ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

อาชีพนักวิจารณ์อาหารนั้นจะต้องสามารถประเมินรสชาติ รสสัมผัส กลิ่น และหน้าตาของอาหารได้อย่างถูกต้องเหมาะสม คุณไม่เพียงแต่พูดถึงอาหาร แต่ยังต้องรวมปึงบรรยากาศ ความใส่ใจและความรู้ของบริกรในร้าน ความเร็วในการให้บริการ ความรู้สึกประทับใจโดยรวมของร้านอาหารหรือร้านกาแฟแห่งนั้นๆ บทวิจารณ์อาหารที่ดีจะเหมือนนำผู้อ่านมานั่งร่วมโต๊ะกับคุณเลย ทำให้พวกเขาได้ตัดสินใจว่าอยากจะแวะมาชิมที่ร้านนั้นหรือไม่หลังจากอ่านบทวิจารณ์ของคุณ

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

เขียนบทวิจารณ์

ดาวน์โหลดบทความ
  1. หลังจากรับประทานเสร็จและจดบันทึกเรียบร้อยแล้ว ใช้เวลาสักนิดดูประวัติของร้านอาหารแห่งนั้น รายละเอียดแบบนี้เป็นวิธีที่จะเพิ่มสีสันให้กับบทวิจารณ์ เช่น คุณอาจพบว่าหัวหน้าเชฟได้รับการฝึกมาจากฝรั่งเศส หรือเคยทำงานในร้านอาหารดัง คุณสามารถใช้เรื่องราวเชื่อมโยงเหล่านี้ในการทำให้คนเกิดความสนใจในอาหารของร้านนั้น
    • เริ่มด้วยการอ่านเว็บไซต์ของร้าน ขอพบเจ้าของร้านหรือเชฟเพื่อรับทราบไอเดียของสไตล์และผลงานในอดีต
  2. ประโยคแรกของบทวิจารณ์ควรทำให้คนอยากอ่านต่อ จำไว้ว่าไม่เพียงแต่คุณกำลังบอกเหตุผลที่พวกเขาควรจ่ายเงินลองชิมอาหารร้านนั้นหรือไม่ก็มองข้ามไปร้านอื่นเลย แต่คุณยังต้องทำให้พวกเขาสนใจอ่านบทความของคุณต่อด้วย เคล็ดลับประโยคสะดุดตาผู้อ่านก็เช่น:
    • สัญญาว่าจะมีเรื่องราวหรือเรื่องชวนประหลาดใจ อย่างเช่น “อาจต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะได้ลิ้มรสมัน แต่ฉันค้นพบว่านี่คือคัพเค้กที่อร่อยที่สุดในโลก” กระนั้น ให้แน่ใจว่าคุณทำได้ตามสัญญานั้นด้วย!
    • นำเสนอข้อเท็จจริงที่น่าสนใจแต่แทบไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น “เชฟกวินเพิ่งเริ่มหัดทำอาหารเมื่อ 2 ปีก่อนมานี้นี่เอง แต่เขาสามารถก้าวขึ้นมาเปิดร้านเบอร์เกอร์ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพ”
    • อธิบายส่วนสำคัญทั้งที่ดีและไม่ดีที่มีผลต่อบรรยากาศโดยรวม เช่น วิวดี หรือกลิ่นแปลกๆ ที่ลอยมาจากในครัว
  3. บรรยายอาหาร 3-5 จานที่คุณได้ลอง ไม่ต้องบรรยายไปเสียทั้งหมด. ไม่มีใครต้องการอ่านรายชื่ออาหารเป็นแถวยาวเหมือนบัญชีส่งซักเสื้อผ้า แค่เลือกจานเด่นที่ทำให้คุณประทับใจ (ไม่ว่าดีหรือแย่) และเน้นการเขียนไปที่อาหารจานนั้นๆ อย่าบอกแค่มันดีหรือแย่ ลงลึกในรายละเอียดและบอกเหตุผลในอาหารแต่ละจานที่เลือก โดยรวมแล้วคุณควรลองพูดถึงสามสิ่งต่อไปนี้ในทุกการวิจารณ์อาหาร: [1]
    • การนำเสนอ: อาหารมีหน้าตาแบบไหนตอนนำมาเสิร์ฟ มันทำให้คุณรู้สึกอย่างไร ตื่นเต้น? หิว? รู้สึกประหนึ่งราชา? เสมือย้อนกลับไปอยู่ในห้องครัวที่บ้านเกิดอีกครั้ง?
    • รสชาติ: ตรงนี้แน่นอนอยู่แล้ว แต่นั่นเป็นเพราะมันสำคัญมากๆ ไง ให้ใช้ภาษาแบบบรรยายโวหาร มีอุปมาอุปมัยการเปรียบเทียบ เพื่อทำให้ผู้อ่านได้เข้ามานั่งที่คุณ บอกเครื่องเทศและเครื่องปรุงรสเวลาที่มีจังหวะให้พูดถึงได้
    • รสสัมผัส: นี่มักจะรวมไปถึงกระบวนการปรุงอาหารด้วย มันละลายในปากเลยหรือเปล่า ตอนนำมาเสิร์ฟยังร้อนอยู่ไหม มันชุ่มฉ่ำและนุ่มลิ้นหรือแข็งกรอบ หรือมันมีรสสัมผัสหลากหลาย (เช่นข้างนอกกรอบแต่สอดไส้นุ่มหนึบไว้ข้างใน) แล้วรวมกันมันเข้าท่าไหม
  4. จำไว้ว่าเหนือสิ่งอื่นใดนั้น คุณกำลังขายประสบการณ์ไม่ใช่แค่อาหาร จงปลดปล่อยความเป็นกวีของคุณลงในงานเขียน ใช้คำบรรยายที่เหมาะสมไม่กี่คำที่จะทำให้ผู้อ่านรู้ว่าควรคาดหวังอย่างไรกับร้านอาหารนั้น คุณอาจคิดถึงมันว่าเป็นเรื่องสั้นการเดินทางไปชิมอาหาร ให้รายละเอียดและการบรรยายเพิ่มเติมที่เต็มไปด้วยสีสันที่จะทำให้ร้านอาหารร้านนั้นดูโดดเด่นขึ้นมา
    • นั่นจะรวมไปถึงบรรยากาศ หน้าตาและสถานที่ตั้งของร้าน ยิ่งให้รายละเอียดจำเพาะก็ยิ่งดี ลองเน้นรายละเอียดสักอย่างในทุกส่วนของร้านอาหาร
  5. คิดถึงเจตนาของร้านอาหาร ไม่ใช่แค่ความคิดส่วนตัวของคุณ. บทวิจารณ์อาหารที่ดีนั้นควรช่วยให้คนอื่นๆ ค้นพบร้านอาหาร ไม่ใช่แค่เป็นข้อมูลที่จะบอกว่าคุณชอบหรือไม่ชอบอะไร เช่น หากคุณไปร้านอาหารที่วาดภาพแนวเรทโทรบนผนังและมีสาวเสิร์ฟใส่สเก็ต มันคงไม่ยุติธรรมที่จะตัดสินร้านอาหารที่เชี่ยวชาญเรื่องเบอร์เกอร์กับเฟรนช์ฟรายด์แบบนี้ด้วยจานหอยนางรม นักวิจารณ์ที่ดีต้องปราศจากอคติที่สุด และจะประเมินร้านอาหารเป็นภาพรวมทั้งหมด
    • บรรยากาศแบบไหนที่ร้านต้องการจะนำเสนอ แล้วร้านทำได้สำเร็จไหม
    • ความชมชอบส่วนตัวของคุณตรงกับร้านอาหารแค่ไหน หากคุณเกลียดอาหารทะเล แต่มันเป็นจานเด่นประจำร้าน คุณอาจต้องลดคำวิจารณ์ด้านลบของตนในจานแซลมอน หรือสารภาพกับผู้อ่านไปว่าคุณไม่ใช่คนที่ชอบทานปลานะ [2]
  6. เว้นเสียแต่ว่านี่คือร้านอาหารที่ดีที่สุดหรือเลวที่สุดเท่าที่คุณเคยทานมาในชีวิต แต่ปกติแล้วมันไม่ยุติธรรมเท่าไหร่ที่จะเขียนบทวิจารณ์ที่มีแต่ข้อดีหรือข้อเสีย พยายามทำให้ผู้อ่านได้มองเห็นภาพรวมอย่างสมบูรณ์ นี่จะทำให้ผู้อ่านได้ตัดสินด้วยตัวเองโดยอาศัยคำแนะนำของคุณ ซึ่งจะสมเหตุสมผลมากกว่าถ้าจะบอกไปทั้งข้อดีข้อเสีย
    • "ถึงแม้ว่าบริกรจะใส่ใจและให้บริการอย่างดียิ่ง แต่มันก็ไม่อาจเปลี่ยนความจริงที่ว่าอาหารออกจะเย็นชืดไปนิดเมื่อถูกเสิร์ฟออกมา"
    • "หัวหน้าเชฟแมทธิว ทุชชี่ออกแบบเมนูได้ยอดเยี่ยมมาก น่าเสียดายที่ร้านของเขามีพื้นที่เล็กจนรับรองโต๊ะได้เพียง 10 โต๊ะเท่านั้น"
  7. ถึงที่สุดแล้วผู้อ่านต้องการคำแนะนำของคุณในเรื่องอาหาร ควรสั่งอะไร ไม่ควรสั่งอะไร และควรไปร้านไหนถ้าต้องการบรรยากาศแบบไหน คุณควรเขียนแนะนำอาหารจานที่คุณชื่นชอบ แนะนำว่าควรมองข้ามของหวาน หรือเอ่ยไปว่าที่นี่เหมาะจะเป็นสถานที่ออกเดท นี่จะทำให้บทวิจารณ์ของคุณมีประโยชน์ต่อผู้อ่าน
    • หากร้านนั้นมีข้อดีเพียงน้อยนิดและคุณเชื่อมั่นว่าควรเลี่ยงที่จะไปใช้บริการ จงเขียนบทวิจารณ์ด้านลบไปได้เลย กระนั้น เพื่อความแน่ใจก็ควรจะลองไปใช้บริการที่ร้านนั้นซ้ำอีกครั้งก่อน ให้แน่ใจว่าคราวแรกไม่ได้บังเอิญดวงซวยก่อนจะเขียนโจมตี [3]
  8. เติมรายละเอียดสำคัญของร้านอาหารในตอนต้นและตอนท้ายของบทวิจารณ์. นี่เป็นส่วนที่คุณจะบอกราคาอาหารโดยเฉลี่ย เวลาที่ใช้จอง และที่อยู่ คุณอาจให้ดาว เช่น 3 ดาวจาก 4 ดาวก็ได้ นักวิจารณ์หลายคนจะใส่มันลงไปท้ายบทวิจารณ์โดยแยกบรรทัดออกมาต่างหาก บางคนก็ใส่ไว้ข้างบนเลย โดยแยกเป็นแถวข้างๆ อีกแถว หรืออยู่ในบรรทัดแรก
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

ใส่รายละเอียดที่เหมาะสม

ดาวน์โหลดบทความ
  1. หลีกเลี่ยงการบอกพนักงานว่าคุณเป็นนักวิจารณ์อาหาร. คุณต้องการจะได้ประสบการณ์การใช้บริการเหมือนลูกค้าทั่วไป เพราะร้านอาหารหลายร้านจะทำอาหารให้คุณเป็นพิเศษถ้ารู้ว่าเป็นนักวิจารณ์อาหาร แทนที่จะบอกว่าคุณมาวิจารณ์อาหาร แค่เข้าไปในร้านแล้วทำตัวเป็นลูกค้าทั่วไปคนหนึ่ง สมาคมนักเขียนเรื่องอาหารถึงกับแนะนำให้คุณเลี่ยงเหตุการณ์พิเศษ (งานเปิดตัว งานเลี้ยงพนักงาน) อะไรแบบนั้นด้วยซ้ำ เพื่อจะได้ไม่เสี่ยงถูกเชฟตีสนิทหวังผลวิจารณ์ด้านดี
    • หากคุณเป็นนักวิจารณ์อาหารที่พอมีชื่อเสียง ก็ควรจองโต๊ะโดยใช้ชื่ออื่น
    • คุณยังควรเอาโน้ตบุ๊คหรือเทปบันทึกเสียงเล็กๆ ติดไปด้วยเพื่อบันทึกข้อสังเกต หรือจะใช้โทรศัพท์มือถือก็ได้ แต่จะเขียนบทวิจารณ์ที่ดีควรต้องเก็บรายละเอียดทั้งหมดไม่ให้พลาด
  2. คุณต้องจองล่วงหน้าไหม ต้องใช้เวลารอนานขนาดไหน ร้านตั้งอยู่ที่ใด สภาพแถวนั้นเป็นอย่างไรบ้าง จอดรถสะดวกไหม ข้อเท็จจริงเหล่านี้เป็นส่วนเล็กๆ ในบทวิจารณ์ของคุณก็จริง แต่ข้อมูลเหล่านี้มีประโยชน์อย่างยิ่งที่จะช่วยผู้อ่านที่จะกลายเป็นลูกค้าทางร้านได้เลือกร้านที่เหมาะที่สุดสำหรับค่ำคืนของพวกเขา [4]
  3. บรรยายบรรยากาศและสภาพแวดล้อมเมื่อคุณก้าวเข้าไป. ให้ผู้อ่านได้รู้สึกเหมือนที่คุณรู้สึก พนักงานที่ร้านปฏิบัติต่อคุณเหมือนครอบครัวหรือสหายเก่า หรือสถานที่นั้นหรูหราอลังการ ควรแต่งตัวแบบไหน ในร้านมีบรรยากาศอย่างไร ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการบรรยาย บทวิจารณ์อาหารที่ดีจะไม่บอกแต่อาหาร แต่จะครอบคลุมประสบการณ์การใช้บริการทั้งหมด
    • การตกแต่งภายในร้านสร้างบรรยากาศที่เชิญชวนหรือไม่
    • ลูกค้าในร้านดูพอใจกับอาหารหรือเปล่า เป็นโต๊ะใหญ่ให้พูดคุยสังสรรค์ หรือโต๊ะเล็กที่เน้นความใกล้ชิด
  4. หลีกเลี่ยงที่จะบอกแค่ “การบริการดี/ไม่ดี” คุณจำต้องเน้นลงไป วิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้ทราบได้คือถามคำถาม คุณไม่อยากดูจุ้นจ้านก็จริง แต่บริกรที่ดีจะรู้ว่าอาหารจานไหนที่จะมีรสชาติไปด้วยกัน รู้ว่าจานไหนมีสารก่อภูมิแพ้อะไรแฝงอยู่บ้าง รวมไปถึงหน้าตาโดยทั่วไปของอาหารแต่ละจาน และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ บริกรที่ดีจะอยู่ที่นั่นเสมอในทุกครั้งที่คุณต้องการตัวเขา ไม่ว่าเวลาที่น้ำในแก้วเริ่มพร่อง เวลาที่ช้อนส้อมบังเอิญหล่น และเวลาที่คุณพร้อมจะให้เสิร์ฟจานถัดไป
  5. คุณไม่สามารถทานทุกอย่างในเมนูได้อยู่แล้ว แต่กระนั้นคุณก็ควรสั่งให้หลากหลายครบทุกภาคส่วนของเมนูเท่าที่จะทำได้ ให้แน่ใจว่าได้สั่งเครื่องดื่ม ของทานเล่น อาหารจานหลัก และของหวานเพื่อทราบถึงความสามารถโดยรวมของครัว ถ้าเป็นไปได้ควรรวมกลุ่มเพื่อนไปโดยที่แต่ละคนสั่งอาหารที่แตกต่างกัน (เนื้อ/ปลา, ซุป/สลัด, นึ่ง/ผัด) เพื่อให้เห็นภาพว่าครัวนี้รับมืออาหารทั้งร้านได้ไหวไหม
    • ในฐานะนักวิจารณ์อาหาร คุณจำต้องลองทุกสิ่งที่ทำได้เพื่อให้ได้ภาพรวมที่ชัดเจนของร้านอาหารร้านนั้น
    • แน่นอนว่าสิ่งที่คุณสั่งก็เป็นเรื่องของความชอบส่วนตน อย่างไรก็ดี ให้บริกรแนะนำอาหารจานเด่นก็เป็นวิธีที่ดีในการดูว่าทางครัวกับบริกรภาคภูมิใจในอะไรที่สุด บริกรส่วนใหญ่จะได้เคยชิมอาหารที่อยู่ในเมนูพร้อมคำแนะนำของเชฟ ดังนั้นพวกเขาจึงควรช่วยคุณเลือกอาหารที่โดดเด่นได้
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

รับประทานอย่างนักวิจารณ์อาหาร

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ทันทีที่อาหารถูกเสิร์ฟถึงโต๊ะ พิจารณาสังเกตการณ์นำเสนออาหารจานนั้น ดูว่ามันสะอาดงามตาหรือว่าเลอะเทอะดูเหนื่อยหน่าย จำไว้ว่าบทวิจารณ์อาหารคือประสบการณ์การชิมไม่ใช่แค่รสชาติ คุณจึงต้องเก็บรายละเอียดให้ครบทั้งหมด
    • หากคุณอยู่ในร้านอาหารที่อนุญาตให้ทำเช่นนี้ได้ ลองเก็บภาพอาหารด้วยโทรศัพท์มือถือ จะช่วยให้เขียนถึงมันได้ง่ายขึ้นในตอนหลัง
  2. ดื่มด่ำในรสชาติอาหารสองสามคำแรก ลองทุกสิ่งในจานก่อนจะเขียนอะไรลงไป ทานช้าๆ และอิ่มอร่อยในอาหารก่อนจะพยายามหาข้อวิพากษ์วิจารณ์
    • ให้แน่ใจว่าคุณได้ทานอาหารในแบบที่มันตั้งใจจะให้ทานเช่นนั้นก่อน อย่าเลือกทานบางอย่างหรือลองแต่ละส่วนแยกจากกัน ค่อยทำทีหลัง
  3. ใช้คำบรรยายคุณศัพท์และภาษาที่ชัดเจนเวลาเขียนข้อสังเกต “ฉันชอบการใช้โรสแมรี่” ไม่เป็นประโยชน์เท่า “โรสแมรี่บดส่งกลิ่นหอมสมุนไพรเจือจางและเข้ากันได้ดีกับมันฝรั่งที่นุ่มจนแทบละลาย” อย่างที่บอก นี่เป็นเวลาที่จะต้องตั้งข้อสังเกตเก็บรายละเอียด ดังนั้นอย่ากังวลเรื่องภาษาว่าจะต้องสมบูรณ์แบบเป๊ะ
    • การเขียนระบุรายละเอียดไปเลยว่า “เหตุใด” คุณถึงชอบ/ไม่ชอบอาหารจานนั้นจะทำให้คุณเขียนบทวิจารณ์ทีหลังได้ง่ายขึ้นมาก
  4. นี่คือจุดที่คุณจะเริ่มลงในรายละเอียดของบทวิจารณ์อาหารที่ดี ลองแต่ละส่วนแยกจากกัน และตรวจสอบตามเกณฑ์ดังต่อไปนี้:
    • รสสัมผัส คุณรู้สึกกับอาหารอย่างไรเมื่อทานเข้าไป ระบุเจาะจงไปเลยเพราะรสสัมผัสนั้นมีหลากหลาย ทั้งดีและแย่
    • เครื่องปรุงรส: เครื่องปรุงรสนั้นช่วยเพิ่มรสชาติอย่างคงที่ตลอดทั้งมื้อหรือไม่ คุณบอกได้ไหมว่าใช้เครื่องปรุงรสอะไรบ้าง
    • ความซับซ้อนของรสชาติ: ตรงนี้ค่อนข้างอธิบายยาก ความซับซ้อนนั้นเป็นการวัดความหลากหลายทางรสชาติของอาหาร พ่อครัวที่ดีจะไม่ทำแค่ “รสมะนาว” หรือ “กระเทียมพริกไทยดำ” พวกเขาจะทำอาหารที่มีรสชาติโดดเด่นและมีความกลมกลืน ส่วนต่างๆ ที่แยกจากกันในจานเมื่อนำมารวมกันแล้วกลายเป็นอาหารรสชาติแปลกใหม่หรือเยี่ยมยอดกว่าการอยู่แยกกันแต่ละส่วนหรือไม่
  5. หากคุณไปกันเป็นกลุ่ม ให้แน่ใจว่าได้ลองทานอาหารทุกจานและจดข้อสังเกตเอาไว้ นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการมองเห็นภาพรวมทั้งหมดของจุดแข็งและจุดอ่อนของเมนูและร้านอาหาร
    • ให้แน่ใจว่าได้เขียนชื่ออาหารตรงกับเมนูเพื่ออ้างอิงภายหลังได้ถูกต้อง ผู้อ่านจะได้รู้ว่าต้องสั่งหรือต้องเลี่ยงอะไร
  6. บทวิจารณ์อาหารที่ดีจะยึดอยู่บนข้อเท็จจริง ดังนั้นจงแน่ใจว่าคุณมีข้อเท็จจริงประกอบการเขียนเพียงพอ แน่ละว่าการวิจารณ์รสชาติอาหารเป็นเรื่องปัจเจกบุคคล แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณควรบอกแค่ชอบหรือไม่ชอบอะไร จะเป็นการง่ายที่สุดถ้าคุณจดข้อสังเกตทันทีหลังทานเสร็จ คุณจะได้ไม่ต้องพึ่งแต่ความจำว่าต้องจำได้ทุกอย่าง นักวิจารณ์อาหารที่แท้จริงนั้นจะจดข้อสังเกตไว้เสมอ [5]
  7. หากคุณอยากรู้ว่าในซอสมีส่วนผสมอะไร ต้องเตรียมอาหารอย่างไร หรือส่วนผสมที่มีราคาแพง (เนื้อ, ชีสราคาแพงระยิบ เป็นต้น) มาจากที่ไหน ให้สอบถามได้เลย ในร้านอาหารหรูนั้นบริกรจะได้รับการฝึกให้รู้จักอาหารที่จะเสิร์ฟ ดังนั้นพวกเขายินดีตอบคำถามของคุณเสมอ [6]
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • เปิดใจให้กว้างกับอาหารทุกจานที่ชิม
  • หลีกเลี่ยงการใช้คำเปรียบเทียบระดับสูงสุด เช่น “ดีที่สุด” หรือ “แย่สุดๆ” เพราะมันจะทำลายความน่าเชื่อถือและไม่ทำให้ผู้อ่านได้ข้อมูลอะไรมาก จะดีที่สุดหรือแย่ที่สุดล้วนเป็นเรื่องแล้วแต่คน คุณแค่ต้องการบอกข้อเท็จจริงแก่ผู้อ่าน
โฆษณา

คำเตือน

  • การบอกร้านอาหารว่าคุณเป็นนักวิจารณ์อาหารอาจทำให้ได้ทานอาหารหรือเครื่องดื่มฟรี แต่มันทำให้ได้พบการนำเสนอที่ผิดจากปกติจากร้านอาหาร และแนะนำว่าไม่ควรทำเช่นนั้น
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 8,567 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา