ดาวน์โหลดบทความ
ดาวน์โหลดบทความ
“เรากำลังทำอะไรกับชีวิตตัวเองอยู่? เราต้องการอะไรกันแน่? เรากำลังจะเดินไปทางไหน?” นี่มักจะเป็นคำถามเดิมๆ ที่คนส่วนใหญ่ชอบถามกับตัวเอง ซึ่งปกติแล้วการคิดแบบมองไปข้างหน้าแบบนี้ ถือเป็นขั้นตอนแรกของการสร้างและเขียนเป้าหมายต่างๆ บางคนอาจจะหยุดอยู่ที่คำตอบแบบกว้างๆ และคุลมเครือ ในขณะที่บางคนใช้คำถามแบบเดียวกันเพื่อสร้างเป้าหมายที่ชัดเจนและมีความเป็นไปได้ขึ้นมา ซึ่งการเขียนเป้าหมายออกมาให้มีความชัดเจน จะช่วยเพิ่มแนวโน้มของความสำเร็จให้มีมากยิ่งขึ้น และการบรรลุเป้าหมายก็มักจะมาพร้อมกับความสุขและชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของตัวเราเอง [1] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง McGregor, I., & Little, B. R., 1998
ขั้นตอน
-
กำหนดสิ่งที่ตัวเองต้องการ. หากคุณรู้ว่าตัวเองต้องการอะไรหรืออยากจะทำอะไรให้สำเร็จ นั่นอาจจะเป็นแรงกระตุ้นให้คุณเริ่มลงมือทำในสิ่งนั้น แต่ถ้าหากคุณไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจนพอ นั่นอาจจะทำให้คุณหลงอยู่กับการทำเป้าหมายที่มีความคลุมเครือหรือเป้าหมายที่มีการเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้น การกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนจึงเป็นสิ่งที่จะช่วยป้องกันไม่ให้คุณเสียเวลาหรือพลังงานของตัวเอง และอาจจะเป็นแรงผลักดันให้คุณลงมือทำเป้าหมายเหล่านั้นให้สำเร็จได้อีกด้วย
- ตัวอย่างเช่น พนักงานบางคนอาจจะไม่รู้สึกอยากจะทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย เพราะคำสิ่งที่ได้มันดูคลุมเครือ ไม่มีหลักการ หรือแนวทางอะไรให้เลย กลับกันพนักงานบางคนมีแรงจูงใจในการทำงานมากขึ้น เมื่อพวกเขาได้รับมอบหมายงานที่มีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนและมีการให้ฟีดแบคตอบกลับมา [2] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง Locke, E. A. (1968). Toward a Theory of Task Motivation and Incentives. Journal of Organizational Behavior and Human Performance, 3, 157-189.
- ตัวอย่างของเป้าหมายที่ดูคลุมเครือและกว้างเกินไปก็อย่างเช่น “ฉันอยากมีความสุข” “ฉันอยากประสบความสำเร็จ” และ “ฉันอยากจะเป็นคนดี”
-
มีความชัดเจนเมื่อกำลังจะกำหนดเงื่อนไขให้เป้าหมาย. การทำความเข้าใจว่าตัวเองกำลังพยายามจะทำอะไรให้สำเร็จอยู่นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ดังนั้น ให้คุณกำหนดความชัดเจนให้กับเป้าหมายที่ยังดูกว้างและคลุมเครืออยู่ [3] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง Fischhoff, B., Slovic, P., & Lichtenstein, S. (1988). Knowing what you want: Measuring labile values. Decision Making: Descriptive, Normative and Prescriptive Interactions, Cambridge University Press, Cambridge, 398-421. (Chapter 18) ตัวอย่างเช่น หากคุณบอกว่าคุณอยากจะประสบความสำเร็จ คุณก็ต้องกำหนดให้แน่นอนว่าความสำเร็จในความหมายของคุณมันคืออะไร สำหรับบางคนอาจจะหมายถึงการหาเงินได้เยอะๆ แต่สำหรับบางคนอาจจะหมายถึงการเลี้ยงดูลูกๆ ให้มีสุขภาพแข็งแรงและมีความมั่นใจ
- การกำหนดขอบเขตและเป้าหมายให้ชัดเจน จะช่วยทำให้คุณเริ่มมองตัวเองเป็นคนที่มีคุณสมบัติตามที่ตัวเองกำหนดไว้อยู่ [4] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง Fischhoff, B., Slovic, P., & Lichtenstein, S. (1988). Knowing what you want: Measuring labile values. Decision Making: Descriptive, Normative and Prescriptive Interactions, Cambridge University Press, Cambridge, 398-421. (Chapter 18) ตัวอย่างเช่น หากคุณมองว่าความสำเร็จในความหมายของคุณ คือการประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน คุณก็อาจจะตั้งเป้าหมายว่าจะพาตัวเองไปฝึกอบรมวิชาชีพและจากนั้นก็เริ่มต้นอาชีพที่ตัวเองเลือกไว้
-
ลองคิดดูว่าคุณต้องการสิ่งเหล่านี้จริงๆ หรือไม่. เป็นเรื่องปกติที่คุณจะรู้สึกว่าตัวเองอยากจะได้บางสิ่งบางอย่างโดยที่ไม่ได้ถามตัวเองเลยว่าทำไมคุณถึงต้องการสิ่งนั้น แต่ว่าในบางครั้ง คุณอาจจะรู้สึกว่าเป้าหมายเหล่านั้นไม่ได้ตรงกับความฝันหรือความต้องปรารถนาจริงๆ ของชีวิตคุณเลย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็อย่างเช่น อิทธิพลจากมุมมองและแนวคิดทางสังคม เด็กหลายคนอาจจะบอกว่าพวกเขาต้องการจะเป็นหมอหรือเป็นนักดับเพลิงเมื่อพวกเขาโตขึ้น โดยที่ไม่เข้าใจว่าจริงๆ แล้วสิ่งนั้นอะไร หรือมาค้นพบทีหลังว่าเป้าหมายเหล่านั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว [5] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง Brunstein, J. C. (1993). Personal goals and subjective well-being: A longitudinal study. Journal of Personality and Social Psychology, 65, 1061–1070. [6] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง Perrone, K. M., Civiletto, C. L., Webb, L. K., & Fitch, J. C. (2004). Perceived barriers to and supports of the attainment of career and family goals among academically talented individuals. International Journal of Stress Management, 11, 114–131.
- ถามตัวเองดูว่าเป้าหมายของตัวเองนั้นได้รับอิทธิพลมาจากคนรอบตัวหรือเปล่า อย่างเช่น ความคาดหวังจากพ่อแม่หรือคนสำคัญคนอื่นๆ หรือแรงกดดันทางสังคมจากเพื่อนๆ หรือสื่อต่างๆ
- เป้าหมายที่คุณตั้งขึ้นควรจะเป็นบางสิ่งบางอย่างที่คุณต้องการทำให้ตัวคุณเอง ไม่ใช่ทำให้คนอื่น
-
พิจารณาถึงแรงจูงใจของตัวเอง. คุณกำลังพยายามที่จะบรรลุเป้าหมายหรือทำอะไรบางอย่างเพื่อลบคำสบประมาทของใครบางคนอยู่หรือเปล่า? เมื่อเหตุผลของแต่ละคนแตกต่างกันออกไป คุณก็ต้องถามตัวเองด้วยว่าเป้าหมายที่คุณมีมันเหมาะกับตัวคุณจริงๆ หรือเปล่า ถ้าหากว่าไม่ใช่ นั่นอาจจะทำให้ตัวคุณเองรู้สึกขาดอะไรบางอย่างไปและหมดไฟไปซะก่อน [7] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง Schunk, D. H. (1990). Goal setting and self-efficacy during self-regulated learning. Educational Psychologist, 25, 71– 86.
- ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการจะเป็นหมอ ลองถามตัวเองดูว่า เป็นเพราะว่าคุณอยากจะช่วยเหลือผู้คนหรือเพราะว่าอาชีพนี้ได้เงินเยอะกันแน่? หากแรงผลักดันของคุณไม่ใช่สิ่งที่ตัวคุณเป็น นั่นอาจจะทำให้โอกาสในการบรรลุเป้าหมายและการรู้สึกถึงการเติมเต็มความต้องการของตัวเองนั้นเป็นไปได้อย่างยากลำบาก
-
ตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้. มันง่ายที่เราจะรู้สึกกระตือรือร้นเวลาเรานึกถึงเป้าหมายต่างๆ ที่เราตั้งไว้ แต่บางที บางสิ่งบางอย่างก็อยู่เหนือการควบคุม และก็อาจจะกลายเป็นปัญหาสำหรับคุณได้ ซึ่งจริงๆ มันก็ขึ้นอยู่กับเป้าหมายที่คุณตั้งไว้ด้วย ดังนั้น เป้าหมายของคุณควรจะสมเหตุสมผลและมีความเป็นไปได้ [8] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง [9] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ตัวอย่างเช่น บางคนอาจจะต้องการเป็นนักบาสเกตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล แต่ปัจจัยต่างๆ อย่างเช่น อายุและความสูงอาจจะเป็นข้อจำกัดและอยู่เหนือการควบคุมของคนๆ หนึ่ง ซึ่งการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนตั้งแต่แรกแล้วว่าเป็นไปได้ยากแบบนี้ อาจจะทำให้เกิดความผิดหวังและหมดแรงจูงใจไปซะก่อน
โฆษณา
-
จินตนาการถึงความเป็นไปได้ต่างๆ . ใช้เวลาสัก 15 นาทีเพื่อจดวิสัยทัศน์ เป้าหมาย และความฝันต่างๆ ของตัวเองลงกระดาษอย่างง่ายๆ ก่อน ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องเขียนเป้าหมายพวกนั้นให้ชัดเจนหรือว่าต้องเขียนสิ่งต่างๆ ให้เป็นระบบระเบียบ แค่ดูให้แน่ใจว่าเป้าหมายและความฝันเหล่านี้สอดคล้องกับตัวตนและคุณค่าในตัวคุณจริงๆ หากคุณเขียนไม่ออก ให้ลองฝึกเขียนแบบ free-writing หรือการเขียนแบบอิสระดู โดยคุณอาจจะเขียนบรรยายสิ่งต่างๆ ที่อยู่ด้านล่างนี้ [10] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง Marisano, Hirsh, Perterson, Pihl, and Shore (2010) from Peterson and Mar, 2004.
- อนาคตในอุดมคติของคุณ
- คุณลักษณะต่างๆ ที่คุณชื่นชมในตัวคนอื่น
- สิ่งต่างๆ ที่คุณน่าจะทำใด้ดีกว่านี้
- สิ่งต่างๆ ที่คุณต้องการจะเรียนรู้ให้มากขึ้นไปอีก
- อุปนิสัยต่างๆ ที่คุณต้องการจะปรับปรุงให้ดีขึ้น
-
แบ่งเป้าหมายต่างๆ ให้เป็นขั้นเป็นตอนที่แน่นอน. เมื่อคุณค้นพบความใฝ่ฝันและอุดมการณ์ในอนาคตของคุณแล้ว ให้คุณเลือกเป้าหมายที่ชัดเจนมาสักสองสามเป้าหมายเพื่อช่วยให้คุณเข้าถึงเป้าหมายเหล่านั้นได้ พยายามมีความชัดเจนเวลาที่จะอธิบายลักษณะของเป้าหมายเหล่านี้ หากเป้าหมายของคุณยิ่งใหญ่หรือเป็นเป้าหมายระยะยาว ให้คุณแบ่งเป้าหมายเหล่านั้นออกเป็นเป้าหมายหรือขั้นตอนย่อยๆ แล้วลองมองขั้นตอนและเป้าหมายย่อยๆ นี้ให้เป็นหนทางที่จะนำพาคุณไปยังความใฝ่ฝันและอุดมการณ์ต่างๆ ในอนาคตดู [11] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง Austin, J. T., & Vancouver, J. B. (1996). Goal constructs in psychology: Structure, process, and content. Psychological Bulletin, 120, 338 –375. [12] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง Locke, E. A., & Latham, G. P. (2006). New directions in goal-setting theory. Current Directions in Psychological Science, 15, 265–268.
- ตัวอย่างเช่น การบอกว่า “ฉันอยากจะเป็นนักวิ่งที่ดีให้ทันในวันเกิดปีที่ 50 ของฉัน” นั้นมีความคุลมเครือและอาจจะเป็นเป้าหมายในระยะยาวมากกว่า (ขึ้นอยู่กับอายุในปัจจุบันของคุณ) ซึ่งเป้าหมายที่ดีกว่านี้ก็อาจจะเป็น “ฉันต้องการฝึกฝนเพื่อวิ่งฮาล์ฟ มาราธอน ฉันวางแผนไว้ว่าจะวิ่งฮาล์ฟ มาราธอนให้ได้ภายใน 1 ปี และวิ่งฟูล มาราธอนให้ได้ภายใน 5 ปีถัดจากนั้น”
-
จัดลำดับเป้าหมายต่างๆ โดยเรียงลำดับตามผลกระทบของแต่ละเป้าหมาย. มองไปที่เป้าหมายต่างๆ ของตัวเองและตัดสินใจดูว่าเป้าหมายไหนสำคัญและเป็นที่ต้องการสำหรับคุณมากที่สุด ลองคิดดูว่าเป้าหมายแต่ละอันเป็นไปได้มากแค่ไหนและต้องใช้เวลานานเท่าไร และการที่ลงมือทำและบรรลุเป้าหมายเหล่านั้นน่าจะมีผลกระทบอะไรกับชีวิตคุณได้บ้าง นอกจากนี้คุณควรถามตัวเองด้วยว่า ทำไมคุณถึงให้ค่ากับเป้าหมายบางเป้าหมายมากกว่าอันอื่นๆ และอย่าลืมดูให้แน่ใจด้วยว่าเป้าหมายต่างๆ ในลิสต์ที่คุณเขียนไว้ไม่ได้ขัดแย้งกันเอง [13] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง Bandura, A. (1977). Self-efficacy: Toward a unifying theory of behavioral change. Psychological Review, 84, 191–215. [14] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง Schunk, D. H. (1991). Self-efficacy and academic motivation. Educational Psychologist, 26, 207–231.
- การจัดลำดับให้เป้าหมายที่ตัวเองมีตามผลกระทบที่ได้จากเป้าหมายนั้น จะเป็นแรงกระตุ้นให้คุณลงมือทำตามเป้าหมายเหล่านั้นได้ นอกจากนี้ยังช่วยทำให้คุณเห็นภาพของการบรรลุเป้าหมายนั้นและผลประโยชน์ที่คุณอาจจะได้รับอีกด้วย
-
กำหนดเกณฑ์และเวลาที่แน่นอนให้เป้าหมาย. คอยติดตามความคืบหน้าของตัวเองเอาไว้ ด้วยการกำหนดเกณฑ์และเดดไลน์ย่อยๆ ให้กับเป้าหมายและขั้นตอนต่างๆ ถ้าคุณทำเป้าหมายต่างๆ ได้ตามเกณฑ์และเวลาที่กำหนดไว้ นั่นจะทำให้คุณรู้สึกถึงความสำเร็จของตัวเอง ช่วยเพิ่มแรงผลักดัน และให้ฟีดแบคที่ทำให้คุณรู้ว่าอะไรที่ได้ผลและอะไรที่ไม่ได้ผล
- ตัวอย่างเช่น หากเป้าหมายของคุณคือการวิ่งฮาร์ฟ มาราธอนให้ได้ใน 1 ปี ให้คุณกำหนดเดดไลน์การฝึกฝนให้ตัวเองถึง 6 เดือนข้างหน้า และเมื่อคุณไปถึงเป้าหมายของตัวเองแล้ว ให้คุณบอกตัวเองให้ไปฝึกวิ่งฮาล์ฟ มาราธอนอีก 6 เดือนถัดจากนั้น หากคุณรู้สึกได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าจะต้องใช้เวลามากกว่านี้ คุณอาจจะปรับเปลี่ยนเกณฑ์ที่ตั้งไว้ใหม่อีกรอบก็ได้
- พยายามใช้ปฏิทินให้เป็นสัญญาณเตือนที่มองเห็นได้ชัดเจน เพื่อที่จะคอยเตือนให้ตัวเองมุ่งมั่นกับเป้าหมายและเวลาที่ตัวเองได้กำหนดไว้ คุณรู้ไหมว่าการกากบาทเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่เราทำสำเร็จในปฏิทินนั้น เป็นสิ่งที่สร้างความอิ่มเอมใจให้กับตัวเราได้อย่างมากเลยนะ
-
ใช้หลักการ S.M.A.R.T. ในการวางเป้าหมาย. มองไปที่แต่ละเป้าหมายของคุณและเขียนลงไปว่าเป้าหมายเหล่านั้นมีความชัดเจน (S =Specific) สามารถวัดผลได้ (M = Measurable) สามารถทำได้จริง (A = Attainable) อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง (R = Relevant/realistic) และมีกำหนดเวลาที่แน่นอน (T = Time-bound) อย่างไร [15] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณมีเป้าหมายที่ดูคลุมเครืออย่าง “ฉันอยากจะเป็นคนที่มีสุขภาพดีกว่านี้” ให้คุณทำเป้าหมายนี้ให้มีความชัดเจนกว่าเดิมด้วยการใช้หลัก S.M.A.R.T. [16] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- มีความชัดเจน: “ฉันอยากจะให้สุขภาพของตัวเองดีขึ้นด้วยการลดน้ำหนักอีกสักหน่อย”
- สามารถวัดผลได้: “ฉันอยากจะให้สุขภาพของตัวเองดีขึ้นด้วยการลดน้ำหนักสัก 9 กิโลกรัม”
- สามารถทำได้จริง: คุณอาจจะไม่สามารถลดน้ำหนัก 45 กิโลกรัมได้ ดังนั้น 9 กิโลกรัมจึงเป็นเป้าหมายที่สามารถทำได้จริงมากกว่า
- อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง: คุณอาจจะคอยเตือนตัวเองว่าการลดน้ำหนัก 9 กิโลกรัมนั้น จะเป็นสิ่งที่ทำให้คุณมีพลังงานและความสุขมากขึ้น และจำไว้เสมอว่าคุณไม่ได้กำลังทำสิ่งนี้เพื่อใครคนอื่นอยู่
- กำหนดเวลาที่แน่นอน: “ฉันอยากจะให้สุขภาพของตัวเองดีขึ้นด้วยการลดน้ำหนัก 9 กิโลกรัมให้ได้ภายในปีหน้า ด้วยการลดให้ได้เฉลี่ยประมาณ 0.73 กิโลกรัมต่อเดือน”
โฆษณา
เคล็ดลับ
- มีการพิสูจน์แล้วว่าการเขียนเป้าหมายออกมาจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยนักจิตวิทยาคลินิกที่ชื่อว่า ดร. เกล แมตทิวส์ จากมหาวิทยาลัยโดมินิกัน ได้ทำการทดสอบอาสาสมัครจำนวน 149 คน และผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่าคนที่เขียนเป้าหมายของตัวเองออกมามักจะประสบความสำเร็จมากกว่าคนที่ไม่ได้เขียนเป้าหมายของพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด [17] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
โฆษณา
ข้อมูลอ้างอิง
- ↑ McGregor, I., & Little, B. R., 1998
- ↑ Locke, E. A. (1968). Toward a Theory of Task Motivation and Incentives. Journal of Organizational Behavior and Human Performance, 3, 157-189.
- ↑ Fischhoff, B., Slovic, P., & Lichtenstein, S. (1988). Knowing what you want: Measuring labile values. Decision Making: Descriptive, Normative and Prescriptive Interactions, Cambridge University Press, Cambridge, 398-421. (Chapter 18)
- ↑ Fischhoff, B., Slovic, P., & Lichtenstein, S. (1988). Knowing what you want: Measuring labile values. Decision Making: Descriptive, Normative and Prescriptive Interactions, Cambridge University Press, Cambridge, 398-421. (Chapter 18)
- ↑ Brunstein, J. C. (1993). Personal goals and subjective well-being: A longitudinal study. Journal of Personality and Social Psychology, 65, 1061–1070.
- ↑ Perrone, K. M., Civiletto, C. L., Webb, L. K., & Fitch, J. C. (2004). Perceived barriers to and supports of the attainment of career and family goals among academically talented individuals. International Journal of Stress Management, 11, 114–131.
- ↑ Schunk, D. H. (1990). Goal setting and self-efficacy during self-regulated learning. Educational Psychologist, 25, 71– 86.
- ↑ https://www.psychologytoday.com/blog/coaching-and-parenting-young-athletes/201311/keys-effective-goal-setting
- ↑ http://www.appliedsportpsych.org/resource-center/resources-for-athletes/principles-of-effective-goal-setting/
- ↑ Marisano, Hirsh, Perterson, Pihl, and Shore (2010) from Peterson and Mar, 2004.
- ↑ Austin, J. T., & Vancouver, J. B. (1996). Goal constructs in psychology: Structure, process, and content. Psychological Bulletin, 120, 338 –375.
- ↑ Locke, E. A., & Latham, G. P. (2006). New directions in goal-setting theory. Current Directions in Psychological Science, 15, 265–268.
- ↑ Bandura, A. (1977). Self-efficacy: Toward a unifying theory of behavioral change. Psychological Review, 84, 191–215.
- ↑ Schunk, D. H. (1991). Self-efficacy and academic motivation. Educational Psychologist, 26, 207–231.
- ↑ http://www.hr.virginia.edu/uploads/documents/media/Writing_SMART_Goals.pdf
- ↑ Lawlor, B. & Hornyak, M. (2012). SMART Goals: How the Application of Smart Goals can Contribute to Achievement of Student Learning Outcomes. Journal of Development of Business Simulation and Experimental Learning, 39, 259-267. https://journals.tdl.org/absel/index.php/absel/article/viewFile/90/86
- ↑ http://www.dominican.edu/academics/ahss/undergraduate-programs-1/psych/faculty/fulltime/gail-matthews
เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้
มีการเข้าถึงหน้านี้ 14,855 ครั้ง
โฆษณา