ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

ผงขมิ้นนั้นใช้เป็นเครื่องเทศรสอร่อยที่ใส่ปรุงอาหารในเอเชียตอนใต้มาเป็นเวลานานแสนนาน แต่มันก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ตั้งแต่ลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ ไปถึงป้องกันโรคทางระบบประสาทที่ร้ายแรงอย่างอัลไซเมอร์ แม้ว่าขมิ้นดิบจะขมและรสเฝื่อนกินไม่ได้ แต่มีหลายวิธีด้วยกันที่คุณจะสามารถรวมสารต้านอนุมูลอิสระที่แข็งแกร่งนี้เข้ากับอาหารและการดูแลสุขภาพในชีวิตประจำวันของคุณได้

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

ใช้ขมิ้นในรูปแบบต่างๆ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ขมิ้นสามารถพบได้ในลำต้นของขมิ้นชัน ซึ่งเป็นญาติๆ กันกับขิง คุณสามารถกินรากมันดิบๆ ได้ แม้ว่าจะมีรสขมกว่าก็เถอะ [1]
    • คุณควรกินราก 1.5 ถึง 3 กรัมต่อวัน
  2. Watermark wikiHow to รับประทานผงขมิ้น
    ขมิ้นมักจะมาในรูปแบบผง ควรตั้งเป้าเอาไว้ประมาณ 400 – 600 มก. 3 ครั้งต่อวัน โดยจะใส่ลงในซอส ซุป หรือเครื่องดื่มอย่างนมหรือชาก็ได้ [2]
    • ในการทำชาขมิ้น ให้ต้มน้ำ 1 ถ้วย แล้วละลายผงขมิ้น 2 กรัมลงในน้ำ โดยจะเติมเลมอน น้ำผึ้ง และขิงลงไปเพิ่มรสชาติให้กับชาด้วยก็ได้
    • ถ้าคุณไม่ชอบดื่มชานัก ก็สามารถตักผงขมิ้นช้อนหนึ่งใส่นมสักแก้วเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการต่อต้านอนุมูลอิสระและแก้การอักเสบได้
  3. Watermark wikiHow to รับประทานผงขมิ้น
    มาในรูปแบบทิงเจอร์ ซึ่งคือประโยชน์ทั้งหมดของรากขมิ้นที่ถูกสกัดออกมาในรูปแบบของเหลว โดยสามารถหยดขมิ้นทิงเจอร์ลงในน้ำเปล่า ชา ซุป หรือของเหลวอื่นๆ ที่บริโภคในชีวิตประจำวันสักสองสามหยดได้เลย
    • คุณสามารถหาซื้อขมิ้นทิงเจอร์ได้ที่ร้านขายของเพื่อสุขภาพในแผนกวิตามินของร้านยาแถวบ้านได้
  4. Watermark wikiHow to รับประทานผงขมิ้น
    ถ้าคุณเจ็บปวดจากการได้รับแผลหรือรอยไหม้ ส่วนผสมของขมิ้นนั้นก็อาจเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการดึงประโยชน์ของมันออกมา เพราะคุณสามารถทามันลงบนบริเวณที่เกิดแผลได้โดยตรงไงล่ะ
  5. ขมิ้นนั้นมีขายเป็นรูปแบบแคปซูลเช่นกัน ปริมาณการกินของยานั้นมีหลากหลายแตกต่างกันออกไป แต่ตัวเม็ดยาปกติจะอยู่ที่ประมาณ 350 มก. คุณควรกินยาหนึ่งถึงสามเม็ดต่อวัน ถ้าคุณปวดท้องจัด ก็สามารถกินให้ปริมาณมากขึ้นไปอีกได้ (สามเม็ด) โดยสามารถหาซื้อได้ตามแผนกขายวิตามินในร้านขายยา [5]
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

รู้ว่าเมื่อใดที่ควรเลี่ยงขมิ้น

ดาวน์โหลดบทความ
  1. แม้ว่าขมิ้นจะมีประโยชน์มหาศาลสำหรับผู้ป่วยที่มีสุขภาพดี แต่คุณก็ควรควบคุมให้แน่ใจว่าได้กินในปริมาณที่แนะนำ ไม่อย่างนั้นคุณอาจปวดท้องอย่างหนักก็ได้ ปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเรื่องปริมาณในการกินขมิ้นเพื่อควบไปกับอาหารในชีวิตประจำวันได้นะ
  2. อย่ากินขมิ้นเป็นยาถ้าคุณกำลังท้องหรือให้นมบุตร. ขณะที่ขมิ้นรูปแบบอื่นๆ ในอาหารนั้นสามารถบริโภคได้ แต่อย่ากินแบบเป็นแคปซูลหรือที่เป็นของเหลว [6]
  3. ถ้าคุณมีระดับน้ำตาลในเลือดที่ไม่ปกติ ก็ให้ปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะเริ่มกินขมิ้น ขมิ้นนั้นไปลดน้ำตาลในเลือดเอาได้ ถ้าคุณมีน้ำตาลในเลือดต่ำอยู่แล้ว ก็ควรเลี่ยงที่จะกินยาที่เป็นขมิ้น [7]
    • ขมิ้นอาจมีผสมแทรกอยู่ในยาตามสั่งเพื่อใช้รักษาเบาหวานก็เป็นได้
  4. เลี่ยงขมิ้นถ้าหากว่าคุณมีกรดในกระเพาะอาหารมากเกินไป. ถ้าคุณกินยาที่ใช้ควบคุมระดับกรดในกระเพาะอาหาร อย่าง Pepcid, Zantac หรือ Prilosec ก็ให้เลี่ยงการกินขมิ้น เพราะมันอาจไปแทรกฤทธิ์ยาเหล่านั้นได้ [8]
  5. เลี่ยงการกินขมิ้นถ้าคุณมีปัญหาเกี่ยวกับถุงน้ำดี. ถ้าถุงน้ำดีของคุณสุขภาพดี ขมิ้นก็จะไปช่วยควบคุมปริมาณการผลิตน้ำดีได้ แต่ถ้าคุณมีปัญหาเกี่ยวกับถุงน้ำดีอยู่ ขมิ้นก็อาจส่งผลเสียร้ายแรงให้ได้ ซึ่งอาจทำให้เป็นนิ่วหรือเกิดการอุดตันของท่อน้ำดีได้ [9]
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

รู้ถึงประโยชน์ของขมิ้น

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ขมิ้นนั้นมีส่วนผสมที่มีประโยชน์อย่างเคอร์คูมินอยู่ เคอร์คูมินนั้นรู้กันว่าจะช่วยบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย เพราะมันจะส่งผลกับถุงน้ำดี ด้วยการให้ถุงน้ำดีผลิตน้ำดีออกมาเพิ่ม เคอร์คูมินสามารถช่วยย่อยและบรรเทาอาการท้องอืดได้ [10]
  2. เคอร์คูมินมีฤทธิ์ในการช่วยบรรเทาอาการอักเสบได้ด้วย เช่น มันสามารถช่วยบรรเทาอาการทางแพทย์ได้มากมายหลายอย่าง ตั้งแต่โรคข้ออักเสบไปถึงโรคสะเก็ดเงินและอาการปวดหลังเรื้อรังหรือปวดคอ
  3. ขมิ้นมีสรรพคุณป้องกันเชื้อโรคอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งสามารถช่วยบรรเทาแผลและกันไม่ให้ติดเชื้อได้ [12]
  4. โรคหัวใจนั้นมักจะเกิดจากการอุดตันในหลอดเลือดแดงที่ส่งไปทางหัวใจ ฤทธิ์ในการต้านการอักเสบของขมิ้นจะไปช่วยเรื่องการไหลเวียนของเลือด ซึ่งจะทำให้หลอดเลือดแดงไม่มีสิ่งอุดตันด้วย [13]
    • การใช้ขมิ้นช่วยเรื่องการไหลเวียนเลือด และยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดหัวใจวายหรือการอุดตันของเส้นเลือดในสมองได้ด้วย
  5. แม้ว่าจะยังไม่มีผลวิจัยออกมาแน่ชัดว่าขมิ้นจะรักษามะเร็งได้ แต่ผลเบื้องต้นก็ชี้ให้เห็นว่าขมิ้นสามารถชะลอหรือป้องกันการพัฒนาของเซลล์มะเร็งในลำไส้ ต่อมลูกหมาก และปอดได้ [14]
    • ประชากรในอินเดียมีอัตราการเกิดมะเร็งในอวัยวะเหล่านี้ต่ำที่สุด (ต่ำกว่าสหรัฐอเมริกาถึง 13 เท่า) และนักวิจัยส่วนใหญ่ก็เชื่อว่าเครื่องเทศอย่างขมิ้นในแกงกะหรี่นั้นเป็นตัวทำให้ตัวเลขออกมาต่ำนั่นเอง
    • คุณสมบัติการต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบที่โดดเด่นของขมิ้นนั้นยิ่งเป็นสิ่งที่ทำให้คิดได้ว่ามันสามารถใช้ช่วยป้องกันมะเร็งได้ การอักเสบมักเป็นปัจจัยที่ทำให้เซลล์มะเร็งพัฒนาขึ้นได้ [15]
    • อย่าคิดจะรักษามะเร็งด้วยวิตามินหรือสมุนไพรจากธรรมชาติเท่านั้นนะ ถ้าคุณเป็นมะเร็ง อย่างไรก็ควรไปรับการรักษากับส่วนของรังสีและมะเร็งวิทยาอยู่ดี
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • แพทย์หลายๆ คนได้เปรียบเทียบการต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระระหว่างขมิ้นกับยาแก้ปวดไร้สเตียรอยด์ที่สามารถหาซื้อได้เอง โดยขมิ้นนั้นมีความเสี่ยงน้อยกว่า และมีผลข้างเคียงน้อยกว่ายาเหล่านั้น
  • เคอร์คูมินในขมิ้นและยี่หร่านั้นมีคุณสมบัติคล้ายคลึงกัน มันเป็นทั้งสารต้านอนุมูลอิสระและต้านอาการอักเสบ แต่ยี่หร่าจะไม่ส่งผลเทียบเท่ากับขมิ้น
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 21,944 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา