เมื่อประสบปัญหาเข้าไปในรถแล้วพบว่าเครื่องยนต์สตาร์ทไม่ติดและไฟหน้าไม่ติดสว่าง โดยทั่วไปเรามักจะเช็คได้ว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่หรือไดชาร์จหรือไม่หลังจากได้ลองจัมพ์สตาร์ทรถ อย่างไรก็ดี คุณสามารถปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้เพื่อตรวจเช็คแบตเตอรี่รถได้เช่นเดียวกัน
ขั้นตอน
-
ดับเครื่องยนต์.
-
ถอดฝาครอบขั้วบวกบนแบตเตอรี่ออก. หลังจากนั้นจึงตรวจสอบและทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่
-
ต่อหัวขั้วบวกของโวลต์มิเตอร์เข้ากับขั้วบวกบนแบตเตอรี่. โดยทั่วไป หัวขั้วบวกของโวลต์มิเตอร์มักจะมีสีแดง
-
แตะขั้วลบของโวลต์มิเตอร์ลงบนขั้วลบแบตเตอรี่.
-
ตรวจดูค่าบนโวลต์มิเตอร์. ถ้าแบตเตอรี่ของคุณอยู่ในสภาพดี ค่าแรงดันไฟฟ้าจะอยู่ที่ประมาณ 12.4 ถึง 12.7 โวลต์ แต่ถ้าค่าที่อ่านได้ต่ำกว่า 12.4 โวลต์ แสดงว่าคุณคงต้องชาร์จแบตเตอรี่กันหน่อยแล้วล่ะ
- ถ้าค่าที่อ่านได้ต่ำกว่า 12.2 โวลต์ เราจะทำการชาร์จแบตด้วยวิธีการที่เรียกว่า “ทริกเกิลชาร์จ” (trickle charge) หรือการค่อยๆ ชาร์จด้วยกระแสต่ำ จากนั้นจึงตรวจวัดค่าอีกครั้ง
- ถ้าค่าที่อ่านได้สูงกว่า 12.9 โวลต์ แสดงว่ามีแรงดันไฟฟ้ามากเกินไป ให้เปิดไฟสูงเพื่อลดประจุบนพื้นผิวที่ทำให้มีแรงดันไฟฟ้ามากเกินไป การที่แบตเตอรี่มีแรงดันไฟฟ้ามากเกินไป อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าไดชาร์จส่งกำลังไฟไปยังแบตเตอรี่มากเกินไป
โฆษณา
-
ถอดฝาครอบขั้วบวกบนแบตเตอรี่ออก.
-
ต่อขั้วด้านบวกของโพรบวัดแรงดันเข้ากับขั้วบวกของแบตเตอรี่. โดยปกติ ขั้วบวกของโพรบมักจะเป็นสีแดง
-
ต่อขั้วด้านลบของโพรบวัดแรงดันเข้ากับขั้วลบของแบตเตอรี่.
-
แตะปลายหัววัดของโพรบลงบนขั้วบวกแบตเตอรี่. ตรวจดูค่าแรงดันไฟฟ้าที่โพรบวัดได้
-
ตรวจสอบค่าที่อ่านได้บนโพรบวัดแรงดัน. ถ้าแบตเตอรี่ของคุณอยู่ในสภาพดี ค่าแรงดันไฟฟ้าจะอยู่ระหว่าง 12.4 ถึง 12.7โฆษณา
-
การ “หมุน” (crank) เครื่องยนต์ทำได้โดยการเปิดสวิตช์กุญแจจนกระทั่งมอเตอร์สตาร์ททำงาน และปล่อยค้างไว้ 2 วินาที โดยให้หาผู้ช่วยเพื่อทำการหมุนเครื่องยนต์ในระหว่างที่คุณเข้าไปตรวจเช็คค่าที่ลดลงของแรงดันไฟฟ้าแบตเตอรี่.
-
ในระหว่างที่ผู้ช่วยกำลังทำการหมุนเครื่องยนต์อยู่นั้น ให้คุณตรวจสอบค่าที่อ่านได้บนโพรบวัดแรงดันไฟฟ้า. โดยค่าที่ว่านี้ไม่ควรต่ำกว่า 9.6 โวลต์
- ถ้าแบตเตอรี่มีค่าแรงดันไฟฟ้าต่ำกว่า 9.6 โวลต์ แสดงว่าเกิดเกลือซัลเฟตในแบตเตอรี่ ซึ่งจะทำให้แบตเตอรี่ไม่สามารถเก็บ/รับประจุไฟฟ้าได้
โฆษณา
เคล็ดลับ
- แบตเตอรี่รถส่วนใหญ่จะมีอายุการใช้งานประมาณ 4 ถึง 5 ปี แต่ในภูมิอากาศเขตร้อนอาจจะอยู่ได้แค่ประมาณ 3 ปีเท่านั้น ถ้าชาร์จแบตเตอรี่แล้วพบว่าประจุไหลออกทั้งที่ไม่ได้ใช้รถ แสดงว่าได้เวลาต้องเปลี่ยนแบตแล้วล่ะ
- หลังจากซื้อแบตเตอรี่ลูกใหม่ อย่าลืมกำจัดแบตเตอรี่ลูกเก่าให้ถูกต้องตามที่กฎหมายของคุณกำหนด แต่โดยปกติ ร้านจำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์ส่วนใหญ่จะดูแลเรื่องการกำจัดแบตเตอรี่ให้แก่คุณ
- คุณสามารถทดสอบและชาร์จแบตเตอรี่ได้ที่ร้านจำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์ใกล้บ้าน
- ก่อนที่จะหาซื้อไดชาร์จใหม่ ควรให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบระบบให้ละเอียดขึ้น
โฆษณา
คำเตือน
- ระวังอย่าให้เกิดการลัดวงจรระหว่างขั้วแบตเตอรี่เป็นอันขาด เพราะอาจทำให้เกิดไฟไหม้รุนแรง ทำให้ขั้วต่อเสียหาย หรือเกิดการระเบิดเนื่องจากก๊าซไฮโดรเจนที่เล็ดลอดออกมา
โฆษณา
สิ่งของที่ใช้
- โวลต์มิเตอร์
ข้อมูลอ้างอิง
โฆษณา