแข็งแกร่ง มีศรัทธาอยู่เสมอไม่ว่าสิ่งที่คุณศรัทธาหรือวิถีทางโลกของคุณจะเป็นอะไรก็ตาม การหาสิ่งที่มาขับเคลื่อนคุณด้วยศรัทธาจะสร้างพลังงานภายในที่ช่วยฟื้นฟูจิตใจคุณทุกครั้งที่มีอะไรเข้ามาทำให้ใจคุณแตกสลาย
  • ถ้ามีอะไรที่คุณไม่ชอบ ค่อยๆ บอกให้คนอื่นรู้แต่อย่าโกหกเพื่อปกปิดมัน เพราะมีหลายครั้งที่คำโกหกกลับมาเล่นงานคุณภายหลังตอนที่คุณถูกจับได้ว่าบ่นถึงเรื่องนี้ โดยทั่วไปแล้วคนอื่นแข็งแกร่งกว่าที่เราคิด และแม้ว่าพวกเขาอาจจะบ่นอุบที่คุณกล้าบอกว่าตัวเองไม่ชอบอะไร แต่พวกเขาก็จะให้เกียรติคุณและรู้ว่าเขายืนอยู่จุดไหนในความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคุณ ถึงแม้มันจะอยู่ลึกภายในใจก็ตาม
  • หาสมดุลระหว่างการดื้อแพ่งและการเต็มใจที่จะไปตามน้ำ บางครั้งการปล่อยให้โลกหมุนไปในแบบที่มันควรจะเป็นก็เป็นเรื่องที่ดี ในขณะที่บางครั้งการเข้าไปมีส่วนร่วมอย่างจริงจังเพื่อที่จะเปลี่ยนทิศทางน้ำก็เป็นสิ่งจำเป็น คุณจะเรียนรู้สิ่งนี้จากประสบการณ์ของคุณ แต่คุณต้องกระโดดลงไปและพยายามก่อนเพื่อให้ได้เรียนรู้มัน
  • เลือกที่จะมองด้านสนุกของชีวิต แน่นอนว่าเราทุกคนต่างมีช่วงเวลาที่ยากและท้าทายในชีวิตของเราทุกคน แต่ชีวิตก็ไม่ได้มีแต่ประสบการณ์แบบนี้ น่าเสียดายว่าตามวิถีทางที่แต่ละคนเลือกเดิน คุณมักจะมองว่าความยากลำบากนั้นคือชีวิตทั้งชีวิต คุณต้องต่อสู้กับคำพูดร้ายๆ ที่คุณอื่นพ่นออกมาอยู่เป็นประจำเพื่อทำให้พวกเขาเห็นว่า พวกเขากำลังขังตัวเองด้วยทัศนคติที่ทำให้พวกเขาเสียพลังงานไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง คุณสามารถมองหาด้านดีๆ ของสถานการณ์ทั่วไปที่คนเรามักจะบ่น เช่น เรื่องอากาศ ต่อคิว ส่งงานไม่ทัน เป็นต้น โดยไม่ต้องไปดูถูกสถานการณ์ท้าทายที่ผู้คนกำลังเผชิญอยู่ สิ่งที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มักไม่ใช่สถานการณ์คอขาดบาดตาย เพราะฉะนั้นแทบไม่มีเรื่องอะไรเลยที่ควรค่าแก่การหมดเปลืองพลังงานมหาศาลเพื่อที่จะจดจ่ออยู่แต่ด้านลบของมัน มีเมตตาเวลาที่คุณเติมเต็มชีวิตของพวกเขาด้วยวิธีการมองโลกที่เป็นบวกมากยิ่งขึ้น!
  • จัดการกับความเครียด การใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระคือการเป็นอิสระจากความเครียดด้วย ความเครียดมีแต่จะทำให้คุณตกต่ำรวมถึงคุกคามสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีโดยทั่วไปของคุณด้วย ถ้าคุณรับมือกับความเครียดด้วยตัวเองไม่ได้ ลองขอความช่วยเหลือจากผู้คนที่ให้กำลังใจหรือกลุ่มช่วยเหลือ หรือจะอ่านหนังสือแนวช่วยเหลือตนเองที่เกี่ยวข้องกับการจัดการความเครียดก็ได้
  • คนอื่นจะตัดสินคุณอยู่เสมอ เพราะมันง่ายกว่าการมองให้ลึกเข้าไปข้างในและดูว่ามีอะไรที่ยังขาดและต้องได้รับการเติมเต็ม สิ่งสำคัญก็คือคุณจะต้องเรียนรู้ที่จะแยกความแตกต่างระหว่างคำติเพื่อก่อ (คำวิจารณ์ที่เป็นจริงเกี่ยวกับสิ่งที่คุณจำเป็นต้องปรับปรุง คนที่ติจะเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือคนที่มีประสบการณ์และจะวิจารณ์โดยไม่มีอคติ) กับคำติเพื่อด่าและสร้างความเจ็บปวด (คำวิจารณ์ที่สักแต่ด่าเพราะความโง่เขลา ความเกลียดชัง ความอิจฉา หรือความขลาดกลัว และโดยทั่วไปจะมาจากคนที่ไม่มีความรู้ในเรื่องนั้นหรือมีน้อยมาก หรือคนที่คิดว่าตัวเองทำได้ดีกว่าแต่ไม่เคยพิสูจน์ว่าทำได้จริงๆ เลยสักครั้ง) ถ้าคุณรู้ความแตกต่างระหว่างคำติ 2 ประเภทนี้ คุณก็จะเรียนรู้จากคำติประเภทหนึ่งและเพิกเฉยต่อคำติอีกประเภทหนึ่ง และเป็นอิสระได้อย่างแท้จริง
  • เลือกสนามรบอย่างชาญฉลาด รู้ว่าเมื่อไหร่ควรปล่อยผ่านมากกว่าจะเดินเข้าสู่สนามรบ (จำไว้เลยว่ามันมักจะเกิดขึ้นเกือบตลอดเวลา) ยืนหยัดในสิ่งที่สำคัญกับคุณเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณรู้ว่า ถ้าไม่ทำเช่นนั้นจะมีผลร้ายหรือผลลัพธ์ที่ไม่ดีตามมา และเรียนรู้ที่จะอะลุ่มอล่วยระหว่างการสนทนาหรือการโต้เถียงที่ซับซ้อน มากกว่าจะเติมเชื้อไฟให้พวกเขา เพราะการที่คุณเป็นนักสื่อสารที่ไม่ใช้ความรุนแรงสามารถช่วยให้คนอื่นประนีประนอมและเข้าใจกันได้ แทนที่พวกเขาจะกลับไปเลียแผลตัวเองแล้วกลับมาใหม่ด้วยท่าทีที่ร้ายกว่าเดิมในครั้งถัดไป
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอกับอายุ เพศ และความต้องการส่วนตัว การอดหลับอดนอนทำให้เราไม่ค่อยมีสติเวลาทำอะไร จนเราคิดไปว่าสภาวะมึนงง กึ่งหลับกึ่งตื่นที่เราเป็นอยู่นั้นคือสภาวะปกติ คนที่นอนน้อยมักจะคิดลบมากกว่าคนที่นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ และยังขาดพลังงานและความเข้มแข็งเวลาที่เจอปัญหาชีวิตอีกด้วย เลิกถอนชั่วโมงนอนจากธนาคารแห่งการนอนจนติดหนี้ แล้วมาเริ่มฝากชั่วโมงการนอนกลับเข้าไปใหม่ดีกว่า แล้วคุณจะพบว่าตัวเองเป็นอิสระที่จะให้โลกได้เห็นถึงบุคลิกที่แท้จริงและพลังด้านบวกของคุณมากกว่าเดิมเยอะเลย!
  • โลกนี้เต็มไปด้วยคนเกลียดชัง พวกเขาคือคนที่ไม่อยาก/ไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างเป็นอิสระและไม่แคร์ด้วยว่าคนอื่นจะใช้ชีวิตได้อย่างเป็นอิสระหรือไม่ เหมือนที่ Ellen De Generes พูดว่าให้เปลี่ยนคนที่เกลียดคุณเป็นแรงผลักดัน ไม่ว่าใครจะพูดอะไร อย่าไปใส่ใจกับทัศนคติของพวกเขาและที่สำคัญคือทำในสิ่งที่คุณอยากทำต่อไป จำไว้ว่าต่อให้คุณกลับบ้านพร้อมกับมีป้ายสุภาษิตซ่อนอยู่ระหว่างขาของคุณ คนก็จะวิจารณ์สิ่งที่คุณทำอยู่ดี เพราะฉะนั้นเลือกทำในสิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกเป็นอิสระ อย่าพยายามทำตามสิ่งที่ไม่เหมาะสมกับคุณ สิ่งที่ดีที่สุดที่คุณจะทำได้ก็คือ อย่าปล่อยให้คนที่เกลียดชังคุณมาดึงอำนาจไปจากคุณด้วยการยอมรับคำวิจารณ์ของพวกเขา
  • การยอมรับคือทุกสิ่งทุกอย่าง ยอมรับตัวเองและยอมรับในสิ่งที่คุณเป็น ยอมรับคนอื่นและยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น ไม่ใช่ทุกคนที่อย่างจะใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระตามที่กล่าวไว้ในบทความนี้ ที่จริงแล้วบางคนแค่คิดว่าจะต้องเสียกิจวัตรประจำวัน ทำอะไรแบบไม่คิด หรือทำสิ่งใหม่ๆ ก็ขยาดจะแย่อยู่แล้ว แม้ว่าคุณจะสามารถช่วยเปิดใจพวกเขาให้เห็นถึงโอกาสต่างๆ มากมายในโลกนี้และพรสวรรค์ที่พวกเขามีด้วยการเป็นตัวอย่างและเป็นแรงผลักดัน คุณก็ไม่สามารถที่จะบังคับให้ใครทำอะไรหรือเป็นอะไรได้อยู่ดี อย่าเอาความชอบของตัวเองไปใส่คนอื่น เพราะการทำเช่นนี้เป็นการยัดเยียดความคิดของคุณที่มีต่ออิสรภาพไปแทนที่อิสรภาพที่พวกเขาคิดว่าพวกเขามีอยู่แล้ว จำไว้ว่าวิธีการมองโลกตามความเป็นจริงมันก็เป็นแค่ความจริงของคุณคนเดียว และสำหรับพวกเขาอิสรภาพอาจจะมาในรูปแบบของบางสิ่งบางอย่างที่แตกต่างไปจากการรับรู้ของคุณโดยสิ้นเชิง ให้พื้นที่พวกเขาได้เข้ามาอยู่ในชีวิตของเราโดยไม่ต้องบังคับให้เขาคิดเหมือนเรา
โฆษณา

คำเตือน

  • การใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระไม่ใช่การใช้ชีวิตอย่างผิดกฎหมาย


โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 16,382 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา