ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

โรคปอดบวมเป็นการติดเชื้อที่ทำให้ถุงลมอักเสบในปอดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง เมื่อเกิดการอักเสบ ถุงลมอาจจะเต็มไปด้วยของเหลวทำให้ผู้ป่วยมีอาการไอ เป็นไข้ หนาวสั่น และหายใจลำบาก คุณอาจจะรักษาโรคปอดบวมด้วยยาปฏิชีวนะ ยาลดไข้ และยาแก้ไอก็ได้ แม้ว่าในบางกรณีต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ทารกแรกเกิด และผู้สูงอายุ [1] แม้โรคปอดบวมจะมีความรุนแรง แต่บุคคลที่มีสุขภาพแข็งแรงก็อาจจะสามารถหายสนิทได้ภายใน 1-3 สัปดาห์ [2]

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

การปรึกษาแพทย์

ดาวน์โหลดบทความ
  1. สำหรับคนที่มีสุขภาพดี โรคปอดบวมอาจจะเริ่มต้นเหมือนอย่างไข้หวัดใหญ่หรือไข้หวัดอย่างหนัก ความแตกต่างที่สำคัญคือตอนที่คุณเป็นโรคปอดบวม คุณจะรู้สึกป่วยนานกว่ามาก ถ้าคุณมีอาการป่วยเรื้อรังคุณก็อาจจะเป็นโรคปอดบวมได้ ดังนั้นจึงควรทราบถึงอาการที่ควรระวัง อาการเฉพาะจะแตกต่างกันออกไปในแต่ละบุคคล แต่โดยทั่วไปแล้วจะมีอาการบางอย่างหรือทั้งหมดดังต่อไปนี้ [3]
    • อาการไข้ เหงื่อออก และหนาวสั่น
    • อาการไอที่อาจจะทำให้เกิดเสมหะ
    • อาการเจ็บหน้าอกตอนหายใจหรือไอ
    • อาการหายใจหอบ
    • อาการเหนื่อย
    • อาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องเสีย
    • ความสับสน
    • อาการปวดศีรษะ
  2. ถ้าคุณมีอาการข้างต้นและมีไข้ 39 องศาเซลเซียสหรือสูงกว่านั้น คุณควรแจ้งให้แพทย์ทราบ เขาจะสามารถให้คำแนะนำคุณเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกลุ่มเสี่ยงซึ่งได้แก่ เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ปี ผู้ใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี และผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ [4]
  3. เมื่ออยู่ที่คลินิกแพทย์ เขาจะทำการทดสอบจำนวนหนึ่งเพื่อตรวจสอบว่าที่จริงแล้วคุณเป็นโรคปอดบวมหรือไม่ ถ้าคุณเป็น แพทย์จะสามารถแนะนำการรักษาหรือในบางกรณีจะแนะนำให้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เมื่อคุณไปพบแพทย์ เขาอาจจะเริ่มต้นด้วยการตรวจร่างกายและอาจจะไปสู่การทดสอบอื่นๆ [5]
    • แพทย์จะใช้เครื่องตรวจฟังในการฟังปอดของคุณเพื่อฟังเสียงกรอบแกรบ เสียงแตกฟอง และเสียงครืดคราดตอนหายใจเข้า และสำหรับบริเวณปอดที่ไม่สามารถได้ยินเสียงหายใจได้ตามปกติ แพทย์อาจจะสั่งให้เอกซเรย์หน้าอก
    • โปรดทราบว่าโรคปอดบวมที่มาจากเชื้อไวรัสนั้นไม่มีวิธีรักษาที่เป็นที่รู้จัก แพทย์จะแจ้งคุณว่าจะทำอย่างไรในกรณีนี้
    • ในกรณีที่ต้องนำเข้ารักษาในโรงพยาบาล คุณจะได้รับยาปฏิชีวนะ การให้น้ำเกลือเข้าเส้นเลือดดำ และอาจจะใช้การบำบัดด้วยออกซิเจนเพื่อรักษาโรคปอดบวม
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

การเริ่มแข็งแรงขึ้น

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ปฏิบัติตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัดเมื่ออยู่ที่บ้าน. ส่วนใหญ่จะใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษาโรคปอดบวม โดยมักจะใช้ยาอะซิโธรมัยซิน (Azithromycin) คลาริโทรมัยซิน (Clarithromycin) หรือ ด็อกซีไซคลิน (Doxycycline) แพทย์จะเลือกว่ายาปฏิชีวนะชนิดใดที่คุณควรจะใช้โดยขึ้นอยู่กับอายุและประวัติทางการแพทย์ของคุณ [6] เมื่อแพทย์ให้ใบสั่งยาให้กรอกข้อมูลทันทีโดยนำไปที่ร้านขายยาในท้องถิ่นของคุณ ที่สำคัญคือคุณจะต้องกินยาปฏิชีวนะให้ครบตามที่แพทย์กำหนดและปฏิบัติตามคำแนะนำที่เขียนไว้บนขวด เว้นแต่ว่าแพทย์จะสั่งอย่างอื่น [7]
  2. สำหรับบุคคลที่มีสุขภาพดี ยาปฏิชีวนะที่แพทย์กำหนดจะทำให้คุณเริ่มรู้สึกดีขึ้นในประมาณ 1-3 วัน ในช่วงวันแรกๆ ของการฟื้นตัวนี้ สิ่งที่สำคัญมากคือการที่คุณได้พักผ่อนและดื่มน้ำมากๆ แม้หลังจากที่คุณเริ่มรู้สึกดีขึ้นแล้ว คุณก็ไม่ควรจะออกแรงมากเกินไป เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายยังอยู่ระหว่างการฟื้นตัว นี่เป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากการออกแรงมากเกินไปอาจจะทำให้คุณกลับไปเป็นโรคปอดบวมอีก
    • การดื่มของเหลว (โดยเฉพาะน้ำ) จะช่วยละลายเมือกในปอดได้
    • กินยาที่แพทย์สั่งให้หมด
  3. การกินอาหารที่เหมาะสมไม่สามารถรักษาโรคปอดบวมได้ แต่อย่างไรก็ตามอาหารที่ดีสามารถช่วยในการฟื้นตัวตามปกติได้ ควรกินผักและผลไม้ที่มีสีต่างๆ เป็นประจำ พวกมันมีสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งช่วยให้ร่างกายของคุณต่อต้านและฟื้นตัวจากโรคได้ ธัญพืชเต็มเมล็ดที่ไม่ผ่านการขัดสีนั้นก็มีความสำคัญเช่นกัน พวกมันเป็นแหล่งที่ดีของคาร์โบไฮเดรต วิตามิน และแร่ธาตุซึ่งจะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและเพิ่มพลังงานให้คุณ สุดท้ายให้เพิ่มอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีนเข้าไปในอาหารของคุณ โปรตีนจะให้ไขมันต้านการอักเสบแก่ร่างกาย คุณควรจะปรึกษากับแพทย์เสมอถ้าคุณวางแผนที่จะเปลี่ยนแปลงอาหาร
    • ลองกินข้าวโอ๊ตและข้าวกล้องเพื่อเพิ่มธัญพืชเต็มเมล็ดให้อาหารของคุณ
    • ลองกินถั่ว ถั่วเลนทิล เนื้อไก่ไม่ติดหนัง และปลาเพื่อเพิ่มโปรตีนในอาหารของคุณ หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ที่มีไขมันเยอะๆ เช่น เนื้อแดง หรือเนื้อสัตว์แปรรูป
    • อีกนั่นล่ะ ให้ดื่มของเหลวเยอะๆ เพื่อให้ร่างกายมีความชุ่มชื้นและช่วยลดเมือกในปอดของคุณ
    • บางงานวิจัยแนะนำว่าวิตามินดีช่วยในการฟื้นตัวจากโรคปอดบวมได้ แม้ว่าจะยังไม่ได้รับการยืนยันก็ตาม
    • ซุปไก่เป็นแหล่งของเหลว อิเล็กโทรไลต์ โปรตีน และผักที่ดีเลยล่ะ
  4. แพทย์บางคน (แต่ไม่ใช่ทั้งหมด) จะนัดสำหรับติดตามผล โดยปกติจะเป็นเวลา 1 สัปดาห์หลังจากไปพบครั้งแรก และแพทย์จะต้องตรวจให้แน่ใจว่ายาปฏิชีวนะที่กำหนดนั้นได้ผล ถ้าคุณไม่รู้สึกดีขึ้นเมื่อใช้ยาในช่วงสัปดาห์แรกแล้วล่ะก็ คุณควรจะติดต่อแพทย์ทันทีเพื่อนัดการติดตามผล
    • เวลาในการฟื้นตัวจากโรคปอดบวมตามปกติแล้วจะใช้เวลา 1-3 สัปดาห์ แม้ว่าคุณอาจจะเริ่มรู้สึกดีขึ้นหลังจากใช้ยาปฏิชีวนะเพียงไม่กี่วันก็ตาม
    • ถ้าอาการยังคงอยู่หลังจากที่คุณเริ่มใช้ยาปฏิชีวนะแล้วเป็นเวลา 1 สัปดาห์ นี่อาจจะเป็นสัญญาณว่าคุณไม่ได้ฟื้นตัว และคุณควรจะติดต่อแพทย์ทันที
    • ถ้ารักษาด้วยยาปฏิชีวนะแล้วแต่การติดเชื้อยังคงอยู่ ผู้ป่วยอาจจะยังคงต้องการการดูแลในระดับโรงพยาบาล
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

การกลับไปมีสุขภาพดี

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ค่อยๆ กลับมาใช้ชีวิตตามปกติ และเมื่อได้รับอนุญาตจากแพทย์. จำไว้ว่าคุณจะเหนื่อยง่ายและคุณอาจจะต้องเริ่มช้าๆ พยายามลุกออกจากเตียงและออกแรงโดยไม่ให้เหนื่อยเกินไป คุณอาจจะค่อยๆ ทำกิจกรรมได้ถึงวันละหนึ่งหรือสองอย่างเพื่อให้ร่างกายของคุณมีโอกาสฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ [9]
    • คุณอาจจะเริ่มด้วยการฝึกหายใจแบบง่ายๆ บนเตียง หายใจเข้าลึกๆ และค้างไว้ 3 วินาที แล้วปล่อยลมออกโดยที่ปิดปากบางส่วน
    • พัฒนาไปเป็นการเดินรอบๆ บ้านหรืออพาร์ทเมนท์ เมื่อสิ่งนี้ไม่ทำให้เหนื่อยมาก ก็ให้เริ่มเดินระยะทางไกลขึ้น
  2. จำไว้ว่าในขณะที่กำลังฟื้นตัวจากโรคปอดบวม ระบบภูมิคุ้มกันของคุณจะอยู่ในภาวะอ่อนแอจึงควรปกป้องระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอของคุณโดยการหลีกเลี่ยงบุคคลที่ป่วยและหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีคนเยอะๆ เช่น ห้างสรรพสินค้าหรือตลาด
  3. ถ้าคุณเสี่ยงต่อการติดเชื้อ คุณก็ไม่ควรกลับไปโรงเรียนหรือทำงานจนกว่าอุณหภูมิของคุณจะกลับสู่ภาวะปกติและคุณไม่ได้ไอแบบมีเสมหะแล้ว อีกนั่นล่ะ การทำอะไรมากเกินไปอาจจะทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคปอดบวมอีกครั้ง
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกปี การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่นั้นมีบริการที่ร้านขายยาในท้องถิ่น และมักจะสามารถป้องกันโรคปอดบวมได้ [10]


โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 1,460 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา