ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

มนุษย์นั้นสะสมไขมันร่างกายไว้ตามที่ต่างๆ รอบสะโพกกับต้นขา เอว หรือตามตำแหน่งต่างๆ ทั่วร่างกาย อย่างไรก็ตาม มีไขมันต่างชนิดกันภายในร่างกายเรา นั่นคือ ไขมันใต้ผิวหนัง (subcutaneous) กับไขมันในช่องท้อง (visceral) ไขมันใต้ผิวหนังเป็นชั้นไขมันที่พบใต้ผิวหนังและปกติแล้วจะไม่สื่อถึงความเสี่ยงใดๆ ในด้านสุขภาพ [1] อย่างไรก็ดี ไขมันในช่องท้องนั้นเป็นไขมันที่พบในหรือรอบๆ อวัยวะโดยเฉพาะในบริเวณหน้าท้องและท้องน้อย มันจะเกาะรอบๆ ท้อง ตับและลำไส้ [2] ไขมันในช่องท้องนั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพ มันจะสร้างสารพิษต่อร่างกายผ่านการเผาผลาญ นอกจากนั้น มันยังเชื่อมโยงกับ: ภาวะดื้อต่ออินซูลิน (insulin resistance) ซึ่งสามารถทำให้เกิดโรคเบาหวานประเภทที่ 2 ได้, โรคหัวใจ, โรคสมองขาดเลือด, ความดันโลหิตสูง และมะเร็งบางชนิด (อย่างมะเร็งเต้านมและมะเร็งลำไส้) [3] อย่างไรก็ดี ระดับของไขมันในช่องท้องสามารถควบคุมและลดได้โดยการควบคุมอาหารและปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

เปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทาน

ดาวน์โหลดบทความ
  1. จำกัดไขมันในอาหารให้อยู่ราว 20-30% ของปริมาณแคลอรี่ทั้งหมด นี่เท่ากับไขมันประมาณ 40-70 กรัมในแต่ละวัน (ยึดตามแผนการควบคุมอาหาร 2,000 แคลอรี่) [4] ไขมันที่สูงกว่านี้อาจเพิ่มความเสี่ยงที่จะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นหรือระดับไขมันในช่องท้องมากขึ้น
    • เลิกทานไขมันทรานส์โดยสิ้นเชิง. ไขมันทรานส์เป็นชนิดของไขมันที่คนสร้างขึ้นและถูกพบว่าทำให้หลอดเลือดหัวใจแข็งขึ้นและเพิ่มไขมันในช่องท้อง [5]
    • ลดไขมันอิ่มตัวให้เหลือต่ำกว่า 7% ของปริมาณแคลอรี่ทั้งหมด ถึงแม้ว่าไขมันอิ่มตัวจะไม่ได้ส่งผลเสียต่อสุขภาพเท่ากับไขมันทรานส์ แต่ก็ยังเป็นเรื่องจำเป็นที่คุณต้องจำกัดปริมาณให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยทั่วไปแล้ว จำกัดปริมาณเอาไว้ให้อยู่ราว 15-20 กรัมต่อวัน (ยึดตามแผนควบคุมอาหาร 2,000 แคลอรี่) [6]
  2. แม้มันจะเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องตรวจวัดปริมาณไขมันที่รับประทานเข้าไปทั้งหมด มันก็ยังเป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กันที่ต้องแน่ใจว่าคุณได้บริโภคไขมันชนิดที่ดีต่อหัวใจและช่วยเสริมส่งกำลังใจในการลดไขมันในช่องท้อง ไขมันในอาหารอย่าง กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (monounsaturated fatty acids - MUFAs) ได้แสดงให้เห็นว่าช่วยลดระดับไขมันในช่องท้องได้ [7]
  3. การรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำมีผลแสดงให้เห็นว่าเป็นรูปแบบการทานที่มีประสิทธิภาพในการช่วยลดระดับไขมันในช่องท้อง [10] ลดปริมาณอาหารที่อุดมด้วยคาร์โบไฮเดรตออกจากแผนควบคุมอาหารจะช่วยลดปริมาณไขมันในช่องท้อง
    • อาหารที่อุดมด้วยคาร์โบไฮเดรตได้แก่: ขนมปัง ข้าว พาสต้า ขนมปังกรอบ ตอร์ติลญ่า เบเกล ลูกกวาด และเครื่องดื่มเติมน้ำตาล จำกัดอาหารเหล่านี้ให้เหลือสูงสุดเพียงวันละหนึ่งหรือสองหน่วยบริโภค [11]
    • อาหารอย่าง ผลิตภัณฑ์นม ผลไม้ และผักที่มีความเป็นแป้ง ก็มีคาร์บเช่นกัน แต่มันยังมีสารอาหารที่มีประโยชน์ตัวอื่นอย่างโปรตีน เส้นใยอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุ
    • ถอยห่างจากลูกกวาดหรือเครื่องดื่มเติมน้ำตาลให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
  4. ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าคนที่บริโภคเส้นใยอาหารเพียงพอทุกวันจะมีปริมาณไขมันในช่องท้องต่ำกว่า (และใช้เวลาน้อยกว่าในการลด) [12] ผู้หญิงควรบริโภคเส้นใยอาหาร 25 กรัมทุกวันและผู้ชายควรบริโภคเส้นใยอาหาร 38 กรัมทุกวัน [13]
  5. ตรวจวัดปริมาณแคลอรี่ที่รับประทานเข้าไปทั้งหมด. การบริโภคตามแผนควบคุมอาหารเน้นคาร์บระดับต่ำถึงปานกลางนั้นได้แสดงให้เห็นว่าช่วยในการลดไขมันในช่องท้อง [16] โดยทั่วไปแล้ว ผู้ชายควรบริโภคราว 2,000-2,500 แคลอรี่ทุกวัน และผู้หญิงควรบริโภค 1,600-2,000 แคลอรี่ทุกวัน [17]
    • ระดับแคลอรี่ทั้งหมดอาจมีความแตกต่างหลากหลายทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระบบเผาผลาญอาหาร มวลกล้ามเนื้อ เพศ อายุ และระดับกิจวัตรประจำวัน
    • โปรดสังเกตว่าแผนควบคุมอาหารแบบเน้นแคลอรี่ต่ำแต่เพียงอย่างเดียวนั้นมีผลกระทบต่อระดับไขมันในช่องท้องน้อยมาก อย่างไรก็ดี แผนการควบคุมอาหารแบบแคลอรี่ต่ำและคาร์โบไฮเดรตปานกลางนั้น เมื่อผสมผสานกับการออกกำลังกายกลับมีผลแสดงว่าลดระดับไขมันในช่องท้องได้ดี [18]
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอื่นๆ เพื่อช่วยลดไขมันในช่องท้อง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอนั้นเห็นผลแล้วว่าเป็นหนึ่งในวิธีการที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการลดไขมันในช่องท้อง คำแนะนำคือให้ออกกำลังกายแบบแอโรบิคที่มีความเข้มข้นปานกลาง 150 นาทีหรือ 2 ½ ชั่วโมงในแต่ละสัปดาห์เพื่อช่วยลดระดับไขมันในช่องท้อง [19]
    • การออกกำลังกายแบบแอโรบิคได้แก่: การเดิน การวิ่งจ๊อกกิ้ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน หรือเดินทางไกล
    • ถ้าคุณสามารถออกกำลังกายมากกว่าเวลา 150 นาทีตามที่แนะนำไว้ในแต่ละสัปดาห์ นั่นอาจช่วยให้คุณประสบความสำเร็จเร็วขึ้น [20]
  2. การยกเวทหรือการฝึกด้วยแรงต้านเป็นอีกส่วนสำคัญของกิจวัตรการออกกำลังกายของคุณ แนะนำว่าในแต่ละสัปดาห์ให้รวมการออกกำลังกายแบบฝึกกล้ามเนื้อเข้าไปหนึ่งถึงสองวัน [21]
    • การออกกำลังกายแบบฝึกกล้ามเนื้อนั้นรวมกิจกรรมประเภท: การยกเวท พีลาเต้ หรือการออกกำลังกายแบบอยู่กับที่อย่างวิดพื้นหรือครันช์
    • โปรดสังเกตว่าการฝึกเฉพาะจุด (พยายามจะลดไขมันในตำแหน่งที่จำเพาะเจาะจง) ไม่ได้ลดไขมันในช่องท้อง การลดไขมันนั้น การควบคุมอาหารกับคาร์ดิโอคือกุญแจสำคัญ อย่างไรก็ดี ยิ่งคุณสร้างกล้ามเนื้อขึ้นมาโดยการฝึกกล้ามเนื้อแค่ไหน คุณก็จะยิ่งเผาผลาญแคลอรี่ได้มากขึ้น
  3. ทำให้กิจวัตรการออกกำลังกายของคุณสนุกและน่าตื่นเต้นโดยการออกกำลังกายหลากหลายประเภท มันยังช่วยป้องกันการฝึกกลุ่มกล้ามเนื้อบางกลุ่มจนหนักเกินไปด้วย [22]
    • หากการออกกำลังกายในโรงยิมไม่ใช่แนวที่คุณชอบ ลองเข้าคลาสเต้นหรือเล่นกีฬาชนิดทีมแทน ตุณจะมีกำลังใจเล่นมันมากกว่าถ้าคุณสนุกไปกับมัน
    • ลองผสมกิจกรรมกลางแจ้งอย่างการเดินทางไกล การพายเรือคายัคหรือการปั่นจักรยานเข้าไปด้วย
    • ตั้งเป้าสุดท้ายเอาไว้ในใจเพื่อช่วยกระตุ้นให้ตนเองทำตามกิจวัตรการออกกำลังกาย
  4. คำแนะนำคือผู้ใหญ่ควรนอนอย่างน้อยเจ็ดถึงเก้าชั่วโมงในแต่ละคืน การนอนหลับสำคัญต่อสุขภาพโดยรวมและความสุขสมบูรณ์ ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าคนที่หลับน้อยกว่าหกชั่วโมงในแต่ละคืนนั้นจะมีระดับไขมันในช่องท้องสูงกว่า [23] ให้แน่ใจว่าคุณเข้านอนเร็วพอที่จะได้นอนหลับสนิททั้งคืน
    • ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้า ไม่ว่าโทรทัศน์ โทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ อย่างน้อย 30 นาทีก่อนจะเข้านอน [24]
    • ปิดแสงสว่างทั้งหมดภายในห้องก่อนนอน กระทั่งแสงไฟสลัวก็ยังอาจรบกวนการนอนของคุณได้ [25]
  5. ทั้งการสูบบุหรี่ (หรือบริโภคผลิตภัณฑ์ยาสูบไม่ว่าจะรูปแบบใด) กับการดื่มแอลกอฮอล์มีความเชื่อมโยงกับระดับไขมันในช่องท้องที่สูงขึ้น [26] การเลิกทั้งสองอย่างจะช่วยลดระดับไขมันในช่องท้อง ลดน้ำหนักตัว และทำให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้น
    • หากคุณจำเป็นต้องการความช่วยเหลือในการเลิกสูบบุหรี่ ให้ปรึกษาหมอผู้ดูแลเบื้องต้นสำหรับความช่วยเหลือเพิ่มเติม เขาอาจสามารถออกใบจ่ายยาหรือให้แหล่งข้อมูลเพิ่มเติมที่ช่วยในการเลิกได้
    • ขอแนะนำให้จำกัดแอลกอฮอล์ ผู้หญิงไม่ควรดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เกินกว่าหนึ่งแก้วต่อวันและผู้ชายอาจดื่มได้ถึงสองแก้วต่อวัน [27] อย่างไรก็ดี งดดื่มเลยในระหว่างที่ลดไขมันในช่องท้องจะดีที่สุด
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

ตรวจวัดความก้าวหน้า

ดาวน์โหลดบทความ
  1. รอบเอวเป็นการวัดที่ชี้ให้เห็นความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วน โรคที่เกี่ยวกับการเผาผลาญอาหาร และอาการเรื้อรังทางสุขภาพอื่นๆ [28] ตัวเลขของรอบเอวที่มีค่าสูงอาจบ่งบอกถึงการมีไขมันในช่องท้องเพิ่มมากขึ้น [29]
  2. ถึงแม้เป้าหมายที่วางไว้ของคุณจะเป็นการลดไขมันในช่องท้อง คุณยังจำเป็นต้องตรวจดูความเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัวตามเวลาที่ผ่านไป น้ำหนักที่ลดลงในขณะที่มีการปรับแผนควบคุมอาหารและออกกำลังกายสามารถบ่งชี้ระดับไขมันในช่องท้องว่ากำลังลดลงหรือไม่ [32]
    • ชั่งน้ำหนักราวหนึ่งหรือสองครั้งต่อสัปดาห์ และให้ชั่งในเวลาเดิมทุกครั้ง (และเปลือยถ้าเป็นไปได้) เพื่อให้ได้ค่าที่แม่นยำของพัฒนาการในตัวคุณ
    • การลดน้ำหนักอย่างปลอดภัย (ถึงแม้จะเป็นตอนที่มุ่งจะลดระดับไขมันในช่องท้อง) คือลดลงราวครึ่งกิโลกรัมถึงหนึ่งกิโลกรัมต่อสัปดาห์ การลดน้ำหนักที่มากกว่านั้นจะมีผลต่อการขาดสารอาหารหรืออาจจะไม่ยั่งยืนในระยะยาว [33]
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • เข้าร่วมกลุ่มในอินเทอร์เน็ตเพื่อหาคำแนะนำในการกระตุ้นตัวเองให้ลดน้ำหนัก
  • ทำบันทึกอาหาร เพราะมันจะช่วยเน้นให้เห็นถึงอาหารตัวที่เป็นปัญหาและเวลาทานที่เป็นปัญหาระหว่างวัน
  • ทำบันทึกการออกกำลังกาย นี่จะช่วยให้คุณได้ปรับปรุงการออกกำลังกาย
  • เข้าร่วมคลาสฟิตเนสที่มีบรรยากาศความสัมพันธ์ของสมาชิกเป็นไปด้วยดี อย่างคลาสแอโรบิค เพราะมันจะช่วยให้คุณเกิดแรงกระตุ้นเพิ่มขึ้น


โฆษณา

คำเตือน

  • ปรึกษาหมอก่อนจะเริ่มแผนการควบคุมอาหารหรือโปรแกรมการออกกำลังกายใหม่ เขาจะสามารถแนะแนวทางให้คุณได้ว่าอย่างไหนถึงจะปลอดภัย ดีต่อสุขภาพ และเหมาะสมกับตัวคุณที่สุด


โฆษณา
  1. http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/15331203
  2. http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/15331203
  3. http://www.sciencedaily.com/releases/2011/06/110627123032.htm
  4. http://www.mayoclinic.org/healthy-lifestyle/nutrition-and-healthy-eating/in-depth/fiber/art-20043983
  5. http://www.fruitsandveggiesmorematters.org/fiber-in-fruits-and-vegetables
  6. http://www.fruitsandveggiesmorematters.org/fiber-in-fruits-and-vegetables
  7. http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/15331203
  8. http://www.cnpp.usda.gov/sites/default/files/usda_food_patterns/EstimatedCalorieNeedsPerDayTable.pdf
  9. http://www.hopkinsmedicine.org/gim/core_resources/Patient%20Handouts/Handouts_May_2012/The%20Skinny%20on%20Visceral%20Fat.pdf
  10. http://health.gov/paguidelines/
  11. http://www.hopkinsmedicine.org/gim/core_resources/Patient%20Handouts/Handouts_May_2012/The%20Skinny%20on%20Visceral%20Fat.pdf
  12. http://www.choosemyplate.gov/physical-activity-amount
  13. http://www.mayoclinic.org/healthy-lifestyle/fitness/in-depth/overuse-injury/art-20045875?pg=2
  14. http://www.today.com/health/3-ways-get-rid-worst-kind-body-fat-1C6943603
  15. http://sleepfoundation.org/sleep-tools-tips/healthy-sleep-tips
  16. http://sleepfoundation.org/sleep-tools-tips/healthy-sleep-tips
  17. http://www.diabetes.co.uk/body/visceral-fat.html
  18. http://www.cdc.gov/alcohol/fact-sheets/alcohol-use.htm
  19. https://www.nhlbi.nih.gov/health/educational/lose_wt/risk.htm
  20. https://www.nhlbi.nih.gov/health/educational/lose_wt/risk.htm
  21. http://www.hopkinsmedicine.org/gim/core_resources/Patient%20Handouts/Handouts_May_2012/The%20Skinny%20on%20Visceral%20Fat.pdf
  22. https://www.nhlbi.nih.gov/health/educational/lose_wt/risk.htm
  23. http://www.health.harvard.edu/staying-healthy/abdominal-fat-and-what-to-do-about-it
  24. http://www.mayoclinic.org/healthy-lifestyle/weight-loss/basics/weightloss-basics/hlv-20049483

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 34,220 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา