PDF download ดาวน์โหลดบทความ PDF download ดาวน์โหลดบทความ

การไอเป็นวิธีที่ร่างกายใช้กำจัดเสมหะและสิ่งแปลกปลอมจากปอดกับท่อหายใจส่วนบน จึงเป็นเรื่องสำคัญที่คุณควรจำไว้ในเวลาที่เกิดไอขึ้นมา เพราะคุณไม่จำเป็นต้องไปสะกดห้ามมันเอาไว้ แน่ละว่าคุณอยากช่วยผ่อนร่างกายบ้างถ้าไอไม่ยอมหยุด แต่ก็ยังควรต้องให้ได้ไอบ้าง เพื่อให้ร่างกายได้กำจัดเสมหะที่ก่อตัวขึ้นออกไป ในการที่จะบรรเทาอาการอึดอัดทั้งหลายที่มาพร้อมกับการไอโดยไม่ได้ห้ามการไออย่างสิ้นเชิงนั้น ให้ลองพิจารณาเรื่องการยาแก้ไอเองที่บ้าน

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 2:

ทำยาแก้ไอเองที่บ้าน

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. อุ่นน้ำผึ้งหนึ่งถ้วยโดยใช้ความร้อนระดับต่ำ เติมน้ำมะนาวเลม่อนคั้นสด 3-4 ช้อนโต๊ะลงไปในน้ำผึ้งอุ่นๆ นั้น เติมน้ำ ¼ ถึง ⅓ ถ้วยลงไปในส่วนผสม แล้วคนให้เข้ากันโดยที่ยังตั้งไฟอุ่น นำส่วนผสมไปแช่เย็น เวลาต้องการยาแก้ไอ ให้ใช้ 1-2 ช้อนโต๊ะตามที่ต้องการ
    • แนะนำให้ใช้น้ำผึ้งที่มีคุณสมบัติเป็นยา เช่น น้ำผึ้งมานูก้าจากนิวซีแลนด์ แต่น้ำผึ้งจากธรรมชาติใดๆ ก็มีคุณสมบัติต่อต้านแบคทีเรียกับต่อต้านไวรัสเหมือนๆ กัน [1]
    • น้ำมะนาวเลม่อนมีวิตามินซีอยู่สูง น้ำมะนาวเลม่อน 1 ผลนั้นมีปริมาณวิตามินซีถึง 51% จากปริมาณทั้งหมดที่ร่างกายต้องการในหนึ่งวันเลยทีเดียว น้ำมะนาวเลม่อนยังมีคุณสมบัติต่อต้านแบคทีเรียกับต่อต้านไวรัสด้วย [2] เชื่อกันว่าการผสานกันระหว่างวิตามินซีกับคุณสมบัติต่อต้านจุลชีพเหล่านี้ทำให้เลม่อนมีประโยชน์สำหรับการแก้ไอ [3]
    • อย่าให้น้ำผึ้งแก่เด็กอายุต่ำกว่า 12 เดือน มีความเสี่ยงไม่น้อยที่เด็กจะติดเชื้อโบทูลิสซึ่มจากพิษของแบคทีเรียที่บางครั้งพบในน้ำผึ้ง ทุกปีจะมีกรณีการเป็นโรคโบทูลิสซึ่มในทารกไม่ต่ำกว่า 100 ราย และเด็กส่วนใหญ่ได้รับการรักษาจนหาย แต่อย่าเสี่ยงเลยจะดีกว่า! [4]
  2. Watermark wikiHow to ทำยาแก้ไอด้วยน้ำมะนาว
    ใช้วิธีทางเลือกในการทำยาแก้ไอน้ำผึ้งผสมมะนาว. หั่นมะนาวเลม่อนทั้งใบที่ล้างสะอาดแล้วเป็นแว่นบางๆ (เก็บทั้งเปลือกกับเมล็ดเอาไว้) ใส่มะนาวหั่นแว่นนั้นลงในน้ำผึ้งหนึ่งถ้วย อุ่นด้วยความร้อนระดับต่ำประมาณ 10 นาทีโดยคนอยู่เรื่อยๆ
    • กระทุ้งมะนาวหั่นแว่นไปด้วยในระหว่างที่คน
    • หลังจากอุ่นเสร็จ ให้กรองส่วนผสมเพื่อแยกกากมะนาวออกแล้วนำไปแช่เย็น
  3. Watermark wikiHow to ทำยาแก้ไอด้วยน้ำมะนาว
    กระเทียมมีคุณสมบัติต่อต้านแบคทีเรีย ต่อต้านไวรัส ต่อต้านปรสิต และต่อต้านเชื้อรา [5] ปอกเปลือกกระเทียม 2-3 กลีบแล้วหั่นจนละเอียด เติมลงไปในส่วนผสมน้ำผึ้ง-มะนาวก่อนที่คุณจะเติมน้ำ อุ่นในความร้อนระดับต่ำประมาณ 10 นาที แล้วค่อยเติมน้ำ ¼ ถึง ⅓ ถ้วยลงในส่วนผสมแล้วคนต่อในขณะที่ยังอุ่นในความร้อนต่ำ
    • นำส่วนผสมเข้าแช่เย็น. เวลาต้องการใช้ ก็ใช้ 1-2 ช้อนโต๊ะตามที่ต้องการ
  4. Watermark wikiHow to ทำยาแก้ไอด้วยน้ำมะนาว
    ลองคิดถึงการเติมขิงลงไปในยาแก้ไอน้ำผึ้งผสมมะนาว. ขิงมักจะถูกใช้เพื่อให้ย่อยอาหารได้ดีขึ้นและใช้รักษาอาการคลื่นไส้อาเจียน แต่เดิมมันเคยถูกใช้เป็นยาขับเสมหะด้วย มันจะช่วยบรรเทาอาการไอโดยทำให้น้ำมูกใสขึ้นและเสมหะเบาบางลง ทั้งยังช่วยให้หลอดลมโล่งขึ้น [6]
    • ตัดและปอกเปลือกหัวขิงสดประมาณ 1.5 นิ้ว ขูดให้ละเอียดแล้วใส่ลงไปในส่วนผสมน้ำผึ้งมะนาวก่อนเติมน้ำ ตั้งไฟอุ่นสัก 10 นาที จากนั้นค่อยเติมน้ำ ¼ ถึง ⅓ ถ้วย คนทั้งหมดให้เข้ากันแล้วนำไปเข้าตู้เย็น
    • แช่ส่วนผสมให้เย็น
    • เวลาต้องการยาแก้ไอ ให้ใช้ 1-2 ช้อนโต๊ะ
  5. Watermark wikiHow to ทำยาแก้ไอด้วยน้ำมะนาว
    ชะเอมก็เป็นยาขับเสมหะเช่นกัน มันจะเป็นตัวกระตุ้นระดับเบา จึงช่วยสร้างเสมหะและทำให้ขจัดออกจากปอดได้ง่าย [7]
    • เติมน้ำมันหอมสกัดชะเอม (Glycyrrhiza glabra) 3-5 หยด หรือรากชะเอมแห้ง 1 ช้อนชาลงในส่วนผสมน้ำผึ้งมะนาวก่อนเติมน้ำ ตั้งไฟอุ่นสัก 10 นาที จากนั้นค่อยเติมน้ำ ¼ ถึง ⅓ ถ้วยในขณะที่ยังคงอุ่นไฟต่ำไปเรื่อยๆ
    • นำส่วนผสมไปแช่เย็น ใช้คราวละ 1-2 ช้อนโต๊ะ
  6. Watermark wikiHow to ทำยาแก้ไอด้วยน้ำมะนาว
    ถ้าคุณไม่มี ไม่ชอบ หรือไม่สามารถใช้น้ำผึ้งได้ ให้ใช้กลีเซอรีนแทน อุ่นกลีเซอรีน ½ ถ้วยกับน้ำ ½ ถ้วยด้วยไฟต่ำ จากนั้นเติมน้ำมะนาวเลม่อนลงไปในส่วนผสม 3-4 ช้อนโต๊ะ เติมน้ำอีก ¼ ถึง ⅓ ถ้วยลงในส่วนผสมกลีเซอรีน-เลม่อนและคนในขณะที่ยังอุ่นด้วยไฟต่ำ แช่ส่วนผสมให้เย็น เมื่อต้องการยาแก้ไอ ใช้คราวละ 1-2 ช้อนโต๊ะ
    • ตามมาตรฐานขององค์กรอาหารและยานั้น กลีเซอรีนมีสถานะ “ปกติแล้วจะปลอดภัย” (GRAS) กลีเซอรีนบริสุทธิ์นั้นจะไม่มีสีและเป็นผลิตผลจากพืชที่มีรสหวานซึ่งจะถูกใช้ทำผลิตภัณฑ์ที่ใช้บริโภคและผลิตภัณฑ์ดูแลตนเอง [8]
    • เพราะกลีเซอรีนมีคุณสมบัติดูดความชื้น มันจึงมีประโยชน์ในการลดอาการบวมในลำคอถ้าใช้ในปริมาณแต่น้อย
    • คุณควรใช้กลีเซอรีนจากธรรมชาติ (และไม่ใช่กลีเซอรีนสังเคราะห์หรือที่อยู่ในรูปแบบที่คนทำขึ้นมา)
    • พึงตระหนักด้วยว่ากลีเซอรีนนั้นถูกใช้รักษาอาการท้องผูกด้วย ดังนั้นถ้ามีปัญหาท้องเสียควบคู่ด้วย ให้ลดปริมาณของกลีเซอรีนที่ใช้ลง (กลีเซอรีน ¼ ถ้วยกับน้ำ ¾ ถ้วยในสูตรพื้นฐาน)
    • การบริโภคกลีเซอรีนเกินไปหรือติดต่อกันนานจะทำให้ระดับน้ำตาลกับไขมันในเลือดเพิ่มสูงขึ้น [9]
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 2:

ประเมินอาการไอ

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. ปกติการไอที่รุนแรงจะเกิดจาก: หวัดธรรมดา, ไข้หวัดใหญ่, โรคปอดบวม (ปอดติดเชื้อจากแบคทีเรีย ไวรัส หรือเชื้อรา), การแพ้สารเคมี และโรคไอกรน (มีการติดเชื้อแบคทีเรียที่ปอดอย่างรุนแรง) สาเหตุทั่วไปของการไอเรื้อรังคือ: ปฏิกิริยาภูมิแพ้, โรคหอบหืด, โรคหลอดลมอักเสบ, โรคกรดไหลย้อน และเสมหะไหลลงคอ (เสมหะไหลลงไปในลำคอจากการเป็นไซนัสทำให้เกิดระคายเคืองที่ร่างกายทำปฏิกิริยาไอออกมาโดยอัตโนมัติ
    • ยังมีสาเหตุของการไอที่พบได้น้อยกว่า เช่น อาการผิดปกติที่ปอดแบบอื่นๆ อย่าง โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) ซึ่งจะทำให้เกิดอาการหลอดลมและถุงลมโป่งพองเรื้อรัง [10]
    • อาการไอยังอาจมาจากผลข้างเคียงของการใช้ยา โดยเฉพาะในกรณีที่มีการใช้ยาลดความดันโลหิตกลุ่ม ACE (angiotensin-converting enzyme) [11]
    • การไออาจเป็นผลข้างเคียงของอาการป่วยอื่นๆ เช่น โรคปอดเรื้อรัง โรคไซนัสอักเสบอย่างรุนแรงหรือเรื้อรัง โรคหัวใจล้มเหลว และวัณโรค
  2. ลองใช้การรักษาตัวเองที่บ้านดูสัก 1-2 สัปดาห์ สำหรับอาการไอส่วนใหญ่แล้วน่าจะเพียงพอต่อการทุเลาอาการลงแล้ว กระนั้น ถ้าอาการไม่ได้ดีขึ้นหลัง 1-2 สัปดาห์ ให้ทำการนัดพบแพทย์สำหรับการตรวจเต็มรูปแบบ [12]
    • นอกจากนี้ ยังควรต้องนัดพบแพทย์ถ้าหากในระหว่าง 1-2 สัปดาห์แรกนั้น คุณมีอาการ: มีไข้สูงเกิน 38 องศาเซลเซียสเป็นเวลานานกว่า 24 ชั่วโมง, ไอโดยมีเสมหะข้นสีเขียวออกมา (มันอาจบ่งชี้ว่าเป็นโรคปอดติดเชื้อแบคทีเรียอย่างรุนแรงได้), ไอโดยมีเศษเสมหะที่มีเลือดสีแดงหรือชมพูปนออกมาด้วย, อาเจียน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคราบอาเจียนนั้นดูเหมือนกาแฟบด นั่นอาจบ่งชี้ว่ามีฝีที่กำลังเลือดออก), กลืนอะไรลำบาก, หายใจลำบาก หรือหายใจฟืดฟาดหรือรู้สึกหายใจไม่ทัน
  3. ประเมินว่าเด็กจำเป็นต้องไปพบแพทย์เมื่อไอหรือไม่. มันมีอาการป่วยบางอย่างที่เด็กจะอาการหนักได้เร็วกว่าและอาการป่วยบางอย่างที่เด็กจะเกิดได้ง่ายกว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ คุณจำต้องประเมินอาการไอของเขาแตกต่างออกไป สำหรับเด็กนั้นให้คุณรีบโทรหาแพทย์ทันทีถ้าพวกเขามีอาการอย่างหนึ่งอย่างใดต่อไปนี้: [13]
    • มีไข้ที่สูงเกิน 38 องศาเซลเซียส
    • ไอออกมาในลักษณะเหมือนการเห่า นี่อาจเป็นกลุ่มอาการครูพ (croup) ซึ่งเป็นการติดเชื้อไวรัสบริเวณกล่องเสียงและหลอดลม เด็กบางคนอาจมีอาการเสียงแหบพร่า ซึ่งเป็นเสียงเหมือนการผิวปากโทนเสียงสูงหรือเสียงอ้าปากพะงาบๆ หากคุณได้ยินเสียงทั้งสองแบบนี้ ให้โทรแจ้งแพทย์ทันที
    • ไอชนิดฟืดฟาดหรือเหมือนเสียงท้องร้องโครกครากที่อาจฟังดูแหบพร่าหรือไม่ค่อยมีเสียง นี่อาจเป็นโรคหลอดลมอักเสบที่เกิดจากไวรัส RSC (respiratory syncytial virus)
    • ไอระรัวยามที่ลูกคุณหายใจเข้า ซึ่งอาจจะเป็นโรคไอกรน
  4. ตัดสินใจว่าอาการไอควรต้องเข้ารับการรักษาหรือไม่. จำไว้ว่าการไอนั้นเป็นวิถีทางธรรมชาติของร่างกายในการกำจัดเสมหะที่เต็มไปด้วยแบคทีเรีย ไวรัส หรือเชื้อรา และนั่นเป็นเป้าหมายที่ดี! อย่างไรก็ตาม ถ้าอาการไอนี้ทำให้คุณหรือลูกไม่ได้หลับได้นอน หรือทำให้หายใจลำบาก ก็ถึงเวลาต้องรักษามันแล้ว คุณจำต้องได้พักผ่อนนอนหลับอย่างเพียงพอเวลาไอ ตรงนี้แหละที่ยาแก้ไขทุกขนานมีประโยชน์
    • คุณสามารถใช้ยารักษาที่ทำเองที่บ้านได้มากและบ่อยตามแต่ต้องการ พวกมันยังจะช่วยให้ไม่ขาดน้ำ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญเพราะระบบภูมิคุ้มกันกับร่างกายจำเป็นต้องใช้ฟื้นตัว
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • ทานยาแก้ไอแบบที่คุณชอบ 2 ช้อนโต๊ะก่อนเข้านอนเพื่อช่วยให้หลับสบายและได้พักผ่อนอย่างที่คุณต้องการ
  • ให้แน่ใจว่าร่างกายไม่ขาดน้ำ ดื่มน้ำในแก้วขนาด 8 ออนซ์ อย่างน้อย 8-10 แก้วทุกวัน
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 12,936 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา