ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

ตะคริวเท้า (foot cramp) มักเกิดกะทันหัน อาการคือเจ็บแปลบรุนแรง บางทีก็หายเร็ว แต่บางทีก็เป็นนานได้ถึง 3 นาทีเลย เท้ากับนิ้วเท้านี่แหละที่มักเป็นตะคริวหรือกระตุกเกร็ง เพราะต้องรับน้ำหนักตัวคุณตลอดวัน ทั้งยืน เดิน วิ่ง ที่สำคัญคือบางทีคุณก็ใส่รองเท้าที่คับ ไม่สบายเท้าเท่าไหร่ ถ้าเป็นตะคริวแล้วรีบแก้ ก็จะหายเจ็บปวดได้ในทันที แต่ถ้าใครเป็นตะคริวเท้าอยู่บ่อยๆ คงต้องใช้วิธีอื่นเพิ่มเติม

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 3:

แก้ตะคริวเท้าเฉพาะหน้า

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ถ้ากล้ามเนื้อเริ่มกระตุกเกร็งหรือเป็นตะคริวจากการออกกำลังกายหรือกิจกรรมอื่นๆ ให้หยุดทำกิจกรรมที่เป็นตัวกระตุ้นทันที [1]
  2. ตะคริวกล้ามเนื้อมักเกิดกะทันหันแบบไม่ทันตั้งตัว การหดเกร็งกล้ามเนื้อซ้ำๆ นี่แหละที่ทำให้กล้ามเนื้อกระตุกเกร็ง ถ้าอยากให้หายเป็นตะคริวเท้าหรือนิ้วเท้าเร็วๆ ก็ต้องยืดเหยียดกล้ามเนื้อส่วนนั้น [3]
    • ยืดเหยียดกล้ามเนื้อแล้ว เท่ากับป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้อหดเกร็งอยู่อย่างนั้น หรือไม่ให้คงอยู่ในท่าทางที่ทำให้เกิดตะคริว [4]
    • การยืดเหยียดกล้ามเนื้อแก้ตะคริวจะได้ผลดีที่สุด ถ้าคุณยืดค้างไว้ 1 นาทีขึ้นไป จนกว่าตะคริวจะเริ่มคลาย หรือจนกว่ากล้ามเนื้อจะหดเกร็งซ้ำๆ น้อยลงหรือเลิกหดเกร็ง คุณอาจจะต้องยืดเหยียดซ้ำๆ ถ้ากลับมาเป็นตะคริวอีก [5]
    • อุ้งเท้ากับนิ้วเท้านี่แหละที่เป็นตะคริวง่ายที่สุด [6]
    • ให้ยืดเหยียดอุ้งเท้า โดยนั่งลง จับนิ้วเท้าไว้ แล้วดันนิ้วเท้าเข้าหาตัวจนรู้สึกว่าอุ้งเท้าโค้งๆ เหยียดตึง โดยทำท่านี้ค้างไว้ 30 วินาทีแล้วปล่อย ถ้าเป็นตะคริวอีก ให้ทำซ้ำ [7]
    • เหยียบลูกเทนนิสให้กลิ้งไปมาใต้เท้าแทนการนวด จะทำตอนนั่งหรือยืนก็ได้ ใช้นวดได้ทั้งฝ่าเท้า อุ้งเท้า และส้นเท้า
  3. เป็นวิธียืดเหยียดกล้ามเนื้อ เอ็น และเอ็นยึดที่ทำให้เป็นตะคริวอุ้งเท้าหรือนิ้วเท้าอย่างเห็นผล [8]
  4. พอตะคริวเริ่มคลายหายเจ็บ ให้เดินไปเดินมา [10]
    • เดินไปเดินมาจะช่วยป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นตะคริวซ้ำ เพราะถ้าเป็นตะคริวขึ้นมาครั้งหนึ่งแล้ว กล้ามเนื้อบริเวณนั้นจะเป็นตะคริวหรือกระตุกเกร็งซ้ำได้อีกเรื่อยๆ จนกว่าจะคลายกล้ามเนื้อได้เต็มที่ [11]
    • เพราะงั้นคุณควรยืนและ/หรือเดินไปมาสักพัก หรือก็คือ 3 นาทีขึ้นไป จนรู้สึกว่ากล้ามเนื้อบริเวณนั้นคลายตัว ไม่เจ็บปวดแล้ว [12]
    • ทำใจว่าต้องเดินไปมาสักพัก เพราะพอเลิกลงน้ำหนัก อาจจะกลับมาเจ็บเท้าได้อีก [13]
    • พอเริ่มหายเจ็บแล้ว ให้ยืดเหยียดต่อไปจนรู้สึกว่ากล้ามเนื้อผ่อนคลาย ให้ยืดเหยียดอุ้งเท้ากับนิ้วเท้าโดยปูผ้าขนหนูที่พื้น แล้วใช้นิ้วเท้าขยุ้มหยิบผ้าขึ้นมา [14]
    • ยืดเหยียดกล้ามเนื้อน่องเพิ่มเติม จะได้ยิ่งผ่อนคลายเวลายืดเหยียดกล้ามเนื้อ เอ็น และเอ็นยึดบริเวณส้นเท้า ถึงจะไม่ได้เป็นตะคริวน่อง ก็ควรยืดเหยียดกล้ามเนื้อแถวนั้นหลังหายเจ็บจากตะคริว จะได้ยิ่งผ่อนคลาย [15]
    • วางเท้าข้างหนึ่งแนบไปกับพื้น ห่างจากผนังประมาณ 4 - 5 ฟุต (120 - 150 ซม.) จากนั้นดันตัวเข้าหาผนัง จนรู้สึกตึงแถวๆ น่อง โดยที่ส้นเท้าไม่ยกจากพื้น ทำท่านี้ค้างไว้ 30 วินาที แล้วทำซ้ำถ้ายังเป็นตะคริวที่เท้าหรือนิ้วเท้า [16] เวลาบริหารท่านี้ ให้ทั้งยืดเข่าและงอเข่า จะได้ยืดเหยียดกล้ามเนื้อน่องทั้ง 2 ส่วน
  5. นอกจากยืดเหยียดเท้าหรือนิ้วเท้าที่เป็นตะคริวแล้ว ให้ถอดรองเท้าและถุงเท้า จากนั้นนวดบริเวณที่เป็นตะคริวอย่างเบามือ [17]
    • ระหว่างนวด ควรยืดเหยียดเท้าและนิ้วเท้า [18]
    • นวดเท้าแล้วคลำหาบริเวณที่มีกล้ามเนื้อแข็งๆ เพราะเป็นตะคริว ให้ใช้นิ้วโป้งกดนวดบริเวณนั้น อาจจะต้องกดหนักๆ หน่อย กล้ามเนื้อแข็งเกร็งถึงจะยอมคลายตัว ก็ให้นวดไปเรื่อยๆ จนกล้ามเนื้อนิ่มลง แปลว่าเริ่มผ่อนคลาย [19]
    • นวดต่อไปที่บริเวณรอบๆ แล้ววนกลับมาตรงที่เป็นตะคริวเป็นพักๆ ให้นวดวนหรือนวดยืดเหยียดกล้ามเนื้อโดยใช้ทั้ง 2 มือ [20]
    • ดันนิ้วเท้าเข้าหาตัวถ้าเป็นตะคริวจนหดเกร็ง หรือถ้าเป็นตะคริวที่อุ้งเท้า [21]
    • ดันนิ้วเท้าลง ถ้าเป็นตะคริวจนตึงขึ้นด้านบน แล้วนวดต่อไปเรื่อยๆ อีก 2 - 3 นาที หรือจนกว่าจะรู้สึกได้ว่ากล้ามเนื้อที่หดเกร็งเริ่มคลายตัว หายเจ็บปวด [22]
  6. ระหว่างที่กล้ามเนื้อเป็นตะคริว ถ้าประคบร้อนจะช่วยได้ โดยประคบบริเวณที่กล้ามเนื้อตึงเกร็งเลย [23]
    • ประคบด้วยถุงน้ำร้อน หรือแผ่นประคบร้อนสำเร็จรูปแบบขยำก่อน เพื่อคลายกล้ามเนื้อที่ตึงเกร็ง
    • พอหายเป็นตะคริว ถ้ายังรู้สึกปวดๆ ให้ประคบเย็น เพื่อบรรเทาอาการปวดหรือกดเจ็บที่กล้ามเนื้อ [24]
  7. ให้ประคบเย็นที่เท้าติดต่อกันหลายวัน เท้าจะได้ผ่อนคลายหลังใช้งานหนัก บาดเจ็บ หรือเพราะใส่รองเท้าผิดไซส์ [25]
    • อย่าประคบเย็นที่ผิวหนังโดยตรง ต้องเอาผ้าห่อน้ำแข็งหรือเจลแพ็คก่อน ไม่งั้นความเย็นจะทำผิวคุณไหม้ได้ [26]
    • ประคบเย็นครั้งละ 15 - 20 นาที วันละหลายๆ ครั้ง ติดต่อกัน 2 - 5 วัน หรือจนกว่าจะหายปวดหรือกดเจ็บ [27]
    • ประคบเย็นที่ใต้เท้าและส้นเท้าตอนยืน โดยกลิ้งขวดน้ำแช่แข็ง ขนาด 12 - 16 ออนซ์ (350 - 450 มล.) ไปมาใต้เท้า แต่หาที่ยึดให้ดีๆ ระวังล้ม [28]
  8. ที่คุณปวดเท้าหรือเป็นตะคริว มักเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น บาดเจ็บ หรือใช้งานหนักไป [29]
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 3:

ป้องกันไม่ให้เป็นตะคริวเท้าบ่อยๆ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรงสมบูรณ์ [35]
    • ค่อยๆ เพิ่มความหนักในการออกกำลังกายแบบแอโรบิค จะช่วยให้กล้ามเนื้อ เอ็น และเอ็นยึดที่เท้าแข็งแรง ไม่เป็นตะคริวง่ายๆ ถ้าอยากแก้เจ็บเท้าหรือตะคริวเท้า ว่ายน้ำนี่แหละการออกกำลังกายแบบแอโรบิคที่แนะนำ เพราะไม่ต้องลงน้ำหนักที่เท้า ลดภาระให้ข้อด้วย [36]
    • ค่อยๆ ยกระดับความฟิตของร่างกาย รวมถึงยืดเหยียดให้ร่างกายยืดหยุ่น ทั้งก่อนและหลังออกกำลังกาย [37]
    • ถ้าปกติคุณออกกำลังกายเป็นประจำอยู่แล้ว ให้ลองสำรวจหาสาเหตุดู ว่ากิจกรรมไหนทำให้คุณเป็นตะคริว
  2. เลือกรองเท้าที่สวมใส่พอดี มี shank หรือก้านเสริมความแข็งแรงที่พื้นรองเท้า และมี heel counter คือส่วนหุ้มตรงส้นเท้าที่แข็งแรง รองรับน้ำหนักตัวของคุณได้ดี นุ่ม ใส่สบาย
    • shank คือแถบหรือก้านเสริมความแข็งแรงที่แปะยาวไปตลอดพื้นรองเท้า ปกติจะไม่โผล่ออกมาให้เห็น เลยบอกไม่ค่อยได้ว่ารองเท้ายี่ห้อนั้นมี shank ด้วยหรือเปล่า แต่ถ้ารองเท้าคู่นั้นอ่อน ตรงกลางดัดง่าย แสดงว่าไม่มี shank [38]
    • heel counter หรือส่วนหุ้มตรงส้นเท้า ก็มองไม่เห็นเช่นกัน แต่ถ้าแข็งแรงดี เวลากดตรงกลางด้านบน ของส่วนหลังของรองเท้า แล้วไม่ยุบตัวง่าย แสดงว่า heel counter แข็งแรงดี ยิ่ง heel counter แข็งแรง รองรับน้ำหนักได้ดี ก็ส่วนบนของพื้นรองเท้าแถวส้นก็ยิ่งยุบตัวยาก ใส่แล้วนุ่มสบาย ไม่เจ็บ [39]
    • เดี๋ยวนี้หลายร้านจะมีผู้เชี่ยวชาญช่วยวิเคราะห์รูปเท้าและลักษณะการเดินของคุณ เพื่อปรับเปลี่ยนรองเท้าให้คุณสวมใส่สบายที่สุด
  3. เท้าจะไม่เจ็บและไม่เป็นรองช้ำ ถ้าส้นและพื้นรองเท้าสึกแล้วรีบเปลี่ยน
    • พอพื้นและส้นรองเท้าสึก heel counter รองรับน้ำหนักได้ไม่ดีเท่าเก่า เวลาเดินเหินก็ก้าวได้ไม่เต็มเท้า เพราะงั้นให้เปลี่ยนพื้นรองเท้าหรือซื้อรองเท้าใหม่ไปเลย เพื่อสุขภาพเท้าที่ดีกว่า
    • ใส่รองเท้าส้นสูงบ่อยๆ หรือใส่ครั้งละนานๆ ก็ทำให้ปวดเท้า เป็นตะคริวเท้า/นิ้วเท้าได้เช่นกัน
  4. หมั่นยืดเหยียดเสริมสร้างความยืดหยุ่น จะช่วยป้องกันตะคริวเท้า/นิ้วเท้าได้ [40]
    • เสริมสร้างความยืดหยุ่นและความแข็งแรงให้นิ้วเท้า โดยยืดเหยียดให้เท้าตึง เหมือนเวลายืนเขย่งปลายเท้า ทำท่านี้ค้างไว้ 5 วินาที แล้วทำซ้ำอีก 10 ครั้ง เสร็จแล้วสลับไปทำอีกข้าง [41]
    • เกาะผนังหรือยึดอะไรไว้ให้มั่นคง แล้วยืนเขย่งปลายเท้าเหมือนจะเต้นบัลเล่ต์ ทำท่านี้ค้างไว้ 5 วินาที จากนั้นทำซ้ำ 10 ครั้ง แล้วสลับไปทำอีกข้าง [42]
    • นั่งลง งอนิ้วเท้าเข้าหาฝ่าเท้า แล้วออกแรงกด ค้างไว้ 5 วินาที ทำซ้ำ 10 ครั้ง แล้วสลับไปทำอีกข้าง [43]
    • เหยียบแล้วกลิ้งลูกกอล์ฟไปตามฝ่าเท้าสัก 2 นาที จากนั้นสลับข้าง [44]
    • วางลูกแก้วที่พื้นเยอะๆ สัก 20 ลูก ขยุ้มนิ้วเท้าหยิบลูกแก้วขึ้นมาใส่ชามหรือภาชนะอะไรก็ได้ทีละลูก แล้วทำซ้ำแบบเดียวกันกับเท้าอีกข้าง [45]
  5. เท้าบาดเจ็บบางอาการคุณหมออาจไม่แนะนำให้เดินเท้าเปล่า แต่ถ้าเป็นตะคริวที่เท้าและนิ้วเท้า ทำแล้วจะช่วยได้ [46]
    • เดินเท้าเปล่าบนทรายช่วยให้นิ้วเท้า รวมถึงกล้ามเนื้อมัดเล็กๆ ในเท้าและข้อเท้าแข็งแรง แถมยังเหมือนเป็นการนวดเท้าเบาๆ ด้วย [47]
  6. เพราะไม่ค่อยดื่มน้ำนี่แหละ ถึงได้เป็นตะคริวที่เท้ากับนิ้วเท้า [48]
    • ดื่มน้ำทั้งก่อนและหลังออกกำลังกาย และดื่มตลอดวัน เพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำเพียงพอ [49]
    • อาจจะดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่แทนก็ได้ เพราะการขาดเกลือแร่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่มักทำคุณเป็นตะคริว
    • เตรียมแก้วน้ำไว้ที่หัวเตียง เผื่อเป็นตะคริวตอนกลางคืน [50]
  7. สารอาหารจำเป็นต่อการทำงานของร่างกายและกล้ามเนื้อมาก ถ้ากินอาหารครบหมู่ในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยลดโอกาสเกิดตะคริวได้แน่นอน [51]
    • สารอาหารที่จำเป็นต่อกล้ามเนื้อคือโพแทสเซียม แคลเซียม และแมกนีเซียม แนะนำให้กินกล้วย ผลิตภัณฑ์นม ผักสด ถั่วฝัก และถั่วเปลือกแข็ง [52]
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 3:

หาหมอ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ถ้าเป็นตะคริวแล้วปวดหรือบวมมากผิดปกติ ต้องรีบไปหาหมอทันที [53]
  2. ถ้าอยู่ๆ บริเวณนั้นก็มีอาการผิดปกติ หรือเจ็บ/เป็นตะคริวขึ้นมาที่เท้าทั้ง 2 ข้าง ให้รีบไปหาหมอตรวจเท้าทันที [58]
  3. ถ้าเป็นตะคริวหรือเจ็บเท้านานเกิน 1 อาทิตย์ โดยจะประคบเย็นและพักเท้าแล้วหรือไม่ก็แล้วแต่ ต้องรีบไปหาหมอ [60]
    • ถ้าเป็นตะคริวเท้าไม่ยอมหาย ไม่ว่าจะข้างเดียวหรือทั้ง 2 ข้าง อาจเป็นสัญญาณว่าคุณมีโรคอื่นแทรกซ้อน หรือมีโรคอันเป็นสาเหตุให้เกิดปวดเท้าหรือเป็นตะคริวเท้าแต่แรก
  4. ถ้าเป็นไม่ยอมหาย ต้องให้คุณหมอตรวจวินิจฉัยหาโรคต้นเหตุที่ทำให้คุณเป็นตะคริวเท้าหรือปวดเท้า โรคที่ว่าก็เช่น [61]
    • ระดับเกลือแร่ในร่างกายผิดปกติ [62]
    • ภาวะขาดน้ำเพราะดื่มน้ำและ/หรือร่างกายได้รับเกลือแร่ไม่เพียงพอ [63]
    • โรคไทรอยด์ [64]
    • ภาวะพร่องวิตามินดี [65]
    • โรคไต ทั้งระยะเริ่มต้น หรือขั้นร้ายแรงระดับที่ต้องฟอกไต [66]
    • เบาหวาน ทั้งชนิดที่ 1 และ 2 [67]
    • โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ [68]
    • ข้ออักเสบ ทั้งรูมาตอยด์และข้อเสื่อม [69]
    • โรคเกาต์ ที่ปกติไม่ได้เป็นสาเหตุของตะคริวโดยตรง แต่ทำให้เจ็บปวดรุนแรงและอันตรายมาก [70]
    • ภาวะตัวเย็นเกิน หรือเท้าเปื่อย จากการทำงานในสภาพที่เท้าเจออากาศเย็นจัดเป็นเวลานาน หรือเจออากาศที่อุ่นขึ้นมาหน่อย คือไม่เกิน 15 °C แต่เปียกแฉะด้วย [71]
    • อาการบาดเจ็บที่เส้นประสาท ทั้งเส้นเดียวหรือหลายเส้น [72]
    • โรคทางสมอง เช่น โรคพาร์กินสัน, โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (เอ็มเอส), โรคฮันติงตัน และโรคกล้ามเนื้อหดเกร็ง [73]
    • ตั้งครรภ์ ปกติพอเข้าไตรมาสที่ 3 มักเกิดอาการปวดหรือเป็นตะคริวเท้า แต่จริงๆ แล้วเกิดได้ตลอดการตั้งครรภ์ [74]
  5. จริงๆ แล้วหลายอาการที่ว่ามา ถ้าทำตามคำแนะนำของคุณหมอ ก็หายได้ง่ายๆ [75]
    • เช่น ดื่มน้ำเยอะขึ้น และ/หรือเปลี่ยนเครื่องดื่ม ก็เป็นขั้นตอนง่ายๆ ที่ช่วยแก้ตะคริวได้ รวมถึงกินวิตามินดีเสริมตามที่คุณหมอสั่ง [76]
    • รักษาหรือบรรเทาอาการตามที่คุณหมอสั่งอย่างเคร่งครัด เช่น มาหาหมอตามนัด เพราะอาจต้องตรวจร่างกายเพิ่มเติม ปรับเปลี่ยนยา หรือโอนเคสไปยังคุณหมอเฉพาะทาง [77]
  6. คุณหมอจะปรับเปลี่ยนทั้งชนิดและปริมาณของยาประจำตัวให้คุณเอง ถ้าผลข้างเคียงของยานั้นคือทำให้เกิดตะคริว [78]
    • ตัวอย่างยาที่อาจทำคุณเป็นตะคริวหรือปวดเท้าได้ก็เช่น furosemide, donepezil, neostigmine, raloxifene, tolcapone, albuterol และ lovastatin เป็นต้น ถ้ากินยาต่างจากนี้แล้วสันนิษฐานว่าน่าจะทำให้เป็นตะคริว ให้ปรึกษาคุณหมอ [79]
    • อย่าปรับเปลี่ยนยาเอง คุณหมอจะตรวจวินิจฉัยแล้วปรับเปลี่ยนโดสยาหรือเปลี่ยนตัวยาใหม่ให้ ถ้าผลข้างเคียงของยาที่ใช้อยู่คืออาการปวดหรือตะคริวเท้า [80]
    โฆษณา
  1. http://www.mayoclinic.org/symptoms/night-leg-cramps/basics/definition/sym-20050813
  2. http://www.videojug.com/film/how-to-deal-with-foot-cramp
  3. http://www.foot-pain-explored.com/foot-cramps.html
  4. http://www.foot-pain-explored.com/foot-cramps.html
  5. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/plantar-fasciitis/multimedia/foot-stretches-to-prevent-plantar-fasciitis/img-20008230
  6. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/plantar-fasciitis/multimedia/foot-stretches-to-prevent-plantar-fasciitis/img-20008230
  7. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/plantar-fasciitis/multimedia/foot-stretches-to-prevent-plantar-fasciitis/img-20008230
  8. http://www.osteopathic.org/osteopathic-health/about-your-health/health-conditions-library/general-health/Pages/muscle-cramp.aspx
  9. http://www.osteopathic.org/osteopathic-health/about-your-health/health-conditions-library/general-health/Pages/muscle-cramp.aspx
  10. https://www.youtube.com/watch?v=MRvu3_8QPsM
  11. https://www.youtube.com/watch?v=MRvu3_8QPsM
  12. https://www.youtube.com/watch?v=MRvu3_8QPsMplantar-fasciitis/img-20008230
  13. https://www.youtube.com/watch?v=MRvu3_8QPsMplantar-fasciitis/img-20008230
  14. http://www.osteopathic.org/osteopathic-health/about-your-health/health-conditions-library/general-health/Pages/muscle-cramp.aspx
  15. http://www.osteopathic.org/osteopathic-health/about-your-health/health-conditions-library/general-health/Pages/muscle-cramp.aspx
  16. http://www.mayoclinic.org/symptoms/foot-pain/basics/causes/sym-20050792
  17. http://www.osteopathic.org/osteopathic-health/about-your-health/health-conditions-library/general-health/Pages/muscle-cramp.aspx
  18. http://www.osteopathic.org/osteopathic-health/about-your-health/health-conditions-library/general-health/Pages/muscle-cramp.aspx
  19. http://leadingedgephysio.com/2-major-causes-of-heel-pain/
  20. http://www.mayoclinic.org/symptoms/foot-pain/basics/causes/sym-20050792
  21. http://www.mayoclinic.org/symptoms/foot-pain/basics/causes/sym-20050792
  22. http://www.mayoclinic.org/symptoms/foot-pain/basics/causes/sym-20050792
  23. http://www.mayoclinic.org/symptoms/foot-pain/basics/causes/sym-20050792
  24. http://www.mayoclinic.org/symptoms/foot-pain/basics/causes/sym-20050792
  25. http://www.mayoclinic.org/symptoms/foot-pain/basics/causes/sym-20050792
  26. https://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/003194.htm
  27. https://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/003194.htm
  28. http://www.osteopathic.org/osteopathic-health/about-your-health/health-conditions-library/general-health/Pages/muscle-cramp.aspx
  29. http://footankle.com/pdf/Heel%20Pain%20Guide.pdf
  30. http://www.feetrelief.com/feetrelief/heel_counter.html
  31. http://www.aofas.org/footcaremd/how-to/foot-health/Pages/How-to-Keep-Your-Feet-Flexible.aspx
  32. http://www.aofas.org/footcaremd/how-to/foot-health/Pages/How-to-Keep-Your-Feet-Flexible.aspx
  33. http://www.aofas.org/footcaremd/how-to/foot-health/Pages/How-to-Keep-Your-Feet-Flexible.aspx
  34. http://www.aofas.org/footcaremd/how-to/foot-health/Pages/How-to-Keep-Your-Feet-Flexible.aspx
  35. http://www.aofas.org/footcaremd/how-to/foot-health/Pages/How-to-Keep-Your-Feet-Flexible.aspx
  36. http://www.aofas.org/footcaremd/how-to/foot-health/Pages/How-to-Keep-Your-Feet-Flexible.aspx
  37. http://www.aofas.org/footcaremd/how-to/foot-health/Pages/How-to-Keep-Your-Feet-Flexible.aspx
  38. http://www.aofas.org/footcaremd/how-to/foot-health/Pages/How-to-Keep-Your-Feet-Flexible.aspx
  39. http://www.footvitals.com/muscles/foot-cramps.html
  40. http://www.footvitals.com/muscles/foot-cramps.html
  41. http://www.footvitals.com/muscles/foot-cramps.html
  42. http://www.footvitals.com/muscles/foot-cramps.html
  43. http://www.footvitals.com/muscles/foot-cramps.html
  44. http://www.mayoclinic.org/symptoms/foot-pain/basics/causes/sym-20050792
  45. http://www.mayoclinic.org/symptoms/foot-pain/basics/causes/sym-20050792
  46. http://www.mayoclinic.org/symptoms/foot-pain/basics/causes/sym-20050792
  47. http://www.mayoclinic.org/symptoms/foot-pain/basics/causes/sym-20050792
  48. http://www.mayoclinic.org/symptoms/foot-pain/basics/causes/sym-20050792
  49. http://www.mayoclinic.org/symptoms/foot-pain/basics/causes/sym-20050792
  50. http://www.mayoclinic.org/symptoms/foot-pain/basics/causes/sym-20050792
  51. http://www.mayoclinic.org/symptoms/foot-pain/basics/causes/sym-20050792
  52. https://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/003194.htm
  53. https://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/003194.htm
  54. https://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/003194.htm
  55. https://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/003194.htm
  56. https://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/003194.htm
  57. https://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/003194.htm
  58. https://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/003194.htm
  59. http://www.everydayhealth.com/foot-health/foot-pain-can-signal-serious-conditions.aspx
  60. http://www.everydayhealth.com/foot-health/foot-pain-can-signal-serious-conditions.aspx
  61. http://www.everydayhealth.com/foot-health/foot-pain-can-signal-serious-conditions.aspx
  62. http://www.cdc.gov/niosh/topics/coldstress/
  63. https://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/003194.htm
  64. https://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/003194.htm
  65. https://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/003194.htm
  66. https://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/003194.htm
  67. https://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/003194.htm
  68. https://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/003194.htm
  69. http://www.footvitals.com/muscles/foot-cramps.html
  70. http://www.footvitals.com/muscles/foot-cramps.html
  71. http://www.footvitals.com/muscles/foot-cramps.html

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 46,673 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา