ผงขมิ้นนั้นใช้เป็นเครื่องเทศรสอร่อยที่ใส่ปรุงอาหารในเอเชียตอนใต้มาเป็นเวลานานแสนนาน แต่มันก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ตั้งแต่ลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ ไปถึงป้องกันโรคทางระบบประสาทที่ร้ายแรงอย่างอัลไซเมอร์ แม้ว่าขมิ้นดิบจะขมและรสเฝื่อนกินไม่ได้ แต่มีหลายวิธีด้วยกันที่คุณจะสามารถรวมสารต้านอนุมูลอิสระที่แข็งแกร่งนี้เข้ากับอาหารและการดูแลสุขภาพในชีวิตประจำวันของคุณได้
ขั้นตอน
-
กินเป็นราก. ขมิ้นสามารถพบได้ในลำต้นของขมิ้นชัน ซึ่งเป็นญาติๆ กันกับขิง คุณสามารถกินรากมันดิบๆ ได้ แม้ว่าจะมีรสขมกว่าก็เถอะ [1] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Mayo Clinic ไปที่แหล่งข้อมูล
- คุณควรกินราก 1.5 ถึง 3 กรัมต่อวัน
-
ใส่ผงขมิ้นลงในอาหารหรือของเหลว. ขมิ้นมักจะมาในรูปแบบผง ควรตั้งเป้าเอาไว้ประมาณ 400 – 600 มก. 3 ครั้งต่อวัน โดยจะใส่ลงในซอส ซุป หรือเครื่องดื่มอย่างนมหรือชาก็ได้ [2] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ในการทำชาขมิ้น ให้ต้มน้ำ 1 ถ้วย แล้วละลายผงขมิ้น 2 กรัมลงในน้ำ โดยจะเติมเลมอน น้ำผึ้ง และขิงลงไปเพิ่มรสชาติให้กับชาด้วยก็ได้
- ถ้าคุณไม่ชอบดื่มชานัก ก็สามารถตักผงขมิ้นช้อนหนึ่งใส่นมสักแก้วเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการต่อต้านอนุมูลอิสระและแก้การอักเสบได้
-
ใช้ขมิ้นทิงเจอร์. มาในรูปแบบทิงเจอร์ ซึ่งคือประโยชน์ทั้งหมดของรากขมิ้นที่ถูกสกัดออกมาในรูปแบบของเหลว โดยสามารถหยดขมิ้นทิงเจอร์ลงในน้ำเปล่า ชา ซุป หรือของเหลวอื่นๆ ที่บริโภคในชีวิตประจำวันสักสองสามหยดได้เลย
- คุณสามารถหาซื้อขมิ้นทิงเจอร์ได้ที่ร้านขายของเพื่อสุขภาพในแผนกวิตามินของร้านยาแถวบ้านได้
-
ทำส่วนผสมของขมิ้น. ถ้าคุณเจ็บปวดจากการได้รับแผลหรือรอยไหม้ ส่วนผสมของขมิ้นนั้นก็อาจเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการดึงประโยชน์ของมันออกมา เพราะคุณสามารถทามันลงบนบริเวณที่เกิดแผลได้โดยตรงไงล่ะ
- ผสมน้ำ ผงขมิ้น และผงขิงเข้าด้วยกัน ใช้ไม้พายหรือแปรงสะอาดที่ฆ่าเชื้อแล้วทาส่วนผสมลงบนบริเวณที่เกิดแผล ถ้าคุณจะใช้มือทา ก็ต้องล้างมือให้สะอาดก่อนทา แล้วทิ้งเอาไว้ประมาณสองสามชั่วโมง [3] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ PubMed Central ไปที่แหล่งข้อมูล
- ในการรักษาแผลไหม้เล็กๆ น้อยๆ ก็สามารถใช้ขมิ้นผสมว่านหางจระเข้ทาเอาได้ โดยผสมทั้งสองในอัตราส่วนเท่ากันเพื่อให้ออกมาเป็นเนื้อครีม [4] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ PubMed Central ไปที่แหล่งข้อมูล
-
กินเป็นยา. ขมิ้นนั้นมีขายเป็นรูปแบบแคปซูลเช่นกัน ปริมาณการกินของยานั้นมีหลากหลายแตกต่างกันออกไป แต่ตัวเม็ดยาปกติจะอยู่ที่ประมาณ 350 มก. คุณควรกินยาหนึ่งถึงสามเม็ดต่อวัน ถ้าคุณปวดท้องจัด ก็สามารถกินให้ปริมาณมากขึ้นไปอีกได้ (สามเม็ด) โดยสามารถหาซื้อได้ตามแผนกขายวิตามินในร้านขายยา [5] X แหล่งข้อมูลอ้างอิงโฆษณา
-
กำหนดปริมาณ. แม้ว่าขมิ้นจะมีประโยชน์มหาศาลสำหรับผู้ป่วยที่มีสุขภาพดี แต่คุณก็ควรควบคุมให้แน่ใจว่าได้กินในปริมาณที่แนะนำ ไม่อย่างนั้นคุณอาจปวดท้องอย่างหนักก็ได้ ปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเรื่องปริมาณในการกินขมิ้นเพื่อควบไปกับอาหารในชีวิตประจำวันได้นะ
-
อย่ากินขมิ้นเป็นยาถ้าคุณกำลังท้องหรือให้นมบุตร. ขณะที่ขมิ้นรูปแบบอื่นๆ ในอาหารนั้นสามารถบริโภคได้ แต่อย่ากินแบบเป็นแคปซูลหรือที่เป็นของเหลว [6] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
ถ้าเป็นเบาหวานก็ให้เลี่ยงเอาไว้. ถ้าคุณมีระดับน้ำตาลในเลือดที่ไม่ปกติ ก็ให้ปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะเริ่มกินขมิ้น ขมิ้นนั้นไปลดน้ำตาลในเลือดเอาได้ ถ้าคุณมีน้ำตาลในเลือดต่ำอยู่แล้ว ก็ควรเลี่ยงที่จะกินยาที่เป็นขมิ้น [7] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ขมิ้นอาจมีผสมแทรกอยู่ในยาตามสั่งเพื่อใช้รักษาเบาหวานก็เป็นได้
-
เลี่ยงขมิ้นถ้าหากว่าคุณมีกรดในกระเพาะอาหารมากเกินไป. ถ้าคุณกินยาที่ใช้ควบคุมระดับกรดในกระเพาะอาหาร อย่าง Pepcid, Zantac หรือ Prilosec ก็ให้เลี่ยงการกินขมิ้น เพราะมันอาจไปแทรกฤทธิ์ยาเหล่านั้นได้ [8] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
เลี่ยงการกินขมิ้นถ้าคุณมีปัญหาเกี่ยวกับถุงน้ำดี. ถ้าถุงน้ำดีของคุณสุขภาพดี ขมิ้นก็จะไปช่วยควบคุมปริมาณการผลิตน้ำดีได้ แต่ถ้าคุณมีปัญหาเกี่ยวกับถุงน้ำดีอยู่ ขมิ้นก็อาจส่งผลเสียร้ายแรงให้ได้ ซึ่งอาจทำให้เป็นนิ่วหรือเกิดการอุดตันของท่อน้ำดีได้ [9] X แหล่งข้อมูลอ้างอิงโฆษณา
-
บรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย. ขมิ้นนั้นมีส่วนผสมที่มีประโยชน์อย่างเคอร์คูมินอยู่ เคอร์คูมินนั้นรู้กันว่าจะช่วยบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย เพราะมันจะส่งผลกับถุงน้ำดี ด้วยการให้ถุงน้ำดีผลิตน้ำดีออกมาเพิ่ม เคอร์คูมินสามารถช่วยย่อยและบรรเทาอาการท้องอืดได้ [10] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
ลดอาการอักเสบ. เคอร์คูมินมีฤทธิ์ในการช่วยบรรเทาอาการอักเสบได้ด้วย เช่น มันสามารถช่วยบรรเทาอาการทางแพทย์ได้มากมายหลายอย่าง ตั้งแต่โรคข้ออักเสบไปถึงโรคสะเก็ดเงินและอาการปวดหลังเรื้อรังหรือปวดคอ
- เคอร์คูมินจะป้องกันการทำงานของยีน COX 2 ซึ่งจะสร้างเอนไซม์ที่ทำให้เกิดการอักเสบเจ็บปวดได้ [11] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ PubMed Central ไปที่แหล่งข้อมูล
-
รักษาแผล. ขมิ้นมีสรรพคุณป้องกันเชื้อโรคอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งสามารถช่วยบรรเทาแผลและกันไม่ให้ติดเชื้อได้ [12] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ PubMed Central ไปที่แหล่งข้อมูล
-
ป้องกันโรคหัวใจ. โรคหัวใจนั้นมักจะเกิดจากการอุดตันในหลอดเลือดแดงที่ส่งไปทางหัวใจ ฤทธิ์ในการต้านการอักเสบของขมิ้นจะไปช่วยเรื่องการไหลเวียนของเลือด ซึ่งจะทำให้หลอดเลือดแดงไม่มีสิ่งอุดตันด้วย [13] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- การใช้ขมิ้นช่วยเรื่องการไหลเวียนเลือด และยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดหัวใจวายหรือการอุดตันของเส้นเลือดในสมองได้ด้วย
-
ป้องกันมะเร็ง. แม้ว่าจะยังไม่มีผลวิจัยออกมาแน่ชัดว่าขมิ้นจะรักษามะเร็งได้ แต่ผลเบื้องต้นก็ชี้ให้เห็นว่าขมิ้นสามารถชะลอหรือป้องกันการพัฒนาของเซลล์มะเร็งในลำไส้ ต่อมลูกหมาก และปอดได้ [14] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ PubMed Central ไปที่แหล่งข้อมูล
- ประชากรในอินเดียมีอัตราการเกิดมะเร็งในอวัยวะเหล่านี้ต่ำที่สุด (ต่ำกว่าสหรัฐอเมริกาถึง 13 เท่า) และนักวิจัยส่วนใหญ่ก็เชื่อว่าเครื่องเทศอย่างขมิ้นในแกงกะหรี่นั้นเป็นตัวทำให้ตัวเลขออกมาต่ำนั่นเอง
- คุณสมบัติการต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบที่โดดเด่นของขมิ้นนั้นยิ่งเป็นสิ่งที่ทำให้คิดได้ว่ามันสามารถใช้ช่วยป้องกันมะเร็งได้ การอักเสบมักเป็นปัจจัยที่ทำให้เซลล์มะเร็งพัฒนาขึ้นได้ [15] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ PubMed Central ไปที่แหล่งข้อมูล
- อย่าคิดจะรักษามะเร็งด้วยวิตามินหรือสมุนไพรจากธรรมชาติเท่านั้นนะ ถ้าคุณเป็นมะเร็ง อย่างไรก็ควรไปรับการรักษากับส่วนของรังสีและมะเร็งวิทยาอยู่ดี
โฆษณา
เคล็ดลับ
- แพทย์หลายๆ คนได้เปรียบเทียบการต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระระหว่างขมิ้นกับยาแก้ปวดไร้สเตียรอยด์ที่สามารถหาซื้อได้เอง โดยขมิ้นนั้นมีความเสี่ยงน้อยกว่า และมีผลข้างเคียงน้อยกว่ายาเหล่านั้น
- เคอร์คูมินในขมิ้นและยี่หร่านั้นมีคุณสมบัติคล้ายคลึงกัน มันเป็นทั้งสารต้านอนุมูลอิสระและต้านอาการอักเสบ แต่ยี่หร่าจะไม่ส่งผลเทียบเท่ากับขมิ้น
โฆษณา
ข้อมูลอ้างอิง
- ↑ http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/cancer/expert-answers/curcumin/faq-20057858
- ↑ http://www.umm.edu/health/medical/altmed/herb/turmeric
- ↑ http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/12676044
- ↑ http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/12676044
- ↑ http://www.webmd.com/vitamins-supplements/ingredientmono-662-turmeric.aspx?activeingredientid=662&activeingredientname=turmeric
- ↑ http://www.webmd.com/vitamins-supplements/ingredientmono-662-turmeric.aspx?activeingredientid=662&activeingredientname=turmeric
- ↑ http://www.webmd.com/vitamins-supplements/ingredientmono-662-turmeric.aspx?activeingredientid=662&activeingredientname=turmeric
- ↑ http://www.umm.edu/health/medical/altmed/herb/turmeric
- ↑ http://www.webmd.com/vitamins-supplements/ingredientmono-662-turmeric.aspx?activeingredientid=662&activeingredientname=turmeric
โฆษณา