ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

ถ้ามีรอยด่างดำและแผลเป็นจากสิวบนใบหน้า ไม่ว่าใครก็เสียเซลฟ์ได้ง่ายๆ แต่วันนี้คุณมาถูกที่แล้ว เพราะบทความวิกิฮาวนี้จะแนะนำวิธีการกำจัดแผลเป็นจากสิวให้คุณเอง ไม่ว่าจะเป็นรอยแผลเก่าหรือใหม่ ก็มีวิธีลดรอยให้จางลงหรือหายไปเลย

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

รักษารอยด่างดำและแผลเป็นจากสิวแต่เนิ่นๆ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. คุณแก้รอยแดงได้โดยใช้ครีมคอร์ติโซน ปกติคอร์ติโซน (cortisone) ใช้ต้านการอักเสบ เลยช่วยลดรอยแดงรอบๆ แผลเป็นได้ ทำให้ดูจางลง [1]
    • คุณหาซื้อครีมคอร์ติโซนได้ตามร้านขายยาโดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ ราคาไม่กี่ร้อย [2]
    • เลือกครีมที่เขียนว่า “non-comedogenic” คือไม่ใช้ส่วนผสมที่อุดตันรูขุมขนได้ เช่น โกโก้บัตเตอร์ น้ำมันดิน isopropyl myristate ไปจนถึงพิกเมนต์และสีย้อมต่างๆ [3] เพราะไม่มีใครอยากรักษาแผลเป็นจากสิวเก่าไปพร้อมๆ สิวที่ขึ้นใหม่แน่นอน
  2. อีกตัวที่ช่วยได้มาก คือ fade cream หรือครีมขจัดรอยด่างดำ ที่มีส่วนผสมของกรดโคจิกหรืออาร์บูติน ช่วยปรับความเข้มของเม็ดสีที่แตกต่าง เลยทำให้รอยด่างดำและแผลเป็นดูจางลง
    • ครีมแบบนี้หาซื้อได้ตามร้านขายยาและเครื่องสำอางทั่วไปในราคาไม่แพง
    • ระวังไฮโดรควิโนน ปกติ hydroquinone เป็นครีมทาเฉพาะจุดให้เม็ดสีจางลง แต่หลังๆ คนไม่ค่อยนิยมเพราะมีข่าวว่าอาจก่อมะเร็งได้
  3. retinoids มีทั้งแบบทาและกิน จะช่วยปรับสมดุลของผิว ไม่ให้เกิด “hyperkeratinisation” คือมีเซลล์ผิวเสื่อมสภาพในชั้นหนังกำพร้ามากเกินไปจนรูขุมขนอุดตัน พอผลัดผิวเรื่อยๆ รูขุมขนก็ไม่อุดตันแถมไม่เกิดสิวด้วย นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณต้านการอักเสบ ทำให้ผิวฟื้นตัว ดูเนียนสวยขึ้น [4]
    • ยาเรตินอยด์แบบทา เช่น Retin-A หรือ Tazorac ปกติใช้รักษาทั้งสิวและรอยแผลเป็น แต่ถ้าเป็น AHA (Alpha-hydroxy acids) กับ BHA (Beta-hydroxy acids) จะเป็น chemical peels คือใช้ผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วจากชั้นหนังกำพร้า เผยให้เห็นผิวใหม่ไร้รอยด่างดำข้างใต้
    • คุณซื้อยาเรตินอยด์แบบทา ทั้งครีมและเซรั่ม ได้โดยไม่ต้องมีใบสั่งจากแพทย์
    • หญิงตั้งครรภ์อย่าเพิ่งใช้เรตินอยด์ เพราะไม่ปลอดภัยต่อตัวอ่อนในครรภ์ [5]
  4. วิตามินซี (Ascorbic acid) ส่วนใหญ่จะใช้รักษารอยแผลเป็นจากสิวให้จางลงได้ คุณหาวิตามินซีมาใช้ได้ง่ายๆ เช่น น้ำเลมอน นอกจากมีสารต้านอนุมูลอิสระและสารต้านอักเสบแล้ว วิตามินซียังจำเป็นต่อการผลิตคอลลาเจนด้วย ซึ่งร่างกายต้องใช้ตอนซ่อมแซมเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน [6]
    • หรือจะใช้ครีม/เซรั่มบำรุงผิวที่มีวิตามินซีโดยเฉพาะเลยก็ได้ หาซื้อได้ตามร้านขายยาและเครื่องสำอางทั่วไป
    • ง่ายสุดคือเอาคอตตอนบัดชุบน้ำเลมอนแล้วใช้ทาหน้าหลังล้างทำความสะอาดแล้ว จากนั้นทิ้งไว้ไม่เกินครึ่งชั่วโมง อาจจะรู้สึกแสบๆ หรือไม่สบายหน้าบ้าง หรือหน้าแห้งเป็นพิเศษ เพราะงั้นใช้เสร็จต้องทามอยส์เจอไรเซอร์ด้วย [7]
    • อีกเวอร์ชั่นของวิธีใช้น้ำเลมอนทาหน้า คือให้ผสมน้ำผึ้งกับนมลงไปด้วย ในอัตราส่วน 1:2:3 (น้ำมะนาว:น้ำผึ้ง:นมสด) แล้วใช้มาสก์หน้าหลังล้างทำความสะอาด จากนั้นล้างออกภายในครึ่งชั่วโมง [8]
    • อย่าตากแดดนานๆ ถ้าเลือกใช้วิธีทาน้ำเลมอนให้ผิวกระจ่างใสขึ้น เพราะนอกจากโดนแดดนานๆ แล้วไม่ดีต่อแผลเป็นแล้ว น้ำเลมอนยังทำให้ผิวหนังอ่อนแอชั่วคราว อันตรายมากถ้าโดนแดด
    • วิธีนี้ก็เหมือนการใช้ยาทาภายนอกทั่วไป คือไม่เห็นผลทันทีทันใด แต่ก็ถือว่าปลอดภัย ช่วยรักษาและป้องกันสิวได้
  5. เพราะค่อนข้างอันตราย ถึงจะเป็นวิตามินเหมือนกันจนคิดว่าน่าจะดีต่อผิวหน้าหรือใช้ได้ปลอดภัยดี แต่จริงๆ มหาวิทยาลัยไมอามี (University of Miami) เขาวิจัยพบว่าจาก 90% ของกลุ่มตัวอย่าง ใช้วิตามินอีแล้วไม่ได้ทำให้รอยแผลเป็นดีขึ้นหรือแย่ลงแต่อย่างใด และดีขึ้นแค่ 10% ของคนที่เข้าร่วมการทดสอบทั้งหมดเท่านั้น [9]
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

รักษาแผลเป็นเก่าที่เห็นเด่นชัด

ดาวน์โหลดบทความ
  1. หลายคนแนะนำว่าควรรักษาแผลเป็นนูนหรือเห็นเด่นชัดกับหมอผิวหนังเลยจะเห็นผลกว่า ถึงจะดูยุ่งยากและกลัวแพง รักษาเองที่บ้านก็มีตั้งหลายวิธี แต่บอกเลยว่าหลายวิธีมีความเสี่ยง ถ้าปล่อยเป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญเขาจะดีกว่า
    • ไปหาคุณหมอโรคผิวหนัง (dermatologist) เพราะจะตรวจวินิจฉัยและรักษาได้ตรงจุดกว่า
    • ถ้าไม่เคยหาหมอผิวหนังมาก่อน ก็ลองให้คุณหมอทั่วไปแนะนำโอนเคสให้ หรือหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคลินิกผิวหนังดีๆ จากรีวิวในเน็ตก็ได้
  2. ปรึกษาคุณหมอเรื่องใช้สารเคมีที่แรงขึ้นมาหน่อยลอกหน้า (chemical peel) คุณหมอจะใช้สารเคมีที่แรงกว่ากรดผลไม้ทั่วไปมาลอกชั้นหนังกำพร้าออก พอผิวบางลง แผลเป็นก็จะตื้นขึ้น ดูจางลง [10]
    • การใช้สารเคมีลอกหน้าต้องให้คุณหมอผิวหนังผู้เชี่ยวชาญเป็นคนทำเท่านั้น ซึ่งวิธีการลอกและการดูแลตัวเองหลังทำ ก็จะต่างกันไปตามสภาพสิว ประเภทของผิว และปัจจัยอื่นๆ
  3. “Dermabrasion” คือการใช้แปรงลวดที่หมุนเร็วจี๋ กรอเอาหนังกำพร้าออกไป [11] ปกติวิธีการนี้จะช่วยขจัดรอยด่างดำและทำให้แผลเป็นตื้นขึ้น ดูจางลงได้
    • แต่ dermabrasion ก็ใช่จะปลอดภัย 100% เพราะอาจทำให้หน้าบวมแดงชั่วคราว รูขุมขนกว้างขึ้น ติดเชื้อ และอาจก่อแผลเป็นเพิ่มเติม (ในเคสที่หายาก) นอกจากนี้ยังอาจทำให้สีผิวเปลี่ยนไปได้ ในคนที่สีผิวเข้มตามธรรมชาติ
    • microdermabrasion จะอ่อนโยนต่อผิวหน้ากว่า โดยคุณหมอจะพ่นผงคริสตัลใส่หนังกำพร้า แล้วดูดกลับขึ้นมาพร้อมเซลล์ผิวที่ตายแล้ว [10] เป็นกระบวนการที่กำจัดเฉพาะผิวหน้าชั้นบนสุด เลยทำให้ไม่รุนแรงเท่าการกรอหน้าตามปกติ
  4. laser resurfacing คือการปรับสภาพผิวด้วยเลเซอร์ คุณหมอจะฉายแสงทำลายผิวชั้นนอกหรือหนังกำพร้า (epidermis) ทำให้ผิวชั้นกลางแน่นขึ้น พอผิวหนังฟื้นตัวกลับมาใน 3 - 10 วัน ก็จะดูเรียบเนียนขึ้น บางเคสต้องฉายซ้ำหลายทีกว่าแผลเป็นจากสิวจะดีขึ้น [12]
    • การทำหน้าด้วยเลเซอร์ไม่เหมาะกับทุกคนเสมอไป และผลที่ได้ก็แตกต่างกัน ซึ่งการที่บางคนใช้แล้วหน้าดีขึ้นแต่บางคนไม่ คุณหมอก็ยังไม่มีสาเหตุทางการแพทย์มาอธิบาย [13]
    • หลายคนทำเลเซอร์แล้วพอใจในผลที่ได้ แต่ส่วนน้อยเท่านั้นที่รักษาแผลเป็นหาย 100% [14] ถึงทำเลเซอร์แล้วจะทำให้แผลเป็นตื้นขึ้น ดูจางลง แต่ส่วนใหญ่จะไม่ทำให้แผลเป็นหายไปเลย และจะเห็นผลดีก็ต้องใช้วิธีอื่นควบคู่กันไป
  5. ทางเลือกสุดท้าย ถ้าทุกวิธีที่ว่ามาไม่ได้ผล ก็คือให้ลองปรึกษาคุณหมอเรื่องผ่าตัดรักษารอยโรคหรือแผลเป็นขนาดใหญ่ โดยคุณหมอจะใช้วิธี punch excision คือตัดหลุมสิวออกแล้วเย็บปิด หรือปลูกถ่ายผิวหนังทดแทน (skin graft) ถ้าเป็นแผลเล็กๆ ตื้นๆ ก็แค่เย็บปิด แต่ถ้าแผลใหญ่ ลึก ก็ต้องปลูกถ่ายผิวหนังทดแทนจากส่วนอื่นของร่างกาย [15]
    • ขอให้วิธีนี้เป็นทางเลือกสุดท้าย และต้องปรึกษาคุณหมอก่อนตัดสินใจ วิธีนี้ถือเป็นการผ่าตัดเล็กเลย เพราะฉะนั้นมีความเสี่ยงแน่นอน บางทีก็ต้องทำในห้องผ่าตัดและมีการวางยาสลบ แถมแพงอีกต่างหาก ที่สำคัญคือกว่าจะหายต้องใช้เวลา
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

ป้องกันแผลเป็นแต่แรก

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ถ้าตากแดดนานๆ หรือโดนแดดจัดๆ ระวังแผลเป็นจากสิวจะเข้มขึ้น (hyper-pigmentation) แถมทำให้หายช้าลง เพราะงั้นอย่าอาบแดดหรือทำกิจกรรมกลางแจ้งนานๆ พยายามอย่าโดนแดดตรงๆ โดยเฉพาะช่วงแดดจัดอย่างตอนกลางวัน
    • ทาครีมกันแดด (broad-spectrum SPF 30) ทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน แล้วทาใหม่ในอีก 2 ชั่วโมงถัดมา โดยเลือกยี่ห้อที่ไม่ทำให้รูขุมขนอุดตัน
    • ใส่หมวกปีกกว้างและแว่นกันแดดเพื่อการปกป้องอีกขั้น ถ้าแผลเป็นอยู่ที่แขน คอ หรือหลัง ก็ต้องใส่เสื้อผ้าปกปิดให้มิดชิดด้วย
  2. แผลเป็นส่วนใหญ่จะเป็นคอลลาเจน เพราะเป็นการรักษาตัวตามธรรมชาติของร่างกาย ถ้าไปคุ้ยแคะแกะเกาสิวหรือรอยแผลเป็นจากสิว ก็อาจทำให้เนื้อเยื่อระคายเคืองและหายช้ากว่าเดิมได้
    • ให้ล้างหน้าด้วย cleanser สูตรอ่อนโยน เพื่อขจัดความมันและสิ่งสกปรกตกค้างอันเป็นต้นเหตุของสิว จะใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวโดยเฉพาะที่ขายกันตามร้านขายยาและเครื่องสำอางก็ได้ โดยเลือกที่มี benzoyl peroxide เป็น active ingredient หรือส่วนผสมหลัก [16]
    • ระวังทุกอย่างที่แตะต้องใบหน้า อย่างผมก็ต้องสะอาด ไม่ปรกระใบหน้า และอย่าเอามือเท้าคาง ส่วนหน้าจอมือถือก็ต้องเช็ดให้สะอาด
  3. อย่าล้างหน้าอาบน้ำบ่อยไปหรือน้อยไป ถ้าน้อยไปจะเหลือเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว รวมถึงน้ำมันส่วนเกิน แบคทีเรีย และสะเก็ดผิวหนังสะสม จนอุดตันรูขุมขน เกิดสิวและรอยด่างดำ แต่ถ้าล้างหน้าอาบน้ำบ่อยไป จะทำให้ผิวแห้ง ระคายเคือง ร่างกายยิ่งขับน้ำมันส่วนเกิน สิวเลยเห่อกว่าเดิม สรุปแล้วคืออย่าอาบน้ำล้างหน้าเกิน 2 ครั้งต่อวัน และใช้น้ำยาและ cleanser ต่างๆ ที่เป็นสูตรอ่อนโยน สลับกับสครับเพื่อผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วบ้าง แต่อย่าเลือกที่ขัดหยาบเกินไป เช่น พวกสครับเศษอัลมอนด์หรือเปลือกแอพริคอท เพราะระคายเคืองหรือทำผิวเสียได้
    • ถ้าออกกำลังกายและ/หรือทำกิจกรรมอะไรมาเหงื่อโชก ก็ต้องอาบน้ำเพื่อป้องกันแบคทีเรียเจริญเติบโตบนผิวหนัง
    • ล้างมือ ให้สะอาดทุกครั้งที่สกปรก และอย่าแตะต้องใบหน้าหรือจุดอื่นๆ ที่มีปัญหาผิวหนัง เพราะอาจทำให้แบคทีเรียและสิ่งสกปรกต่างๆ เข้าไปในรากผม/ขน จนเกิดสิวได้
  4. ผลิตภัณฑ์ที่มี isopropyl alcohol จะลอกหนังกำพร้า ทำผิวแห้งได้ ต่อมไขมันเลยยิ่งขับน้ำมันส่วนเกินออกมา ทำให้สิวเก่าลุกลาม และสิวใหม่เห่อขึ้นมา
  5. คนเป็นสิวหรือรอยแผลเป็นจากสิว มักร้อนใจจนไม่เลือกวิธีการรักษาให้ถ้วนถี่ แต่นอกจากไม่ได้ผลแล้ว ยังอาจลุกลามเป็นอันตราย เพราะงั้นต้องปรึกษาคุณหมอโรคผิวหนัง เพื่อรักษาให้ตรงจุด ทำตามที่คุณหมอสั่งอย่างเคร่งครัด และรักษาอย่างต่อเนื่อง
    • วิธีรักษาก็เช่น กินยาปฏิชีวนะ ทายาเรตินอยด์ และ fade cream นอกจากนี้คุณหมออาจรักษาด้วยวิธีอื่นเพิ่มเติม เพื่อป้องกันสิวในระยะยาวต่อไป
    • ทำตามที่คุณหมอสั่งอย่างเคร่งครัด แต่หลักๆ คืออย่าใจร้อน เพราะการรักษาโรคผิวหนังต้องใช้เวลา
    โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 2,450 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา