ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

น้ำยาทำความสะอาดดวงตาไม่ได้มีไว้ใช้แค่ในสถานที่ที่เป็นอันตราย เช่น ในห้องทดลองทางเคมี แต่ภายในบ้านเองก็ควรจะมีน้ำยาทำความสะอาดดวงตาเป็นสิ่งสามัญประจำบ้านด้วยเช่นกัน เพื่อให้เด็กเล็กสามารถชะล้างสิ่งอันตรายที่เข้ามาในดวงตาได้อย่างรวดเร็ว หรือแม้แต่ในสถานการณ์ที่ไม่ฉุกเฉิน การทำความสะอาดดวงตาด้วยน้ำเปล่าก็สามารถบรรเทาอาการปวดตา อาการตาล้า เพิ่มความชุ่มชื้นและการไหลเวียนของเลือดได้ [1] ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์อาจจะแนะนำให้ใช้น้ำยาทำความสะอาดดวงตาในสถานการณ์อื่นๆ ด้วยเช่นกัน คุณสามารถเตรียมตัวทำความสะอาดดวงตาในสถานการณ์ที่หลากหลายได้โดยการเรียนรู้วิธีการใช้น้ำยาทำความสะอาดดวงตา

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 6:

เตรียมตัวสำหรับการทำความสะอาด

ดาวน์โหลดบทความ
  1. พิจารณาว่าคุณต้องเข้ารับการดูแลทางการแพทย์ทันทีหรือไม่. สารปนเปื้อนบางชนิดอาจก่อให้เกิดการเผาไหม้ทางเคมีหรืออาการแทรกซ้อนได้ ตรวจสอบฉลากของสารเคมีเพื่อให้แน่ใจว่าสามารถใช้น้ำยาทำความสะอาดดวงตาได้ คุณสามารถติดต่อศูนย์พิษวิทยารามาธิบดีได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 1367 เพื่อเรียนรู้วิธีรับมือกับสารเคมีบางชนิดที่เข้าดวงตาของคุณ
    • คุณควรเข้ารับการดูแลทางการแพทย์ทันทีถ้าคุณมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดหัว วิงเวียนศีรษะ เห็นภาพซ้อน ตาพร่ามัว หน้ามืด เป็นลม และเป็นไข้
    • ถ้าการทำความสะอาดดวงตาไม่ได้ผล คุณควรจะติดต่อศูนย์พิษวิทยาและเข้ารับการดูแลทางการแพทย์ อย่างไรก็ตาม ชวนคนรอบข้างให้พาคุณไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการดูแลอย่างถูกต้องด้วย
  2. พิจารณาถึงระยะเวลาในการทำความสะอาดดวงตาของคุณ. เวลาที่จะใช้ในการทำความสะอาดดวงตานั้นขึ้นอยู่กับชนิดของสารที่เข้าไปในดวงตางคุณ ซึ่งอาจจะใช้เวลานานมากก็เป็นได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อมีสารตกค้างเข้าไปในดวงตา คุณ ไม่ควร ที่จะทำความสะอาดดวงตานานเกินไป ระยะเวลาที่คุณควรจะทำความสะอาดดวงตานั้นสามารถพิจารณาได้ดังต่อไปนี้ [2]
    • หากเป็นสารที่ทำให้เกิดความระคายเคืองอ่อนๆ เช่น สบู่ล้างมือหรือยาสระผม ให้ทำความสะอาดดวงตาเป็นเวลา 5 นาที
    • หากเป็นสารที่ทำให้เกิดความระคายเคืองระดับกลาง เช่น พริกไทย ให้ทำความสะอาดดวงตาเป็นเวลา 20 นาทีหรือมากกว่านั้น
    • หากเป็นสารเคมีกัดกร่อนที่ไม่ซึมผ่านเนื้อเยื่อที่สัมผัส (Non–penetrating corrosive chemicals) เช่น กรดจำพวกกรดแบตเตอรี่ ให้ทำความสะอาดดวงตาเป็นเวลา 20 นาที [3]
    • หากเป็นสารเคมีกัดกร่อนที่ซึมผ่านเนื้อเยื่อที่สัมผัส ซึ่งรวมไปถึงน้ำยาทำความสะอาดประจำบ้าน เช่น น้ำยาทำความสะอาดท่อ (Drain cleaner) น้ำยาฟอกขาว (Bleach) และแอมโมเนีย เป็นต้น ให้ทำความสะอาดดวงตาอย่างน้อย 1 ชั่วโมง [4]
  3. น้ำยาทำความสะอาดดวงตาที่ขายอยู่นั้นผ่านการฆ่าเชื้อแล้วและมีระดับความเป็นกรดด่างอยู่ที่เป็นกลาง คือ 7.0 [5] ซึ่งหมายความว่าเราควรใช้น้ำยาทำความสะอาดดวงตามากกว่าใช้น้ำเปล่า
  4. ถ้าคุณไม่สามารถหาน้ำยาทำความสะอาดดวงตาได้ ให้ลองใช้น้ำกลั่นแทน น้ำประปาอาจจะปนเปื้อนสารที่เป็นอันตรายซึ่งจะทำให้เกิดความระคายเคืองได้
    • คุณอาจจะใช้น้ำดื่มแบบขวดแทนก็ได้
    • นมสามารถบรรเทาอาการแสบที่เกิดจากอาหาร เช่น พริกไทย เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ให้ใช้น้ำกลั่นทำความสะอาดในขั้นตอนสุดท้ายด้วย ตรวจสอบให้ดีว่านมที่ใช้นั้นยังไม่บูดหรือหมดอายุ เพราะอาจจะทำให้ดวงตาติดเชื้อแบคทีเรียได้
  5. ตรวจสอบว่าน้ำที่จะใช้ทำความสะอาดนั้นอยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสม. โดยเฉพาะถ้าคุณใช้น้ำดื่มแบบขวดหรือนม คุณควรจะดูให้ดีว่าคุณไม่ได้ใช้สิ่งเหล่านี้ทำความสะอาดดวงตาทันทีที่หยิบออกมาจากตู้เย็น ไม่ว่าคุณจะใช้อะไรทำความสะอาดดวงตาก็ตาม อุณหภูมิของสิ่งนั้นควรจะอยู่ที่ 15.6 – 37.8 องศาเซลเซียส [6]
  6. นอกจากคุณจะต้องเลือกว่าจะใช้น้ำเปล่าหรือน้ำกลั่นแล้ว คุณยังต้องเลือกวิธีที่ทำความสะอาดดวงตาที่ปลอดภัยและสะอาด ผลิตภัณฑ์สามัญประจำบ้านที่สามารถใช้ได้ก็เช่น ชาม ถ้วยเล็กๆ หรือที่หยอดตา ไม่ว่าคุณจะใช้อะไรก็ตาม ให้ทำความสะอาดสิ่งนั้นด้วยสบู่และน้ำเปล่า จากนั้นตากให้แห้งก่อนที่จะใช้กับน้ำกลั่นหรือของเหลวชนิดอื่นๆ
    • ชามเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดไม่ว่าคุณจะทำความสะอาดสิ่งสกปรกและฝุ่นผงต่างๆ หรือแค่ต้องการทำความสะอาดดวงตาที่เมื่อยล้า เพราะชามนั้นมีขนาดใหญ่พอดีที่จะจุ่มใบหน้าลงไปได้
    • คุณสามารถใช้ถ้วยเล็กๆ ที่มีขนาดพอดีกับเบ้าตาของคุณ เช่น แก้วช็อต (หรือแก้วก๊ง) อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ใช้เพื่อชะล้างสิ่งสกปรกหรือทำความสะอาดดวงตาที่เมื่อยล้าเท่านั้น ไม่ควรใช้เพื่อทำความสะอาดฝุ่นผงในดวงตา
    • หลีกเลี่ยงการใช้ที่หยอดตาในสถานการณ์ เช่น ตาแห้งหรือตาล้า
  7. เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน โดยเฉพาะกรดหรือสารเคมีเข้าดวงตา การล้างสารเคมีออกให้เร็วที่สุดนั้นสำคัญกว่าการหาผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดดวงตาที่เหมาะสม หรือมัวแต่ดูว่าอุณหภูมินั้นเหมาะสมหรือไม่ โดยเฉพาะถ้าคุณสัมผัสกับสารเคมีที่ซึมเข้าผิวหนังได้ การวิ่งไปที่อ่างล้างมือแล้วล้างออกทันทีก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด
    • ยิ่งคุณปล่อยให้สารเคมีหรือกรดเหล่านี้ปนเปื้อนอยู่บนเปลือกตานานเท่าใด ดวงตาก็จะได้รับความเสียหายมากขึ้น ดังนั้น ควรล้างสารเหล่านี้ออกให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 6:

การทำความสะอาดดวงตาโดยใช้ชาม

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การทำความสะอาดดวงตาโดยใช้ชามเป็นวิธีที่ควรทำเป็นอันดับแรกในกรณีที่มีสิ่งปนเปื้อนหรือมีฝุ่นผงเข้าไปในดวงตา นอกจากนี้ ยังเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการผ่อนคลายอาการตาล้า ขนาดของชามที่จะใช้ควรมีขนาดที่ใหญ่พอที่จะจุ่มลงไปทั้งใบหน้าได้ และต้องล้างชามให้สะอาดก่อนใช้งานเสมอ
  2. ไม่ว่าคุณจะใช้น้ำยาทำความสะอาดดวงตาหรือน้ำเปล่า ดูให้ดีว่าอุณหภูมิอยู่ที่ 15.6 – 37.8 องศาเซลเซียส [7] อย่าเติมน้ำลงไปจนเต็มชาม เพราะเมื่อนำใบหน้าจุ่มลงไปจะทำให้น้ำล้นออกมา
  3. หายใจเข้าลึกๆ และนำใบหน้าจุ่มลงไปในชามจนน้ำท่วมดวงตา อย่าจุ่มใบหน้าลงลึกเกินไปเพราะอาจทำให้น้ำเข้าจมูกได้
  4. ดูให้ดีว่าเปลือกตาของคุณสัมผัสกับน้ำแล้ว จากนั้นให้กลอกตาเป็นวงกลมเพื่อให้น้ำเข้าไปในดวงตา ซึ่งจะช่วยขจัดสิ่งปนเปื้อนหรือฝุ่นผงเล็กๆ ได้ [8]
  5. เงยหน้าขึ้นเหนือน้ำ แล้วกระพริบตาประมาณ 2-3 ครั้ง แล้วคุณจะพบว่าน้ำได้เข้าไปหล่อในดวงตาเรียบร้อยแล้ว
  6. ในกรณีตาแห้งหรือตาล้า คุณอาจจะจุ่มใบหน้าลงไปหนึ่งครั้งหรือสองครั้งจนกว่าดวงตาจะรู้สึกผ่อนคลาย แต่หากต้องการทำความสะอาดดวงตาให้สะอาดหมดจดนั้น ให้ทำตามวิธีที่ 1 ซ้ำเพื่อทำความสะอาดดวงตาเป็นระยะเวลาหนึ่ง
    • ย้ำว่าอย่าทำความสะอาดดวงตานานเกินไป การทำความสะอาดดวงตาในระยะเวลาที่ยาวนานกว่าที่แนะนำสามารถทำได้ในกรณีที่คุณสัมผัสกับสารระคายเคือง โดยเฉพาะสารเคมี
  7. อย่านำผ้าขนหนูถูดวงตา แค่เพียงซับเปลือกตาด้วยผ้าขนหนูที่สะอาดและแห้งก็พอ
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 6:

ทำความสะอาดดวงตาโดยใช้แก้ว

ดาวน์โหลดบทความ
  1. อย่าใช้วิธีนี้ถ้าคุณมีฝุ่นผงเล็กๆ เข้าไปในดวงตา. วิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการดูแลอาการตาล้า ถ้าดวงตามีสิ่งปนเปื้อน วิธีที่ดีที่สุดคือวิธีใช้ชามดังที่กล่าวไปก่อนหน้า ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านดวงตาหรือจักษุแพทย์ก่อนที่จะทำความสะอาดตาด้วยสาเหตุอื่นนอกเหนือจากทำความสะอาดตาล้า [9]
  2. เติมน้ำหรือน้ำยาทำความสะอาดดวงตาลงในถ้วยเล็กๆ ที่สะอาด. คุณควรจะเลือกแก้วที่มีขนาดพอดีกับเบ้าตาของคุณ แก้วซ็อตเป็นตัวอย่างที่ดีในการทำความสะอาดดวงตาด้วยวิธีนี้
    • น้ำยาทำความสะอาดดวงตาหรือน้ำกลั่นควรจะมีอุณหภูมิอยู่ที่ 15.6 – 37.8 องศาเซลเซียส [10]
  3. ก้มหน้าลงไปในแก้ว ให้ขอบแก้วนั้นพอดีกับเบ้าตาของคุณ
  4. ในขณะที่แก้วครอบดวงตาอยู่นั้น ให้เงยหน้าขึ้นจนดวงตาอยู่ใต้แก้วเพื่อให้ของเหลวสัมผัสกับดวงตาโดยตรง
    • ระวังว่าน้ำในแก้วอาจจะรั่วออกมา พยายามทำความสะอาดดวงตาด้วยวิธีนี้ในขณะที่อยู่บนอ่างล้างหน้า เพื่อไม่ให้ของเหลวไหลออกมาโดนเสื้อผ้าหรือหน้าตา ถ้าคุณกังวลว่าน้ำจะหก ให้นำผ้าขนหนูพันรอบๆ คอเอาไว้เพื่อกันเปียก
  5. การมองไปรอบๆ เป็นวงกลมและกระพริบตา 2 – 3 ครั้งจะช่วยให้ของเหลวสัมผัสกับดวงตามากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ดวงตาชุ่มชื้นและขจัดสิ่งปนเปื้อนออกไป [11]
  6. คุณอาจจะก้มหน้าลงเพื่อนำแก้วออกจากดวงตาโดยไม่ทำน้ำหก การทำวิธีนี้เพียงครั้งเดียวก็เพียงพอต่อการดูแลอาการตาแห้งหรือตาล้า อย่างไรก็ตาม คุณอาจจะอยากทำอีกรอบเพื่อขจัดสิ่งปนเปื้อนออกไปให้หมด
  7. อย่านำผ้าขนหนูถูดวงตา แค่เพียงซับเปลือกตาด้วยผ้าขนหนูที่สะอาดและแห้งก็พอ
    โฆษณา
วิธีการ 4
วิธีการ 4 ของ 6:

ทำความดวงตาด้วยการใช้ที่หยอดตา

ดาวน์โหลดบทความ
  1. อย่าใช้วิธีนี้ถ้าคุณต้องการชะล้างฝุ่นผงออกจากดวงตา. วิธีนี้เป็นวิธีที่ดีต่ออาการตาล้าหรือทำความสะอาดดวงตาในเด็กที่ไม่รู้จักวิธีทำความสะอาดดวงตาวิธีอื่น ถ้าดวงตาของคุณมีสิ่งปนเปื้อน วิธีที่ดีที่สุดก็ยังเป็นการใช้ชามตามที่กล่าวไปข้างต้น
  2. ดูดน้ำสะอาดหรือน้ำยาทำความสะอาดดวงตาเข้าไปในที่หยอดตา จากนั้นให้บีบปลายที่หยอดตาเพื่อไล่อากาศออกจนเหลือแต่ของเหลวในนั้น
    • ถ้าคุณมีกระบอกฉีดยา คุณสามารถใช้แทนที่หยอดตาได้ แต่ต้องไม่มีปลายแหลมหรือเข็มฉีดยาติดอยู่
  3. เงยหน้าขึ้น แล้วยื่นที่หยอดตาเหนือดวงตาของคุณ จากนั้น บีบปลายที่หยอดตาลงเหนือดวงตาอย่างแม่นยำ เพื่อหยดน้ำลงบนดวงตา
    • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าดวงตาหรือเปลือกตาไม่ได้สัมผัสกับที่หยอดตา
  4. กระพริบตาหลายๆ ครั้งเพื่อให้ของเหลวหล่อดวงตาทั้งหมด พยายามกระพริบตาให้ของเหลวเข้าไปในดวงตาก่อนที่ของเหลวจะไหลออกมา
  5. คุณอาจจะต้องการหยดลงไปแค่ 2 – 3 หยดเพื่อรักษาอาการต้าแห้งหรือตาล้า อย่างไรก็ตาม คุณอาจจะต้องการทำซ้ำหลายๆ ครั้งเพื่อขจัดสิ่งสกปรกออกจากดวงตาให้หมด
  6. การนำผ้าชุบของเหลวแล้วค่อยๆ นวดบนเปลือกตาของเด็กก็เป็นทางเลือกสำหรับเด็กเล็ก แม้ว่าจะเป็นการนวดเบาๆ แต่ของเหลวที่ชุบอยู่ในผ้าขนหนูนั้นจะค่อยๆ ออกมาและซึมเข้าดวงตาของเด็กเอง ซึ่งจะกระจายไปทั่วดวงตาเมื่อเด็กกระพริบตา
    • ทำซ้ำตามที่ต้องการ แค่อย่าชุบผ้าขนหนูด้วยจุดเดิมเพื่อไม่ให้สิ่งปนเปื้อนไหลกลับให้เข้าในดวงตา ให้ใช้ผ้าจนหนูส่วนอื่นชุบลงในของเหลว หรือจะใช้ผ้าขนหนูผืนใหม่เลยก็ได้
    โฆษณา
วิธีการ 5
วิธีการ 5 ของ 6:

ทำน้ำยาทำความสะอาดดวงตาด้วยคนเอง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. อย่างไรก็ตาม จำไว้ว่าน้ำยาทำความสะอาดดวงตาที่คุณภาพสูงและหาซื้อได้ทั่วไปนั้นยังเป็นสิ่งที่แนะนำให้ใช้มากกว่า ไม่ว่าคุณจะระมัดระวังมากขนาดไหน ก็ยังมีความเสี่ยงที่คุณจะทำให้ดวงตาระคายเคืองหรือทำให้ติดเชื้อรุนแรงได้ [12] มีการรายงานเผยว่าผู้ที่พยายามทำน้ำเกลือด้วยตัวเองนั้นเป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากการติดเชื้ออะคันทามีบา (Acanthamoeba) ดังนั้น วิธีนี้มีความเสี่ยง แต่ถ้าคุณเข้าใจถึงความเสี่ยงแต่ก็ยังต้องการที่จะทำน้ำยาทำความสะอาดดวงตาด้วยตัวเองอยู่ มีวิธีที่คุณสามารถใช้เพื่อให้มั่นใจได้ว่าน้ำยาที่คุณทำขึ้นมานั้นสะอาดและปลอดภัยที่สุด เริ่มต้นด้วยการต้มน้ำให้เดือดเพื่อกำจัดแบคทีเรียและจุลินทรีย์ที่อาจจะปนเปื้อนในดวงตาได้ ต้มน้ำให้เดือดจัดอย่างน้อย 1 นาที แล้วพักให้เย็นก่อนที่จะใช้งาน [13]
    • ถ้าเป็นไปได้ น้ำกลั่นบริสุทธิ์เป็นตัวเลือกที่ดีกว่าการใช้น้ำประปา เพราะน้ำประปามีแบคทีเรียและสารอื่นๆ ปนเปื้อนมากกว่าน้ำกลั่น
    • ถ้าคุณไม่อยากจะทำน้ำยาทำความสะอาดดวงตา คุณจะใช้น้ำประปาแทนก็ได้ แค่เพียงเข้าใจไว้ก่อนว่าอาจจะก่อให้เกิดการระคายเคืองและเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียและสารปนเปื้อนอื่นๆ มากกว่าก็เท่านั้น [14]
  2. ในการทำน้ำยาทำความสะอาดดวงตาด้วยตัวเองนั้น ให้ใส่เกลือทั่วไปในขณะที่ต้มน้ำด้วยสัดส่วน 1 ช้อนชาต่อน้ำ 1 ถ้วย ยิ่งความเค็มของน้ำยา (ความเข้มข้นของเกลือ) ใกล้เคียงกับน้ำตาที่ออกมาตามธรรมชาติมากเท่าไหร่ ดวงตาของคุณก็จะระคายเคืองน้อยลง เพราะความเค็มของน้ำตานั้นแตกต่างกันไปตามอารมณ์ที่คุณเป็นอยู่ (เช่น เจ็บปวด เศร้า หรืออื่นๆ) หรือแม้แต่น้ำหล่อดวงตาในช่วงเวลาปกติ โดยทั่วไปนั้นน้ำตาจะมีเกลือผสมอยู่น้อยกว่า 1% จากปริมาณทั้งหมด .
  3. ดูให้ดีว่าเกลือที่คุณใส่ลงไปนั้นละลายหมดแล้ว อย่างไรก็ตาม เราใส่เกลือลงไปในน้ำเดือดในปริมาณที่น้อยมาก ดังนั้น เราไม่จำเป็นต้องคนให้มากเพื่อให้เกลือละลายจนหมด แค่คนจนคุณมองไม่เห็นเม็ดเกลืออยู่ก้นหม้อก็พอแล้ว
  4. อย่าใช้น้ำยาทำความสะอาดดวงตาทั้งที่ยังร้อนอยู่ เพราะดวงตาอาจจะได้รับบาดเจ็บหรือบอดจากการถูกน้ำร้อนลวกได้ ปล่อยให้น้ำให้เย็นลงจนอยู่ในอุณหภูมิห้อง คุณอาจจะใส่น้ำยาในภาชนะอื่นๆ ก็ได้ แต่ภาชนะนั้นต้องล้างด้วยสบู่และน้ำกลั่นให้สะอาด เมื่อน้ำยาอยู่ในอุณหภูมิห้องแล้ว (หรือต่ำกว่า) ก็สามารถใช้ได้ทันที
    • ปิดภาชนะที่ใส่น้ำต้มให้สนิทขณะที่กำลังพักให้เย็นลงเพื่อไม่ให้สารปนเปื้อนอื่นๆ เจือปนไปกับน้ำ
    • การใช้น้ำยาทำความสะอาดดวงตาที่เย็นจะทำให้ดวงตาสดชื่นเมื่อทำความสะอาดดวงตา อย่างไรก็ตาม อย่าให้อุณหภูมิต่ำกว่า 15.6 องศาเซลเซียส [15] เพราะน้ำที่เย็นเกินไปอาจทำให้ดวงตาได้รับความเสียหายได้
    • แม้ว่าคุณจะดูแลน้ำยาให้สะอาดเป็นพิเศษก็ตาม แต่ให้ทิ้งเมื่อผ่านไป 1 ถึง 2 วัน เพราะแบคทีเรียอาจจะกลับมาเติบโตในน้ำยาหลังจากที่ต้มไปแล้วได้
    โฆษณา
วิธีการ 6
วิธีการ 6 ของ 6:

ทำความสะอาดดวงตาอย่างเร่งด่วน

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เรียนรู้ว่ากรณีไหนที่ต้องทำความสะอาดดวงตาทันที. ในบางกรณี เช่น ถ้าคุณสัมผัสกับสารระคายเคืองอย่างรุนแรงหรือสารนั้นสัมผัสกับดวงตาโดยตรง คุณไม่ควรกังวลอยู่กับการหาน้ำกลั่น ให้มุ่งไปที่การทำความสะอาดดวงตาทันที จากนั้นค่อยรับการรักษาทางการแพทย์ ถ้าคุณบังเอิญทำสารเคมีจำพวกกรด สารที่เป็นด่าง สารกัดกร่อน หรือสารระคายเคืองอื่นๆ ให้หยุดการกระทำทุกอย่าง “ทันที” และทำความสะอาดดวงตาให้เร็วที่สุด
  2. คุณสามารถติดต่อศูนย์พิษวิทยารามาธิบดีได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 1367 เพื่อรับคำแนะนำ พวกเขาอาจจะแนะนำให้คุณทำความสะอาดดวงตาหรือเข้ารับการดูแลทางการแพทย์จากการปนเปื้อนสารเคมีทันที [16]
    • ยกตัวอย่างเช่น สารเคมีบางชนิด เช่น โลหะอัลคาไลน์ จะทำปฏิกิริยากับน้ำอย่างรุนแรง ศูนย์พิษวิทยาจะช่วยหาวิธีที่ถูกต้องในการจัดการกับปัญหาได้
    • ถ้าพวกเขาแนะนำให้คุณแจ้งตำรวจและต้องทำความสะอาดดวงตา ให้หาใครสักคนโทรเรียกบริการฉุกเฉินในขณะที่คุณกำลังจดจ่ออยู่กับการทำความสะอาดดวงตา ยิ่งคุณไปโรงพยาบาลเร็ว อาการบาดเจ็บก็จะไม่รุนแรงหรือนำไปสู่อาการตาบอดได้
  3. สถานที่ส่วนมากที่มีความเสี่ยงที่จะทำสารเคมีเข้าดวงตานั้นจะมีอ่างทำความสะอาดดวงตาที่สร้างมาเพื่อสถานการณ์นี้โดยเฉพาะ [17] ให้ไปยังอ่างล้างดวงตาทันที กดคันโยก (ซึ่งมีสัญลักษณ์บอกให้มองเห็นได้ง่าย) แล้ววางใบหน้าของคุณให้พอดีกับก๊อกน้ำ ซึ่งจะพ่นน้ำออกมาด้วยแรงดันต่ำ พยายามลืมตาให้กว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้ คุณอาจจะต้องใช้มือถ่างดวงตาเพื่อให้ดวงตาได้รับน้ำตลอดเวลา
  4. จำไว้ว่าน้ำไม่ได้ทำให้สารเคมีเป็นกลาง เพียงแค่เจือจางสารเคมีและล้างออกเท่านั้น ด้วยเหตุผลนี้เองจึงต้องใช้น้ำในปริมาณที่มาก ปริมาณน้ำที่ใช้ทำความสะอาดดวงตาไม่ควรต่ำกว่า 1.5 ลิตรต่อนาที และทำต่อเนื่องเป็นเวลา 15 นาที [18]
  5. ถ้าคุณไม่สามารถหาอ่างล้างดวงตาได้ ให้หาอ่างล้างหน้าที่ใกล้ที่สุดและเร็วที่สุด แม้ว่าน้ำประปาจะไม่ใช่วิธีทำความสะดวงตาที่ดีที่สุด เพราะเป็นน้ำที่ไม่บริสุทธิ์เท่าน้ำกลั่นที่ใช้ในห้องปฏิบัติการทั่วไป แต่การชะล้างสารเคมีให้เร็วที่สุดนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าการกังวลว่าจะติดเชื้อในภายหลัง [19] ฉีดน้ำเข้าไปในดวงตาให้ทั่วถึงมากที่สุด แล้วทำอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 15-20 นาที [20]
    • ถ้าอ่างล้างหน้ามีก๊อกน้ำที่ปรับความยาวได้ ให้นำก๊อกจ่อไปที่ดวงตาของคุณแล้วปล่อยน้ำอุ่นๆ ให้ไหลผ่านเบาๆ และใช้นิ้วมือถ่างดวงตาให้เปิดไว้
  6. ถ้าศูนย์พิษวิทยาแนะนำให้คุณเข้าพบผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ให้ไปพบหลังจากที่คุณทำความสะอาดดวงตาเสร็จแล้ว
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเปลี่ยนน้ำยาที่ใช้ทำความสะอาดดวงตาแต่ละข้าง เพราะแบคทีเรียจะได้ไม่ติดดวงตาข้างอื่น
  • ร้านขายยาบางแห่งจะขายชุดทำความสะอาดดวงตาซึ่งจะมีถ้วยที่พอดีกับดวงตาและน้ำกลั่นที่เอาไว้ทำความสะอาด
โฆษณา

คำเตือน

  • อย่าใช้เกลือมากเกินไป การใช้เกลือมากเกินไปจะทำให้เซลล์แตกและจะรู้สึกไม่ดีหรือเจ็บได้
  • อย่าใช้น้ำที่ร้อนหรือเย็นเกินไป
  • ตรวจสอบวิธีรักษาความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเมื่อทำงานที่เกี่ยวข้องกับสารเคมี รวมทั้งใส่แว่นครอบดวงตาเอาไว้ด้วย วิธีรักษาความปลอดภัยไม่ได้ยืนยันว่าคุณจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายได้
โฆษณา

สิ่งของที่ใช้

  • ชามขนาดใหญ่
  • ถ้วยขนาดพอดีกับดวงตา
  • ที่หยอดตา
  • น้ำยาทำความสะอาดดวงตา
  • น้ำที่ไม่อุ่นมาก
  • ผ้าขนหนูหรือกระดาษทิชชู่

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 31,467 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา