ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

เอลวิส เพรสลีย์ เคยกล่าวไว้ว่า "ความทะเยอทะยาน คือ ความฝันที่ใช้เครื่องยนต์วี8" [1] การมีความฝันเป็นสิ่งสำคัญในการที่จะประสบความสำเร็จ แต่คุณจะไปไม่ถึงไหนหากเอาแต่นั่งฝัน ความทะเยอทะยานเป็นทักษะที่คนเราพัฒนาขึ้นตามกาลเวลา และจำเป็นต้องอาศัยการทำงานหนัก ความต่อเนื่อง และที่สำคัญที่สุดคือ กลยุทธ์ที่ดี หากคุณต้องการคว้าดาวให้ประสบความสำเร็จ ก็ทำตามคำแนะนำด้านล่างเลย

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 2:

ปรับทัศนคติให้ถูกต้อง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. 1
    หาให้ได้ว่าแรงขับเคลื่อนชีวิตคุณคืออะไร. คนแต่ละคนต่างมีแรงขับเคลื่อนที่ต่างกัน เช่น ความกลัว ความรัก หรือหน้าที่ หาให้ได้ว่าอะไรคือตัวช่วยขับเคลื่อนคุณแล้วจากนั้นทุ่มเทแรงกายไปที่คุณค่าเหล่านั้น
  2. คำยืนยันเชิงบวก คือ ข้อความที่เหมือนกับการอวยตัวเอง ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้คุณ แต่มันยังช่วยเพิ่ม ทักษะการแก้ปัญหาเวลาเครียดให้คุณด้วย [2]
    • ลองคิดเกี่ยวกับบุคลิกภาพของตัวเองที่คุณให้คุณค่ามากที่สุด คุณมองว่าตนเองมีความสร้างสรรค์รึเปล่า ฉลาดมั้ย หรือมีพรสวรรค์ พยายามกล่าวคำยืนยันเชิงบวกกับตัวเองให้เกี่ยวกับคุณลักษณะที่บ่งบอกความเป็นตัวคุณได้ดีที่สุด
    • กล่าวคำยืนยันเชิงบวกกับตัวเองวันละ 10 รอบว่า “ฉันฉลาด และสามารถใช้ความฉลาดในการบรรลุเป้าหมาย ฉันมีความคิดสร้างสรรค์ ฉันสามารถใช้ความคิดริเริ่มเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาได้ ฉันมีพรสวรรค์มากมายเลย”
    • จงสำรวจก่อนว่า คุณได้กล่าวคำยืนยันเชิงบวกกับตัวเองอย่างตรงตามความเป็นจริง และเกี่ยวเนื่องกับตัวเอง อย่ากล่าวคำยืนยันเชิงบวกกับตัวเองว่า “ฉันเก่งในการจดจ่อกับงานที่รับผิดชอบ” หากว่าคุณไม่ได้เก่งตามนั้นจริงๆ มันจะส่งผลเชิงลบและกระทบต่อระดับความนับถือตนเอง [3] คุณควรกล่าวคำยืนยันเชิงบวกกับตัวเองว่า “ฉันสามารถพยายามให้มากขึ้นได้ เพื่อที่จะสามารถจดจ่อกับงาน”
  3. เน้นไปในเรื่องที่อาจได้มา ไม่ใช่เรื่องที่อาจสูญเสียไป. การหมกมุ่นเกี่ยวกับความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นรอบด้าน รังแต่จะทำให้เกิดความกังวลและเป็นการโฟกัสไปในสิ่งที่ ไม่ควร ทำ แทนที่จะโฟกัสสิ่งที่ ควร ทำ [4]
    • ลองคิดว่า “หากฉันออกกำลังกายบ่อยๆ ฉันจะดูดี” แล้วคุณจะพบว่าตนเองมีความหวัง และกระหายที่จะออกกำลังกายทุกวัน แต่หากคุณเอาแต่คิดว่า “ถ้าฉันไม่ออกไปวิ่งวันนี้ อีกหน่อยคงอ้วนและดูน่าเกลียด” ซึ่งจะทำให้คุณกังวลมากเกินกว่าที่จะลงมือทำหน้าที่ใดๆ หรืออาจจะทำอย่างร้อนรนและออกมาไม่ดี
    • การเริ่มจากความสงสัยในตนเองและความกังวล จะส่งผลให้คุณไม่ลงมือทำอะไรเลย การที่คุณเอาแต่กลัวว่าจะทำอะไรพลาดพลั้ง ก็เลยทำให้เลือกที่จะไม่ทำอะไรเพื่อ “ความปลอดภัย” หากปราศจากการกระทำ ชีวิตคุณก็ไม่ก้าวไปไหน
  4. ตัดคำว่า “รู้สึกไม่อยากทำ” ออกไปจากพจนานุกรม. แนวคิดที่ว่าจะสามารถทำบางสิ่งได้ก็ต่อเมื่อคุณ “รู้สึกอยากทำ” เป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จ แน่นอนว่า แรงบันดาลใจไม่ได้เกิดขึ้นตลอดเวลา แต่อย่ามัวรอคอยแรงบันดาลใจในการลงมือทำ
    • เวลาที่เราบอกกับตนเองว่า “ฉันลุกไปออกกำลังกายไม่ไหว” ที่จริงมันคือการพูดว่า “ฉันทำให้ตัวเอง รู้สึกอยาก ไปออกกำลังกายไม่ไหว” ไม่มีอะไรล่ามคุณไว้กับเตียง หรือกักขังคุณไว้ไม่ให้ออกไปวิ่งตอนเช้าเลย อุปสรรคที่แท้จริงคือการคิดว่าแรงจูงใจต้องมาจากภายในเท่านั้น แทนที่จะตระหนักว่ามาจากความพยายามทำตามหน้าที่หรือกิจวัตรก็ได้เช่นกัน
    • ศิลปินและนักเขียนที่มีผลงานออกมากมาย ทำเช่นนั้นได้ก็เพราะว่า พวกเขาเอาตารางงานประจำวัน ซึ่งผลักดันให้พวกเขาทำงานหลายๆ ชั่วโมงต่อวัน มาเป็นตัวนำทาง ไม่ว่าพวกเขาจะรู้สึกหมดแรงบันดาลใจเพียงใดก็ตาม [5]
    • พยายามคิดถึงแรงจูงในในแง่ของการกระทำ ไม่ใช่คำนาม การสร้างแรงจูงใจ ต้องอาศัยการทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เรื่องของการนั่งรอให้เกิดอะไรขึ้นก่อน
  5. ใช้หลักการวางแผนแบบ “หากว่า-ฉันจะ” ในการคิดถึงสิ่งที่ตนเองต้องทำ. จงกำหนดเวลาแบบเจาะจงในการทำกิจวัตรต่างๆ ไม่งั้นคุณก็มักจะมาทำอะไรเอาตอนนาทีสุดท้าย
    • อย่าพูดว่า “เดี๋ยวฉันจะเริ่มลงมือเขียนบทความภาษาอังกฤษ” แต่จงพูดว่า “ หากว่า ถึงบ่ายสองเมื่อไร ฉันจะ เริ่มเขียนบทความภาษาอังกฤษ” การตัดสินใจล่วงหน้าว่า คุณจะทำอะไรตอนไหน คุณก็จะไม่อิดออดเมื่อถึงเวลาจริงๆ [6]
    • การที่คุณได้ตัดสินใจไว้ก่อนแล้ว ดังนั้น เมื่อถึงเวลาบ่ายสองจริงๆ คุณก็จะมีแนวโน้มลดลงในการถามตัวเองว่า “ฉันจำเป็นต้องลงมือทำแล้วจริงเหรอ” หรือ “ขอเวลาอีกสักหน่อยได้มั้ย”
    • มีรายงานว่า หลักการวางแผนแบบ “หากว่า-ฉันจะ” สามารถเพิ่มอัตราการบรรลุเป้าหมายได้ถึง 200-300 เปอร์เซ็นต์โดยเฉลี่ย [7]
  6. มองความผิดพลาดเป็นเสมือนกระบวนการกำจัดจุดอ่อน. อย่ามองมันเป็นคำตอบสุดท้ายของความพยายาม แต่จงมองมันเป็นการกำจัดจุดอ่อนไปทีละอย่าง จนกว่าจะค้นพบหรือประสบความสำเร็จ
    • ตอนที่โธมัส เอดิสัน คิดค้นหลอดไฟได้สำเร็จในที่สุด เขากล่าวไว้ประโยคหนึ่งซึ่งโด่งดังมาก “ผมไม่ได้ล้มเหลว ผมแค่ได้ค้นพบ 2,000 กว่าวิธี ที่ไม่ใช่วิธีทำหลอดไฟ” [8]
    • ทั้งไมเคิล จอร์แดน และโคบี้ ไบรอัน ต่างก็ทำสถิติเอาไว้ในวงการบาสเก็ตบอลทั้งคู่ แต่สิ่งที่คุณอาจยังไม่รู้ ก็คือทั้งคู่ยังมีคะแนนอันดับต้นๆ ในการจัดลำดับผู้เล่นที่ชู้ตลูกพลาดมากที่สุดใน NBA ด้วย [9] เวลาที่คุณลองทำสิ่งต่างๆ มากมาย มันย่อมที่จะล้มเหลวบ้างเป็นธรรมดา แต่อย่ากลัวที่จะทำพลาดหรือล้มเหลวกลางคัน หากคุณไม่พยายามเลยต่างหาก ที่จะต้องล้มเหลวตลอดไป
  7. มันคล้ายๆ กับคำพูดที่ว่า “ดื่มด่ำกับความสำเร็จ” ซึ่งอาจส่งผลให้คุณมัวแต่นั่งใคร่ควรญถึงความสำเร็จมาในอดีต แทนที่จะโฟกัสที่ความสำเร็จในอนาคต [10]
    • มันสำคัญมากที่คุณต้องสนุกกับสิ่งที่คุณทำสำเร็จมา แต่ต้องตระหนักว่า การดื่มด่ำกับความสำเร็จ จะทำให้คุณมีแนวโน้มในการตั้งเป้าหมายใหม่น้อยลง การที่ความสำเร็จเป็นสิ่งที่จับต้องได้ น่ารื่นรมย์ และคุ้มกับการรอคอย เราจึงมักพบว่า ตนเองอาจรู้สึกกลัวการแสวงหาใหม่ๆ ซึ่งมีโอกาสที่จะพลาดได้อีก
    • การดื่มด่ำในความสำเร็จ ย่อมมีประโยชน์ที่สุดในช่วงที่คุณยังไม่ได้เริ่มตั้งเป้าหมายใดใหม่ๆ แต่หากคุณเริ่มมีเป้าหมายต่อไปแล้ว การที่เอาแต่ดื่มด่ำกับคืนวันเก่าๆ นานเกินไป จะทำให้คุณไม่ก้าวต่อไปและติดแหงกอยู่ที่เดิม [11]
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 2:

การตั้งเป้าหมาย

ดาวน์โหลดบทความ
  1. คล้ายๆ กับการวางแผนแบบ “หากว่า-ฉันจะ” การตั้งเป้าหมายที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้ จะช่วยให้สมองของคุณมีจุดเริ่มต้นที่ชัดเจนในการมองหาทางไป
    • มันย่อมสำคัญที่จะพยายามให้ดีที่สุด แต่ “การพยายามให้ดีที่สุด” ไม่ใช่หลักการตั้งเป้าหมายที่วัดความสำเร็จได้ แทนที่จะพูดว่า “ฉันจะพยายามให้ดีที่สุดในการวิ่งหนึ่งกิโล” ควรเปลี่ยนเป็น “ฉันจะวิ่งให้ได้หนึ่งกิโลภายในสิบนาที” [12]
    • การที่ “ให้ดีที่สุด” มันดูกว้างเกินไป คุณจึงอาจมีข้ออ้างในภายหลังว่า “คุณได้ทำดีที่สุดแล้ว” กรณีที่คุณรู้สึกว่าอุปสรรคมันเยอะ เช่น หากคุณพบว่าตัวเองเริ่มเหนื่อยแค่เพียงเล็กน้อย คุณก็มีแนวโน้มจะบอกตัวเองว่า “เอาล่ะ พอแค่นี้แหละ ฉันทำดีที่สุดแล้ว” การมีเป้าหมายที่เจาะจง จะช่วยให้คุณผลักดันตัวเองไปสู่จุดที่คุณนึกภาพในใจเอาไว้
  2. เมื่อคุณได้ตั้งเป้าหมายจำเพาะเจาะจงให้ตัวเองแล้ว ก็ถึงเวลาวางแผนขั้นตอนไปสู่ความสำเร็จ
    • ตัวอย่างเช่น “การที่จะบรรลุเป้าหมายวิ่งให้ได้ระยะทางหนึ่งกิโลภายในสิบนาที ฉันจะวิ่งอุ่นเครื่องรอบคอร์ทเทนนิสสิบรอบ ทุกวัน เป็นเวลาสองสัปดาห์ หลังจากนั้น ฉันจะเพิ่มเป็นวิ่งรอบสระน้ำในหมู่บ้าน ซึ่งใหญ่กว่ากันมาก ยี่สิบรอบ
    • แม้แต่คนที่ตั้งเป้าหมายอย่างเจาะจงแล้ว ก็ยังอาจไม่บรรลุผลสำเร็จ เพียงเพราะพวกเขาไม่มีแผนการที่ชัดเจนในการลงมือทำ หากคุณไม่มีแผนที่รัดกุมในการบรรลุเป้าหมาย คุณจะไม่มีทางรู้ได้ว่าคุณทำมากพอที่จะบรรลุผลหรือยัง
  3. การอยากจะวิ่งให้ได้เป็นกิโล ภายในสิบนาที ย่อมเป็นเรื่องที่ทำได้ หากคุณมีสุขภาพดีและมีประสบการณ์ในการวิ่งอุ่นเครื่องมามากพอ แต่การพยายามวิ่งเป็นกิโลภายในสิบนาที กรณีที่คุณเป็นโรคหอบหืด หรือมีสุขภาพทรุดโทรม ย่อมไม่ตรงตามความเป็นจริง
    • เป้าหมายไม่ควรจะง่ายเกินไป ถึงขนาดที่ไม่ต้องผลักดันอะไรตนเองเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายเลย หากคุณเคยวิ่งเป็นกิโลภายในสิบนาทีได้มาก่อนแล้ว ก็ควรลองขยับเป็นวิ่งให้ได้ภายในแปดนาที เป็นต้น การตั้งเป้าที่คุณสามารถบรรลุได้ง่ายๆ อาจมีผลดีต่อความมั่นใจ แต่คุณจะมีฝีมือเท่าเดิมและไม่พัฒนาในฐานะนักวิ่ง [13]
    • เป้าหมายของคุณยังไม่ควรเลื่อนลอยหรือยากเกินไป ถึงขนาดที่ไม่มีความเป็นไปได้ในการบรรลุได้เลย เช่น การวิ่งเป็นกิโลภายในสามนาที อาจจะพอเป็นไปได้สำหรับนักกีฬาโอลิมปิก แต่อาจจะไม่มีความเป็นไปได้สำหรับนักวิ่งเหยาะสมัครเล่น การตั้งเป้าหมายที่ยากเกินไป อาจทำให้คุณคับข้องใจและโมโห หรือมันอาจจะทำให้คุณเห็นเป้าหมายนั้นเป็นเรื่องเล่นๆ
  4. การตั้งเป้าหมายเฉพาะระยะยาว อาจทำให้คุณมองไม่เห็นฝั่งระหว่างเส้นทางไป ทำให้คุณมุ่งมั่นน้อยลงหรือหมดแรงจูงใจเอาดื้อๆ เป้าหมายระยะสั้นจะช่วยย้ำเตือนคุณว่า ทำไมคุณจึงทำสิ่งที่กำลังทำอยู่
    • ความสำเร็จจะเพิ่มความมั่นใจให้คุณ ด้วยการทำให้คุณรู้สึกฮึกเหิมมากขึ้น การตั้งเป้าหมายระยะสั้นหลายเป้าหมาย และบรรลุมันไปตามลำดับ จะช่วยให้คุณเห็นความคืบหน้าในผลงานและช่วยเพิ่มแรงจูงใจ
    • ตัวอย่างเช่น เดือนนี้ลองวิ่งหนึ่งกิโลให้ได้ภายในเก้านาทีก่อน และเดือนต่อไปค่อยพยายามทำให้เหลือแปดนาทีครึ่ง ส่วนเป้าหมายระยะยาวอาจจะเป็นการวิ่งหนึ่งกิโลภายในเจ็ดนาที ให้ได้ก่อนสิ้นปีนี้ ความสำเร็จมักเกิดขึ้นได้ง่าย หากคุณรู้จักสร้างพลวัตรให้มัน
  5. วางเป้าหมายต่อไปทันทีหลังจากที่ทำเป้าหมายหนึ่งสำเร็จ. ข้อหนึ่งของคนที่มีความทะเยอทะยานก็ คือ พวกเขาไม่เคยหยุดที่จะพัฒนาให้ดีขึ้นกว่าเดิม [14]
    • กลยุทธ์ดังกล่าวออกแบบมาเพื่อรับมือกับความกระหยิ่มยิ้มย่องของตัวเอง (ดังที่กล่าวไว้ในส่วนที่แล้ว) การตั้งเป้าหมายใหม่ทันที จะช่วยเบี่ยงเบนจุดสนใจไปที่การทำงานต่อไป ไม่ใช่การเอาแต่ดื่มด่ำกับความสำเร็จ แม้ว่าการพักเบรกระหว่างแต่ละเป้าหมายจะสำคัญ ก็ควรพยายามวางเป้าหมายใหม่ให้เร็วที่สุด
    • ทันทีที่คุณสามารถวิ่งเป็นกิโลได้ภายในเจ็ดนาทีแล้ว ลองวางเป้าหมายใหม่ไปเป็นลงแข่งมาราธอนภายในสองเดือนข้างหน้า ใช้เวลาสัปดาห์ที่เหลืออยู่ ในการพักแข้งพักขา และใช้ช่วงดังกล่าวในการวางแผนสำหรับเป้าหมายใหม่ไปพลางๆ
  6. ให้รางวัลตนเองอย่างเป็นรูปธรรม ทุกครั้งที่บรรลุเป้าหมาย. ตัวอย่างเช่น ไปกินสเต็กชั้นดีทันทีที่คุณสามารถวิ่งครบกิโลได้ภายในเจ็ดนาที การพักผ่อนและให้รางวัลตนเอง มีความสำคัญพอๆ กับการทำงานหนักและความพยายาม
    • ความเครียดในปริมาณคงที่แต่พอประมาณ ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะมันช่วยให้คุณโฟกัสและกระตุ้นสมองของคุณ แต่การแบกความเครียดไว้มากเกินไป จะทำให้ผลงานคุณด้อยลง ซึ่งจะส่งผลเชิงลบต่อความมั่นใจของคุณ และส่งผลต่อเนื่องไปทำลายพลวัตรที่มีอยู่ จนในที่สุดก็เกิดการล้มเลิกนั่นเอง
    • การเครียดเรื้อรังไม่เพียงจะบั่นทอนจิตใจคุณทำนั้น มันยังสามารถส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพกายของคุณได้ด้วย ความเครียดเรื้อรังสามารถกดดันการทำงานของหัวใจ และยังส่งผลให้เสี่ยงต่อเบาหวานและโรคหอบหืดด้วย นอกจากนี้ ยังทำให้คุณเป็นไข้หวัดได้ง่ายขึ้น [15]
    • การให้รางวัลตัวเองแตกต่างจากการดื่มด่ำในความสำเร็จ การให้รางวัลเป็นรูปแบบหนึ่งของการผลักดันตัวเอง และทำให้คุณมีแนวโน้มในการไล่ตามความฝันต่อไป คุณไม่ได้หยุดเพื่อชื่นชมความสำเร็จของตนเอง แต่หยุดเพื่อตระหนักถึงการทำงานหนักที่ผ่านมา และสร้างแรงจูงใจให้ตนเองในการก้าวต่อไป คุณอาจลองตั้งเป้าหมายให้ตนเองพูดว่า “ได้เลย” ให้มากขึ้น มันอาจฟังดูเรียบง่าย แต่จะช่วยเพิ่มความมั่นใจและสร้างแรงบันดาลใจและแรงจูงใจให้คุณต่อไป
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • ทำตัวให้มีระเบียบแบบแผน มันจะง่ายที่สุดในการจดจ่อกับเป้าหมาย หากคุณไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการจัดการความยุ่งเหยิงในห้องของตัวเอง หรือตู้หนังสือที่คุณไม่เคยจัดเรียงเลย
  • ลิสท์สิ่งที่ต้องทำ แปะไว้ขอบเตียงหรือกำแพงห้องน้ำ ที่ไหนก็ได้ที่มั่นใจว่าคุณจะได้อ่านมัน
โฆษณา

คำเตือน

  • บางคนอาจเรียกคุณว่า เจ้าพวกบ้างาน อย่าไปฟังพวกเขา พยายามรักษาชีวิตทางการเข้าสังคมเอาไว้ด้วย แต่จงไล่ล่าความฝันอยู่เสมอ และปัดคำเหน็บแนมทิ้งไปจากสมอง
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 12,075 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา