ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

การเรียนรู้ที่จะรอคอยสิ่งที่ตัวเองต้องการในชีวิตนั้นอาจจะเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เพราะเราแทบจะไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ตัวเองปรารถนานั้นอยู่ใกล้หรือไกลแค่ไหนกว่าเราจะได้พบกับสิ่งนั้น ซึ่งชีวิตก็เป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ และมันก็เป็นเรื่องยากที่เราจะใช้ชีวิตอยู่กับความไม่แน่นอนได้ ถ้าหากเรายังคิดว่าสิ่งต่างๆ จะเกิดขึ้นได้เมื่อเราเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเอง ซึ่งแน่นอนว่าในความเป็นจริงย่อมไม่เป็นแบบนั้นแน่ๆ เพราะสิ่งที่คุณต้องการไม่ได้เห็นได้ชัดเจนเสมอไป และอนาคตก็มักเป็นเรื่องที่อยู่เหนือการควบคุมของพวกเราอยู่เสมอ และเวลาก็ไม่เคยอ่อนข้อให้กับความคาดหวังที่เรามี แต่ถ้าเรามีเป้าหมายที่ชัดเจน รู้จักอดทน และตั้งใจจริง นั่นก็อาจจะช่วยทำให้เราเปลี่ยนเวลาแห่งการรอคอย ให้กลายเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ที่สุดต่อตัวเราได้

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 3:

รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรและทำยังไงถึงจะได้สิ่งนั้นมา

ดาวน์โหลดบทความ
  1. จะเป็นความต้องการแบบไหนก็ได้ ไม่ว่าจะเรื่องความหวังที่จะได้งานทำ ความหวังที่จะได้ค้นพบความรักหรือมิตรภาพ การออกเดินทางท่องเที่ยว หรือเรื่องง่ายๆ อย่างการซื้อกล้องตัวใหม่ก็ได้ โดยคุณจะต้องแน่ใจว่าตัวเองต้องการอะไรและทำไมถึงต้องการสิ่งนั้น
    • แม้ว่านี่อาจจะดูเหมือนทำง่าย แต่จริงๆ สิ่งนี้คือสิ่งที่ทำได้ยากที่สุด เพราะคุณอาจจะยังไม่ชัดเจนกับเป้าหมายของตัวเอง หรือมีปัญหากับการเลือกระหว่างสิ่งสองสิ่งอยู่ก็ได้ ดังนั้น ให้คุณซื่อสัตย์กับตัวเอง และค้นหาสิ่งที่คุณชอบทำจริงๆ ซึ่งนี่จะช่วยทำให้คุณสามารถเป็นในสิ่งที่ตัวเองอยากจะเป็นได้
    • หากคุณไม่สามารถตัดสินใจเลือกระหว่างตัวเลือกหลายๆ อย่างได้ ให้คุณประเมินจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเองที่มีต่อตัวเลือกเหล่านั้น และค่อยใช้สิ่งที่ประเมินได้มาช่วยตัดสินใจ โดยคุณอาจจะใช้วิธีเขียนลิสต์ข้อดีและข้อเสียเพื่อช่วยให้ตัวเองตัดสินใจได้ง่ายขึ้นก็ได้
    • โฟกัสไปที่เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังความต้องการของคุณ พิจารณาทางเลือกที่ดูเป็นไปได้ เปรียบเทียบความต้องการเหล่านั้น และดูว่าความต้องการเดิมของคุณ เป็นสิ่งที่ตอบโจทย์เป้าหมายใหญ่ของคุณได้ดีที่สุดหรือเปล่า ตัวอย่างเช่น หากคุณอยากจะได้กล้องถ่ายรูปแบบพิเศษเพื่อที่จะเป็นช่างภาพมืออาชีพ ให้คุณพิจารณากล้องถ่ายรูปรุ่นอื่นๆ ที่อยู่ในระดับเดียวกันด้วย และเช็คดูว่ารุ่นที่คุณอยากได้ตอนแรกนั้นยังคงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคุณหรือเปล่า นี่จะช่วยทำให้คุณบรรลุในเป้าหมายใหญ่ของคุณได้ ซึ่งก็คือการเป็นช่างภาพมืออาชีพนั่นเอง
  2. นี่คือหลักการที่พบได้บ่อยในขั้นตอนของการวางแผนโครงการต่างๆ แต่ว่าหลักการนี้ก็ใช้ได้ผลกับการพัฒนาส่วนตัวด้วยเช่นกัน เพราะมันจะทำให้คุณเป็นคนมีความคิดอ่านที่ดี ทำให้คิดในทางที่เป็นไปได้ และมีความชัดเจนกับเป้าหมายของตัวเอง ซึ่ง S.M.A.R.T. คือตัวย่อของ 5 เกณฑ์พื้นฐานที่จะช่วยให้คุณตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนได้ โดย 5 เกณฑ์ที่คุณควรจะทำ มีดังนี้
    • มีความชัดเจน (Specific). อย่าทำเป้าหมายของตัวเองให้กว้างเกินไป ให้ถามตัวเองว่าอะไรคือสิ่งที่คุณต้องการจริงๆ ทำไมคุณถึงต้องการสิ่งนั้น ใครที่จะช่วยให้คุณได้สิ่งนั้น และคุณต้องใช้วิธีการไหน
    • สามารถวัดผลได้ (Measurable). การมีเป้ามายที่วัดผลได้ จะช่วยทำให้คุณมีความชัดเจนและตัดสินใจอะไรได้อย่างถูกต้อง ตัวอย่างเช่น หากคุณอยากได้รถสักคันหนึ่ง ให้คุณตรวจสอบราคา และคำนวณดูว่าคุณต้องใช้เวลาเท่าไรกว่าจะมีเงินในจำนวนเท่านั้นได้ และมองหาที่ที่คุณจะเอาไว้จอดรถเอาไว้ด้วย
    • สามารถทำได้จริง (Achievable). คุณต้องทำเป้าหมายให้เป็นไปตามความเป็นจริง เพราะการที่คุณอยากจะเป็นเศรษฐีร้อยล้าน หรืออยากจะแต่งงานกับเจ้าหญิงนั้นย่อมเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก ดังนั้น ให้คุณตั้งเป้าหมายที่คุณคิดว่าตัวเองน่าจะทำได้จะดีกว่า
    • ตรงประเด็นและสมเหตุสมผล (Relevant). ให้คุณถามตัวเองดูว่าสิ่งที่คุณต้องการนั้นสามารถสร้างความแตกต่างให้กับคนอื่นๆ นอกเหนือจากคุณได้หรือเปล่า เพราะถ้าหากความสำเร็จของคุณเป็นประโยชน์ของคนอื่นด้วย พวกเขาก็จะช่วยเหลือคุณในการทำสิ่งนั้นเอง
    • มีกำหนดเวลาที่แน่นอน (Time-bound). ให้คุณลองกะดูว่าคุณจะต้องใช้เวลาประมาณเท่าไรกว่าจะถึงเป้าหมายนั้นได้ และก็ให้ตั้งเป้าหมายเล็กๆ ขึ้นมาก่อน ตัวอย่างเช่น หากคุณอยากจะเป็นนักแสดง คุณอาจจะให้เวลาตัวเองสัก 2 ปี เพื่อไปออดิชั่นตามที่ต่างๆ 3 ปีเพื่อที่จะได้มีบทบาทให้แสดงและพูด และ 5 ปี เพื่อบรรลุเป้าหมายสุดท้ายก่อนที่จะเดินหน้าทำสิ่งอื่นๆ ต่อไป [1]
  3. พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อทำสิ่งที่ตัวเองต้องการให้สำเร็จ. ให้คุณลองพิจารณาหนทางสู่เป้าหมายที่ดูมีความเป็นไปได้ เลือกมาสักหนึ่งทางที่เหมาะกับคุณที่สุดและลงมือเดินหน้าทำตามเป้าหมายนั้น จำไว้เสมอว่าการที่เราจะไปถึงเป้าหมายได้ย่อมมีทางเลือกให้เลือกหลายทางเสมอ ทางที่เหมาะหรือใช้ได้กับคนอื่นอาจจะไม่ใช่ทางของคุณก็ได้ กลับกันทางของคุณก็อาจจะไม่ใช่ทางที่เหมาะกับคนอื่นก็ได้
    • ตัวอย่างเช่น หากคุณอยากจะเป็นนักข่าว ให้คุณลองมองหาโรงเรียนหรือวิทยาลัยที่สามารถช่วยคุณเตรียมความพร้อมในสายงานนี้ได้ และลองประเมินความคุ้มค่าและผลประโยชน์ที่คุณจะได้ดู และให้คุณลองพิจารณาเรื่องการทำงานพาร์ทไทม์และงานอาสาสมัครที่อาจจะช่วยทำให้คุณได้ประสบการณ์ในสาขาการทำงานนี้ดู หรือไม่ก็อาจจะออกไปพบปะกับผู้คนที่ทำงานในวงการนี้และขอคำแนะนำจากพวกเขาด้วยก็ได้
  4. การขาดความอดทนเป็นสิ่งที่ทำให้คุณคิดว่า ที่คุณไม่สามารถทำบางสิ่งบางสิ่งบางอย่างให้สำเร็จได้นั้นก็เพราะว่าคุณไม่มีความสามารถพอ อย่างไรก็ตาม ให้คุณจำไว้เสมอว่า ความซื่อสัตย์หรือการทำอะไรเป็นขั้นเป็นตอนจะเป็นสิ่งที่ช่วยคุณสร้างความสำเร็จได้ในที่สุด และจริงอยู่ที่การรีบร้อนข้ามขั้นตอนอาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้ถึงเป้าหมายเร็วขึ้น แต่มันก็อาจจะทำให้คุณล้มเหลวในการทำเป้าหมายนั้นภายในชั่วข้ามคืนก็ได้
    • ตัวอย่างเช่น คุณอาจจะได้เดทกับใครสักคนเพราะคุณไปคุยโวเรื่องทักษะความสามารถและความสำเร็จของตัวเองแบบเกินจริงไปหน่อย หรือไม่ก็แกล้งทำเป็นใครที่ไม่ใช่ตัวตนของคุณจริงๆ และถ้าหากคุณคบหากับคนๆ นี้ไปเรื่อยๆ อีกฝ่ายอาจจะค่อยๆ เห็นตัวตนที่แท้จริงๆ ของคุณเมื่อเวลาผ่านไปก็ได้
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 3:

เรียนรู้ที่จะรอ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เมื่อการรอคอยจะดูเป็นสิ่งที่เหลือทนสำหรับคุณแล้ว นั่นอาจจะทำให้คุณรู้สึกว่าเวลานั้นเป็นศัตรูร้ายสำหรับคุณ แต่อย่างไรก็ตาม เวลาก็คือทรัพยากรที่สำคัญที่สุด ที่คุณจะต้องเอาไปใช้เพื่อทำให้การรอคอยเป็นสิ่งที่คุ้มค่า โดยให้คุณบริหารจัดการเวลาให้รอบคอบ และลงทุนเวลาไปกับสิ่งที่ทำแล้วเห็นผล เพื่อช่วยทำให้ตัวเองบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ [2]
    • แม้ว่าเราจะไม่สามารถควบคุมเวลาที่เดินผ่านไปเรื่อยๆ ได้ แต่เราสามารถบริหารจัดการกับมันได้ ดังนั้น ให้คุณพยายามทำตามตารางเวลาเอาไว้ เพราะการวางแผนในระยะสั้นๆ และการวางเดดไลน์เอาไว้นั้น จะช่วยทำให้คุณสามารถบริหารเวลาของตัวเองและทำให้เวลาเป็นมิตรกับตัวคุณได้
    • คุณไม่จำเป็นว่าจะต้องสละเวลาทั้งหมดของตัวเองเพื่อทำเป้าหมายที่ตั้งไว้ เพราะการบริหารเวลาที่ชาญฉลาดนั้นจะต้องรวมถึงการที่คุณมีเวลาให้ตัวเองได้พักด้วย ถ้าคุณไม่ปล่อยให้ตัวเองได้มีเวลาพักบ้าง คุณอาจจะท้อแม้และสูญเสียพลังงานทั้งหมดของตัวคุณไปอย่างเปล่าประโยชน์ก็เป็นได้
  2. มีความอดทน. ความอดทนคือศิลปะที่ต้องใช้ทักษะและการฝึกฝน ซึ่งมันหมายถึงการที่คุณตระหนักว่าเวลาคือสิ่งที่ไม่สามารถคาดเดาได้ และเราก็มักจะไม่ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการเวลาที่เราต้องการสิ่งนั้น [3] พอๆ กับการที่เราเห็นว่าบางสิ่งบางอย่างสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ในขณะที่สิ่งอื่นๆ กลับไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้นั่นแหละ
    • การขาดความอดทนนั้นมักจะมาจากความรู้สึกที่ว่าตัวเองไม่มีประสิทธิภาพ และคิดว่าตัวเองไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ไปจากเดิมได้ ดังนั้น การตระหนักว่ายังมีสิ่งที่ตัวเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ และเข้าใจว่าทิศทางที่ชีวิตเราเลือกนั้นเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดจากการตัดสินใจต่างๆ ของตัวเราเองนั้น คือสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณมุ่งมั่นต่อไป และรับรู้ว่าตัวเองยังคงเดินทางไปสู่จุดหมายอยู่
    • ตัวอย่างเช่น คุณอยากจะหางานนักข่าว คุณก็เลยส่งประวัติย่อเพื่อสมัครงานไปเป็นพันๆ ครั้งแบบโอกาสริบหรี่ แต่ถ้าหากคุณลองโฟกัสไปกับสิ่งอื่นๆ ที่คุณสามารถทำเพื่อบรรลุเป้าหมายตัวเองได้ อย่างเช่นการเป็นอาสาสมัครเขียนบทความให้กับหนังสือพิมพ์ของโรงเรียนหรือของวิทยาลัย หรือการเข้าเวิร์คชอปเกี่ยวกับสายงานนี้ นั่นก็จะเป็นสิ่งที่ช่วยเปลี่ยนการรอคอยของคุณให้เป็นการลงทุนกับกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ และทำให้การรอคอยเป็นสิ่งที่คุณสามารถทนได้
    • การสละเวลาบางส่วนในระหว่างสัปดาห์เพื่อออกกำลังกายและผ่อนคลาย อาจจะช่วยทำให้คุณสามารถปลดปล่อยความเครียดและเพิ่มระดับความอดทนให้กับตัวคุณได้
  3. ตระหนักไว้ว่าในบางครั้งการอยู่นิ่งเฉยก็ไม่ใช่สิ่งที่แย่อะไร. บางทีการอยู่นิ่งๆ ไม่ทำอะไรก็ให้ประโยชน์ได้เหมือนกัน เพราะมันเป็นเรื่องธรรมดาที่คนเราจะหยุดพักบ้างเป็นบางเวลา แทนที่จะใช้เวลาไปกับการทำสิ่งต่างๆ ซึ่งจริงๆ การหยุดพักเติมพลังนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณกลับมาด้วยพลังที่เต็มเปี่ยมได้ [4]
    • สิ่งนี้คล้ายๆ กับการที่เราเข้าใจว่าสิ่งที่ตัวเองต้องการนั้นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่คาดเดาได้ ซึ่งการอยู่เฉยๆ ก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามแผนของเราเสมอไป ตัวอย่างเช่น หากจู่ๆ คุณตกงาน ก็อย่าไปมองว่ามันเป็นการเสียเวลาไปแบบเปล่าประโยชน์ หรือมัวแต่รู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น คุณสามารถทำให้ช่วงเวลานี้เป็นประโยชน์ได้ด้วยการทำในสิ่งที่คุณอยากจะทำจริงๆ และเอ็นจอยไปกับสิ่งดีๆ ที่คุณได้จากการมีเวลาให้กับตัวเองมากขึ้น
  4. คุณอาจจะคิดว่า ถ้าเกิดคุณไม่ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ นั่นหมายถึงว่าชีวิตคุณนั้นต้องผิดพลาดไปหมด ดังนั้น การคิดถึงสิ่งที่ตัวเองมีอยู่แล้วนั้นจะช่วยทำให้คุณมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้น และทำให้คุณเข้าใจว่าชีวิตคุณนั้นได้เดินทางผ่านเส้นทางที่คาดเดาไม่ได้มาก่อนแล้ว และสิ่งที่คุณคาดหวังเอาไว้ก็สำเร็จได้เพราะความอดทนและความมุ่งมั่นของตัวคุณเองทั้งนั้น [5]
  5. ดูให้แน่ใจว่าคุณมีเป้าหมายให้เดินหน้าทำตามอยู่ตลอดเวลาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทำความสะอาดหรือออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ในตอนกลางคืนก็ตาม เพราะบางสิ่งบางอย่างที่จะมาเบี่ยงเบนความสนใจคุณ อาจจะทำให้คุณทนกับการรอคอยได้ ซึ่งถ้าคุณจับจดอยู่กับเป้าหมายตัวเอง นั่นก็จะไม่ช่วยทำให้คุณเข้าถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้นแต่อย่างใด เพราะมันมีแต่จะไปกินพลังงานและทำให้สุขภาพคุณแย่ลง
    • จำไว้เสมอว่า สิ่งที่จะมาเบี่ยงเบนความสนใจคุณไม่ควรจะเป็นสิ่งที่ครอบงำตัวคุณให้ย้ำคิดย้ำทำแต่เรื่องเดิมๆ เพราะการใช้เวลาครึ่งวันไปกับการถูพื้นบ้านในแต่ละวันเพื่อที่จะลืมว่าตัวเองไม่มีงานทำนั้น ย่อมมีผลกระทบต่อพลังงานและสุขภาพของตัวคุณเหมือนกัน
  6. การที่คุณมีทัศนคติในชีวิตที่เป็นแง่บวก จะช่วยเสริมสร้างความอดทนให้กับตัวคุณได้ ซึ่งการมองโลกในแง่ดีนั้นเป็นพลังงานชั้นดี เพราะการที่คุณมีความกระปรี้กระเปร่าและมีความมุ่งมั่นนั้น จะช่วยทำให้คุณได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการได้เร็วขึ้น [7]
    • แม้แต่ในกรณีนี้ การนึกถึงความสำเร็จในอดีตของตัวเองและการยินดีในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่แล้ว ก็เป็นวิธีที่ดีที่จะทำให้คุณสามารถมองเห็นด้านดีๆ ของการรอคอยได้
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 3:

ประเมินดูอีกครั้งว่าคุณต้องการอะไร

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ทำความเข้าใจว่าทำไมสิ่งต่างๆ ถึงไม่เป็นไปตามแผนที่คุณวางไว้และหาทางแก้ไขมัน. การที่คุณไม่ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการนั้นอาจจะเป็นสิ่งกระตุ้นให้เห็นว่า มันยังไม่แน่ว่าเป้าหมายของคุณจะมีความเป็นไปได้หรือเปล่า และอาจจะมีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับวิธีการที่คุณใช้ ดังนั้น ให้คุณซื่อสัตย์กับตัวเองและคิดตามความเป็นจริงว่ายังมีบางสิ่งบางอย่างที่คุณน่าจะทำได้แต่ว่ายังไม่ได้ทำหรือเปล่า
    • การนึกถึงวิธีการทั้งหมดและทบทวนแต่ละขั้นตอนของคุณตั้งแต่เริ่มต้นนั้น อาจจะช่วยทำให้คุณมองเห็นข้อผิดพลาดที่ตัวเองทำไว้ และมองเห็นว่าทางเลือกไหนที่คุณน่าจะเอาไปใช้ได้ [8]
  2. สำรวจทางเลือกอื่นๆ ที่จะนำไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ. คุณควรจะเตรียมตัวเพื่อทบทวนวิธีการที่ตัวเองใช้ใหม่อีกครั้ง และเตรียมตัวเพื่อปรับเปลี่ยนวิธีการปฏิบัติของตัวเองด้วย เพราะในบางครั้งคุณอาจจะยึดติตอยู่กับวิธีการบางวิธีโดยเฉพาะเพื่อที่จะได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ และมองไม่เห็นว่าวิธีการนั้นไม่ใช่สิ่งที่สร้างผลลัพธ์ในแบบที่คุณคาดหวังเอาไว้เลย ดังนั้น การเป็นคนยืดหยุ่นและมองตามความเป็นจริง จะช่วยทำให้คุณสามารถบรรลุเป้าหมายของตัวเองได้เร็วขึ้น และจำไว้ว่าสิ่งที่สำคัญกว่าวิธีการที่คุณใช้เพื่อบรรลุเป้าหมายจริงๆ แล้วก็คือจุดหมายสุดท้ายของคุณนั่นเอง [9]
    • ตัวอย่างเช่น หากคุณใช้เวลา 16 ชั่วโมงต่อวันไปกับการส่งประวัติย่อเพื่อสมัครงานนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่ช่วยหางานให้คุณเลย บางทีวิธีที่ดีกว่านี้ก็อาจจะเป็นการลงทุนเวลาไปกับการสร้างเครือข่ายทางสังคมให้ตัวเองก็ได้
  3. คิดดูว่าทำไมคุณถึงอยากจะได้สิ่งที่ตัวเองอยากได้. หากคุณรู้สึกว่าตัวเองรอมานานแล้ว มันจะมีประโยชน์มาก ถ้าหากคุณจะลองมองย้อนกลับไปว่าทำไมตอนแรกคุณถึงต้องการในสิ่งนั้น เพราะในบางครั้งคุณอาจจะต้องการบางสิ่งบางอย่างมากเหลือเกิน จนพลังงานที่คุณใช้ไปกับการอยากได้ในสิ่งนั้นมันทำให้คุณออกนอกเส้นทางสู่เป้าหมายใหญ่ของตัวเอง
    • ถามตัวเองดูว่าการที่คุณได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการนั้นเป็นสาระสำคัญหรือไม่ ถ้าหากว่าใช่ คุณก็ควรจะทบทวนความมุ่งมั่นของตัวเองและโฟกัสไปที่เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังความมุ่งมั่นนั้น มากกว่าที่จะโฟกัสแค่เรื่องของจุดหมายปลายทางหรือตัววัตถุแค่เพียงอย่างเดียว
  4. บางทีการที่คุณไม่สามารถบรรลุในสิ่งที่ตัวเองต้องการ อาจจะเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าสิ่งนั้นอยู่ไกลเกินเอื้อมคุณก็เป็นได้ และแม้ว่ามันอาจจะยากที่จะประเมินความมุ่งมั่นของตัวเองใหม่อีกครั้ง แต่การที่คุณปรารถนาบางสิ่งบางอย่างที่คุณไม่มีวันทำได้นั้น มีแต่จะทำให้คุณผิดหวังและไม่พอใจกับตัวเองในท้ายที่สุด
    • นี่ไม่ได้หมายความว่าคุณควรจะต้องปฏิวัติชีวิตของตัวเองไปอย่างสิ้นเชิง ตัวอย่างเช่น แม้ว่างานที่คุณใฝ่ฝันจะเป็นงานที่ดูเป็นไปไม่ได้สำหรับคุณ แต่จริงๆ ก็อาจจะมีงานอื่นๆ ที่ใกล้เคียงและมีค่าพอๆ กับงานนั้นเลยก็เป็นได้
  5. ตระหนักไว้ว่าความสุขนั้นไม่เหมือนกับการได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ. คุณอาจจะคิดว่าความสุขนั้นวัดจากคุณสมบัติบางอย่าง เช่น ความมั่งคั่งหรือชื่อเสียง ยิ่งคุณมีเงินมากเท่าไรคุณก็จะยิ่งรวยมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งมีคนรู้จักคุณมากเท่าไร คุณก็จะยิ่งดังขึ้นเท่านั้น แต่จริงๆ แล้ว ความสุขนั้นเป็นเรื่องของทัศนคติมากกว่าเรื่องของจำนวนสิ่งของหรือการครอบครองสิ่งต่างๆ กลับกัน ความทุกข์และการไม่รู้จักพอนั้นเป็นสิ่งที่เดินวนลูปไปเรื่อยๆ และไม่ว่าคุณจะได้มามากเท่าไร คุณก็จะไม่เคยพอสักที [10]
    • ลองมองย้อนไปถึงสิ่งที่ทำให้คุณมีความสุข ดูว่าความสุขเหล่านั้นมันสอดคล้องกับสิ่งที่คุณต้องการ หรือมันเป็นผลจากการที่คุณได้มีสิ่งที่ตัวเองครอบครองอยู่หรือไม่? ความสุขในตอนนั้นคุณมองเห็นมันได้ชัดเจนหรือไม่ หรือว่ามันดูจะเป็นหลักนามธรรมมากกว่า?
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • จำไว้ว่าคุณไม่มีทางรู้หรอกว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวคุณบ้าง ไม่แน่พรุ่งนี้คุณอาจจะไปทำงานและก็ได้รับเลื่อนขั้นที่คุณต้องการมาตลอดก็ได้ และไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อในเรื่องโชคชะตาก็ตาม จำไว้ว่าการคาดการณ์ไม่ได้ของชีวิตนั้นคือเรื่องจริง และการที่คุณเข้าใจว่าคนเราย่อมไม่สามารถควบคุมบางสิ่งบางอย่างได้นั้น จะช่วยทำให้คุณสามารถหลีกเลี่ยงความเครียดที่เกิดขึ้นโดยไม่จำเป็นและไม่สูญเสียความหวังไปก่อนได้
โฆษณา

คำเตือน

  • ให้คุณพิจารณาในสิ่งที่คุณต้องการจากทุกมุมมอง หากคุณต้องการชื่อเสียง คุณก็ควรจะเตรียมตัวรับมือกับความเป็นส่วนตัวที่มีน้อยลง และรับมือกับการตัดสินจากคนอื่น รวมถึงรับรู้เอาไว้ว่าคุณอาจจะสูญเสียมันไปได้ทุกเมื่อ
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 4,670 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา